ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมใจปรารถนา (มี E-book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 14

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 64


    บทที่ 14 

     

    ทันทีที่ได้ฟังจากปากของมุกลิณญ์ว่าเธอไม่ต้องไปสอนเด็กหญิงอลีนาแล้วเพราะว่าโรสิตาเพิ่งโทร.มาขอยกเลิกโปรแกรมการเรียนการสอนทั้งหมดเมื่อวานนี้ ภควัตรก็เกิดความงวยงงไม่น้อยทีเดียวว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนมุกลิณญ์ที่ไม่ได้โทร.ไปบอกเขาก่อนเมื่อเห็นหัวคิ้วของอีกฝ่ายมุ่นเข้าหากันก็พลันรู้สึกผิด เจ้าตัวจึงรีบแก้ตัวยกใหญ่

    “มุกขอโทษนะคะพี่ภีม มุกน่าจะโทร.ไปบอกพี่ภีมก่อน”

    “ไม่เป็นไรเลยครับมุก”

    “แต่...”

    “อย่าคิดมากสิครับ ดีแล้วเราจะได้มีเวลาพักผ่อน”

    “ค่ะ” มุกลิณญ์ฝืนยิ้ม และเมื่อนึกขึ้นได้เจ้าตัวจึงเอ่ยขึ้น “เอ้อ พี่ภีมคะ...”

    มุกลิณญ์ยังพูดไม่ทันจบ ภควัตรที่ร้อนใจไม่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมอยู่ ๆ โรสิตาถึงหุนหันพลันแล่นตัดสินใจออกไปเช่นนี้ก็ตัดบททันควันอย่างลืมตัว “พี่กลับก่อนนะครับ” เขาอ้างว่าอย่างนั้น “พอดีพี่เพิ่งนึกได้ว่าต้องเอานาฬิกาข้อมือไปซ่อมให้คุณพ่อน่ะ”

    พูดจบภควัตรก็รีบรุดเดินออกไปโดยไม่รอให้มุกลิณญ์ได้พูดอะไรต่อสักคำ สาวเจ้าของบ้านจึงได้แต่ก้มลงมองอาหารไทยโบราณเจ้าของชื่อ ‘หมูโสร่ง’ ที่เธอลงมือทำตั้งแต่เช้าเพื่อหวังให้เขาที่แวะเข้ามาในตอนสายได้ลองชิมตาปริบ ๆ พลางพยักหน้ารับกับตนเอง

    “ค่ะ...”

    การที่ภควัตรมาเร็ว และเมื่อไม่มีธุระก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ทำให้มุกลิณญ์งงระคนรู้สึกเคว้งอยู่เล็กน้อย เธอมองรถยุโรปที่เคลื่อนออกไปช้า ๆ จนลับสายตาแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาซ้ำ ๆ

    ความจริงที่มุกลิณญ์ไม่ได้โทร.ไปบอกภควัตรในเรื่องที่ว่าตั้งแต่ที่แรกทั้งที่ก็มีเวลาออกมาก นั่นก็เพราะว่าเธออยากให้เขามาหาตนด้วยส่วนหนึ่ง เหมือนตอนอยู่ที่สมัยอยู่ฝรั่งเศสที่ทั้งคู่มักหาเรื่องนัดเจอกันที่ห้องสมุดอยู่บ่อยครั้ง

    แต่เมื่อเขาออกไปแล้ว เธอจะทำอย่างไรได้...

    มุกลิณญ์ส่ายหน้าเบา ๆ แล้วจังหวะเดียวกันนั้นเองชื่อของใครอีกคนก็ผุดแทรกขึ้นมาในหัวทันทีเหมือนรับรู้ได้ว่าเธอต้องการเพื่อน และเมื่อนึกขึ้นได้อย่างนั้นหญิงสาวก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.หาเขาทันที

    “คุณมุก” ปรัชวิทย์ขานชื่อเพราะด้วยความหลากใจ “โทร.มาตอนนี้มีธุระอะไรหรือครับ”

    “ไม่มีหรอกค่ะ” แล้วเมื่อนึกถึงเรื่องน่าสนุกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง หน้าสวยที่บึ้งตึงเล็กน้อยก็ค่อยเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มบาง ๆ ขณะที่ปากก็เอ่ยถาม “ว่าแต่ตอนนี้คุณอยู่ไหนคะ ว่างหรือเปล่า...พอดีว่าอยากไปถ่ายรูปเล่นน่ะค่ะ”

    เท่านั้น ปรัชวิทย์ที่กำลังอ่านหนังสือเตรียมการสอนค้างอยู่ก็ปิดมันลงทันทีแล้วนำไปเก็บเข้าชั้นเรียบร้อยพร้อม กับหยิบกระเป๋าสำหรับออกเดินทางตระเวนเที่ยว ตระเวนกินตามที่ต่าง ๆ ขึ้นมาสะพายเสร็จสรรพ

    “ได้สิครับ ผมกำลังเบื่อ ๆ อยู่พอดี”

    “โอเค งั้นเจอกันค่ะ”

     

    ส่วนรามิล เมื่อขับรถพาโรสิตากับเด็กหญิงอลีนามาถึงยังคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีชื่อเขาเป็นเจ้าของ เจ้าบ้านก็ต้อนรับขับสู้แขกคนสำคัญเป็นอย่างดีโดยการรับเด็กหญิงตัวน้อยมาอุ้มแนบอกเอาไว้เองทั้งยังชวนคุยแจ้ว ๆ ส่วนโรสิตาก็เดินเคียงอยู่ไม่ห่าง

    จนพนักงานที่ยืนอยู่บริเวณนั้นอดสงสัยไม่ได้ “นั่น คุณรามิลพาใครมาด้วยน่ะ”

    “ลูกค้าละมั้ง”

    “ลูกค้าอะไรต้องให้เจ้าของเดินไปรับถึงที่?”

    คนช่างสังเกตย้อนถาม หากทว่าพนักงานสาวรุ่นพี่ที่เห็นกับตาว่าสองแม่ลูกนั่นเพิ่งลงจากรถของรามิลหยก ๆ แถมยังต้องให้เจ้านายของพวกเธอเปิดประตูให้ด้วยแย้งขึ้น “ไปรับถึงที่อะไรกัน” คนพูดเหล่ตาไปมองโรสิตาที่เดินเคียงกับรามิลแล้วก็คุยกันไปพลางป้องปากขำแล้วก็จีบปากจีบคอสันนิษฐานไปอีก “ไปรับถึงบ้านสิไม่ว่า”

    “บ้านไหนเหรอเจ๊”

    “จะไปรู้เหรอ” แล้วคนโตสุดในกลุ่มก็หันมาเอียงหน้าคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะสรุปเอาเอง “หรือว่าคุณรามิลแกจะแอบซุกลูกซุกเมียไว้?”

    “ไม่ใช่!”

    เมื่อเสียงที่ค่อนข้างห้วนดังแทรกขึ้น คนที่ไม่ทันได้หันมาดูว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใครก็เถียงให้อีก “เอ้า...ถ้าไม่ใช่แล้วจะอะไร!”

    หญิงคนเดิมตั้งท่าจะแย้ง หากเมื่อหันมาแล้วพบว่าน้ำหนึ่งกำลังยืนหน้านิ่งอยู่ตรงหน้า สาวเจ้าก็ยิ้มแหยพลางสะกิดเพื่อนร่วมงานอีกสองคนเป็นเชิงว่าให้ ‘แยกย้าย’ ทันที

     

    หลังจากที่แยกกันกับมุกลิณญ์ ภควัตรที่ในใจเต็มไปด้วยคำถามก็รีบขับรถตรงไปที่บ้านของโรสิตาทันที แต่เขาช้าไปเพียงหนึ่งเก้าเท่านั้น! เพราะเมื่อรถยุโรปสีดำเคลื่อนไปจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว รถอีกคันก็ขับออกไปเห็นช่วงท้ายลับ ๆ อยู่พอดี

    แต่กระนั้นคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคนที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุมาจากตนทั้งสิ้นก็ยังคงกล้าเดินลงจากรถพลันย่างกรายเข้าไปภายในร้านที่มีเพียงชะเอมซึ่งกำลังรับหน้าที่ดูแลลูกค้าอยู่หน้าตาเฉย

    ด้วยวันนี้เป็นวันหยุดผู้มาใช้บริการจึงดูหนาตาเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นชะเอมก็สามารถเป็นเสาหลักแทนโรสิตาดูแลลูกค้าได้อย่างทั่วถึงและดีเยี่ยม!

    จนกระทั่งหญิงสาวหันมาเจอกับเขา หน้าตาที่เปื้อนยิ้มของผู้ให้บริการที่มีอยู่ก่อนหน้าจึงแปรเปลี่ยนไปทันควันราวพลิกฝ่ามือ

    “คุณภควัตร!”

    ชะเอมหน้าเหวอ แต่มือก็ยังกำบัตรรายการขนมในร้านแน่น ภควัตรเห็นอย่างนั้นจึงเดินเข้าไปประชิดพลางถาม

    “คุณโรสล่ะครับ?”

    แทนที่ชะเอมจะตอบไปตรง ๆ เธอกลับย้อน “ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับคุณโรสิตาไม่หรือคะ”

    “มีสิครับ เรามีเรื่องต้องคุยกันให้รู้เรื่องให้ได้”

    คราวนี้บนหน้าของชะเอมมีริ้วรอยที่บ่งว่าลำบากใจแสดงออกชัด อันที่จริงแล้วเธอเองก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรในใจกับภควัตร แต่...โรสิตามี นายสาวของเธอไม่ยินดีต้อนรับเขา ถ้าหญิงสาวกลับมาแล้วเห็นว่าชะเอมทำการต้อนรับขับสู้ตามสมควรดุจแขกคนอื่น เธอผู้นั้นจะว่าอย่างไร

    “คุณภควัตรคะ” และด้วยตระหนักรู้ว่าหากกระทำการกระโตกกระตากแขกคนอื่นก็คงจะพลอยแตกตื่นไปด้วย ชะเอมจึงจำต้องขอร้องภควัตรด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ละมุนละม่อม “ถือว่าชะเอมขอร้องละค่ะ รบกวนกลับไปก่อนเถอะนะคะ”

    อ้อ...โรสิตาคงสั่งไว้แบบนี้!

    แต่ถึงภควัตรจะรับรู้ไปถึงความลำบากใจของคนตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ทำตามที่เธอตรงหน้าพยายามร้องขอหรอก ไม่รู้ล่ะ...เป็นไงเป็นกัน อย่างไรเสียวันนี้เขาก็ยืนกรานกับตัวเองว่าจะต้องเคลียร์ใจกับโรสิตาให้รู้เรื่องให้ได้

    “คุณก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็แกล้งทำลืมไปสักพักว่าผมคือคนที่คุณโรสบอกให้ออกห่างไม่ได้เหรอครับ” ภควัตรต่อรองพร้อมกับยื่นข้อเสนอ “แล้วก็คิดว่าผมคือลูกค้าคนนึงของคุณ แบบนี้ดีไหม?”

    “แล้วคุณจะอยู่นานไหมคะ?”

    ภควัตรทอดมองชะเอมที่เหลียวซ้ายแลขวาอย่างคนไม่ค่อยสบายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ อย่างนึกเกรงใจคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นในถ้อยคำที่เอ่ยตอบกลับมีความเด็ดขาดอยู่ในที “จนกว่าโรสิตาจะกลับ!”

     

    ปรัชวิทย์พามุกลิณญ์นั่งรถเมล์โดยสารไปเรื่อย ๆ และกว่าจะถึงย่านสาทรที่เขาบอกว่าน่าสนใจเพราะเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมทั้งไทย จีน และอีกหลาย ๆ ชาติเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนก็ล่วงเวลาถึงคล้อยบ่าย แต่กระนั้นแทนที่คนซึ่งไม่ค่อยได้โดยสารรถประจำทางนักจะแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายออกมา บนหน้าสวยกลับยิ้มแย้มยินดีฉาบฉาย

    ขณะที่รถเมล์เคลื่อนไปเรื่อย ๆ มุกลิณญ์ก็ได้สาดสายตาออกไปทางหน้าต่างเพื่อดูสองข้างทางที่มีผู้คนเดินไขว่ด้วยความตื่นเต้นและเพลิดเพลินตา จนถึงที่หมายปรัชวิทย์ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ จึงเอื้อมมือมาสะกิดต้นแขนให้อย่างระมัดระวังยิ่ง

    “คุณมุก” เมื่อมุกลิณญ์หันกลับมา ปรัชวิทย์จึงคลี่ยิ้มแล้วกระซิบว่า “ถึงแล้วครับ”

    “อ้อค่ะ”

    ในตอนแรกปรัชวิทย์จะพามุกลิณญ์ไปรับประทานอาหารไทยที่ร้านร้านหนึ่งย่านสีลมก่อน แต่บังเอิญว่าวันนี้ร้านที่ว่าดันปิดพอดี ทั้งคู่จึงพากันมาถ่ายรูปเล่นโดยเดินเลาะถนนสาทรมาเรื่อย ๆ จนถึงสถานีไปรษณีย์กลางบางรักจนได้

    “ที่นี่แหละครับ”

    ภาพของอาคารขนาดใหญ่ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบสากลผสมผสานกับงานศิลปะแบบอลังการศิลป์หรือทับศัพท์ว่า ‘อาร์ตโดเค’ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในช่วงศตวรรษที่สิบแปดได้อย่างลงตัวทำให้มุกลิณญ์ที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนไกลถึงต่างทวีปแต่กลับไม่รู้ว่าที่ประเทศของตัวเองก็มีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามและแปลกตาเช่นนี้อยู่รู้สึกหลากใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

    ว่าแล้วเธอก็รีบหยิบกล้องดิจิตอลคู่ใจขึ้นมาบันทึกรูปตรงหน้าอย่างไม่รอช้า ส่วนปรัชวิทย์ เขาจนเธอได้รูปถ่ายที่พอใจแล้วจึงว่า “คุณเห็นรูปสลักรูปครุฑนั่นไหมครับ”

    “อืม...ค่ะ” มุกลิณญ์มองตาม “ถ้าว่ากันตามความเชื่อแต่ครั้งโบราณพระมหากษัตริย์คือองค์อวตารของพระนารายณ์แล้วครุฑก็เป็นสัตว์ในเทวตำนานที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์ ดังนั้นสถานที่ราชการก็เลยต้องมีรูปครุฑอยู่ด้วย”

    “ใช่ครับ”

    “แล้วไงต่อคะ”

    ใคร ๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น นายคนนี้จะประหลาดใจอะไรนักหนา มุกลิณญ์เอียงหน้า ยิ้มขำ ๆ

    หรือว่า...มีอะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ที่เธอยังไม่รู้?

    เมื่อประเมินแล้วก็อนุมานได้ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ว่า มุกลิณญ์คงไม่รู้อะไรมากกว่าตำนานที่หญิงสาวเล่ามาฉอด ๆ ด้วยความมั่นใจแน่ คนพามาจึงค่อยว่า “ก็ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองน่ะครับ”

    สงครามโลกครั้งที่สอง...สำหรับมุกลิณญ์แล้ว นอกจากข้อเท็จจริงด้านประวัติศาสตร์ยุคสมัยใหม่ที่ว่าด้วยการสู้รบกันระหว่างชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นโดยมีประเทศไทยเป็นทางผ่านและฐานที่ตั้งของกองทัพทั้งสองชาติ ผลของสงครามยังก่อให้เกิดวรรณกรรมคลาสสิกที่ส่งผลให้นักเขียนไทยหลายคนได้เป็นที่รู้จักในวงการหนังสือในเวลาต่อมาเท่านั้น นอกเหนือจากนี้เธอก็แทบจะไม่รู้อะไรอีก

    ดังนั้นคราวนี้คนที่พูดจาฉะฉานในตอนแรกจึงนิ่งเสีย ปรัชวิทย์เห็นอย่างนั้นจึงทอดมองด้วยความเอ็นดูต่อท่าทีดังกล่าว แล้วจึงเล่าในสิ่งที่ตนได้รับรู้มาบ้าง

    “ฟังเป็นเกร็ดความรู้นะครับ...เขาว่ากันต่อ ๆ มาอีกทีนะครับว่าที่สถานที่นี้ไม่ถูกระเบิดในช่วงสงครามที่ทิ้งกันลงมาเป็นจ้าระหวั่นเนี่ยก็เพราะครุฑที่อยู่ด้านบนนั่นแหละคุ้มครองเอาไว้”

    ฟังจบ คนที่สนใจด้านคติชนวิทยาอยู่พอตัวก็เงยหน้าขึ้นมองที่รูปสลักนั้นอีกครั้งพลางคิด ก็อาจเป็นได้!

     

    รามิลพาสองแม่ลูกมายังโซนสนามเด็กเล่นซึ่งอยู่ที่ด้านข้าง พร้อมกันนั้นก็ชวนโรสิตาคุยไปด้วย “ตอนที่คุณโรสมาครั้งที่แล้วโซนนี้ยังไม่เสร็จดีน่ะครับ” แล้วเขาก็พาเด็กหญิงอลีนามายืนอยู่ที่หน้าสไลด์เดอร์ที่มีเด็กหลายคนกำลังเล่นกันอยู่ เด็กหญิงตัวน้อยที่นาน ๆ จะได้ออกจากบ้านทีเพราะมารดามักให้เหตุผลว่ากลัวป่วยเมื่อเห็นของเล่นตรงหน้าที่...ที่บ้าน รวมถึงสวนสาธารณะใกล้บ้านไม่มีให้เล่นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความละลานตา

    รามิลที่นึกเอื้อเอ็นดูอยู่ไม่น้อยจึงหันมาถาม “อันนาชอบไหมครับ”

    “ชอบค่ะ อันนาชอบที่นี่”

    เสียงตอบแจ้ว ๆ ทำให้มารดายิ้มออก และหลังจากที่ส่งเด็กหญิงอลีนาให้อยู่ในความดูแลของสตาฟแล้วรามิลจึงพาโรสิตามานั่งที่โต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนซึ่งอยู่ระดับที่สาวตาของหญิงสาวที่จะสาดไปมองดูว่าบุตรสาวของตนทำอะไรอยู่ได้อย่างถนัด

    “เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้นะครับ”

    “ไม่เป็นไรค่ะคุณรามิล โรสทานมาแล้ว”

    เขารู้ เธอพูดไปเพราะเกรงใจ ดังนั้นรามิลจึงต้องหาทางอ้างให้ได้ “ไม่ต้องเกรงใจครับคุณโรส วันก่อนคุณเลี้ยงข้าวผมแล้ว ถ้างั้นวันนี้ขอให้ผมได้เลี้ยงน้ำคุณบ้างนะครับ”

    “ถ้างั้นก็ได้ค่ะ”

    จังหวะที่รามิลเดินมายังร้านขายน้ำที่อยู่อีกฝั่ง ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้ำหนึ่งเดินสวนเข้ามาพอดี ครั้นเห็นน้องสาวนอกไส้ป้องปากขำคนเป็นพี่ก็อดสงสัยไม่ได้ เขาจึงเดินเข้าไปกระซิบถามโดยพลันหากน้ำหนึ่งยังมีหน้ามาย้อนเสียงใส

    “พี่มิลก็ไปถามพวกแม่พนักงานโซนร้านเสื้อผ้าดูสิคะ”

    “ทำไม?” เมื่อเห็นน้ำหนึ่งทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ รามิลที่ยิ่งสงสัยจึงคาดคั้น “บอกมานะยัยหนึ่ง”

    “อยากรู้จริงอะ?”

    อะไร..ทำไม วันนี้เขาแต่งตัวประหลาดเช่นนั้นหรือ...

    รามิลเหลือบไปมองเงาสะท้อนของตนเองที่ทาบทอผ่านกระจกกั้นต่างผนังของร้านค้าตรงหน้า แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใด เขาก็ยิ่งฉงนเป็นยกใหญ่ สายตาที่หันกลับมาหาน้ำหนึ่งจึงเปลี่ยนเป็นกดดันเล็กน้อยจนคนที่เริ่มรำคาญเสียมากกว่าจะกลัวเกรงจำต้องบอก

    “ก็คนพวกนั้น” น้ำหนึ่งหมายถึง “แม่สาวกลุ่มนั้นน่ะ เขานินทากันว่าพี่มิลพาลูกเมียที่ซ่อนไว้หลายปีมาเปิดตัวน่ะค่ะ”

    “อะไรนะ!” แล้วคนที่เผลออุทานลั่นก็บ่นต่อ “บ้าจริง...คนพวกนั้นคิดอะไรกันไปใหญ่แล้ว บ้าที่สุด”

     

    ครั้นทอดมองบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหัวเราะต่อกระซิบอยู่กับเพื่อนใหม่สองสามคนอย่างสนุกสนาน บนหน้าสวยที่แต่งแต้มเรื่องสำอางเพียงเล็กน้อยของโรสิตาก็พลันฉาบทาด้วยรอยยิ้มแต่งแต้ม ขณะนั่งมองตรงไปข้างหน้าใจก็เผลอคิดไปเรื่อยว่ารามิลนี่ก็ดีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อย ๆ เขาก็สามารถเป็นความสุขเล็ก ๆ ให้บุตรสาวของตนได้

    เพราะว่าสำหรับมารดาแล้วอะไรก็ตามที่เป็นความสุขของลูกสิ่งนั้นก็คือความสุขของตนด้วย

    แล้วถ้าจะให้เขาผู้นั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเป็นอีกครึ่งของชีวิตเธอด้วยเล่า...เมื่อคำถามใหม่แทรกเข้ามา รอยยิ้มบาง ๆ ที่ฉาบทาก็พลันหุบลงในตอนนั้นเอง!

    “คุณโรสครับ”

    เมื่อขานเรียกแล้วไม่หัน คราวนี้มือน้อย ๆ จึงเอื้อมมาแตะที่ต้นแขนเพียงแผ่วเบาเพื่อให้เจ้าของชื่อได้สติ โรสิตาเมื่อหลุดจากภวังค์ความคิดและหันกลับมาก็พบว่าครั้งนี้นอกจากรามิลแล้วยังมีน้ำหนึ่งที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย ‘แขกคนสำคัญ’ ของพี่ชายจึงคลี่ยิ้มแล้วทักทายไปตามมารยาท

    กระนั้น น้ำหนึ่งที่แต่เดิมก็เป็นคนช่างพูดอยู่แล้วก็ชวนคุยยกใหญ่จนรามิลที่แย่งพูดไม่ทันจำต้องนั่งฟังเงียบ ๆ ไปโดยปริยาย

     

    ด้านชะเอม เมื่อเห็นว่าภควัตรยังคงนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ที่เดิม ไม่มีขยับเขยื้อน ไม่คิดล่าถอยอย่างลั่นวาจาไว้แต่ทีแรก สาวเจ้าก็มีกังวลอยู่ไม่น้อยด้วยอีกประเดี๋ยวพนิตาที่พาคุณยายบุญเรือนออกไปทำธุระตั้งแต่ช่วงสายคงกลับ สุดท้ายเธอที่ไร้ซึ่งหนทางที่จะนำมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้จึงตัดสินใจโทร.ไปหาโรสิตาในที่สุด

    “ขอตัวสักครู่นะคะ”

    รามิลพยักหน้ากับโรสิตาพลางผายมือให้ ส่วนน้ำหนึ่งก็รอจนสาวรุ่นพี่เดินลับตาไปแล้วเธอจึงขยับก้นเข้ามาใกล้แล้วจึงค่อยว่า “ดูพี่โรสเขาหน้าเครียด ๆ นะคะช่วงนี้”

    “เครียด?”

    “อืม...”

    น้ำหนึ่งเออออไปตามที่เห็น ด้วยความละเอียดอ่อนของความเป็นสตรีเพศดุจกันหากเจ้าหล่อนจะอ่านสิ่งซึ่งแววตาปิดไม่มิดได้ดีกว่าบุรุษเพศเช่นพี่ชายก็ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผิดแผกอะไรนัก ว่าแต่โรสิตามีเรื่องอะไรให้ครุ่นคิดขนาดนั้น? เรื่องลูก เรื่องร้าน!

    ไม่มีใครสามารถหยั่งได้...

    แล้วคนที่เห็นว่าพี่ชายของตนมองตามโรสิตาไปด้วยความเป็นห่วงจึงสรุป “เพราะพี่มิลนั่นแหละ”

    “อะไร?”

    แล้วสองพี่น้องก็หาเรื่องชวนถกเถียงกันอีกจนได้ ส่วนโรสิตาเองเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งก็กดรับสายทันที “ชะเอม...ที่ร้านมีปัญหาหรือเปล่า” เธอกังวลใจเพราะไม่เคยทิ้งให้ชะเอมอยู่ร้านคนเดียวมาก่อน ด้วยโดยปกติอย่างน้อยก็ควรจะมีพนิตาอยู่ช่วย หากวันนี้ไม่มีใครอื่นเลยจึงไม่แปลกที่สาวเจ้าของร้านจะนึกถึงเรื่องนั้นก่อนอย่างอื่น

    ส่วนชะเอมเมื่อถูกถามเช่นนั้นจึงปรายตาไปมองภควัตรปราบหนึ่งก็เห็นได้ชัดว่าคนที่นั่งอยู่ไม่ได้มีความสะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด สาวเจ้าจึงเดินถอยห่างออกมาพลางกระซิบบอกอย่างระมัดระวัง

    “ร้านไม่มีค่ะพี่โรส แต่คนต่างหากที่มี”

    “อะไรกันจ๊ะ”

    คนถูกถามทอดถอนใจ มือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์กำชายเสื้อแน่นก่อนตัดสินใจว่า “คุณภควัตรมาค่ะพี่โรส แถมแกยังว่าถ้าไม่ได้เจอพี่โรสแกก็จะไม่ไปไหนด้วยนะคะ”

    “อะไรนะ!” แล้วคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าอุทานออกมาด้วยระดับเสียงที่ดังเกินจำเป็นก็หรี่เสียงลงจนเกือบกระซิบ “เขา...มาทำอะไรในเมื่อคุณมุก...”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×