คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 13
บทที่ 13
“ที่นี่น่ะหรือ”
ทันทีที่ย่างกรายเข้ามาภายในร้าน ดวงตาสีเข้มที่มีขนาดกลางก็กวาดมองไปรอบ ๆ และหากมองอย่างเป็นกลางก็จะพบว่าสไตล์การจัดร้านนี้ถือว่าดีเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ในใจของผู้มาเยือนบัดนี้กลับมีอคติอยู่กึ่งหนึ่ง จึงพาลพาทุกสิ่งอย่างที่ตั้งอยู่ตรงหน้าแลดูขัดหู ขวางตาไปเสียทั้งหมด
และเมื่อชะเอมเดินเข้ามาพร้อมกับว่า “เชิญนั่งก่อนค่ะคุณลูกค้า ศุภลักษณ์ก็เพียงแค่ปรายตามองหญิงสาวผู้มีอายุอานามคราวลูกปลาบหนึ่ง แล้วจึงเชิดหน้าขึ้น
“เธอเองเหรอ?” คนที่เอ่ยขึ้นอย่างถือดีหมายถึง “คนที่ลูกชายของฉันตามแจน่ะ”
“คะ? คุณหมายถึงอะไร”
เท่านั้น ศุภลักษณ์ก็หันมาเอียงหน้ามองอีกฝ่ายที่ยังคงมีท่าทีงวยงงกับคำถามที่ตนยิงใส่ไปตรง ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ
กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง! ศุภลักษณ์ปรามาสอยู่ในใจ
“ก็เธอ…ไม่ใช่คนที่ลูกชายของฉันตามไปแอบดูที่ข้างโรงเรียนเป็นประจำหรือไง”
“ตาม…ตามไปไหนนะคะ” ชะเอมยังไม่เข้าใจที่ศุภลักษณ์สื่อ “คุณน่าจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะค่ะ ดิฉันไม่มีธุระต้องไปทำอะไรที่โรงเรียนให้ใครต้องตามไปแอบดูนะคะ”
“ไม่ผิด!” ศุภลักษณ์แย้งเสียงกร้าวพลางจ้องหน้าคนปากแข็งนิ่ง “ลูกชายของฉันชื่อภควัตร อย่าบอกนะว่าชื่อนี้เธอเองก็ไม่รู้จักน่ะ”
“ภควัตร” เท่านั้นชะเอมก็ขนลุกเกรียวขึ้นมาทันตา “คุณภีมน่ะหรือ...”
เสียงจากภายนอกยังดังอื้ออึง หากก็ไม่ทำให้โรสิตาที่กำลังง่วนอยู่กับต้นไม้ที่หลังร้านสะดุดหูเท่าชื่อของคนที่ถูกเอ่ยถึง “คุณศุภลักษณ์” ในที่สุดคนคนนั้นก็รู้และสืบหาที่อยู่ของตนพบจนได้
คนมาใหม่คิดจะทำอะไร... แล้วถ้าฝ่ายนั้นรู้ล่ะว่าเธอมีลูกกับบุตรชายของเขา คนคนนั้นจะทำอย่างไรต่อ
แค่คิดไปถึงตรงนั้นโรสิตาก็รู้สึกว่ามือไม้อ่อนแรงไปในทันใดนั้นเอง เธอจึงปล่อยให้บัวรดน้ำในมือหล่นลงพื้นจนน้ำในถังที่แต่เดิมมีอยู่ถึงเกินครึ่งหกกระจายเต็มพื้น แต่กระนั้นเสียงของคนที่อยู่ข้างนอกก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนโรสิตาเองก็ชักจะอดรนทนไม่ไหว จึงเลือกเดินออกไปเพื่อเผชิญหน้าในท้ายที่สุด
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชะเอมหรอกค่ะ”
การปรากฏตัวของโรสิตาทำให้ศุภลักษณ์อึ้งไปพักหนึ่ง ด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาพบกับเหตุการณ์ที่เข้าสำนวน ‘จุดไต้ตำตอ’ แบบจัง ๆ ขนาดนี้ จนสาวเจ้าของร้านยกมือไหว้เสร็จสรรพ ศุภลักษณ์ที่เพิ่งถูกเชื้อเชิญให้เข้าไปคุยกันที่หลังร้านจึงค่อยได้สติ
เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ไม้จนได้ท่าที่เหมาะแล้ว ศุภลักษณ์ก็ทอดมองโรสิตาที่นำทั้งน้ำและขนมมาต้อนรับขับสู้ด้วยแววตาและความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ไม่รู้สิ ชังหรือก็ไม่ใช่...จะเรียกว่ามองมุมไหนก็ไม่เห็นแววว่าจะเหมาะสมกับบุตรชายของตนคงน่าจะดีกว่า! จนโรสิตาเองก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามเรียบร้อย มารดาของภควัตรจึงค่อยเลียบเคียงว่า
“เธอกับตาภีม...”
แล้วโรสิตาก็รีบตอบข้อสงสัยกับศุภลักษณ์ทันควัน “เราไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันแล้วทั้งนั้นค่ะ”
“รีบตอบจริงนะ”
“นั่นเป็นเพราะว่าดิฉันทราบอยู่แล้วว่าที่คุณมาก็คงไม่มีจุดประสงค์อย่างอื่นแน่ นอกจากเรื่องที่คุณภควัตรแอบสะกดรอยตามดิฉัน”
คำพูดที่ฉะฉานของคนตรงหน้าทำศุภลักษณ์อึ้งเป็นหนที่สอง นี่หรือโรสิตา...พนักงานระดับกลางผู้ซึ่งสงบเสงี่ยมเจียมตนคนนั้น
หึ! เห็นทีว่าเธอคงต้องประเมินคนตรงหน้าใหม่เสียแล้ว
แต่จะอะไรก็ช่าง เพราะที่ศุภลักษณ์รีบร้อนจะต้องมาพบให้ได้ก็ด้วยเรื่องที่ว่า “บอกมาว่าตาภีมตามเธอไปที่โรงเรียนนั่นทำไม” คนมากวัยกว่าจึงต้องสะกดอารมณ์ไม่ให้กระเจิงจนพูดนอกประเด็นไปถึงเรื่องอื่น และทันใดนั้นเองเมื่อความใคร่รู้ในเรื่องที่ว่า “เห็นเขาว่าเธอมีเด็กด้วยนี่ เด็กอะไร ลูกเธอหรือ...กับใคร” แทรกเข้ามาหน้าที่เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นไปตามวัยจึงร้อนผ่าวและลามไปทั่วสรรพางค์กายอย่างไม่อาจห้ามได้
หรือเด็กที่ว่า...จะเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของตน!
ขณะที่ศุภลักษณ์กำลังนิ่วหน้า ครุ่นคิดอย่างหนัก โรสิตาที่ซ่อนเร้นความรู้สึกต่าง ๆ เอาไว้อย่างแนบเนียนจนแทบไม่มีความรู้สึกใด ๆ ฉายขึ้นบนใบหน้าให้คู่สนทนาจับอาการได้กลับคลี่ยิ้มน้อย ๆ ราวไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับคำถามเหล่านั้นสักนิด ทั้งเธอยังเอียงหน้ามองไปทางอื่นชั่วครู่หนึ่งเพื่อกลบเกลื่อนก่อนจะหันหน้ากลับมาเผชิญกับคนที่ครั้งหนึ่งตนเคยต้องยอมจำนนอย่างไร้หนทางสู้ด้วยหัวใจที่กล้าหาญ
“คุณภควัตรสะกดรอยตามดิฉันทำไมคุณคงต้องไปถามเขาเองค่ะ”
ทั้งน้ำเสียงที่ราบเรียบ กับอากัปกิริยาที่บ่งชัดว่าคงแทบไม่เหลือเยื่อใยต่อกันแล้วทำให้ศุภลักษณ์พลอยเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง
แต่...แล้วเรื่องเด็กล่ะ? นี่ก็อีกตอบที่โรสิตาคงแกล้งละไว้เสีย
ศุภลักษณ์เห็นอย่างนั้นจึงทักถาม “เธอยังตอบคำถามฉันไม่ครบนะโรสิตา”
“ดิฉันขอไม่พูดถึงแล้วกันนะคะ” บนดวงหน้าของผู้อ่อนวัยกว่ายิ้มน้อย ๆ “แต่หากว่าคุณอยากรู้มากนัก จะให้คนลงแรงสืบต่ออีกหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“โรสิตา!” คำตอบปลายเปิดที่แฝงไว้ด้วยความท้าทายและถือดีทำให้อาการร้อนผ่าวแทรกขึ้นกลางหน้าคนฟังจนเกือบระอุ ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าการอาละวาดฟาดงวงฟาดงาคงไม่ใช่จังหวะที่ตนจะทำได้อีกต่อไป ศุภลักษณ์จึงค่อยข่มอารมณ์โกรธขึ้งนั้นเอาไว้แล้วเปลี่ยนเป็นตีหน้าเศร้า ขอความเห็นใจราวพลิกฝ่ามือในตอนนั้นเอง “เลิกยุ่งกับตาภีมซะ...ถือว่าฉันขอร้องล่ะนะ”
โรสิตาทอดมองคนที่เสแสร้งแกล้งทำแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย เธอที่บัดนี้ก็ยืนได้ด้วยลำแข้ง มิได้สิ้นไร้ไม้ตอกจนถึงขั้นต้องพึ่งพาอาศัยใครจึงส่ายหน้าไปมาราวอยากจะสลัดเรื่องยุ่ง ๆ นี่ทิ้งไปเสีย แล้วจึงหันกลับมาเผชิญหน้าศุภลักษณ์ที่คงถือว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าผู้อื่นและคิดว่าเพียงใช้เงินสักก้อน ใครก็ตามที่มีฐานะด้อยกว่าตนจะต้องทำตามประกาศิตนั้นโดยดุษณีพลางแจงขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบดังเดิม
“ลูกของคุณเข้ามายุ่งกับดิฉันเองค่ะ ฉันไม่ได้อยากให้ยุ่ง”
“ถ้างั้นเธอก็บอกเขาสิ”
“บอก...”
แล้วศุภลักษณ์ก็เอื้อนเอ่ยในสิ่งที่ตนเตรียมไว้ในใจและคิดจะใช้ในขั้นสุดท้ายหากพูดดี ๆ แล้วไม่ได้ผลขึ้นมาในที่สุด “ตาภีมกำลังจะหมั้น...กับหนูมุก รู้แบบนี้แล้วเธอยังจะยุ่งกับเขาอยู่ไหม”
ภควัตรกับมุกลิณญ์กำลังจะหมั้นกัน! ฟังจบแล้วหัวใจของโรสิตาก็แทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่กระนั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่ว่างมายุ่มย่ามกับตนและลูกอีก ดวงหน้าที่มีแววสับสนแทรกเข้ามาชั่วขณะหนึ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยได้เหมือนอย่างเดิม
“ก็ดีแล้วนี่คะ ดิฉันยินดีด้วยค่ะ”
การไปพบกับโรสิตาในครั้งนี้ทำให้ศุภลักษณ์ได้ตระหนักรู้…อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เธอจะสามารถควบคุมได้ตามใจชอบ ไม่ใช่คนที่เธอจะชี้นิ้วสั่งให้ทำอะไรได้ตามใจชอบโดยใช้เงินก้อนหนึ่งยื่นให้อีกต่อไป! หญิงสาวได้แสดงชัดให้เธอเห็น…จะอยู่หรือไปย่อมเป็นสิ่งที่เธอคนนั้นตัดสินใจได้เองทั้งสิ้น
แต่ก็เอาเถอะ ดูทีโรสิตาเองก็ดูจะไม่ได้สนใจอะไรต่อภควัตรนัก มองในแง่ดีเธออาจจะไม่ได้มีเยื่อใยต่อลูกชายของตนแล้วจริง ๆ เพราะทั้งท่าทีแล้วแววตาที่มองมา มันช่างว่างเปล่าเสียนี่กระไร…
ฉะนั้นในวันรุ่งขึ้นเมื่อได้พบกับมาริสา ศุภลักษณ์ก็รีบรุดชวนคุยเข้าประเด็นเรื่องหมั้นหมายโดยไม่รีรอ ตรงกันข้ามกับมาริสาที่เมื่อฟังแล้วก็มีความเห็นว่าเป็นการรวบรัดมันมือชกจนเกินควร จึงได้มีการทักท้วงขึ้นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ “ไม่รอถามเด็ก ๆ ก่อนหรือคะ”
“จะต้องรออะไรคะ ไหน ๆ เราสองคนก็เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันแล้ว จะเป็นหุ้นส่วนชีวิตกันอีกสักอย่างจะเป็นอะไรคะ” แล้วคนที่อายุมากกว่าสองสามปีก็สรุป “ดีเสียอีก เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ก็ต้องตกทอดไปถึงลูก ๆ หลาน ๆ ของเรานั่นแหละค่ะ”
หลานหรือ…มาริสาอึ้งไปพักหนึ่ง จริงอยู่ที่ในความเป็นแม่ตนย่อมอยากเห็นลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝา ได้คู่ชีวิตที่คู่ควรกันและเป็นที่พึ่งให้กันและกันได้ ซึ่งที่ว่ามาทั้งหมดก็มีอยู่ในตัวของภควัตรอย่างครบถ้วนทุกประการไม่มีตกหล่น ทว่าการที่คนสองคนจะตกลงปลงใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนั้นจะอาศัยเพียงความเหมาะสมเพียงเฉพาะแค่ทางด้านฐานานุรูปอย่างเดียวไม่ได้
หากต้องมีความรักความเข้าใจเกื้อหนุนกันด้วย!
ความเข้าใจ…อันนี้ไม่ติด เพราะทั้งภควัตรและมุกลิณญ์ต่างเข้าใจกันดี มีอะไรก็พูดคุยกันได้ทุกอย่าง แต่ในความเข้าใจกัน...ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าจะหมายถึงมีความรักรวมอยู่ด้วย
ซึ่งสิ่งหลังนี้ มาริสามองไม่เห็นจากตัวของภควัตรเลยแม้เพียงน้อยนิด...
เหมือนเป็นพี่น้องที่คุยกันได้ทุกเรื่องมากกว่า!
คิดได้อย่างนั้น ผู้ถูกทาบทามจึงตอบเลี่ยงไปอย่างละมุนละม่อม “ต้องถามยัยมุกก่อนค่ะ”
แม้การตอบรับไปอย่างนั้นคงจะทำให้ศุภลักษณ์ที่อุตส่าห์มาทาบทามด้วยตัวเองขุ่นข้องหมองใจอยู่บ้าง แต่สำหรับมาริสาระหว่างเพื่อนเก่าที่กลับมาคบค้าสมาคมกันอีกครั้งเพื่อร่วมลงทุนทำธุรกิจเล็ก ๆ เป็นรายได้เสริมจากธุรกิจหลักที่ทำร่วมกับพี่ชาย…กับลูก เธอย่อมต้องเลือกลูกที่เลี้ยงมาเองกับมืออยู่แล้ว
ระหว่างเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าซึ่งสะพายแนบกับสีข้างก็สั่นเตือนขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อรับรู้ได้อย่างนั้นมุกลิณญ์จึงหยุดฝีเท้าลงพลางหยิบสิ่งนั้นขึ้นดู และเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของโรสิตาปรากฏบนหน้าปัด ตนก็ได้มีความหลากใจอยู่บ้างในตอนแรกว่าอีกฝ่ายจะมีธุระอะไรเร่งด่วนถึงต้องโทร.มาในเวลานี้ แต่สุดท้ายปลายนิ้วก็สัมผัสลงตรงปุ่มสีเขียวบนหน้าจอพลางทักขึ้น
“สวัสดีค่ะพี่โรส”
“คุณมุก…”
ในน้ำเสียงนั้นหากฟังเผิน ๆ ก็คล้ายกับโทนเสียงที่ราบเรียบทั่วไป แต่ถ้าตั้งใจฟังจะรู้ว่าในความเกือบปกตินั้นได้มีความสั่นเครือที่ทางผู้พูดพยายามกลบแต่ไม่มิดแฝงอยู่ด้วยในที เมื่อจับความผิดปกติได้มุกลิณญ์จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่ภายในใจก็สัมผัสจากเซ้นส์จาง ๆ ได้ว่าเดี๋ยวคงต้องมีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอันเกิดแต่คนปลายสายเข้ามาให้ตนได้เตรียมรับมืออีกเป็นแน่ มุกลิณญ์จึงสูดลมหายใจเข้าพลางตั้งสติอย่างคนที่เตรียมใจและตั้งตารอรับความไม่แน่นอนนั้น
เป็นโรสิตาที่โทร.เข้ามาเองกลับยังคงเหม่อมองกระถางพลูด่างที่ตั้งอยู่ตรงหน้าแน่นิ่ง
เธอมั่นใจว่าเรียบเรียงคำพูดมาดีแล้วเชียว แต่พอเอาเข้าจริงกลับพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น!
“พี่โรสคะ” เห็นโรสิตาเงียบไปมุกลิณญ์จึงเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูว่าโรสิตายังอยู่หรือเปล่า และเมื่อเห็นว่าทางต้นสายยังไม่ได้กดตัดสายไปเธอจึงถามขึ้นอีกครั้งอย่างใจเย็น “โทร.หามุกตอนนี้มีธุระด่วนหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ…” โรสิตาอึกอักในตอนแรก หากแต่เมื่อระลึกได้ว่าถึงอย่างไรก็ต้องพูดเจ้าตัวจึงสูดหายใจให้ลึกที่สุดเช่นเดียวกันกับที่มุกลิณญ์ได้ทำก่อนหน้า แล้วตัดสินใจแจ้งความประสงค์ออกไปในที่สุด “คุณมุก ตั้งแต่วันเสาร์นี้เป็นต้นไปไม่ต้องมาสอนภาษาให้ยัยอันนาแล้วนะคะ”
“ทำไมล่ะคะ?”
มุกลิณญ์กะพริบตาถี่ ๆ อย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ต้นสายว่า ต่อมาจึงรีบตีตนไปก่อนไข้ว่าคงเป็นความบกพร่องของตนที่ไม่สามารถสอนลูกศิษย์ตัวน้อยให้เป็นที่พึงใจต่อผู้ปกครองได้ และก็ดูเหมือนว่าโรสิตาเองก็คงหยั่งความคิดของมุกลิณญ์ได้เฉกกัน เธอถึงรีบแก้ให้
“คุณมุก คือ…”
“พี่โรส มีส่วนไหนที่มุกยังบกพร่องมุกยินดีปรับปรุงตัวนะคะ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณมุก” เป็นหน้าที่ของโรสิตาเองที่ต้องอธิบายอย่างระมัดระวังคำ “เอาเป็นว่าพี่ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมถึงขอบคุณที่รักและเอ็นดูยัยอันนาเป็นอย่างมากด้วย แต่…พี่ไม่สะดวกให้ยัยอันนาเรียนพิเศษแล้วน่ะค่ะ ส่วนเหตุผลว่าทำไมขอให้คุณมุกอย่าถามอีกเลยนะคะ”
“อ้อค่ะ” ถ้าโรสิตาว่าอย่างนั้น แล้วมุกลิณญ์จะมีสิทธิ์อะไรไปยุ่งด้วยได้
และจะว่าไปบางทีการที่ไม่ต้องไปสอนภาษาให้อลีนานี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างน้อยมุกลิณญ์ก็จะได้มีเวลาหยุดพักผ่อนได้เต็มที่ หรืออาจจะ…มีเวลาได้ออกไปถ่ายรูปเล่นตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อโพสต์ลงแฟนเพจซึ่งเพิ่งสร้างได้ไม่ถึงสามวันมากยิ่งขึ้น ติดได้อย่างนั้นเจ้าตัวก็ยิ้มพรายออกมาอย่างไม่รู้ตัวและลืมความคิดว่าคงจะเหงาไปบ้างเกือบสิ้น
ผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ คือของว่างยามเลิกงานที่ป้าประนอมตระเตรียมเอาไว้ให้อย่างเช่นทุกวันตามที่เคยเป็นมา โดยทุกวันนางจะมานั่งรอมุกลิณญ์ที่ศาลานั่งเล่นเสมอ หากสาวเจ้ามาช้าคนมากวัยกว่าก็จะชะเง้อมองอยู่อย่างนั้น จนเมื่อเสียงเปิดประตูข้างดังขึ้นประนอมก็จึงจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาพลางทักทายคุณหนูของนางที่แม้บัดนี้จะโตขึ้นมากเพียงใด แต่ก็คือเด็กตัวเล็ก ๆ ในสายตาของนางเสมอสองสามคำด้วยท่าทางที่แจ่มใสยิ่ง
และเมื่อมุกลิณญ์บอกว่าต่อไปเสาร์ อาทิตย์จะได้อยู่บ้านกับป้าประนอมตลอดไม่ต้องออกไปรับงานพิเศษนอกบ้านแล้วนางก็ยิ่งดีใจยกใหญ่
จนมาริสากลับเข้าบ้านมา ประนอมจึงขอตัวเข้าไปในครัวด้วยรู้ดีว่ามารดาคงอยากมีเวลาสำหรับให้บุตรสาวตามลำพังบ้าง
มาริสาก้มลงมองนางฟ้าตัวน้อยของตนอย่างรักใคร่ เธอทอดมองเนิ่นนานจนมุกลิณญ์เริ่มฉงนจึงเงยหน้าขึ้นถามมารดาแจ้ว ๆ “คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“อ้อ…” มาริสาที่มีเรื่องในใจอยู่แล้วทว่าไม่รู้จะเริ่มอย่างไรจึงแกล้งถามถึงผลไม้ที่ประนอมตระเตรียมเอาไว้ให้ไปตามเรื่อง “อร่อยไหมลูก”
“ค่ะ…”
เท่านั้นมารดาก็หมดความกระตือรือร้นที่จะคุยเรื่องระหว่างบุตรสาวของตนกับภควัตรไปในบัดดล แต่ถึงกระนั้นจะเดินเลี่ยงไปเลยก็ใช่เรื่อง มาริสาจึงนั่งลงข้าง ๆ มุกลิณญ์พลางจึงหาเรื่องอื่นมาชวนสนทนาไปเรื่อยเปื่อย
โรสิตาเองเมื่อสำนึกรู้แล้วว่าภควัตรคงจะไม่มายุ่มย่ามกับตนอีกก็เก็บของในกล่องใบเดิมมิดชิดแล้วล็อกกุญแจแน่นหนา ในตอนแรกเจ้าของแววตาค่อนหม่นที่กำลังทอดมองมันด้วยความอาลัยก็มีแวบเข้ามาในหัวว่าอยากเผาของทุกอย่างในนี้ทิ้งไปให้หมดสิ้นอยู่เหมือนกัน ทว่าเมื่อมานั่งทบทวนดูว่าหากทำเช่นนั้นก็คงไม่มีสิ่งของแทนตัวเขาเอาไว้ให้ดูต่างหน้าอีก ความคิดเช่นนั้นจึงตกไปในที่สุด
คุณยายบุญเรือนนั่งรอมุกลิณญ์ที่เมื่อได้เปิดบทสนทนาขึ้นทีไรก็เข้าขากันเป็นอย่างดีจนสายก็ไร้วี่แววของอีกฝ่าย ทั้งพนิตาเองเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเลยเวลาเรียนของหลานสาวแล้วคนที่เป็นทั้งแม่และยายในเวลาเดียวกันจึงเดินเข้ามาพลางสะกิดที่ต้นแขนของบุตรสาวเบา ๆ
“ยัยโรส” พนิตาเหลือบขึ้นดูนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังเหนือศีรษะของโรสิตาซึ่งกำลังนั่งจดรายการของที่ต้องซื้อเล็กน้อย แล้วจึงทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทำไมสายป่านนี้แล้วหนูมุกลิณญ์ยังไม่มาอีกจ๊ะ หรือว่า...มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกค่ะ แค่คุณมุกจะไม่มาสอนยัยอันนาแล้วเท่านั้นเอง”
“อ้าว ทำไมซะล่ะ เขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
โรสิตาเงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษตรงหน้า เธอทอดมองมารดาด้วยความครุ่นคิดแล้วจึงตอบคำนั้นอย่างตรงไปตรงมา “เปล่าหรอกค่ะ เป็นโรสเองที่บอกกับเขาว่าไม่ต้องมาแล้ว”
“ทำไมล่ะ เขาสอนไม่ดีเหรอ” แต่เท่าที่พนิตาได้ฟังจากหลานสาว “แม่เห็นยัยอันนาชอบเรียนกับเขานะ แกว่าสอนดีสอนสนุก แถมใจดีอีกต่างหาก”
ใช่...ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดหรือบกพร่องของมุกลิณญ์เลยสักนิดแต่เป็นเพราะเธอ เธอคนเดียว...เธอคือต้นเรื่องทั้งหมด
ซึ่งโรสิตาก็ไม่รู้เช่นกันว่าที่ตัดสินใจไปนั้นถูกต้องหรือไม่
แต่...ในตอนนั้น เธอมีทางให้เลือกมากนักหรือ!
โรสิตาทอดมองมารดานิ่ง ทว่าในความนิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยความสับสน ส่วนพนิตาเองแม้จะไม่ได้คาดคั้นอะไรแต่ก็แสดงออกชัดว่าคงอยากรู้เหตุผลประกอบการตัดสินใจในครั้งนี้อยู่เหมือนกัน ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นที่อึมครึมระหว่างตนกับมารดาที่ดูจะมีความเห็นที่ค่อนข้างจะไม่ตรงกันเสียแล้ว เธอจึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยการตอบแบบเลี่ยง ๆ ไปก่อน “คุณมุกไม่ค่อยสะดวกน่ะค่ะ แล้วโรสเองก็เห็นใจเขาด้วย เห็นว่าไม่มีเวลาพักเลย เราจึงตกลงกันให้ผลเป็นแบบนี้”
“อ้อ งั้นก็แล้วไปจ้ะ”
นั่นทำให้โรสิตาโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง และจังหวะที่พนิตาเดินออกไปก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รามิลโทร.เข้ามาพอดีเพื่อชวนอลีนาไปเล่นเครื่องเล่นตรงโซนที่เปิดใหม่ ซึ่งแน่นอนในตอนแรกโรสิตาก็ลังเลใจอยู่เหมือนกันแต่เมื่อหันไปเห็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เล่นกับพี่ตุ๊กตาหมีง่วนเพราะไม่มีอะไรให้ทำ ความเห็นใจว่าลูกคงเหงากับความคิดชั่ววูบที่ว่ารามิลเองก็ดูเป็นคนดี เปิดโอกาสให้เขาบ้างจะเป็นอะไรไปก็ทำให้สาวเจ้าตัดสินใจได้ในทันใดนั้นเอง
“ได้สิคะ”
น้ำเสียงสดใสทำให้รามิลยิ้มร่าด้วยความดีใจ จนน้ำหนึ่งที่นั่งดื่มชาอยู่ข้าง ๆ หันมาเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ พี่ชายจึงเอาโทรศัพท์ออกไกลหูแล้วบุ้ยปากว่า “อย่ามาอิจฉา!”
“ใครอิจฉา”
เมื่อคนน้องไม่ยอมรับ พี่ชายจึงตอกหน้า “ก็แกไง...”
น้ำหนึ่งที่มองว่ารามิลออกตัวแรงเกินไปจึงตอกกลับ “พี่มิลแหละ เอาเด็กเป็นข้ออ้าง...บาป!”
“บาปอะไรของแก เงียบไปเลย” แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โรสิตาร้องทัก รามิลจึงลุกหนีไปคุยที่หน้าต่าง “ครับคุณโรส”
“อ้อ...โรสเห็นคุณเงียบไปน่ะค่ะ”
คราวนี้รามิลจึงหันไปกระตุกยิ้มให้น้ำหนึ่งที่ยักไหล่ไส่อย่างจงใจล้อเลียน แล้วค่อนว่า “พอดีแมวที่บ้านมันทำเรื่องน่ะครับ แต่ว่าตอนนี้ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว”
ฟังรามิลว่าอย่างนั้น โรสิตาที่พลอยนึกภาพไปถึงแมวตัวน้อย ๆ ขนปุย ๆ และอาจจะขาสั้นเหมือนกันเจ้าสโนว์ที่ตนเลี้ยงไว้ซึ่งชอบก่อเรื่องให้ต้องคอยตามดุกันอยู่เรื่อยแล้วก็หลุดขำอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงหันไปหาเด็กหญิงอลีนาพร้อมกับว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวโรสกับลูกเตรียมตัวคอยนะคะ”
“โอเคครับ แล้วเจอกันครับ”
ความคิดเห็น