ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมใจปรารถนา (มี E-book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 64


    บทที่ 12 

     

    เพราะภาพที่ถูกส่งเข้ามาทางไลน์ แม้จะเห็นไม่ชัดนักว่าเป็นโรสิตา แต่ว่ามันก็ได้สร้างความกังวลให้แก่ศุภลักษณ์ไม่น้อยทีเดียว ฉะนั้นในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นมารดาที่ครุ่นคิดมาแล้วทั้งคืนว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างก็รีบรุดจัดแจงตามความคิดของตนทันทีที่ภควัตรเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน

    “ตาภีม”

    ภควัตรที่กำลังจัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อยคลี่ยิ้มกับมารดาพลางเดินมาหา ด้านศุภลักษณ์เองแม้มีเรื่องให้หนักใจแต่ก็ยิ้มแย้มกับบุตรชายได้อย่างแนบเนียนไร้ข้อพิรุธให้จับสังเกต ก่อนจะค่อย ๆ ตะล่อมว่าด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “วันนี้รีบไปไหนหรือเปล่าจ๊ะ”

    แม้คนถูกถามจะรู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องไปดักรอดูโรสิตากับเด็กหญิงอลีนาที่หน้าโรงเรียน ทว่าเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย เจ้าตัวจึงส่ายหน้าปฏิเสธไปตามเรื่อง “ไม่มีครับคุณแม่”

    “ถ้างั้น ไปรับหนูมุกไปส่งที่มหาวิทยาลัยหน่อยสิตาภีม”

    คำนั้นทำให้ภควัตรรู้สึกสะกิดใจขึ้นมาเล็กน้อย แวบหนึ่งคนที่สันหลังหวะอยู่แล้วมีความคิดหนึ่งโผล่เข้ามาในหัว หรือว่ามารดาจะสงสัย เพราะช่วงหลังมานี้เขาเองก็มักจะออกจากบ้านเช้ากว่าปกติอยู่เป็นนิจ ทว่าก็ฉุกคิดอยู่เพียงขณะจิตหนึ่งเท่านั้น แล้วคนที่พยายามปลอบตัวเองว่าไม่หรอกน่าก็รีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

    “ได้สิครับ”

    แม้เมื่อมารดาที่เพิ่งวางสายจากศุภลักษณ์จะหันมาบอก “มุกจ๊ะ วันนี้หนูไม่ต้องออกไปมหาวิทยาลัยเองนะลูก คุณป้าเพิ่งโทร.มาบอกกับแม่เดี๋ยวนี้ว่าพี่ภีมจะมารับน่ะจ้ะ” แต่ถึงกระนั้นมุกลิณญ์ก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าทำไมอยู่ ๆ ภควัตรถึงนึกจะอยากมารับเธอได้

    จริงอยู่ว่าที่ทำงานของมุกลิณญ์กับบริษัทของภควัตรจะอยู่ใกล้กัน แต่การวนมารับเธอก่อนเข้าบริษัทก็คืออ้อมโลกชัด ๆ แล้วภควัตรจะทำแบบนั้นทำไมกัน

    เพราะหากอยากเจอกันจริง นัดเจอตามร้านอาหารใกล้ ๆ แถวนั้นช่วงหลังเวลางานแบบนั้นย่อมง่ายกว่าเป็นไหน ๆ

    แต่ก็ช่างเถอะ! แม้จะทอดถอนเพราะความไม่เข้าใจ แต่เมื่อรู้ว่าเดี๋ยวเขาคงมามุกลิณญ์ก็เดินไปนั่งที่ซุ้มข้างระเบียงบ้านพลางสาดสายตาไปทางประตูรั้วอย่างไม่คิดจะละสายตาเลยแม้แต่น้อย

    รถยุโรปเคลื่อนไปตามถนนสายหลักที่การจราจรเริ่มติดขัดตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ ด้วยบรรยากาศภายในรถที่เงียบงันอย่างประหลาดเพราะไม่มีใครคิดจะเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน จนเวลาผ่านไปได้สักพักภควัตรที่คงรู้สึกเคอะเขินหรืออย่างไรไม่ทราบก็เอื้อมมือไปเปิดเพลงคลอเบา ๆ ฟังหวังสร้างบรรยากาศ ทว่าเมื่อเพลงแรกเป็นเพลงภาษาฝรั่งเศสที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักแสนเศร้าเจ้าตัวก็เปลี่ยนเพลงไปเรื่อย ๆ จนมุกลิณญ์เริ่มรู้สึกเหนื่อยแทนจึงพูดแทรกขึ้น

    “ปิดเถอะค่ะ”

    เมื่อคนที่นั่งเคียงกันมาโพล่งขึ้นอย่างนั้น ภควัตรก็รีบชักมือออกทันทีทั้งที่เพลงแรกที่ถูกลันมาถึงอีกรอบยังดังขึ้นต่อเนื่อง แล้วจึงหันมาเลิกคิ้วถาม “มุกไม่ชอบหรือครับ?”

    “เปล่าค่ะ”

    “แล้วทำไม...”

    “มุกเห็นว่าพี่ภีมไม่ชอบ” แล้วมุกลิณญ์ก็คลี่ยิ้มพลางพูดเรื่อย ๆ “ในเมื่อไม่ชอบแล้วจะฝืนใจตัวเองทำไมคะ”

    “พี่เปิดให้มุกฟังก็ได้ครับ”

    ภควัตรหาข้อมาอ้าง หากแต่มุกลิณญ์กลับปฏิเสธเสียงเรียบ “ถ้างั้นก็อย่าเลยค่ะ เพราะว่ามุกจะลงข้างหน้านี่แล้ว”

    “แต่ว่า ยังไม่ถึงเลยนี่ครับ”

    “ไม่ต้องส่งถึงก็ได้ค่ะ” บนหน้าสวยราบเรียบ หากทว่าในแววตากลับขุ่นหมองเล็กน้อย ด้วยประจักษ์แก่ใจของตนแล้วว่าที่ภควัตรต้องมารับเธอถึงที่บ้านในเช้าวันนี้คงไม่ใช่ความคิดของเขาเองแน่ ๆ และเมื่อคิดได้อย่างนั้นมุกลิณญ์ก็ว่าต่อ “แค่พี่ภีมพามุกติดรถมาด้วยถึงตรงนี้ก็ถือว่าเกินกว่าที่สายตาของผู้ใหญ่จะมองมาเห็นและถือว่าพี่ภีมเองก็ได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายสมบูรณ์แล้วล่ะค่ะ”

    “มุก...”

    ความกล้าหาญในการปฏิเสธอะไรบางอย่างที่ตนไม่อยากฝืนใจทำเช่นนี้ แม้แต่ภควัตรเองยังรู้สึกนับถือ เขาจึงขับรถเข้าเลนส์ซ้ายทันทีพร้อมจอดตรงจุดถัดมา แต่ก่อนจะลงรถมุกลิณญ์ยังทิ้งท้าย

    “วางใจเถอะค่ะ” บัดนี้นัยน์ตาสีเข้มกลับแปรเปลี่ยน ไม่มีอึดอัดหรือใด ๆ มีแค่คำพูดเรียบ ๆ “ที่นี่มีแค่มุกกับพี่ภีมเท่านั้น ถ้ามุกไม่พูด พี่ภีมไม่พูดก็จะไม่มีใครรู้ว่าพี่ภีมจอดให้มุกลงที่นี่”

    “มุก...” ครั้นเมื่อมุกลิณญ์หันกลับมาตามเสียงเรียกที่แผ่วเบานั้น ภควัตรจึงยิ้มให้บาง ๆ พร้อมกับว่า “ขอบคุณมาก แล้วก็...เดินทางปลอดภัยล่ะ”

     

    แม้จะได้รับการยืนยันจากปากของมาริสาเองว่าภควัตรมารับมุกลิณญ์ที่บ้านตามคำสั่ง หากศุภลักษณ์ที่ยังจมปลักอยู่กับความวิตกกังวลจนเกินเหตุกลับยังไม่อาจตัดความว้าวุ่นในใจออกไปได้ ฉะนั้นในช่วงบ่ายวันเดียวกันเธอจึงเร่งรุดมาหามาริสาที่ออฟฟิศเพื่อคุยเปิดอกกันให้รู้เรื่อง

    “พี่ละกังวลใจยังไงก็ไม่รู้ค่ะคุณสา” เมื่อหย่อนก้นลงบนโซฟาตัวนุ่ม ศุภลักษณ์ก็ตีหน้ายุ่ง บ่นเสียงขุ่นโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่สนใจแม้กระทั่งมาริสาที่กำลังเร่งเซ็นเอกสารที่เลขานำมาให้ค้างอยู่ “จริง ๆ นะ พี่ละอยากจะให้หนูมุกกับตาภีมได้หมั้น ๆ กันซะวันนี้พรุ่งนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

    แล้วเลขาคนสนิทที่ยกน้ำเข้ามาให้แขกและพลั้งมือทำถาดเปล่าหลุดมือจนก้นถาดกระแทกกับพื้นโต๊ะดังปังในตอนที่ศุภลักษณ์พูดจบประโยคก็พลอยมีอารามตกใจตามไปด้วย เห็นอย่างนั้นมาริสาจึงต้องรีบกระซิบบอก “ขอบจะมากจ้ะ ส่วนเอกสารนี่ฉันเซ็นให้เรียบร้อยแล้ว” แล้วคนที่ทำงานด้วยกันมาหลายปีจนรู้นิสัยก็รีบเก็บถาดเดินออกไปทันทีอย่างรู้กัน

    เห็นว่าภายในห้องมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น มาริสาจึงหันมาทอดมองศุภลักษณ์ที่ยกน้ำในแก้วใสขึ้นดื่มจนเกือบหมดหวังให้คลายความกลัดกลุ้ม พลางเอื้อมมือไปกุมแขกคนคุ้นเคยพร้อมกับพูดขึ้นอย่างใจเย็น “เรื่องแบบนี้ใช่อยากเร่งก็จะเร่งได้ตามใจนะคะ” มาริสาย่อมเห็นแววกังวลในดวงตาของผู้มาเยือนดี เธอจึงค่อยเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “เรื่องบางเรื่องบางครั้งมันก็ต้องแก้กันเป็นเปลาะๆ”

    เท่านั้น ศุภลักษณ์ที่แทบจะอดรนทนต่อไปไม่ได้ก็ปริปากเล่าเรื่องที่ตนให้คนตามสะกดรอยจนรู้ว่าภควัตรแอบไปพบผู้หญิงคนหนึ่งให้มาริสาฟังจนหมด ทั้งเธอยังว่าอีก “นี่ดีนะคะที่คุณสายืนยันเองว่าตาภีมมารับหนูมุกเมื่อเช้า ไม่งั้นละก็พี่ต้องเครียดจนไมเกรนขึ้นแน่ค่ะ”

    มาริสาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าที่อยู่ดี ๆ ภควัตรก็รับอาสามารับมุกลิณญ์ถึงบ้านอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นคือคำสั่ง แววตาที่ทอดมองศุภลักษณ์จึงเปลี่ยนเป็นฉงน

    มารดาของภควัตร คนที่อยู่ตรงหน้าตนผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่!

    “แล้วถ้าคุณภีมไม่มาคุณพี่จะว่ายังไงคะ”

    เพราะมาริสาเองก็อยากรู้เหมือนกัน สำหรับตัวเธอหากมุกลิณญ์ยืนยันว่าไม่ จะไม่เข้าพิธีหมั้นหมายกับภควัตรจริง ๆ ไฉนเลยตนจะบังคับจิตใจของลูกได้ และศุภลักษณ์เล่า...หากคนที่ภควัตรมีอยู่ในใจไม่ใช่มุกลิณญ์อีกฝ่ายยังจะดึงดันให้เป็นไปตามความคิดเดิมของตนอยู่หรือเปล่า?

    หลังจากนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ศุภลักษณ์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทั้งยังว่า “คุณสาอย่าแกล้งถามให้พี่เครียดสิคะ”

    “ดิฉันไม่ได้ต้องการจะกดดันคุณศุนะคะ ดิฉันก็แค่…”

    “กว่าจะถึงตอนนั้นอะไร ๆ ก็คงจะดีขึ้นเองแหละค่ะ”

    ศุภลักษณ์ตอบด้วยความมาดมั่น ใช่…เธอต้องจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อย และราบคาบได้แน่

    เธอเคยทำได้ครั้งหนึ่งแล้ว อีกสักครั้งมันจะไปยากอะไรกัน!

     

    เพราะช่วงเช้าต้องวนไปรับมุกลิณญ์ที่บ้านทำให้ภควัตรไปรอดูโรสิตากับเด็กหญิงตัวน้อยไม่ทันเวลา ดังนั้นตอนบ่ายแก่เขาผู้ซึ่งเพิ่งแล้วเสร็จจากการนัดพบลูกค้านอกสถานที่จึงรีบรุดมาหาเด็กหญิงอลีนาทันที ทว่าเวลานี้ภายในรั้วโรงเรียนอันเคยมีเด็กหลายระดับชั้นวิ่งเล่นกันเต็มพื้นที่กลับเงียบลงจนเห็นชัด ภควัตรจึงกวาดตามองหาด้วยความร้อนรุ่มอยู่ในใจ

    และสุดท้ายเขาก็พบว่าเด็กหญิงอลีนานั่งอยู่ลำพังตรงม้านั่งเอง

    “อันนา”

    เมื่อเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เด็กหญิงตัวน้อยผู้ซึ่งเอาแต่ก้มหน้ามองก้อนหินสีขาวที่วางเรียงกันอยู่ตรงหน้าจึงเงยหน้าขึ้นทันทีพลางยิ้มแป้นด้วยความดีใจยิ่ง

    “พี่ภีม สวัสดีค่ะ”

    ภควัตรรีบย่อกายพร้อมอ้าแขนรับร่างกลม ๆ ที่วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับลูบหน้าลูบตาซึ่งเปื้อนเล็กน้อยด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่พลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “อันนาทำไมหนูถึงมานั่งอยู่นี่คนเดียวล่ะครับ แล้วพวกเพื่อน ๆ ของหนูไปไหนกันหมด”

    “กลับบ้านค่ะ”

    “กลับบ้าน…” ภควัตรทวนคำนั้นด้วยความแปลกใจไม่น้อยทีเดียว

    จนเมื่อได้พบกับครูประจำชั้นที่บังเอิญเดินออกมาพอดีจึงได้ความว่าวันนี้มีประชุมประจำปีของทางโรงเรียน ท่านผู้อำนวยการจึงสั่งให้ปล่อยเด็กกลับบ้านก่อน แต่ก็จะมีเด็กบางคนเช่นอลีนาเป็นต้นที่ผู้ปกครองไม่สามารถเดินทางมารับในเวลาพิเศษเช่นนี้ได้ก็จำเป็นต้องรออยู่ก่อนจนกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียนปกติ

    และด้วยความห่วงใยในตัวเด็กน้อยที่พวยพุ่งมาจากไหนไม่รู้ทำให้ภควัตรนึกโมโหโรสิตาขึ้นมาในตอนนั้นเอง หากทว่าเมื่อเขาพาอลีนาไปส่งถึงบ้านและถามเพียงแค่ “ทำไมคุณถึงปล่อยให้ลูกรออยู่ที่โรงเรียนคนเดียวแบบนี้” สาวเจ้าที่รีบแย่งบุตรสาวไปจากอกกลับย้อนกลับทันควันโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรต่อด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเพียงว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”

    “เอ่อ…ก็” ภควัตรนิ่วหน้านิ่ง ไม่มีเหตุผลใดจะอ้าง

    “ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าอย่ามายุ่งกับลูกของฉันอีกน่ะ” โรสิตาพูดด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด “ถ้ายังไม่เชื่อกันอีกฉันจะฟ้องคุณ ฐาน…คุกคามลูกของฉัน”

    “ไม่มีเหตุผล!”

    เมื่อถูกภควัตรติงขึ้น โรสิตาก็ย้อนกลับไปแบบทันทีทันใดอีกเช่นกัน

    “แล้วคุณล่ะ มีเหตุผลอะไรมายุ่มย่ามกับเราสองแม่ลูกไม่ทราบ”

    “พี่แค่…” คนถูกถามทอดมองดวงหน้ากลมมนที่แดงระเรื่อของเด็กหญิงตัวน้อยแวบหนึ่งแล้วจึงตอบคำมารดาของเจ้าหล่อนอย่างตรงไปตรงมา “พี่ไม่อยากให้อันนาถูกเพื่อนล้อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อ”

    “ซึ่งนั่นก็คือปัญหาของพวกเราค่ะไม่เกี่ยวกับคุณ” แล้วโรสิตาก็ผายมือไปทางประตู พลางกระแทกเสียง “เชิญค่ะ!”

    และหลังจากที่ดื่มน้ำดื่มท่าที่มารดาเตรียมเอาไว้ให้เสร็จสรรพ เด็กหญิงอลีนาก็เอื้อมมือไปสะกิดที่แขนของโรสตาซึ่งกำลังปอกผลไม้อยู่ข้าง ๆ เห็นอย่างนั้นเจ้าตัวที่คิดว่าบุตรสาวคงต้องการจะเร่งก็รีบหยิบจานผลไม้ตรงหน้ามาวางให้พร้อมกับหยิบป้อนให้อย่างรักใคร่

    หากทว่าที่เด็กหญิงตัวน้อยสะกิดไม่ใช่เพื่อร้องขอสิ่งนั้น มือป้อม ๆ หยิบแผ่นกระดาษที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมายื่นให้พลางบอกกับคนเป็นแม่ “เดือนหน้าที่โรงเรียนของอันนาจะมีงานค่ะ”

    งานที่ว่า…คืองานจบภาคการศึกษาซึ่งจะมีการแสดงของนักเรียนในทุกระดับชั้น และใบที่อลีนาส่งให้ก็คือใบขออนุญาตจากผู้ปกครองว่าจะให้บุตรหลานของตนเข้าร่วมหรือไม่ ซึ่งเมื่ออ่านจบโรสิตาจึงหมุนตัวมานั่งลงข้างเด็กน้อย แล้วถามความสมัครใจของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

    “อันนาอยากทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ไหมลูก”

    เด็กหญิงอลีนาเงยหน้าขึ้นมองมารดาที่ยิ้มละมุนพร้อมกับลูบไรผมของตนอย่างรักใคร่ ในงานของโรงเรียนเด็กน้อยย่อมต้องอยากแต่งตัว แต่งหน้าสวย ๆ เหมือนอย่างเจ้าหญิงในการ์ตูนที่มารดาเปิดให้ดูเป็นประจำอยู่แล้ว

    ครั้นวาดภาพตัวเองได้อย่างนั้นแล้วคนตัวเล็กก็พยักหน้าหงึก ๆ “อยากค่ะ”

    “งั้นก็…โอเคค่ะ”

     

    เป็นเพราะโรสิตาจัดการธุระส่วนตัวของตนแล้วเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว ค่ำนี้คงเธอจึงมีเวลาอยู่กับตัวเองก่อนที่พนิตาจะพาหลานสาวตัวน้อยมาส่งค่อนข้างมากกว่าวันอื่น ๆ ครั้นนึกขึ้นได้สาวเจ้าจึงเอื้อมไปหยิบกล่องที่ใช้ผ้านวมวางทับไว้เมื่อหลายวันก่อนออกมาแล้วจึงหยิบของที่อยู่ข้างในขึ้นพลิกดูอย่างเบามือ

    “โรส…”

    เมื่อหลับตาพริ้ม ภาพแห่งความหลังค่อย ๆ ฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง

    สิ้นเสียงนุ่มละมุนกล่าวขาน เจ้าของชื่อซึ่งอยู่ในชุดเดรสสีขาวลายดอกไม้เล็ก ๆ เต็มตัวจึงค่อย ๆ หันมาพร้อมด้วยรอยยิ้มพริ้มเพราฉายเด่น โรสิตายืนคอยภควัตรที่กำลังเดินมาหาอย่างช้า ๆ อยู่ตรงนั้น

    แล้วหญิงสาวที่รับรู้ได้ว่าที่ด้านหลังของเขามีอะไรซ่อนอยู่จึงเอี้ยวไปทางด้านหลังเพื่อจะดูให้หายความสงสัย แต่กระนั้นภควัตรกลับเอี้ยวตัวหนี

    “พี่ภีมซ่อนอะไรไว้คะ?”

    “อะไรครับ” ภควัตรเลิกคิ้วพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่ม

    “ก็นั่นไงคะ” แล้วคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ก็อุทานขึ้นด้วยความหลากใจ “ดอกไม้!”

    เป็นดอกกุหลาบสีขาวพิสุทธิ์ดุจเดียวกับชื่อของตนไม่มีผิดเพี้ยน แถมระหว่างดอกที่งดงาม สมบูรณ์แทบไม่มีส่วนไหนที่ช้ำหรือเหยี่ยวแห้งชำรุด นอกจากนี้ยังมีดอกฟอร์เก็ตมีน็อตสีม่วงอ่อนแซมระหว่างดอกให้ดูมีสีสันอีกด้วย

    เมื่อถูกจับได้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องทำให้ประหลาดใจอีก ภควัตรจึงเลื่อนแขนข้างที่ไพ่อยู่ข้างหลังกลับมา แล้วยื่นช่อนั้นให้โรสิตาที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วเคลื่อนหน้ามาแนบหูพลางเอื้อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ละมุนละไมเป็นที่สุด “สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับโรส”

    “พี่ภีม…”

    “กุหลาบแทนตัวตนของโรส” ภควัตรค่อย ๆ ไล่อธิบายที่มาของดอกไม้ในมือเจ้าหล่อน “ส่วนฟอร์เก็ตมีน็อต...เราจะมีกันและกันอยู่แบบนี้ตลอดไป”

    เพราะว่าปีนั้นภควัตรติดประชุมที่สิงคโปร์จึงไม่สามารถมาร่วมฉลองวันแห่งความรักกับโรสิตาได้ หญิงสาวที่เพิ่งเลิกงานแล้วโดนเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่จึงไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เขาเลย เธอลูบมือที่ว่างเปล่าไปมาด้วยความเคอะเขิน แต่กระนั้นฝ่ายที่ติดประชุมจริงหากแต่เมื่อประชุมวันสุดท้ายเสร็จก็รีบเลื่อนไฟลต์บินกลับมาให้ทันวันนี้กลับยิ้มร่า แล้วก็หยิบของอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา

    “อะไรอีกคะ”

    ภควัตรไม่พูดพร่ำ เขาใช้นิ้วโป้งกดฝากล่องกำมะหยี่ให้เปิดออกแล้วหยิบสร้อยคู่ที่มีจี้รูปตัวอักษรโรมันห้อยอยู่ขึ้นมาชูตรงหน้า “สร้อยคู่ครับ พี่สั่งทำไว้สองเส้น...เส้นนี้” พูดพร้อมสวมสร้อยเส้นเล็กที่มีจี้ทรงรีสลักตัว R บนคอที่ยาวระหงอย่างเบามือ “แทนโรส โรสิตา”

    “ถ้างั้นอันนี้…” โรสตาหยิบสร้อยเส้นใหญ่กว่าที่มีจี้สลักตัว P คล้องอยู่ขึ้นมาจากกล่องนั้นแล้วเขย่งเท้าเพื่อเอื้อมมือไปสวมให้ภควัตรบ้าง “ของพี่ภีมใช่ไหมคะ”

    แล้วทั้งคู่ที่เคลื่อนหน้าชิดกันจึงยิ้มแย้มแก่กันด้วยความรักใคร่ ภควัตรทอดมองหน้าสวยแล้วก็แทบจะอดใจไว้ไม่ไหว จึงเอื้อมมือไปโอบเอวที่คอดกิ่วของเจ้าหล่อนพลางดึงเรือนร่างแบบบางมาแนบอกโดยพลันพลางกระซิบบอก “รักจัง”

    “พี่ภีม!”

    โรสิตาเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความขวยเขิน ทั้งยังตีเขาเบา ๆ ไปทีหนึ่งเพื่อแก้เก้อพลันม้วนตัวหนี

    “ไม่เชื่อหรือครับ” ภควัตรถามเย้าพลางใช้มือช้อนดวงหน้าหวานละมุนที่ก้มมองพื้นขึ้นอย่างถนอม เขาพิศมองพวงแก้มซึ่งบัดนี้ได้แดงระเรื่อจนถึงกกหูจากนั้นจึงค่อย ๆ ฝังปลายจมูกลงบนเนื้อนุ่มเพื่อยืนยันในสิ่งทั้งหมดทั้งมวลที่พูดไว้ก่อนหน้า

    “เรา…ไม่น่ากลับมาเจอกันเลยนะคะ”

    โรสิตายกมือขึ้นลูบพวงแก้มที่ภควัตรเคยฝากรอยรักเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนไปมา ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกำสร้อยเส้นนั้นเอาไว้แนบแน่น ดวงตากลมโตทอดมองออกไปทางช่องหน้าต่างทั้งที่อารมณ์ยังคงเหม่อลอย

    ...ที่ผ่านมาโรสิตาไม่เคยลืมภควัตร เธอไม่เคยคิดจะลืมเขาเลยสักวัน...

    จะลืมได้ไง…พยานรักระหว่างเธอกับเขายังอยู่ทั้งคน แถมยังค่อย ๆ เติบโตขึ้นทุกวันอีกด้วย

    แม้ว่าตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา ผู้คนมากหน้าหลายตาจะมองตนด้วยสายตาประหลาดระคนสงสัย ทั้งบางคนอาจพากันพูดไปอย่างโน้นอย่างนั้นทั้งที่โรสิตารู้บ้าง ไม่รู้บ้าง อย่าง...ท้องไม่มีพ่อบ้างละ โดนหลอก…เป็นของฟรี หรืออาจร้ายแรงไปถึง “คงไปเป็นเมียเก็บใคร แล้วเมียหลวงเขาจับได้เลยต้องบากหน้ากลับมาสิท่า” เป็นอาทิ แต่หญิงสาวก็มิได้ยี่หระต่อคำพูดเหล่านั้นเลยแม้เพียงสักนิด

    แค่เธอรู้คนเดียวว่าอลีนาเกิดจากความรักก็พอ คนอื่นจะว่าอย่างไรช่างเขา!

    โรสิตาไม่มีทางรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เธอขอแค่วันนี้ได้กอดเด็กหญิงตัวน้อยผู้เป็นดั่งยอดดวงใจให้แนบแน่นเท่านั้นก็ถือเป็นกำไรชีวิตที่มากเกินพอแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×