คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 11
บทที่ 11
ภควัตรหารู้ไม่ว่าการรับสมอ้างเช่นนี้ได้ทำให้โรสิตาโกรธขึ้งไม่น้อยทีเดียว โดยทันทีที่ครูประจำชั้นอนุบาลสองซึ่งได้รับฟังมาจากกลุ่มเด็กว่าภควัตรเอ่ยอ้างว่าเป็นบิดาของเด็กหญิงอลีนาเลียบเคียงถามถึงชื่อที่ปล่อยว่างไว้ตั้งแต่ครั้นสมัครเข้าเรียนเพื่อจะได้เติมลงในข้อมูลนักเรียนอย่างครบถ้วน คนเป็นแม่ก็อึ้งไปพักหนึ่งพลางครุ่นคิดอยู่ภายในใจจนหัวตื้อ
นี่เขาต้องการอะไรกันแน่! โรสิตาสบถกับตัวเองภายในใจอย่างหงุดหงิด แต่ถึงกระนั้นสาวเจ้าก็ไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่า “คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมังคะ”
และเธอก็รออย่างใจเย็นจนถึงช่วงเช้าของวันถัดมาเพื่อจะได้พบกับภควัตรอีกครั้ง โดยเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ส่งเด็กหญิงอลีนาเข้าเขตรั้วโรงเรียนไปแล้ว เธอก็รีบตรงไปที่หน้าบริษัทของเขาทันที
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นได้เพรียกให้ภควัตรชำเลืองมองอย่างแช่มช้า แล้วเขาก็ต้องแปลกใจไม่น้อยทีเดียวเพราะเบอร์ที่แสดงบนหน้าปัดนั้นดูไม่คุ้นเลยสักนิด และเมื่อกดรับสายทางต้นสายก็โวยขึ้นทันที
“คุณภควัตร”
“โรส!”
ความหลากใจในข้อที่ว่าโรสิตาน่ะหรือจะโทร.มาหาตน ทำให้ภควัตรถึงกับต้องเลื่อนโทรศัพท์ซึ่งแนบใบหูลงมาดูอีกครั้งจนแน่ใจว่าใช่เธอจริง ๆ แม้จะไม่มีชื่อปรากฏ แล้วบนหน้าหล่อก็เผลอคลี่ยิ้มละมุนออกมาด้วยหัวใจที่พองโต
“โรสมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน ก่อนเข้าออฟฟิศช่วยแวะมาหาฉันที่ร้านกาแฟใต้ตึก A ด้วย” น้ำเสียงที่นุ่มทุ้มของคนปลายสายไม่ทำให้โรสิตาที่กำลังคุกรุ่นด้วยอารมณ์โมโหใจเย็นลงเลยแม้แต่น้อย แถมก่อนวางสายเธอยังกำชับเสียงเขียว “ถ้าคุณไม่มาตามนัด ฉันสัญญาว่าคุณจะไม่มีวันได้เจอหน้าฉันกับอันนาอีกตลอดไป!”
แล้วเธอที่นั่งเขี่ยไอน้ำที่เกาะบนแก้วเครื่องดื่มชนิดเย็นก็รีบกดวางสายทันที
โรสิตารู้ ภควัตรต้องการเธอรวมถึงลูกและถึงแม้ว่าลึก ๆ แล้วเธอเองก็โหยหาอ้อมกอดของเขาเช่นกัน แต่…ทุกอย่างมันสายเกินไปสำหรับเธอที่จะเดินกลับสู่อ้อมกอดแห่งรักของเขาแล้ว โรสิตาจึงจำเป็นต้องใช้คำขู่นั้นเพื่อกดดันให้คนที่ทำให้ก้อนเนื้อบริเวณหน้าอกข้างซ้ายสั่นระรัวทุกครั้งเมื่อเจอหน้าออกมาพบเพื่อทำข้อตกลงร่วมกันให้จงได้
แล้วก็ได้ผล…
โรสิตาที่นั่งอยู่ก่อนยังดื่มน้ำในแก้วซึ่งวางอยู่ด้านหน้าไปได้ไม่ถึงครึ่งส่วนของปริมาณน้ำที่มีอยู่ทั้งหมด ภควัตรในชุดสูทสีดำทับเสื้อเชิ้ตสีเทาอมฟ้าก็เดินเข้ามาพร้อมกับหยุดสั่งเครื่องดื่มหน้าบาร์ชั่วครู่หนึ่งแล้วเขาก็เดินปรี่เข้ามาหาเธอทันที
“คุณตามไปแอบดูฉันกับลูกที่หน้าโรงเรียนทำไม?” คำถามนั้นทำให้คนที่ยังนั่งไม่ทันติดเก้าอี้ดีหน้าถอดสีเล็กน้อย แต่กระนั้นโรสิตาที่ถือสิทธิ์ในฐานะผู้ปกครองของเด็กหญิงอลีนาแต่เพียงผู้เดียวก็ยังคงถามต่อเสียงเข้ม “แล้วไปแอบดูมานานหรือยัง?”
“ก็ สักพักหนึ่งแล้ว”
“หึ! แล้วคุณมีอะไรจะสารภาพอีกไหม?”
“ไม่มี พี่แค่ไปแอบดูโรสกับลูกเฉย ๆ”
แล้วท้ายประโยคก็ทำให้คนเป็นแม่อุทานออกมาอย่างลืมตัว “ลูก!”
“ก็…”
ภควัตรกำลังจะแย้งอยู่ทีเดียวว่าแล้วอลีนาไม่ใช่ลูกของเธอกับเขาหรอกหรือ ทว่าโรสตากลับชิงพูดแทรกขึ้นก่อน “โอเค ที่ฉันเรียกคุณมาพบก็เพราะว่าเรื่องนี้แหละค่ะ” เธอมองเขาด้วยสายตาที่นิ่งกริบ เด็ดเดี่ยวพลางยื่นคำขาด “ต่อไปขอให้คุณอย่ามายุ่งกับลูกของฉันอีก อย่าไปยุ่มย่ามที่โรงเรียน แล้วก็…อะไรก็ตามที่คุณไม่แน่ใจกรุณาอย่าพูดพล่อย ๆ แบบนั้นอีกเด็ดขาด”
เรื่องที่เขาไปรับสมอ้างเป็นพ่อของเด็กหญิงอลีนาคงเข้าหูของคนตรงหน้าแล้วสินะ ดีเลย…ภควัตรเองก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเกริ่นนำให้เสียเวลา
“ก็หรือไม่ใช่?”
“นี่คุณ!”
หน้าสวยที่บัดนี้บึ้งตึงเพราะขึ้งโกรธ กลับมิได้ทำให้ภควัตรรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นเลยสักนิด เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปีเขายังคงมองว่ากิริยาอาการเช่นนี้ยังคงน่าเอ็นดูดูอยู่เสมอ
“เพราะโรสรักพี่ภีม” แล้วเสียงใส ๆ ที่ดังขึ้นมาในความทรงจำก็ทำให้ปากที่เรียวบางได้รูปเผลอยกยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว “โรสก็จะงอนพี่ภีมแค่คนเดียวเท่านั้น”
“แล้วคราวนี้พี่ต้องง้อโรสยังไงนะ?”
เสียงที่นุ่มละมุนทำให้คนที่อยากจะลืมเรื่องหนหลังเสียให้สิ้นขมวดคิ้วเข้าหากันจนยุ่ง โรสิตาสะบัดหน้าไปมาเพื่อขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่ต้องก่อตัวขึ้นเสียทุกครั้งยามเจอหน้าเขา และเมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วน คนที่เลือกจะเก็บความลับนี้ไว้เพียงลำพังตนก็ว่า “ไม่ใช่!”
“ถ้างั้นอันนาเป็นลูกของใคร?”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องรู้”
ทันใดนั้นเอง หางตาเรียวที่ชี้ขึ้นเล็กน้อยก็ดันตวัดไปเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งเข้า และเมื่อคนคนนั้นเห็นเธอปรายตาไปมองเจ้าตัวก็รีบเก็บโทรศัพท์ที่ตั้งไว้เหมือนกำลังหามุมถ่ายรูปเข้ากระเป๋าแล้วจึงลุกเดินออกจากร้านไปอย่างไม่รีรอ ทั้งที่เครื่องดื่มกับคัพเค้กตรงหน้าก็เพิ่งยุบไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โรสิตาจึงหันกลับมามองภควัตรที่ยังงง ๆ ด้วยดวงหน้าที่เคร่งขรึม
“กลับไปซะ!”
แม้คนที่เอ่ยชวนเขามาเองจะออกปากไล่ ทว่าคนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กลับกวาดตาไปมา
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่” แล้วโรสิตาที่หยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาถือพลางลุกขึ้น เน้นย้ำ “แล้วก็ถ้าหวังดีต่อกันจริง อย่ามายุ่งกับเราสองแม่ลูกอีก”
จากนั้นเจ้าตัวก็รีบสาวเท้าเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
“คุณศุภลักษณ์!”
โรสิตาที่ยืนอยู่บนสะพานซึ่งทาบขนาบสองข้างของคลองชลประทานขนาดใหญ่ทั้งยังใช้เป็นที่สัญจรทางเรือสายสำคัญของคนเมืองในย่านนั้นกลอกตาไปมาด้วยแววสับสน ก่อนจะหันกลับไปมองยอดตึกสูงที่เรียงรายอยู่โดยรอบ
และหนึ่งในนั้นคือที่ตั้งของพีเอ็นกรุ๊ป สถานที่แรกที่ชักนำให้เธอได้มาพบกับภควัตรด้วยความไหวหวั่น
โรสิตายังจำดวงตาคู่นั้นได้ดี มันเป็นสายตาที่ไม่ได้เหยียดหยาม ไม่มีชิงชังหรือกรีดกันอย่างชัดแจ้ง แต่ก็ไม่ปิดบังว่าไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับบุตรชายของตน ไหนจะคำพูดขอร้องแกมบังคับเรียบ ๆ นั่นอีก…
แล้วถ้าวันนี้ศุภลักษณ์ได้รู้ว่าเธอมีลูกผู้เป็นทายาทสายตรงของพีเอ็นกรุ๊ปอยู่อีกคน ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นย่าแท้ ๆ ของเด็กหญิงอลีนาจะทำอย่างไร?
ยัดเงินก้อนหนึ่งแล้วเอาลูกของเธอไปเลี้ยงเสียเองหรือ ไม่เอา! หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรโรสิตาก็จะไม่มีทางยอมเด็ดขาด…
“คุณโรส!”
เสียงเรียกจากทางด้านหลังไม่ทำให้คนที่ทอดสายตามองผิวน้ำเบื้องหน้าแตกกระเซ็นเป็นฟองสีขาวกระจายฟุ้งอยู่สองข้างลำเรือโดยสารที่กำลังแล่นออกจากท่าอย่างรวดเร็วไหวติงเลยแม้เพียงน้อยนิด รามิลเห็นอย่างนั้นจึงเอื้อมมือไปแตะที่ต้นแขนของโรสิตาอย่างวิสาสะ พลางขานชื่อของสาวเจ้าอย่างระมัดระวัง
“คุณโรส…”
คราวนี้โรสิตาสะดุ้งเฮือก และเมื่อหันมาเท้าที่รีบหมุนโดยไม่ทันได้กะจังหวะให้ดีจึงพลิก เธอเกือบได้ลงไปกองกับพื้นสะพานที่ทำจากซีเมนต์แล้ว ดีที่รามิลที่ทั้งสติดีและมือไวกว่ากลับอ้าแขนรับไว้เสียก่อน ร่างแบบบางจึงเข้าไปอยู่แนบแผ่นอกของเขาแทนโดยอัตโนมัติ
รามิลประคองร่างของโรสิตาให้ยืนตรง ส่วนมือเล็ก ๆ เองเมื่อรู้ว่ากำเสื้อรามิลแน่นเพราะความตกใจในช่วงก่อนหน้าก็รีบปล่อยออกทันที
“คุณรามิล” บนหน้าสวยคลี่ยิ้มเล็กน้อย “มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
“อ้อ ผมมาหาเพื่อนครับ ว่าแต่คุณโรส…”
จะให้บอกว่านัดเจอภควัตรไว้ก็ใช่ที่ โรสิตาจึงเลือกที่จะตอบแบบเลี่ยง ๆ ไปว่า “อ้อ พอดีว่าโรสมาทำธุระน่ะค่ะ”
“ที่ไหน ให้ผมไปส่งไหมครับ?”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
แล้วรามิลที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ก็กวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะผูกเรื่องชวนสานความสัมพันธ์ขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง เขาจึงก้าวเท้าเข้าประชิดร่างบางเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง แล้วจึงเลียบเคียง “คุณโรสทานอะไรหรือยังครับ”
“อ้อ…” คนที่ได้กาแฟรองท้องไปแล้วเกือบลืมเสียสนิท “ยังเลยค่ะ”
“งั้นเราไปหาอะไรทานกันนะครับ”
โรสิตาหันมาสบตากับเจ้าของแววตาที่ใสซื่อแล้วก็หยุดคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจ “ก็ได้ค่ะ”
รูปที่คนซึ่งถูกสั่งให้ตามดูบุตรชายแบบเงียบ ๆ ส่งมาให้ทำศุภลักษณ์แทบนั่งไม่ติด คนเป็นแม่ยอมรับว่ามีความกระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อย ครั้นจะให้ไปร้องแรกแหกกระเชอกับคนต้นเรื่องอย่างภควัตรก็ไม่ใช่ที่เพราะว่าไม่เคยทำอย่างนั้นมาก่อน และคนเดียวที่เธอจะพอไปปรับทุกข์ด้วยได้ก็เห็นจะมีแค่คู่ชีวิตอย่างนพสิทธิ์เพียงเท่านั้น
แต่เมื่อผู้เป็นภรรยาเล่าเรื่องที่ทำให้กลุ้มใจจนศีรษะแทบระเบิดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความไม่สบายใจ สามีที่เพิ่งรามือจากเอกสารกองโตกลับหัวเราะหึ ๆ อย่างนึกเห็นขัน
“คุณก็อย่าไปทุกข์ไปร้อนกับมันนักสิ”
แล้วศุภลักษณ์ที่ไม่ได้ลงรายละเอียดให้นพสิทธิ์ฟังว่าผู้หญิงคนในรูปนั้นคือโรสิตาก็ฟาดมือลงบนโต๊ะดังปังพลางว่า “จะไม่ให้ทุกข์ให้ร้อนได้ไงคะ ก็ดูสิ…ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร จะดีจะร้ายยังไงก็ไม่รู้”
“ก็นั่นไง ดู ๆ ไปก่อนสิคุณ” นพสิทธิ์ค่อย ๆ ปลอบภรรยาที่รู้ใจกันดีว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรในใจหรอก เธอแค่ชอบตีโพยตีพายไปก่อนเท่านั้นอย่างใจเย็น “หนูคนนั้นอาจจะดีกว่าที่เราคิดก็ได้นะคุณ”
“หึ รู้ได้ไงคะว่าดี”
“แล้วคุณล่ะรู้ได้ไงว่าเขาไม่ดีพอ”
เท่านั้น ศุภลักษณ์ก็แทบอยากจะพ่นความรู้สึกของตนที่มีต่อโรสิตาออกมาจนหมดสิ้น
แต่…ไม่ได้ ศุภลักษณ์จะให้นพสิทธิ์ที่เข้าใจว่าเรื่องเมื่อห้าปีก่อนที่ใคร ๆ ก็ต่างเข้าใจว่าเป็นเพราะโรสิตาตีตัวออกหากจากลูกชายของเขาไปย่างไร้ซึ่งถ้อยคำอำลา รู้ว่าแท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากแม่อย่างเธอไม่ได้เด็ดขาด
ศุภลักษณ์จึงนิ่งไป และนั่นก็เป็นการเปิดโอกาสให้นพสิทธิ์พูดขึ้นได้อีก “เชื่อใจลูกเราเถอะคุณศุ ตาภีมไม่ไปเอาผู้หญิงไม่ได้ประสาที่ไหนมาทำเมียหรอกน่า”
“หึ! ได้…แล้วคุณก็คอยดูต่อไปแล้วกัน”
วันนี้ทั้งมุกลิณญ์และปรัชวิทย์ต่างก็ว่างพร้อมกัน เขาโทร.ไปหาเธอตั้งแต่เช้าด้วยข้ออ้างที่ว่าจะเอาหนังสือที่เจ้าหล่อนต้องใช้ประกอบการเขียนบทความมาให้ โดยใช้ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังย่านใจกลางเมืองเป็นที่นัดหมาย
ส่วนรามิลเองเมื่อทำการสั่งอาหารเสร็จสรรพเขาก็ปลีกตัวมาที่หน้าห้องน้ำซึ่งอยู่ที่ด้านหลังครู่หนึ่งเพื่อโทร.หาน้ำหนึ่งที่นั่งรออยู่ตรงล็อบบี้ด้านล่างอาคารออฟฟิศของบริษัทคู่ค้า เพื่อแจ้งเรื่อง “นี่ยัยหนึ่ง ถ้าคุณพิเชษฐ์มาแกคุยกับเขาไปเลยนะ”
“อ้าว” คนที่นั่งอยู่เพียงลำพังเพราะพี่ชายบอกจะออกไปข้างนอกประเดี๋ยวเดียว ทว่าผ่านไปพักหนึ่งแล้วก็ยังไม่กลับเหลียวซ้ายแลขวา “แล้วพี่มิลอยู่ไหนคะ?”
“อยู่แถวนี้แหละ พอดีติดธุระด่วนน่ะ”
“ธุระอะไรคะ”
เมื่อถูกน้ำหนึ่งถามเสียงเข้ม รามิลที่เหมือนจะกลืนน้ำลายได้ฝืดคอขึ้นมาโดยพลันจึงแกล้งตอบปัด ๆ ไปตามเรื่อง “เอาน่า ธุระด่วนน่ะ คงกลับไปไม่ทันแน่ ๆ”
“อ้าว แล้วถ้าคุณพิเชษฐ์เขาพูดเรื่องข้อสัญญาล่ะคะ”
“ให้อยู่ในดุลยพินิจของแกไปเลยแล้วกัน” คราวนี้รามิลฝากฝัง “พี่เชื่อใจแกยัยหนึ่ง ถ้าเห็นว่าสมควรแล้วทางเราไม่เสียประโยชน์ก็เซ็นชื่อแทนพี่ไปได้เลยพี่มอบอำนาจให้”
“ง่ายขนาดนั้นเชียว?”
สาวเจ้ายักไหล่อย่างไม่อะไรนัก แล้วก็เดินเข้าไปในร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่ภายในอาคารสำนักงานแห่งนี้เพื่อสั่งเครื่องดื่มดื่มกลั้วคอทันที
มุกลิณญ์นั่งพลิกสมุดแสดงรายการอาหารอยู่พักหนึ่ง เธอลังเลระหว่าง ‘ข้าวหน้าปลาอบชอส’ รสเลิศที่ลูกค้าประจำอย่างปรัชวิทย์แนะนำ กับ ‘ราเม็งเห็ดหอม’ ที่ดูจากรูปตัวอย่างแล้วก็ลงความเห็นว่าน่ารับประทานไม่แพ้กัน
“ผมว่าข้าวหน้าปลาชนะเลิศ”
ขณะที่ปรัชวิทย์แนะนำด้วยความภาคภูมิใจ มุกลิณญ์ที่มีอาการรักพี่เสียดายน้องอยากลิ้มลองราเม็งด้วยก็ต้องหาข้ออ้างมาแย้งให้ได้ “คุณยังไม่เคยทานราเม็งของทางร้านเขาเลยแล้วจะรู้ได้ไงคะว่าไม่อร่อยน่ะ”
“นี่คุณ” แล้วปรัชวิทย์ก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดโชว์ “ดูนะ เมนูนี้เป็นรีวิวที่มีคนกดไลก์มากที่สุด ถ้าไม่ดีจริงละก็คนไม่ไลก์เยอะขนาดนี้หรอก แล้วนี่…ดูคอมเม้นท์ บางคนเขาตามมาทานยังบอกเลยครับว่าอร่อยจริง”
คำโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้นคงไม่ทำให้มุกลิณญ์รู้สึกหลากใจเท่า “นี่คุณทำเพจรีวิวของกินด้วยเหรอคะ” เธอรับโทรศัพท์ของเขามาเลื่อนดู แถมยังว่า “เอาเวลาที่ไหนมาทำเนี่ย”
“ทำไมคุณถึงคิดว่ามันต้องใช้เวลาขนาดนั้นด้วยล่ะครับ”
“อ้าว ก็ก่อนจะเขียนลงเพจคุณไม่ต้องร่างโครงเรื่องที่จะเขียน ลงมือเขียน อ่านทบทวน เกลาสำนวน แล้วก็…”
ความสงสัยมากมายที่กลั่นออกมาเป็นคำพูดเจื้อยแจ้วทำปรัชวิทย์หลุดขำ เขาทอดมองดวงหน้าของคนที่แลดูจริงจังจนเกินเหตุไปเสียแทบทุกเรื่องแล้วจึงคลี่ยิ้ม ก่อนจะค่อย ๆ อธิบาย “ไม่เลยครับ การเขียนรีวิวของผมก็เหมือนกับการบอกเล่าเรื่องที่พบเจอให้เพื่อนฟังนั่นแหละ คิดอะไรก็เขียนไปแบบนั้น ใช้คำง่าย ๆ ไม่ต้องยุ่งยาก”
“หือ…”
“ไม่เชื่อคุณลองทำดูบ้างสิครับ สนุกนะ”
“ฉันไม่รู้จะรีวิวอะไรน่ะสิ”
แล้วคนที่แนะนำก็ช่วยเสนอแนวคิด “อะไรก็ได้ครับ ที่คุณอยากบอกต่อให้คนอื่นได้รับประสบการณ์ดี ๆ แบบเดียวกับคุณน่ะ”
แล้วมุกลิณญ์ที่กำลังนึกสนุกก็หยิบหนังสือเล่มที่อยู่ช้างตัวขึ้นมาแล้วถามไปตามประสาซื่อ “งั้นฉันเริ่มที่รีวิวหนังสือเล่มนี้แล้วกัน เป็นไงน่าสนใจไหม”
ปรัชวิทย์มองตรงมายังหนังสือเล่มหนาที่เต็มไปด้วยทฤษฎีทางวิชาการมากมายหลายสำนักให้อ้างแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า สงสัยว่าเขาจะต้องอธิบายให้มุกลิณญ์ฟังโดยละเอียดแล้วละมัง
“คุณใช้อินสตาแกรมไหมครับ”
“ใช้สิ”
“แล้วปกติคุณโพสต์อะไรบ้างครับ”
“ก็โพสต์อาหาร ที่เที่ยว” พูดพลางหยิบสมาร์ทโฟนของตนมาเปิดให้อีกฝ่ายดูบ้าง “นี่ไง”
ภาพที่ปรากฏอยู่บนจอสมาร์ทโฟนล้วนเป็นภาพที่มีองค์ประกอบซึ่งบรรดาช่างภาพและคนที่ทำงานด้านกราฟิกดีไซน์ใช้กันโดยสากลเกือบครบถ้วน จนปรัชวิทย์ที่ไม่แน่ใจว่ามุกลิณญ์ได้เคยเรียนหรือมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาก่อนหรือเปล่ายังเผลอหลุดปาก
“คุณก็ถ่ายรูปสวยเหมือนกันนี่ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ทว่าก็ยังมีข้อที่ยังไม่ถูก “แต่ว่าแคปชั่นสั้นไปหน่อย”
เจ้าของแคปชั่นจึงสรุป “ชิค ๆ คูล ๆ ไม่ต้องพูดเยอะค่ะ”
แต่การเขียนรีวิวไม่ใช่! แล้วปรัชวิทย์ที่เพิ่งดื่มน้ำเสร็จก็ตั้งท่าเตรียมจะอธิบายความให้มุกลิณญ์ฟังในตอนนั้นเอง หากทว่าหญิงสาวกลับมิได้สนใจเสียแล้ว เพราะดวงตากลมโตนั้นได้เบี่ยงประเด็นไปยังคนที่อยู่อีกมุมหนึ่งของร้านมากกว่า
“พี่โรสนี่นา”
ทันใดนั้นเอง เมื่อเห็นรามิลเดินยิ้มร่าเข้ามามุกลิณญ์ที่คิดว่าจะลุกไปทักทายคนที่รู้จักกันตามมารยาทที่ควรจะเป็นก็เปลี่ยนใจโดยพลัน
นั่งดูอยู่เงียบ ๆ แบบนี้ดีกว่า!
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสรรพรามิลก็ได้อาสาขับรถไปส่งโรสตาที่บ้านตามประสาคนที่เข้าใจว่าตัวเองว่าง เท่านั้นไม่พอเขายังเข้าไปทักทายคุณยายบุญเรือนกับพนิตาแถมคุยโน่นนี่กับโรสิตาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
จนเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขึ้น รามิลจึงขอตัวแล้วเดินเลี่ยงออกมา
“ยัยหนึ่ง!”
พี่ชายที่เพิ่งนึกได้ว่าทิ้งน้องสาวให้รับหน้ากับคู่ค้าคนสำคัญเพียงลำพังรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่ถูกอีกฝ่ายโทร.มาขัดจังหวะ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมออกไปหาเธอแต่โดยดี
“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณโรส”
“อ้อค่ะ”
โดยทันทีที่พี่ชายตัวดีโผล่หน้ามาให้เห็น น้ำหนึ่งที่นั่งเอามือเขี่ยแฟ้มเอกสารไปมาด้วยหน้าที่บอกบุญไม่รับก็ค้อนขวับให้วงหนึ่งแล้วลุกขึ้นจากโซฟามาหารามิลพร้อมกับยื่นแฟ้มดังกล่าวคืนให้ ขณะที่ปากก็พูดปาว ๆ ไปด้วย
“เหอะ! พอเจอสาวแล้วก็ทิ้งน้องเลยนะคะ”
“ทิ้งอะไร ก็ขับรถมารับแล้วเนี่ย”
น้ำหนึ่งไม่ได้หมายถึงทิ้งขว้างเฉกนั้น เธอหมายถึงทิ้งให้ตนต้องดีลงานตามลำพังต่างหาก และระหว่างที่เดินไปยังรถยนต์ส่วนตัวซึ่งจอดอยู่ที่ชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานคนที่ควบตำแหน่งเลขาไปในตัวก็บ่นถึงความติดขัดมากมายที่ได้พบระหว่างเจรา ทว่าพี่ชายอย่างรามิลกลับเอ่ยชมขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เยี่ยมมาก”
“เยี่ยม” น้ำหนึ่งละอยากหักนิ้วโป้งที่ชูอยู่ตรงหน้าทิ้งไปเสียให้สิ้นเรื่อง “นี่คุณพี่มองปัญหาพวกนั้นว่าเป็นเรื่องเยี่ยมเหรอคะ! นี่พี่มิล ไปเช็กสมองบ้างนะคะ”
“เปล่านะยัยหนึ่ง พี่หมายถึงแกเก่งมากที่แก้ปัญหาพวกนั้นได้”
“ค่ะ” น้ำหนึ่งกระแทกเสียง ประชด “พี่มิลก็พูดได้สิคะ”
แม้จะถูกน้องสาวที่โตตามกันมาค่อนว่าให้ฉอด ๆ ไม่หยุดปาก หากทว่ารามิลที่วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษกลับเห็นเป็นเรื่องที่น่าขบขัน และเพื่อให้น้ำหนึ่งคลายความขุ่นมัวทันทีที่เอื้อมมือไปปิดประตูรถรามิลยังเลือกเปิดเพลงสากลคลอเบา ๆ ให้ฟังอีก
“นี่อุตส่าห์เปิดโอกาสให้ทำผลงานแล้วนะ ยังจะมาว่ากันอีก”
“ทำผลงาน! ผลงานอะไรคะ?”
“เอ้า...” แล้วรามิลที่ครึ้มอกครึ้มใจจนบอกไม่ถูกก็ยกความดีความชอบให้น้ำหนึ่งไปอย่างว่าง่าย “ก็งานนี้นี่ไง แล้วพี่จะบอกคุณพ่อให้ว่าแกทำเองทุกอย่าง ให้คุณพ่อขึ้นเงินเดือนให้แกด้วย แบบนี้พอได้ไหม”
“ก็ได้ค่ะ”
ความคิดเห็น