คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 10
บทที่ 10
รถยุโรปเคลื่อนมาหยุดกึกตรงกลางสี่แยกใหญ่ใจกลางย่านเศรษฐกิจเนื่องจากติดไฟแดงไปต่อไม่ได้ ตัวเลขบนจอดิจิตอลด้านบนบอกชัดว่าอีกสองร้อยกว่านาทีจึงจะหลุดพ้นจากตรงนี้ รามิลที่นั่งเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางเคาะ ๆ กับพวงมาลัยจึงโพล่งขึ้น
“ยัยหนึ่ง”
เมื่อน้ำหนึ่งซึ่งกำลังก้มหน้าเช็กตารางงานบนจอไอแพดก็เงยหน้าขึ้น คนที่เป็นทั้งพี่ชายและเจ้านายในเวลาเดียวกันจึงถามต่อ “แกว่าคุณคนที่ชื่อภควัตรนั่นเป็นไงมั่ง”
“หล่อค่ะ เขาควรเป็นแฟนน้อง”
พูดจบคนเป็นพี่จึงแขกหน้าผากให้ทีหนึ่งพร้อมดุแถม “เพ้อเจ้อ!”
“อ้าว แล้วพี่มิลต้องการคำตอบยังไงล่ะคะ” น้ำหนึ่งยังยกมือขึ้นคลึงหน้าผากตัวเองด้วยความเจ็บหนึบ ๆ “ถามซะกว้างเชียวใครจะตอบถูก”
“แกว่านายนั่นใช่คู่แข่งของพี่ไหม?”
“คู่แข่ง...หมายถึงแข่งกันจีบคุณโรสิตาอะนะ ทำไมพี่มิลคิดงั้นล่ะคะ”
ไม่รู้สิ รามิลเองก็ตอบไม่ถูก เขารู้แค่ว่าเขาไม่ถูกชะตากับนายภควัตรอย่างไรชอบกลแต่ก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผลประกอบได้ เหมือนเขาจะทำอะไรคนคนนั้นก็คอยแต่จะขัดขาตลอดอย่างไรอย่างนั้น
“มันสำคัญด้วยเหรอคะพี่มิล” หากทว่าน้ำหนึ่งกลับคิดแตกต่างจากเขาไปทั้งสิ้น โดยสาวเจ้าอธิบายว่า “ถ้าจะจีบหญิงอะนะ สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ใจนี่ต่างหากเล่า ถ้าพี่มิลทำให้คุณโรสิตาวางใจได้ต่อให้มีคู่แข่งนับร้อยก็ทำอะไรพี่มิลไม่ได้ค่ะ”
“แล้วพี่จะต้องทำไงยัยหนึ่ง” รามิลหมายถึง “คุณโรสถึงจะเชื่อใจแล้วก็วางใจในตัวพี่น่ะ”
“ไม่รู้”
“อะไร้!”
แล้วน้ำหนึ่งก็ทุ่มกำปั้นลงบนดินก่อนจะตอบ “ก็หนึ่งไม่เคยเป็นผู้ชายนี่ จะรู้ได้ไงล่ะว่าต้องทำไงน่ะ”
“ไม่ได้เรื่อง!”
รามิลไม่อยากฟังแล้ว เขาจึงเปิดเพลงรักฟังสบายคลอเบา ๆ พอดีกันกับที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดีคนขับจึงหักพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวไปอีกทางทันที
“นี่พี่มิลจะไปไหนน่ะ?”
น้ำหนึ่งทักขึ้นด้วยความหลากใจ หากรามิลกลับตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เดี๋ยวแกลงตรงสถานีรถไฟฟ้าข้างหน้านี่นะ พอดีวันนี้พี่จะนอนที่คอนโดน่ะ”
“ฮะ?”
น้ำหนึ่งเบิกตาโตอย่างคาดไม่ถึงว่าอยู่ดี ๆ พี่ชายร่วมสายเลือดฝั่งมารดาจะทิ้งไว้กลางทางเช่นนี้ หึ! ถ้ารู้ก่อนนะ เธอไม่มาเป็นเพื่อนให้เสียเวลาหรอก
“ว่าไงจ๊ะมุก ลูกศิษย์ตัวน้อยเป็นไงบ้าง”
ท่ามกลางความว้าเหว่ยามต้องอยู่เพียงลำพังเพราะมารดาที่กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่ครั้นที่เธออายุได้เพียงสามขวบต้องออกไปทำงานนอกบ้านจนแทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อน คงมีก็เพียงแค่พิมพ์พิชชาเท่านั้นที่คอยโทร.มาชวนคุยให้เจ้าตัวคลายเหงาได้บ้าง มุกลิณญ์ที่นั่งทอดสายตาออกไปทางช่องหน้าต่างจึงคลี่ยิ้มน้อย ๆ พลางตอบด้วยน้ำเสียงที่สดใส “ก็ดีนะ บ้านเขาก็ดี โดยเฉพาะคุณยายเนี่ย...ฉันละไม่สงสัยเลยว่าน้องอันนาน่ารักติดใครมา”
“โอ๊ย บ้านนั้นเขาน่ารักกันทั้งบ้านจ้ะ”
“เชื่อจ้า” แล้วมุกลิณญ์ที่ยังมีข้อสงสัยในใจก็เปลี่ยนเรื่องถาม “ว่าแต่คนที่ชื่อรามิลนี่ใครเหรอ เขาเป็นอะไรกับพี่โรสหรือเปล่า”
“รามิลไหน?”
ยังไม่ทันที่มุกลิณญ์จะได้พูดต่อรถยุโรปสีขาวก็ขับโฉบเข้ามาพอดี ทำให้แอร์โฮสเตสสาวในชุดเครื่องแบบที่เป็นกระโปรงยาวพอดีเข่าทรงเอซึ่งกำลังเดินคุยโทรศัพท์อยู่บนทางรถโดยไม่ทันระวังเซถลาไปหลายก้าว ด้วยความตกใจพิมพ์พิชชาจึงปล่อยกระเป๋าที่ลากมาด้วยให้หลุดมือไปอย่างไม่อาจยื้อเอาไว้ได้ จากนั้นร่างแบบบางบนรองเท้าส้นเข็มที่สูงถึงห้านิ้วก็ล้มตามลงไปกองกับพื้นหญ้าขนจนแทบไม่เป็นท่าอยู่ตรงนั้น
“ขับรถยังไงวะ!”
นั่นทำให้คนที่กะจะลงมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้างหัวเสียขึ้นทันควัน ดังนั้นประโยคที่เตรียมไว้ตอนแรกจึงเปลี่ยนเป็น “เดินยังไงคุณ!?”
“ฉันก็เดินตามทางไง คุณสิขับรถยังไง?”
“เดินตามทาง” รามิลก้มลงมองทางที่พิมพ์พิชชาว่า ก่อนจะตอกหน้าอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างขุ่น “ทางรถอะนะ? มีอย่างที่ไหน!”
นั่นทำให้พิมพ์พิชชาอึ้งเป็นกิมกี่ เธออยากจะเถียงเขานักแต่ก็เถียงไม่ออกเพราะรู้อยู่ว่าตัวก็มีส่วนผิด ครั้นจะขอโทษก็ไม่อยากพูดเสียแล้วด้วยเขาเองก็กวนประสาทเธอด้วยเช่นกัน ดังนั้นหน้าสวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนเข้มจัดจึงเชิดหน้าใส่โดยไม่มีคำพูดใด ๆ สักคำ
ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ก็ทำให้รามิลนึกปรามาส ไม่มีจิตสำนึกเลยสักนิด!และเมื่อคิดได้ว่าคนแบบนี้คือคนที่เขาไม่ควรเสียเวลาชีวิตมาข้องเกี่ยวด้วยเป็นอย่างยิ่งเจ้าตัวจึงเอี้ยวตัวจะเดินเลี่ยงไปทางอื่น
หากทว่า...
“นี่คุณ อะไรอีกเนี่ย”
รามิลก้มลงมองมือเรียวที่เอื้อมมาฉวยข้อมือของเขาเอาไว้ทั้งยังกำจนแน่นด้วยความฉงน แล้วทันใดนั้นเองพิมพ์พิชชาที่รู้สึกว่าไม่เป็นผลดีกับตนหากจะปล่อยเขาลอยนวลไปโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้เธอสักอย่างก็รีบชิงถาม
“คิดจะชิ่งหนีกันง่าย ๆ งั้นเหรอ?”
“ชิ่งอะไร?”
เมื่อรามิลไม่เข้าใจพิมพ์พิชชาจึงต้องอธิบายความ “อ้าว…ก็คุณขับรถเฉี่ยวฉันน่ะ รับผิดชอบมาก่อนสิ!”
เป็นพวกมิจฉาชีพหลอกไถเงินหรือเปล่าก็ไม่รู้...รามิลสนเท่ห์เจ้าของหน้าสวย และเพื่อตัดปัญหาเขาจึงเดินไปหยิบกระเป๋าตัวปัญหาขึ้นจากพื้นพร้อมนำมายื่นให้อย่างสุภาพ ขณะที่ปากก็พูดไปด้วย “ผมขอโทษที่ขับรถเฉี่ยวคุณ แล้วก็นี่…คราวหน้าคราวหลังก็ถือให้ดี ๆ ด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวนะ!” บนดวงหน้าสวยเฉี่ยวมีแววของความผิดหวังฉายขึ้น “แค่นี้?”
“ผมรับผิดชอบให้คุณได้แค่นี้แหละ” รามิลมองสำรวจพิมพ์พิชชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็พบว่ามีเพียงเศษน้ำที่ขังอยู่ตามพื้นจากฝนที่ตกเมื่อคืนกระเด็นใส่ช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปเท่านั้น เขาจึงหยิบนามบัตรของตนยื่นให้เพื่อตัดรำคาญ “เพราะดูแล้วความเสียหายของคุณก็ดูไม่ได้มากมายอะไร ส่วนเสื้อผ้านี่ส่งซักเดี๋ยวก็ออก แต่ถ้าคุณคิดว่ามันไม่เป็นธรรมก็ฟ้องเอาแล้วกันชื่อที่อยู่ของผมอยู่ในนี้เรียบร้อยแล้ว”
แล้วรามิลก็เดินกลับขึ้นรถพร้อมกับขับไปเก็บทันที ทิ้งพิมพ์พิชชาให้ยืนงงอยู่ตรงนั้นเอง
เมื่อขึ้นมาถึงห้องพิมพ์พิชชาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มุกลิณญ์ฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง และพอได้ฟังจนจบแล้วคนปลายสายกลับมีความเห็นว่า “แค่นี้เองยัยพิมมี่”
“แค่นี้อะไร ฉันนี่หงายหลังหน้าทิ่ม”
เวลาพูดก็ต้องให้ดูเกินจริงเข้าไว้ก่อน หากแต่คนฟังที่จับพิรุธได้ก็ดักให้อีก “หงายหลังไปแล้วและหน้ามันจะทิ่มอีกได้ยังไงแกนี่”
“เหอะไม่รู้สิ ไม่ทิ่มก็ไม่ทิ่ม” แล้วคนที่เล่าเรื่องจนคอแห้งแต่เพื่อนดันไม่เออออด้วยจึงรินน้ำดื่ม เสร็จแล้วถึงหยิบนามบัตรของคนที่เพิ่งปะทะคารมด้วยซึ่งตนหย่อนลงกระเป๋าเสื้อแบบส่ง ๆ ขึ้นมาดูพลางอุทาน “รามิล”
“อะไรนะ?”
“ก็คนที่ขับรถเฉี่ยวฉันไง” พิมพ์พิชชาก้มลงมองนามบัตรใบนั้นแล้วยักไหล่ “แกชื่อรามิลน่ะ”
“รามิล” มุกลิณญ์ก็ขมวดหัวคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด “หวังว่าจะไม่ใช่คนเดียวกันนะ”
โรสิตานั่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันอยู่พักหนึ่งแต่ก็คิดไม่ตก ด้วยรามิลเองก็แสดงออกชัดว่ามีใจให้ตนแม้เคยเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง อีกทั้งแม้จะรู้อยู่ว่าตนมีลูกติดตัวให้เห็นตำตาเขาก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะเกี่ยงงอนในเรื่องนี้เลยแม้เพียงสักนิด ในทางกลับกันเขายังมีใจเอื้อเอ็นดูในตัวเด็กหญิงอลีนาเสียด้วยซ้ำ
ต่างจากใครหลายคนที่เดินเข้ามา…แล้วพอรู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงตัวคนเดียวก็หายไปอย่างเงียบ ๆ พวกนั้น
ส่วนภควัตรเองก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากนับวันชายหนุ่มจะยิ่งพยายามทำให้โรสิตาเห็นว่าเขากับมุกลิณญ์ไม่ได้มีอะไรที่ลึกซึ้งเกินพี่ชายน้องสาวแล้ว เขายังแสดงถึงความขัดขึงชัดแจ้งยามเห็นรามิลเข้ามาใกล้ชิดกับเธออีก…แต่นั่นกลับไม่ทำให้โรสิตารู้สึกดีเลยสักนิด!
ว่าแล้วเจ้าของห้องก็เดินไปที่ตู้ไม้เตี้ย ๆ ซึ่งตั้งอยู่เยื้องกับปลายเตียง ก่อนจะเอื้อมมือเปิดลิ้นชักชั้นบนสุดของโต๊ะนั้น แล้วหยิบกล่องหนึ่งขึ้นมาพลางเลื่อนลิ้นชักโต๊ะเข้าไว้เหมือนเดิม โรสิตาทอดมองกล่องใบนั้นอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเปิดออกอย่างเบามือ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แล้วทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น โรสิตาจึงรีบปิดกล่องที่อยู่ตรงหน้าโดยเร็วแล้วเสือกมันเข้าใต้ผ้าห่มสีน้ำตาลที่ยังไม่ได้คลี่ออกแบบลวก ๆ จากนั้นจึงเดินออกไปเปิดประตูให้คนมาใหม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แม่…”
พนิตาเดินนำบุตรสาวเข้ามานั่งบนเตียงนุ่ม จนเมื่อโรสิตาถามหาอลีนามารดาก็ว่า “แม่เห็นยังนั่งฟังนิทานคุณยายอยู่น่ะเลยไม่อยากขัด”
“อืม…ค่ะ”
แล้วโรสิตาก็ใช้นิ้วมือเขี่ยหมอนไปมาแก้เก้อ พนิตาเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะจึงเปิดประเด็นขึ้น “เออ นี่ยัยโรสแม่ถามอะไรหน่อยสิ คุณรามิลนี่ใครเหรอ?”
“เอ่อ…”
โรสตาไม่รู้จะตอบอย่างไรดีจึงเขี่ยหมอนต่อ ต่างจากพนิตาที่แค่มองปราบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านายคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ เธอจึงอมยิ้มแล้วหยั่งเชิงว่า “แล้วหนูน้ำหนึ่งน่ะใช่แฟนเขาหรือเปล่า”
“เห็นว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันนะคะ”
“ก็รู้เรื่องของเขาเยอะดีนี่”
คราวนี้โรสิตาแทบนั่งไม่ติด แต่กระนั้นในน้ำเสียงที่ตอบมารดาก็ยังคงเรียบ ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีกระโตกกระตากให้คนฟังจับพิรุธได้ “ก็เขาบอกนี่คะ ว่าเขามาติดต่อเรื่องขนมให้พี่ชายเขา”
“อ้อลูกค้า” แต่ถึงรู้ปูมหลังขนาดนี้แล้ว แต่พนิตาก็ยังไม่คลายสงสัย “แล้วเขาโสดด้วยไหม”
คำถามนี้ทำให้โรสิตารู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่างจนไม่แก่ใจอยากจะตอบคำถามใด ๆ แก่มารดาอีกแล้ว หน้าสวยจึงหันมาพลางตัดความด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่าจริงจังอยู่ในที “โรสไม่ทราบค่ะ แล้วก็ไม่ได้อยากทราบด้วย”
จริงหรือ พนิตาคิดในใจ
แต่ยังไม่ทันที่คนโตกว่าจะถามอะไรมากไปกว่านี้ เสียงเคาะประตูครั้งที่สองก็ดังขึ้นอีกก่อนจะถูกแง้มออกโดยที่เจ้าของห้องไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเปิดให้
“คุณยาย” ร่างกลมในชุดนอนกางเกงขาสามส่วนลายการ์ตูนเดินเข้ามาพร้อมกับอ้าแขนให้มารดาอุ้มขึ้นมานั่งบนตัก แล้วเสียงเล็ก ๆ ก็พูดแจ้ว ๆ “คุณแม่ เราจะนอนกันหรือยังคะ”
เพียงเท่านั้น ความสนใจทั้งหมดของมารดาก็ผันอยู่ที่เด็กหญิงอลีนาทันที “หนูง่วงแล้วหรือลูก?”
“ค่ะ” คนตาปรือตอบ
“แล้วหนูไหว้พระก่อนนอนหรือยังจ๊ะ”
“ไหว้แล้ว ฟังนิทานแล้วด้วยค่ะ”
เมื่อระลึกได้ว่าคงถึงเวลาพักผ่อนของเด็กหญิงตัวน้อยบนหน้าที่เหี่ยวย่นไปตามวัยก็ฉาบด้วยรอยยิ้มละมุนแล้วค่อยลุกขึ้น และเมื่อหันมาเห็นโรสิตาที่กำลังประคองร่างน้อยนอนบนหมอนพลางคลี่ผ้าห่มอีกผืนให้ทำท่าจะเดินมาส่ง พนิตาก็รีบร้องห้ามเอาไว้ทันทีด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่ง “ไม่ต้องหรอกจ้ะเดี๋ยวแม่เปิดประตูให้” โรสิตาที่พยักหน้ารับจึงหันมาปิดสวิตช์ที่โคมสีขาว แล้วจึงทิ้งตัวลงนอนทันทีพร้อมวาดเรียวแขนลงบนลำตัวของอลีนาแนบแน่น
สองสามวันมานี้ภควัตรมักทำตัวแปลก ๆ กล่าวคือจะออกจากบ้านเช้ากว่าปกติทว่าก็ถึงที่ทำงานเวลาเดิม ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ก็ได้สร้างความฉงนใจให้แก่ศุภลักษณ์ไม่น้อยทีเดียว และเมื่อบุตรชายคล้อยหลังไปมารดาที่คิดแล้วว่าคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้จึงโทร.ไปเช็กกลับมาริสาทันทีว่าลูกชายตัวดีของตนได้รับบทสารถีคอยรับส่งมุกลิณญ์ตามที่คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนหรือเปล่าแต่ก็ได้ความว่าไม่ใช่
ศุภลักษณ์ที่มีความกระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อยจึงได้แต่เดินไปเดินมาจนนพสิทธิ์ที่นั่งอยู่บนโซฟาอดรนทนไม่ได้ต้องเอ่ยทักขึ้น
“นี่คุณศุ คุณไม่มึนหัวบ้างเหรอครับ? ผมเห็นคุณเดินวนอยู่หลายรอบละ”
“นี่คุณ” แม้นพสิทธิ์จะแกล้งกระเซ้า ทว่าศุภลักษณ์ก็หาได้สนใจไม่ เธอขานชื่อเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังก่อนจะยอมนั่งลงข้าง ๆ แล้วถาม “คุณคิดว่าลูกของเราหายไปไหนคะ”
“ก็เรื่องของเขาสิ” นพสิทธิ์ตอบอย่างไม่ยี่หระ “ลูกเราโตแล้ว เขาจะไปไหนมาไหนไม่จำเป็นต้องบอกพ่อแม่แก่ ๆ อย่างเราทุกเรื่องก็ได้นี่”
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ศุภลักษณ์ปล่อยวางได้เลย ในทางกลับกันคนเป็นแม่ก็ยิ่งขมวดหัวคิ้วจนยุ่งกว่าเก่า
“หรือว่าลูกของเราจะแอบมีผู้หญิง!”
แม้ภรรยาจะตีหน้าจึงขัง จริงจัง ทว่านพสิทธิ์ผู้เป็นสามีกลับหลุดขำออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เขาส่ายหน้าไปมา แถมยังปรามาส “คุณนี่คิดไปได้”
ก็จริง นับวันคู่ชีวิตที่ร่วมทั้งสุขและทุกข์กันมาหลายสิบปีกลับสรรหาความคิดประหลาดมาถกเถียงกับเขาได้ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อยเห็นหน้าที่เคยมองว่าสวยจนวิศวกรรมหนุ่มอดใจไม่ไหวต้องลงทุนเทียวไปมาระหว่างหน้าคณะเพื่อตามจีบในครั้งนั้นบึ้งตึงอย่างเปิดเผยเพราะว่าไม่พึงใจในคำตอบ บนดวงหน้าที่ยังมีเคล้าหล่อจัดไม่ต่างไปจากบุตรชายนักเพราะไม่ชอบทำตัวให้เคร่งเครียดก็ยิ้มกริ่ม แล้วจึงแกล้งถามขึ้น
“แล้วทำไมต้องแอบ?”
“คะ?”
“ก็ถ้าตาภีมจะมีผู้หญิงจริง ๆ ทำไมเขาต้องปิดเราด้วยล่ะ” แล้วสามีก็ขยายความอย่างใจเย็น “นี่…ลูกเราโตแล้วนะคุณ เขาจะมีเมียสักคนมันจะแปลกอะไรกัน”
“แต่ว่าฉันต้องดูก่อนสิคะ”
ซึ่งคำตอบเช่นนั้นก็ทำให้นพสิทธิ์อดนึกย้อนไปถึงสมัยที่ตนตามจีบศุภลักษณ์ไม่ได้ “ทีสมัยของพวกเราไม่เห็นต้องมีขั้นตอนที่ยุ่งยากอะไรแบบนี้เลย เอ…หรือว่าผู้ใหญ่สมัยนี้นับวันยิ่งเหมือนคนสมองกลับ”
“ก็นั่นเป็นเพราะว่า…” ศุภลักษณ์เตรียมจะหาเหตุผลมากมายมาแย้ง แต่… “เมื่อกี้คุณว่าใครสมองกลับ?”
แล้วสามีที่ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าจะแกล้งหยอกภรรยาที่อยู่ไม่สุขให้ได้ฉุกคิดก็รินชาชั้นดีที่เพื่อนรักซื้อมาฝากจากเชียงใหม่เมื่อเดือนก่อนขึ้นดื่ม จากนั้นจึงลงความเห็นว่า “ผมหมายถึงผู้ใหญ่ทั่ว ๆ ไปน่ะคุณ”
“งั้นก็แล้วไปค่ะ” จากนั้นศุภลักษณ์ก็รินชาในกาดื่มบ้าง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกมะลิอบแห้งที่ผสมอยู่ทำให้อารมณ์ที่บอกไม่ถูกเริ่มนิ่ง แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังทิ้งท้าย “แต่ว่าถึงยังไงฉันก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครคู่ควรกับตาภีมมากไปกว่าหนูมุกอยู่ดีแหละค่ะ”
“ก็จริง” แต่ถึงกระนั้นนพสิทธิ์ที่ยังอยากให้ศุภลักษณ์เผื่อใจไว้บ้างก็อดไม่ได้ที่จะติง “แต่ถ้าตาภีมไม่เห็นอย่างที่เราเห็น ไม่คิดเหมือนที่เราคิด คุณจะว่ายังไง”
“ไม่รู้สิคะ” ศุภลักษณ์ตอบได้ไม่เต็มเสียง เพราะว่าเจ้าตัวหมายมาดไปเสียแล้วว่า “แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ยืนยันว่ายังอยากได้หนูมุกเป็นลูกสะใภ้อยู่ดี จริง ๆ นะคะคุณ”
แม้จะเริ่มถูกมารดาจับตามองเพราะความสงสัย ทว่าภควัตรที่ยังไม่รู้ตัวเองก็ยังคงไปจอดรถดูโรสิตากับเด็กหญิงอลีนาในทุกเช้าเฉกเช่นที่เคยทำมาเป็นเวลาร่วมเดือน! จนเจ้าตัวเองก็แทบจะคิดว่านี่คือกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว แต่ว่าทุกวันก็ราบรื่นดี ไม่มีสิ่งผิดปกติ
จนเช้าวันนี้… เมื่อโรสิตาเดินลับตาไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“โอ๊ย!”
แล้วเสียงเล็ก ๆ อีกสองสามเสียงก็ไล่ตามมาติด ๆ
“เด็กไม่มีพ่อ”
“แหวะ เน่า!”
“ไปเลย…อี๋…”
ซึ่งแม้ว่าเสียงก่นว่าเหล่านั้นแม้จะเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้หรือว่าอ่อนเดียงสาที่ใครอื่นจะคิดอย่างไรก็ช่าง แต่…สำหรับใครอีกหลายคนมันคือคมมีดที่กรีดแทงจนเป็นแผลในใจ แล้วจะตกสะเก็ดกลายเป็นแผลเป็นที่คอยย้ำเตือนเจ้าของรอยนั้น
แผลกายหายง่าย แต่แผลใจต้องใช้กี่ปีจึงจะหาย!
และแน่นอน…ภควัตรเองก็ไม่ได้อยากให้ชีวิตของเด็กน้อยที่น่ารักต้องมีบาดแผลเหล่านั้น และด้วยกลัวว่าวันหนึ่งมันจะทำให้รอยยิ้มที่แสนซื่อจางหายและมีริ้วรอยของความโศกตรมเข้ามาแทนที่ ภควัตรจึงตัดสินใจได้ในตอนนั้นเอง!
“ยันเด็กไม่มีพ่อ อย่าเข้ามานะ”
“หนอนเน่า!”
แล้วเด็กหญิงอลีนาก็ถูกผลักเข้าที่อกอีกครั้งจนเซ แต่ก็เร็วเท่าความคิดเพราะก่อนที่ร่างน้อยๆ จะล้มหงายหลังคนที่กำลังเดินเข้ามาหมายจะค่อย ๆ พูดไม่ให้เด็กกลุ่มนั้นว่าเพื่อนก็รีบกระโดดไปคว้าตัวของเธอเอาไว้ทันทีแล้วดึงมากอดแนบแน่น
แต่กระนั้นหนึ่งในเด็กที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ยังว่า “คุณน้าอย่าไปยุ่งกับยัยหนอนเน่านี่นะคะ”
“ทำไมล่ะครับ?”
แม้จะนึกโมโหอยู่มาก แต่เมื่อสำนึกได้ว่าถึงอย่างไรคู่สนทนาของตนก็คือผู้ที่มีทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิที่อ่อนกว่า ภควัตรถก็รีบข่มความขุ่นมัวของตนเสียแล้วจึงถามขึ้นอย่างดูใจเย็น “ทำไมพวกหนูถึงได้ว่าเพื่อนแบบนั้นล่ะ?”
“หนูไม่ได้ว่ามั่ว ๆ นะคะคุณน้า”
“ใช่ค่ะ” เด็กอีกตนช่วยเสริม “แต่เด็กคนนี้ไม่มีพ่อจริง ๆ”
“ไม่มีพ่อแล้วเป็นเพื่อนกับพวกหนูไม่ได้เหรอครับ?” คนโตกว่าหยั่งเชิงต่อ
แล้วเด็กน้อยที่คิดแค่ว่าถ้าแตกต่างก็เข้ากลุ่มไม่ได้ก็ตอบไปตามประสาซื่อ “ไม่ได้ค่ะ คนไม่มีพ่อคือคนประหลาด”
“ใช่ ๆ ค่ะ คุณยายบอกว่าตัวประหลาดเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ ไม่ให้เข้าใกล้ค่ะ”
นี่เขาควรจะโกรธ หรือว่าขำก่อนดี
ไม่สิ…ในฐานะคนโตที่รู้อะไรดีทุกอย่าง ภควัตรต้องหาทางอธิบายเรื่องนี้ให้เด็กน้อยที่มุงอยู่รอบ ๆ เข้าใจอย่างง่ายที่สุดต่างหาก
ยากจังถ้ามีมุกลิณญ์อยู่ด้วยเรื่องคงง่ายกว่านี้เยอะ!
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เด็กหญิงตัวน้อยที่เขาเองก็เชื่อไปแล้วเกินครึ่งว่าเป็นลูกของตนต้องถูกกลุ่มเพื่อนรังแก ภควัตรจึงจำต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการยืดอกรับไปพลางก่อน
“น้าเป็นพ่อของน้องอันนาเองแหละครับ!”
ความคิดเห็น