คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 9
บทที่ 9
โรสิตาที่เริ่มได้สติจึงรีบผละออก ก่อนจะเชิดหน้า มองตรง แล้วยอกย้อนด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทางกระด้าง “เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
“ไม่สนิท!?” แล้วภควัตรก็กระตุกยิ้มหวังพรางความรู้สึกหน่วง ๆ ที่มีในใจแถมยังแสดงความใจกว้างออกมาซึ่งหน้า “อ้อ งั้นไม่เป็นไร แต่…ต่อไปนี้ผมอนุญาตให้คุณเรียกผมว่าพี่แล้วกัน เราจะได้สนิทกันมากขึ้น คุณว่าดีไหม?”
“ไม่ดี เพราะว่าฉันไม่ได้อยากสนิทกับคุณ”
“อะไรกันครับคุณโรสิตา” คราวนี้คนพูดมองหน้าของเธออย่างจงใจจะยั่วอารมณ์ และชื่อที่เรียกเสียเป็นทางการนั้นก็เพื่อให้เห็นถึงการประชดประชันและตัดพ้อ “เมื่อก่อนผมว่าคุณเฟรนด์ลี่กว่านี้ไม่ใช่เหรอครับ?”
“แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่!”
ซึ่งภควัตรเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามีสาเหตุใดบ้างที่จะทำให้คนที่เคยรักกันนักหนาแปรเปลี่ยนมาเป็นเมินหน้าใส่กันราวกับไม่เคยมีเยื่อใยต่อกันเฉกนี้
แต่ช่างเถอะ!โรสิตาจะหมดรักเขาด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง แต่เขายังรักเธออยู่ และก็ถึงเวลาแล้วที่ภควัตรต้องแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าแค่น้ำเสียงที่แข็งกร้าว กับการเมินหน้าแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
คิดได้อย่างนั้นภควัตรจึงดึงเก้าอี้ตรงหน้าออกมานั่งอย่างสบายใจ พลางพูดต่อแจ้ว ๆ “เอาละ ถึงพี่จะไม่รู้ว่าโรสไม่ชอบพี่เรื่องอะไร แต่ก็ขอให้ทนเบื่อหน้าพี่หน่อยแล้วกันนะเพราะว่าพี่รับปากกับมุกไว้แล้วว่าพี่จะมาส่งและคอยรับมุกทุกครั้งที่มุกมาที่นี่”
คำพูดกับแววตาที่สวนทางกันมีหรือโรสิตาจะดูไม่ออก และเธอก็รู้อีกว่าเขาคนนี้ใช้มุกลิณญ์เป็นข้ออ้างเพื่อมาพบกับตนเท่านั้น
ไม่เห็นจะใช่เรื่องที่น่าดีใจเลยสักนิด!
“ฉันไม่ได้ไม่ชอบคุณค่ะคุณภีม” โรสิตาสะบัดเสียงใส่ “แต่ฉันเกลียดคุณ!”
ก็ช่วยไม่ได้! ถึงเธอจะพูดว่าอย่างนั้นแต่ภควัตรก็คงไม่เลิกล้มความตั้งใจเดิมง่าย ๆ หรอกเขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะเป็นเงาตามตัวเธอแบบนี้แหละ ไม่ว่าโรสิตาจะมองเป็นเงาแบบไหนก็ช่าง แค่สุดท้ายได้อยู่ใกล้ ๆ กับเธอ ได้มองเห็นความเป็นไปของเธอ เท่านี้ภควัตรก็ถือว่าคุ้ม
ซึ่ง...หึ! ให้ตายเถอะ โรสิตาไม่ชอบให้เขามานั่งมองเธอแบบนี้เลย
แบบไหนน่ะหรือ ก็มองด้วยแววตาที่หวานซึ้ง กับทำเหมือนไม่ได้ยินคำก่นด่าของตนนี่อย่างไร
ได้...เมื่อเห็นว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลแน่ โรสิตาจึงตัดสินใจใช้ไม้แข็งโดยการวางหน้าตาขึงขัง จริงจังพร้อมกับกดเสียงต่ำ “ออกไป ร้านนี้ไม่ต้อนรับคุณ!”
“ไม่ต้อนรับอะไร เมื่อกี้โรสยังบอกอยู่เลยไม่ใช่หรือครับว่าเชิญนั่งก่อน นี่พี่ก็ทำตามที่โรสบอกทุกอย่างเลยนะครับ” ขณะที่ปากพูดมือของภควัตรก็พลิกบัตรรายการไปมา จากนั้นจึงฉายยิ้มเจ้าเล่ห์ “โรสช่วยทำขนมให้พี่กินหน่อยสิ”
“ทำไมฉันต้องทำให้คุณกินด้วยคะ”
เห็นโรสิตายิ่งหัวเสีย ภควัตรกลับยิ่งรู้สึกสนุก เช่นนั้นเขาจึงหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วว่า “พี่ไม่ได้มาขอกินฟรี ๆ นะครับโรส”
“ไม่ขาย!” แล้วคนที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งก็ขยายความให้ “ฉันไม่ขายให้คุณ เก็ทนะ”
“ไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าอะไรไม่ทราบ?”
คราวนี้ภควัตรแกล้งทำเป็นกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อให้ลูกค้าในร้านสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ แล้วจึงเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อย “ก็ดู ๆ แล้วผมก็มีสองมือสองเท้าเหมือนคนอื่น ๆ น่ะ แล้วทำไมคุณเจ้าของร้านถึงต้องเลือกปฏิบัติโดยการไม่ยอมขายของในร้านให้ผมด้วยล่ะครับ”
พูดจบ ทุกสายตาก็ทอดมามองโรสิตาพร้อมกับคำถาม นั่นทำให้คนที่ยืนตีหน้ายักษ์อยู่รู้สึกเคืองไม่น้อยทีเดียว แต่เพราะไม่ได้อยู่กับภควัตรเพียงลำพังโรสิตาจึงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากเม้มปากกัดฟันกรอด ๆ อย่างเอาเรื่อง
“ว่าไงล่ะครับ”
“ความวุ่นวายทำไม?”
แล้วคนที่เพิ่งถูกดุไปหมาด ๆ ก็กระตุกยิ้มแล้วถามกลับ “ถ้าผมนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ คุณโรสิตาจะเข้าไปทำขนมมาให้ผมใช่ไหมครับ”
โรสิตาไม่อยากตอบรับข้อเสนอเช่นนั้น แต่ถ้ามันจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้อีกฝ่ายหยุดป่วนเธอยอมให้ครั้งหนึ่งก็ได้
แล้วสาวเจ้าของร้านก็หยิบกระดาษปากกาขึ้นมาเตรียมจดรายการขนมตามที่เขาสั่ง แต่กระนั้นภควัตรที่ทอดมองท่าทีกระวีกระวาดอยู่อย่างไม่ยอมละสายตากลับยื่นบัตรรายการให้พร้อมพูดแทรกขึ้น “ไม่ต้องจดหรอกครับ เพราะผมเหมาหมดนี่แหละ!”
ชั่วครู่ ขนมทุกชนิดที่มีในร้านก็ถูกนำมาวางเรียงกันไว้จนเต็มโต๊ะจนชะเอมเองยังอดสงสัยไม่ได้จึงหันไปกระซิบถาม “จะกินหมดเหรอน่ะ” แต่โรสิตาก็หาได้สนใจไม่ เธอจะต้องเป็นกังวลแทนเขาไปทำไม…ถ้านี่ทำให้ภควัตรสงบลงได้และเธอเองก็ได้เงินตามค่าสินค้าตรงหน้า ก็ถือเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ส่วนเรื่องอื่นย่อมอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่เจ้าของร้านอย่างตนต้องรับรู้ทั้งสิ้น
ทว่าภควัตรกลับไม่คิดอย่างนั้น! เขากวาดตามองขนมหวานมากมายที่วางเรียงรายอย่างที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวันไหนจะรับประทานหมด แต่ก็ยังมีอารมณ์เผยยิ้มกว้างอย่างพึงใจ
“นั่งลงก่อนสิครับ”
โรสตาไม่เข้าใจ แล้วคงไม่เสียเวลาทำความเข้าใจด้วยว่าภควัตรต้องการอะไรกันแน่ แล้วเธอก็จะเลิกสนใจเขาแล้วด้วย
แต่… “ช่วยพี่กินหน่อย”
“นี่คุณภควัตร! คุณต้องการอะไรกันแน่คะ?”
“ผมแค่ต้องการคุณ!”
น้ำเสียงแผ่วเบาทว่าคงความหนักแน่นนั้นทำให้คนฟังอึ้งไปชั่วขณะจิตหนึ่ง โรสิตาเองก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าแท้จริงแล้วตนเองก็โหยหาอาลัยในตัวของเขาไม่ต่างกัน แต่…ยังจะมีประโยชน์อะไรอีกในเมื่อตอนนี้เขาเองก็มีใครอีกคนที่เพียบพร้อมกว่า แล้วเธอที่เดินออกมาเองยังจะมีหน้าเข้าไปแทรกกลางได้อีกหรือ…
ดังนั้นเจ้าของดวงหน้าที่เรียบเฉยจึงย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระด้าง “แต่ที่นี่ไม่มีบริการนั่งเป็นเพื่อนลูกค้า ถ้าคุณต้องการแบบนั้นคงต้องไปหาใช้บริการที่อื่นแล้วล่ะค่ะ” ทั้งยังทิ้งท้าย “ขอตัวนะคะ!”
เพียงเห็นคนตรงหน้ากำลังตีตัวออกหากโดยการถอยหนี ใจภควัตรก็แทบจะหล่นฮวบลงไปกองกับพื้นให้ได้ แล้วใจที่เคยเจ็บเจียนบ้าทั้งยังบอกตัวเองว่าจะไม่ยอมเจ็บช้ำอีกเด็ดขาดจึงสั่งให้มือข้างขวาฉวยข้อมือข้างซ้ายของโรสิตาเอาไว้ทันที
“เดี๋ยวสิโรส”
“ปล่อย!”
แม้เจ้าตัวจะพยายามหมุนข้อมือไปมาเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของคนตรงหน้า หากแต่แรงของโรสิตาไม่มีทางสู้แรงของภควัตรที่ถ่ายโอนมาเพียงแค่ครึ่งเดียวได้ หากแต่สิ่งที่ทำให้เขาค่อย ๆ คลายข้อมือที่ขาวผ่องนั้นก็คงจะเป็นสายตาที่บอกชัดว่าไม่ชอบใจซึ่งตรงเข้ามาประสาน
และสุดท้ายเมื่อเห็นโรสิตากำลังเดินหนีออกไปทางหลังร้าน ภควัตรก็อดรนทนไม่ได้รีบวิ่งตาไปทันที
“โรส คอยพี่ก่อน”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้รับฟัง ทำให้เจ้าของฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าเกือบใจอ่อน เพราะว่าแท้จริงแล้วโรสิตาเองก็อยากอยู่ข้าง ๆ ภควัตรเหลือเกิน แต่สุดท้ายก็เลือกทำตรงข้ามกับความรู้สึก
ก็ถูกแล้ว…ชีวิตควรเดินไปข้างหน้าเพียงเท่านั้น!
“โรส…” น้ำเสียงนี้ช่างสั่นเครือและร้าวราน แม้คำตอบจะเป็นอย่างไรภควัตรก็ยังอยากรู้อยู่ดี “ทำไมต้องหนีพี่ไปด้วย พี่…ทำอะไรผิดขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ไม่…เขาไม่ผิด “ฉันต่างหากที่ผิด ฉันไม่คู่ควรกับคุณ กลับไปซะ…ฉันไม่ใช่คนที่คุณสมควรจะมาสนใจด้วยซ้ำ”
“ทำไมล่ะโรส ก็ในเมื่อโรสคือคนเดียวที่พี่รักแล้วทำไมพี่จะสนใจไม่ได้…ตอบมาสิโรสว่าทำไม?”
หูที่อื้ออึงไม่รับรู้ทุกคำที่ตัดพ้อ แต่แปลก…ในความอื้ออึงนั้นโรสตากลับรับรู้ถึงคำว่า 'คนเดียวที่รัก' ได้โดยกระจ่างแจ้ง เพราะมันคือคำเดียวที่หาบ่อยเลี้ยงหัวใจที่ห่อเหี่ยวมาหลายปีให้ฉ่ำโชกไปด้วยความหวังอีกครั้ง
แค่มีความรักที่ซ่อนลึกสุดใจเป็นสิ่งหล่อเลี้ยง เท่านี้ก็พอใจมากแล้ว
เพราะว่าในความรัก...บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องส่งผ่านกันด้วยเสียง หากใช้เพียงการสัมผัสก็ย่อมรับรู้ถึงมันได้
“พอเถอะค่ะพี่ภีม เรื่องของเรา…มันจบไปนานแล้ว”
คำ 'พี่ภีม' คือเครื่องยืนยันว่าเขายังดำรงอยู่ในใจของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นภควัตรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแท้จริงแล้วโรสิตาคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่
“จบ” อย่างนั้นหรือ “จบอะไรกันโรส เราเพิ่งจะเริ่มต้น เรากำลังจะเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ?”
ครอบครัว…หึ! ครอบครัวที่ผู้ใหญ่ไม่เห็นดีเห็นงามด้วยน่ะหรือจะสุขสันต์ สู้ให้เธออยู่กันกับลูกไปตามวิถีของพวกเธอแบบนี้ดีกว่า
“ไม่ค่ะ เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ได้”
“ทำไมล่ะโรส ก็…เรารักกัน”
“มันไม่ใช่แค่นั้น” โรสิตาเว้นจังหวะเพื่อสูดหายใจให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่เท้าข้างหนึ่งก้าวถอยหลังอย่างยากเย็นยิ่ง “คุณ…รบกวนอย่าถามอะไรฉันนักเลยค่ะ”
“ถ้างั้นพี่ขอถามอะไรหน่อยสิ แล้วพี่…จะไม่ถามอะไรโรสอีก”
คำว่าไม่ถามอีกย่อมทำให้โรสตารู้สึกใจหายไม่น้อย แต่ก็…ช่างสิเดี๋ยวก็ลืมได้เองนั่นแหละ
“น้องอันนาใช่ลูกเราสองคนใช่ไหมโรส?”
คำถามของคนที่เพิ่งวกกลับมาเจอกันอีกครั้งทำให้คนฟังนิ่งงันไปฟังหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นมือหนา ๆ ก็ยังยกขึ้นกุมไหล่ทั้งสองข้างพลางเขย่า ขณะที่สายตามองลึกมีแววกดดันซ่อนไว้ โรสิตาที่แม้จะใจหายไม่น้อยที่คำตอบในใจอาจทำให้คนตรงหน้าหลุดลอยไปอีกครั้ง ทว่าเมื่อเลือกแล้วบนดวงหน้าสวยจึงมีรอยยิ้มมุมปากที่ซ่อนไว้ด้วยความชอกช้ำอย่างที่สุดฉาบฉาย
“ไม่ใช่!”
แม้ว่าคำตอบนั้นจะเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดอย่างที่คนฟังไม่คาดคิดว่าจะได้ยินมาก่อน แต่กระนั้นภควัตรก็ยังอยากรู้
“แล้ว...”
“พี่ภีม”
ยังไม่ทันที่ภควัตรจะถามต่อ มุกลิณญ์ก็เดินเข้ามาพอดีพร้อมกับเด็กหญิงอลีนาที่เมื่อเห็นภควัตรยืนอยู่กับมารดาของตนก็ดีใจยกใหญ่ก่อนจะยกมือไหว้แล้วรีบเดินไปกอดเอวเขาทันทีพร้อมกับชวนคุยแจ้ว ๆ จนชายหนุ่มเองก็ยังนึกฉงนว่าตกลงเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกเองคนตรงหน้ากับตนจริง ๆ น่ะหรือ
ซึ่งภาพนั้นเป็นที่ขัดตาโรสิตาไม่น้อยทีเดียว!
เธออยากให้เขากลับ ๆ ไปซะทว่ามารดาไม่คิดอย่างนั้น ด้วยทันทีที่พนิตาเดินออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแช่มชื่นทั้งยังเอื้อมมือไปฉวยมือของมุกลิณญ์มากุมหลวม ๆ “หนูมุกอยู่ทานข้าวกลางวันด้วยกันก่อนสิคะ ป้าทำกับข้าวเผื่อด้วยหลายอย่างเลยค่ะ”
เห็นคุณยายว่าอย่างนั้น เด็กหญิงตัวน้อยที่รักครูของตนอยู่พอควรก็เดินมาเขย่ามือนุ่ม ๆ “อยู่ทานข้าวกับอันนาก่อนนะคะครูพี่มุก”
โรสิตาไม่ได้ติดใจอะไรกับมุกลิณญ์ เธอยินดีด้วยซ้ำหากครูของบุตรสาวจะอยู่รับประทานอาหารร่วมกันกับครอบครัวของตนอีกคนหนึ่ง แต่กับคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นไม่ใช่!
“พี่ภีมว่าไงคะ จะรีบไปไหนหรือเปล่า”
ทีแรก ภควัตรก็ชั่งใจอยู่เช่นกัน แต่ทันทีที่เห็นชะเอมเดินเข้านำใครอีกสองคนเข้ามาด้วยโดยทันทีที่รามิลเห็นโรสิตายืนอยู่เขาก็เข้าไปทักทายคุณยายบุญเรือนกับพนิตาทันที ทั้งยังยื่นถุงกระดาษใบใหญ่ให้ ภควัตรก็หันไปพยักหน้ากับมุกลิณญ์ทันที
“อะไรหรือคะ?”
“ห่อหมกปูม้ากับน้ำพริกแมงดาทะเลครับ แล้วก็อาหารทะเลสองสามอย่างครับ” คนมาใหม่พูดพลางหันไปหาเด็กหญิงอลีนาที่ยังคงยืนเกาะข้อมือของมุกลิณญ์อยู่ พร้อมกับยิ้มให้แล้วว่า “มีของน้องอันนาด้วยนะครับ นี่...สร้อยเปลือกหอยอันนาชอบไหมครับ”
เด็กหญิงอลีนารู้สึกไม่ชอบสิ่งที่รามิลซื้อมาให้เลย ในความคิดของเธอสร้อยที่เขาให้มันดูแปลก ๆ ไม่เห็นจะสวยสักนิด กระนั้นเจ้าตัวจึงเงยหน้าขึ้นมองมุกลิณญ์เพื่อขอคำปรึกษา คนโตกว่าจึงคลี่ยิ้มแล้วว่า
“ผู้ใหญ่ให้ของหนูต้องรับไว้นะคะ เดี๋ยวท่านจะเสียน้ำใจ”
“แต่ว่า...”
คราวนี้มุกลิณญ์นั่งยองพลางกระซิบบอก “รับไว้ก่อนเถอะจ้ะ ถ้าหนูไม่อยากใส่ก็แค่เก็บไว้เฉย ๆ หรือแอบเอาไปให้เพื่อนทีหลังก็ได้”
แล้วเด็กหญิงอลีนาก็เดินไปรับสิ่งนั้นจากมือของรามิลอย่างเก้ ๆ กัง ๆ พร้อมกับยกมือไหว้แล้วรีบวิ่งไปหาพนิตาทันที
ไม่ใช่เวลาสืบเสาะหาความ เพราะเมื่อรามิลกับน้ำหนึ่งมาเยือนทั้งยังมีของติดไม้ติดมือด้วย ทั้งคู่ที่มารดาอนุมานไว้ก่อนว่าเป็นแขกของบุตรสาวก็คือคนที่เธอในฐานะเจ้าบ้านต้องทำหน้าที่ในการต้อนรับขับสู้ และเมื่อคิดได้อย่างนั้นพนิตาที่อุ้มหลานสาวตัวน้อยแนบอกอยู่จึงเอ่ย
“คุณ...”
“ผมชื่อรามิลครับ ส่วนนี่น้องสาวของผม...ชื่อน้ำหนึ่ง”
“เอ้อ...นั่นแหละค่ะ รีบไหมถ้าไม่รีบก็เชิญอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันก่อนสิคะ”
แม้คำชวนนั้นจะมีผลต่อจิตใจของคนถูกชวนได้ไม่น้อย ทว่าต่อหน้าผู้ใหญ่รามิลก็ต้องคงไว้ด้วยกิริยาที่สำรวมยิ่ง “ขอบคุณมากครับคุณน้า ผมคงต้องขอฝากท้องที่บ้านของคุณสักมื้อนะครับคุณโรส”
แล้วโรสิตาก็ปรายตาไปทางภควัตรทีหนึ่ง ก่อนจะหันมายิ้มพรายกับรามิลราวไม่สะทกสะท้าน “ด้วยความยินดีค่ะ” แถมยังเดินเคียงกับขาเข้าไปอีก
“อันนาไม่ค่อยชอบลุงคนนั้นเลยค่ะ”
เสียงกระซิบบ่นแจ้ว ๆ ของลูกศิษย์ตัวจิ๋วทำมุกลิณญ์นึกหลากใจขึ้นมาเล็กน้อย โดยที่เจ้าตัวมิได้ฉงนจึงไม่ได้หันไปดูภควัตรที่เดินตามหลังมาติด ๆ ที่บัดนี้กระตุกยิ้มอย่างจงใจจะเย้ยผู้มาใหม่ เจ้าหล่อนจึงขมวดคิ้วแล้วค่อย ๆ ถาม
“ทำไมล่ะคะ?”
แล้วเด็กน้อยหน้ามุ่ยก็ว่า “ก็เขาชอบอยู่ใกล้คุณแม่โรสของอันนาไงคะครูพี่มุก”
เด็กหญิงอลีนายังเด็กเกินกว่าที่จะอธิบายความรู้สึกในใจออกมาเป็นคำพูดได้ทั้งหมด ส่วนมุกลิณญ์ก็รู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะไปถามว่าพ่อของหนูไปไหน แต่เธอเข้าใจเพราะมารดาของตนก็เป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว ความรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครเข้ามาแทรกกลางในความสัมพันธ์แม่ลูกเธอแบบที่อลีนากำลังรู้สึกอยู่นี้...มุกลิณญ์เข้าดีที่สุด ฉะนั้นคนที่รู้ใจกันดีจึงพูดไปก็พลางหัวเราะไป “ที่แท้ก็หวงคุณแม่นี่เอง”
การมาเยือนพร้อมกันของสองอาคันตุกะกับอีกสองคนแปลกหน้าโดยไม่ได้นัดหมายนำความครึ้มอกครึ้มใจมาสู่คุณยายบุญเรือนไม่น้อยทีเดียว โต๊ะไม้สักทรงรีสลักลายตรงขอบด้วยฝีมือช่างโบราณซึ่งเป็นสมบัติสืบทอดมาแต่ครั้งคุณบิดาของคุณยายบัดนี้มากด้วยอาหารไทยง่าย ๆ หากแต่ประณีตหลายอย่าง ได้แก่น้ำพริกปลาทู ผัก แกงส้มชะอมชุบไข่ทอดผสมดอกกะหล่ำกับต้มจืดหมูสับใส่เต้าหู้ไข่และสาหร่าย
บริเวณหัวโต๊ะมีคุณยายบุญเรือนนั่งอยู่ ถัดมาทางด้านขวามือเป็นพนิตาและโรสิตานั่งเคียงกัน ห่างออกไปถึงเป็นน้ำหนึ่ง ส่วนด้านซ้ายคือมุกลิณญ์ที่นั่งประกบข้างคุณยายด้วยเป็นคนที่คุณยายเอื้อเอ็นดูอย่างมากอีกคนหนึ่ง ส่วนภควัตรและรามิลนั้นนั่งปิดท้ายตามลำดับ
ซึ่งก็หมายความว่าทั้งภควัตรและโรสิตาต่างนั่งประจันหน้ากันราวตั้งใจ!
กระนั้นดวงหน้าของคนทั้งสองยังคงนิ่ง เรียบ ไร้รอยพิรุธที่จะเผยให้เห็น และท่ามกลางเสียงของคุณยายบุญเรือนที่ชวนทั้งหลานแท้และผู้อ่อนวัยกว่าคุยแจ้ว สายตาสองคู่ที่ทอดประสานกันกลับเปี่ยมไปด้วยความคิดขัดแย้งกันไปมาดังอยู่ภายในใจ
“ผักครับคุณโรส”
เป็นรามิลที่เอื้อมมือไปตักชะอมทอดในน้ำแกงที่อยู่ตรงหน้าของพนิตามาวางบนจานให้โรสิตาเสร็จสรรพ โดยไม่สนใจคุณยายบุญเรือนซึ่งเหล่มองตามด้วยความสงสัย แต่กระนั้นผู้อาวุโสก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าหันมายิ้มเขิน ๆ กับมุกลิณญ์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อแก้เก้อ
เป็นภควัตรเสียอีกที่ปรายตามองชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความขัดขึง
ส่วนโรสิตาเมื่อสังเกตเห็นแววของความไม่พอใจฉายขึ้นบนนัยน์ตาของภควัตร ก็รีบขอบคุณรามิลยกใหญ่ ไม่เพียงท่านั้นเธอยังเอี้ยวตัวมาตักต้มจืดสาหร่ายทะเลที่อยู่ตรงหน้าภควัตรให้เขาคืนด้วย
“ต้มจืดค่ะคุณรามิล ถ้วยนี้โรสตั้งใจทำเองกับมือเชียวนะคะ”
เท่านั้น ภควัตรก็ยื่นแขนไปตักต้มที่ว่ามาใส่บนจานข้าวของตัวเองทันที แล้วเขาก็รับประทานเพียงสิ่งนั้นสิ่งเดียวจนจบมื้ออาหาร
มุกลิณญ์เห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบถาม “นี่พี่ภีมชอบทานสาหร่ายตั้งแต่เมื่อไรกันคะ?”
“อ้อ...”
ถึงเขาจะไม่พูดอะไร ทว่าโรสิตาก็รู้ดี เธอจึงปรามาสในใจ มันน่าแกล้งใส่น้ำปลาให้เค็มไส้ขาดนัก
ความคิดเห็น