ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมใจปรารถนา (มี E-book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 64


    บทที่ 6 

     

    มุกลิณญ์ที่ยืนอยู่ตรงทางออกของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเม้มปาก กลอกตามองภาพของรถยนต์บนถนนที่สัญจรไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเดินเข้าร้านกาแฟไปหาอะไรทานแก้เซ็งไปตามเรื่อง

    เห็นว่าต้นสายเงียบไปรามิลจึงเลื่อนโทรศัพท์ที่แนบหูลงมาดูก็พบว่ามุกลิณญ์ตัดสายทิ้งไปแล้ว เขาที่นั่งอยู่ก็ได้แต่งงไปชั่วครู่ จนน้ำหนึ่งถือจานผัดมักกะโรนีออกมายื่นให้แล้วยื่นหน้าบอก

    “อื้อ...กินซะ”

    “ไม่ล่ะ”

    เห็นรามิลหน้าบึ้งตึง ทั้งยังเลื่อนจานที่ภายในมีอาหารซึ่งเธอตั้งทำอย่างสุดฝีมือไปทางอื่นอย่างไม่ไยดี น้ำหนึ่งก็อดแปลกใจไม่ได้ เธอจึงยกมือเกยคางพลางพิศมองหน้าพี่ชายที่ดูจะไม่สบอารมณ์กับทุกสิ่งตรงหน้าแล้วทัก “เป็นอะไรอีกล่ะคะ?”

    “ผิดแผนนิดหน่อยน่ะ”

    “ผิดแผน!” น้ำหนึ่งมองหน้าหล่อที่เซ็ง ๆ ของพี่ชายพลางหัวเราะ ช่วยไม่ได้ก็หน้าเฝื่อน ๆ ของรามิลในตอนนี้มันน่าขำจริง ๆ นี่นา “นี่พี่มิลมีแผนอะไรคะ?”

    รามิลมองหน้าตาระรื่นที่อยากจะสมน้ำหน้าเขาอยู่เต็มแก่ของน้องสาวตัวดีแล้วก็อยากจะเขกหน้าผากสักทีสองทีเพื่อเป็นการสั่งสอน หากแต่ชั่วอึดใจที่ยกมือขึ้นเหนือพื้นโต๊ะเพียงเล็กน้อยชายหนุ่มก็ตัดสินใจวางมันเสียก่อน เขาถลนตาใส่น้ำหนึ่งให้หยุดขำจากนั้นจึงยอมเล่าถึงแผนการแอบสลับโทรศัพท์ของโรสตาที่หล่นลงพื้นอย่างว่องไวขณะช่วยอีกฝ่ายเก็บของออกมาจนหมดเปลือก

    รามิลแอบคาดหวัง ไม่สิ! ต้องบอกตั้งตารอต่างหาก เขารอให้โรสตาโทรมาตามหาโทรศัพท์ของเธอซึ่งอยู่ที่เขา เพื่อเขาจะได้หาทางนัดเจอกับเธออีกครั้งโดยการใช้ของที่อยู่ในมือเป็นข้ออ้าง

    แต่แล้วก็ผิดคาด และนี่เองคือเหตุผลที่น้ำหนึ่งต้องมานั่งฟังรามิลบ่นพึมพำ “แล้วดูสิยัยหนึ่ง นอกจากคุณโรสจะไม่โทรมานะ ยังจะมีใครก็ไม่รู้โทรมาด่าอีก”

    “ใครคะ?”

    “ไม่รู้!”

    แต่กระนั้นคนเป็นน้องที่เคยทักท้วงแล้วว่าคิดดีแล้วหรือที่จะมุ่งหน้าจีบโรสิตาด้วยวิธีรุกหนักเช่นนี้แต่เขาก็ไม่ฟังกลับยื่นหน้าเขามาหาอย่างอารมณ์ดีกว่าปกติ แถมเจ้าตัวยังว่า “สมน้ำหน้าค่ะ”

    “อะไรของแกยัยหนึ่ง”

    แล้วน้ำหนึ่งที่กำลังใช้ช้อนตักซอสมาใส่ลงบนผัดมักกะโรนีตรงหน้าก็ขยายความให้ “แล้วมีอย่างที่ไหนไปสลับโทรศัพท์เขามาแบบนี้คะ แล้วนี่ถ้าเขามีธุระด่วนทำไง?”

    “ไม่รู้...”

    “ถามอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้” แล้วน้องสาวที่บัดนี้ได้ตั้งตัวเป็นแม่คนที่สองของเขาแบบกลาย ๆ ก็ค่อนว่า “แล้วที่ทำไปเนี่ยได้สำนึกบ้างไหมคะ”

    สำนึกสิ...ทำไมจะไม่สำนึก แต่ก็จะให้ทำไงได้

    แล้วคนที่กำลังโมโหแล้วพาลให้หิวก็ดึงจานที่วางอยู่เข้าหาตัว พร้อมกับสะบัดเสียงบอก “เอามานี"่">”

    น้ำหนึ่งมองจานใบเดียวกันกับที่รามิลผลักไสอย่างไม่ไยดีเมื่อครู่ เธอก็แต่เกาศีรษะแกรก ๆ แล้วทักขึ้น “เย็นหมดแล้ว มาเดี๋ยวหนึ่งเอาไปเวฟให้ใหม่”

    เมื่อถูกน้ำหนึ่งแย่งคืน รามิลก็ดึงจานนั้นกลับเข้าหาตัวอีกครั้งทั้งยังว่า “ไม่ต้อง กินได้” เขาถอนหายใจแล้วจึงบ่นพึมพำไปเรื่อยเปื่อย “เพราะคงไม่มีอะไรน่าเซ็งไปกว่าแผนการที่แยบยลกลับต้องมาพังยับไม่เป็นท่าแล้วล่ะน่า”

     

    เพราะว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง มุกลิณญ์จึงอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ และเมื่อต่อสายหาพิมพ์พิชชาที่เป็นคนต้นเรื่องเจ้าตัวกลับไม่ว่างที่จะรับสายอีก มุกลิณญ์ก็ทำใจว่าคงต้องปล่อยลูกค้าคนสำคัญที่เพื่อนสาวพยายามยัดเยียดให้ไปตามยถากรรมแล้ว

    แต่ทว่าครึ่งชั่วโมงต่อมาเมื่อหญิงสาวกำลังเปิดไอแพดเพื่อดูซีรีส์ที่ค้างอยู่พิมพ์พิชชาที่เพิ่งเลิกงานและพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับค้างอยู่นับได้สิบกว่าสายเจ้าหล่อนจึงรีบรุดต่อสายกลับทันที

    “ว่าไงยะยัยพิมมี่”

    เมื่อคนที่นอนพังพาบอยู่บนเตียงเริ่มมีเสียงขุ่น พิมพ์พิชชาก็รีบแจงเหตุผลโดยด่วน “ซอร์รี่ที่ไม่ได้รับสายแกนะมุก พอดีว่าฉันเพิ่งเลิกงานจ้ะคุณนาย ว่าแต่ที่โทร.รัวมาเหมือนกลัวฉันเบี้ยวหนี้เนี่ยมีธุระอะไรไม่ทราบยะ?”

    “ก็คุณโรสิตารุ่นพี่ของแกน่ะสิ อะไรไหนบอกรีบ แล้วทำไมพอฉันโทร.ไปกลับมีผู้ชายรับแถมยังพูดจาวน ๆ ใส่อีก” แล้วคนที่พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นแล้วก็อดโมโหไม่ได้มุกลิณญ์จึงบ่นให้ “ตกลงบ้านนี้เขายังไงกันนะ”

    ทีแรกพิมพ์พิชชากะจะเดากลับไปว่าคงมีคนรับแทนละมั้ง แต่ครั้นมานั่งตริตรองดูอีกทีก็ระลึกได้ว่าบ้านหลังนั้นไม่มีผู้ชายอาศัยอยู่ พนักงานต้อนรับสาวจึงถามกลับด้วยความฉงน

    “เดี๋ยวนะมุก แกบอกว่าผู้ชายรับงั้นเหรอ?”

    “อืม…”

    “โทร.ผิดหรือเปล่า”

    เมื่อมุกลิณญ์ทวนหมายเลขโทรศัพท์ที่พิมพ์พิชชาส่งมาให้ก็ได้รับการยืนยันว่าตรงกัน คนที่อยู่ห่างกันคนละทวีปจึงวางสายจากต้นสายก่อน แล้วลองโทร.เช็กกับเจ้าของเบอร์ให้อีกครั้งหนึ่ง

    เสียงโทรศัพท์เครื่องเดิมที่ดังขึ้นทำให้หัวใจของรามิลเต้นถี่ เขาหันมาบอกน้ำหนึ่งที่กำลังนั่งรับประทานผลไม้อยู่ข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงที่กระชุ่มกระชวยเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง “คราวนี้ไม่ผิดแน่” แล้วจึงรีบกดรับสายทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาหยุดดูชื่อที่แสดงบนหน้าปัดให้มากความอีก แล้วเสียงนุ่มทุ้มก็ทักขึ้นอย่างอารมณ์ดี

    “สวัสดีครับคุณโรส”

    “ไม่ใช่โรสค่ะ”

    น้ำเสียงที่ราบเรียบทว่าเด็ดขาดอยู่ในทีทำให้รามิลสะดุ้งเล็กน้อย เขาเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากใบหูเพื่อดูให้แน่ใจว่าใช่คนที่เพิ่งคุยสายด้วยเมื่อครู่นี้หรือเปล่า และเมื่อเห็นเต็มสองตาว่าไม่ใช่เพราะจำเลขตัวท้ายได้ รามิลจึงสบถออกมาเบา ๆ ด้วยความผิดหวัง “คราวนี้ใครอีกล่ะเนี่ย?”

    ขณะที่รามิลกำลังชั่งใจอยู่ระหว่างคุยต่อกับชิงตัดสายไปเสีย พิมพ์พิชชาที่ไม่ปล่อยให้เขาคิดนานก็รีบซักไซ้ทันควัน “ว่าแต่คุณเถอะค่ะเป็นใคร แล้วเอาโทรศัพท์พี่โรสฉันไปใช้ได้ยังไงคะน่ะ?”

    รามิลลังเลที่จะตอบ เขาหันไปทางน้ำหนึ่งเธอคนนั้นกลับเมินเสียแล้วก็เบี่ยงเบนความสนใจของตนไปที่กีวี่ในจานแก้วใสตรงหน้านั้นเสีย คนที่เหมือนขึ้นไปอยู่บนหลังเสือเลิ่กลั่กอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรามิลที่ไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงแกล้งถามกลับ “คุณ...เป็นน้องสาวของคุณโรสหรือครับ”

    “ใช่!”

    เมื่อพิมพ์พิชชาได้ทีรับสมอ้าง รามิลที่เห็นว่าเป็นโอกาสดีจึงฉวยไว้ทันที “ถ้างั้นผมขอคุยกับพี่สาวของคุณหน่อย”

    แม้รามิลจะร้องขอด้วยความหวัง ทว่าพิมพ์พิชชาที่ไม่สามารถให้ได้เพราะว่าตนก็ปดออกไปเช่นกันกลับรีบชิงตัดสายทันที ทิ้งให้รามิลมุ่นคิ้วเข้าหากันด้วยความงวยงงอยู่ตรงนั้นเอง

    “อะไรของเขานะ”

     

    จนถึงช่วงค่ำโรสิตาก็ยังไม่รู้ตัวว่าโทรศัพท์ของตนโดนสลับ ส่วนพนิตาเมื่อได้รับสายจากพิมพ์พิชชาพร้อมกับแจ้งว่ามีเรื่องด่วนหากโทรศัพท์ของสาวรุ่นพี่กลับไปอยู่ในมือใครไม่รู้ทั้งยังติดต่อไม่ได้ คนเป็นแม่ก็รีบเดินมาเคาะประตูห้องบุตรสาวของตนพลางบอกไปตามที่ต้นสายว่า กระนั้นโรสิตาก็ย้อนกลับ “อ้าว แล้วทำไมเขาไม่โทร.มาหาโรสโดยตรงเลยล่ะคะแม่?”

    “ไม่รู้ซี โทรศัพท์เราน่ะแบตหมดหรือเปล่ายัยโรส”

    ก็เปล่านี่นา…โรสิตาจำได้ว่าตนเพิ่งชาร์จแบตโทรศัพท์จนเต็มตอนก่อนจะออกไปข้างนอกเมื่อบ่ายนี้เองทำไมถึงหมดเร็วนัก แต่กระนั้นเจ้าตัวก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้เพียงลำพังก็เอื้อมไปรับโทรศัพท์จากมือของมารดามาคุยกับปลายสายอย่างว่าง่าย

    ส่วนพิมพ์พิชชาเมื่อได้คุยกับโรสิตา สาวรุ่นน้องก็ฟ้องทันทีว่าถูกรามิลกวนประสาทให้ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเธอต่างหากที่หาเรื่องเขา โรสิตาฟังแล้วก็พอจะลำดับเหตุการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากเธอที่เพียงปรายตาไปมองโทรศัพท์เครื่องที่เข้าใจว่าเป็นของตนมาค่อนวันแล้วก็นิ่งไปเสีย ส่วนพิมพ์พิชชาที่ยังไม่หายห่วงอีกฝ่ายยังเตือนโรสิตาแจ้ว ๆ “พิมมี่ไม่ไว้ใจนายนั่นเลยค่ะ แปลก ๆ พี่โรสระวังตัวไว้ด้วยก็ดีนะคะ” แล้วเธอก็วางสายไปเพราะต้องรีบกลับที่พัก

    ทันทีที่วางสายจากพิมพ์พิชชา โรสิตาจึงใช้โทรศัพท์ของมารดาโทร.เข้าเบอร์ของตนซึ่งยังอยู่ในการครอบครองของรามิลอย่างไม่รีรอ

    การที่มีชื่อบุคคลซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครหรือว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกันกับโรสิตาปรากฏบนหน้าปัดมือถือของเจ้าหล่อนครั้งนี้เป็นครั้งที่สามทำให้รามิลเริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก ก็ใช่สิ…คนโดนผู้หญิงด่าถึงสองคนในเวลาไล่ ๆ กันเริ่มนั่งไม่ติด แล้วรามิลก็หันไปมองน้ำหนึ่งที่เอียงหน้ามองตนอย่างต้องการคำปรึกษาหากแต่เจ้าหล่อนกลับเพียงยักไหล่ให้เขาทีหนึ่งเป็นเชิง ก็รับสิคะ รามิลก็ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด แล้วจึงพยักหน้า “เอาวะ ลองอีกครั้งก็ได้” ก่อนจะกดรับสาย

    “สวัสดีครับ” คราวนี้รามิลเอ่ยแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “ไม่ทราบว่าใครพูดเหรอครับ?”

    “คุณรามิล...”

    แล้วเจ้าของชื่อก็ฉายยิ้มบนหน้าทันที ก่อนจะขานชื่อของคนที่รอคอยมาหลายชั่วโมงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “คุณโรส...อ้อ คุณโรสโทรมาหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

    คำถามนี้ก็มีเพียงน้ำหนึ่งอีกเช่นกันที่รู้อยู่แก่ใจว่าพี่ชายของตนแกล้งถามเพราะกลัวปากว่างหรืออะไรเธอเองก็ไม่อาจตอบได้

    โรสตาเอียงหน้ามองออกไปข้างนอกผ่านทางช่องหน้าต่างซึ่งบัดนี้มีแสงดาวระยิบระยับพร่างพราวอยู่เต็มท้องฟ้า ขณะที่บนหน้าสวยเองก็เผลอเผยยิ้มที่พึงพอใจนั้นออกมา

    ได้...เขาถามมาแบบนี้ เธอจึงแกล้งถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบบ้าง “อ้าว...แล้วโทรศัพท์ของโรสไม่ได้อยู่ที่คุณเหรอคะ?”

    “อ้อ...” รามิลเลิ่กลั่กตอบไม่ถูก ครั้นมองมาหาน้ำหนึ่งอีกฝ่ายก็ยังคงสนใจกับผลไม้ตรงหน้าไม่ยอมเลิก เขาจึงต้องหาทางต่อบทเอาเอง “คือผมกำลังจะโทรบอกคุณโรสพอดีเลยครับว่าโทรศัพท์ของเราสลับกันที่ลานจอดรถ แต่ว่าหน้าจอโทรศัพท์มันล็อกเลยโทรไม่ได้”

    “คุณก็ยืมโทรศัพท์ของคุณน้ำหนึ่งโทร.มาก่อนก็ได้นี่คะ”

    “ยัยหนึ่งยังไม่กลับบ้านเลยครับ”

    เมื่อรามิลพูดจบน้ำหนึ่งที่นั่งเป็นรูปปั้น ไร้ตัวตนไปชั่วขณะจึงหันขวับมามองแล้วอ้าปากค้าง คิ้วที่ขมวดมุ่นนั้นแทนคำถามมากมายที่อยู่ในหัว

    แล้วที่นั่งอยู่นี่ไม่ใช่คนหรือไง!?

    แต่คนเป็นพี่ก็ทำเป็นไม่สนใจต่อท่าทีนั้นเสีย ก่อนจะแก้เผ็ดโดยการค่อนว่าให้อีก “นี่ก็เย็นแล้วยัยหนึ่งยังไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ไม่รู้นะครับบ้านช่องไม่ยอมกลับ”

    “อะไร!”

    เมื่อน้ำหนึ่งกระซิบดุ รามิลจึงจุ๊ปากพร้อมกับขยับปากให้หญิงสาวอ่านเอาเอง “เงียบไปเลย!”

    “คุณรามิลคะ ถ้างั้น...”

    รามิลไม่รู้ว่าโรสิตาจะว่าอย่างไร แต่เหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น คือการที่อีกฝ่ายเสนอทางออกให้เขาฝากโทรศัพท์มากับน้ำหนึ่งที่นั่นหน้ามุ่ยอยู่ข้าง ๆ นี่

    เพราะนั่นเท่ากับแผนการทั้งหมดที่เขาวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและแยบยลจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง!ไม่…รามิลไม่ยอมให้เสียแผนแน่

    เขาจึงต้องรีบพูดดัก “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมเอาโทรศัพท์ไปคืนให้คุณโรสแล้วกันนะครับ”

    “ฝากคุณน้ำหนึ่งมาก็ได้ค่ะ”

    แม้คนขี้เกรงใจจะไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่ากลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายเสียเวลา แต่รามิลที่เหมือนเดาหวยได้ถูกเผงว่าโรสิตาต้องดักทางเช่นนั้นอยู่แล้วจึงรีบปฏิเสธ แล้วค่อยหาเหตุผลมาสนับสนุน

    แล้วก็คงต้องเป็นน้ำหนึ่งอีกตามเคย ที่จะเป็นเหตุผลชิ้นดีให้เขาได้หยิบยกขึ้นอ้าง ดังนั้นพี่ชายไม่แท้จึงปรายตามองน้องสาวนอกไส้ที่กำลังนั่งจ้องเขาอย่างไม่ลดละว่าจะทำอะไรต่อไปแล้วกระตุกยิ้ม

    “ช่วงนี้ยัยหนึ่งไม่ค่อยว่างครับคุณโรส”

    เมื่อรามิลว่าอย่างนั้น น้ำหนึ่งที่จำได้ว่าช่วงนี้ตนไม่มีอะไรต้องทำนอกจากทบทวนรายงานการใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ และพอจะเจียดเวลาไปหาโรสิตาได้สบายจึงแย้งขึ้น “หนึ่งว่าง”

    “ไม่ว่าง!” รามิลเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากปากทันทีด้วยกลัวว่าถ้าโรสิตาได้ยินแล้วแผนจะแตกไม่เป็นท่า และในเมื่อลั่นประกาศิตออกไปแล้วก็ต้องรีบหางานยัดใส่มือของอีกฝ่ายให้ได้ “เพราะพรุ่งนี้แกต้องไปพบลูกค้าแทนพี่”

    “ไม่ไป”

    “แกต้องไป!” คราวนี้รามิลสวมบทเจ้านายอย่างเต็มขั้น ไร้ซึ่งคำว่า ‘พี่ชาย’ หรือ ‘น้องสาว’

    เขาไม่สนใจแม้ว่าน้ำหนึ่งจะมีท่าทีฟึดฟัดฮึดฮึดด้วยไม่ถูกใจกับหน้าที่งานซึ่งแทรกเข้ามาอย่างเร่งด่วน และเมื่อถูกโรสิตาเรียกซ้ำเขาก็หันไปให้ความสนใจกับเธอทันที

    “คุณรามิล” โรสิตาเริ่มขมวดคิ้ว “ยังอยู่ไหมคะ”

    “อ้อครับ” รามิลเหลือบมองน้ำหนึ่งพลางว่า “พอดีเมื่อกี้แมวที่บ้านผมมันทำเรื่องน่ะครับผมเลยต้องละมือไปจัดการมัน ขอโทษที่ทำให้คอยนะครับคุณโรส”

    โรสตาไม่ว่างสนใจเรื่องหมาเรื่องแมวอะไรนัก เพราะเมื่อเริ่มรู้แกวแล้วว่ารามิลคงอยากมาเจอตนจริง ๆ เช่นนั้นก็ได้ “งั้นก็ตามนั้นเถอะค่ะ”

    “ตามนั้น...”

    “พรุ่งนี้คุณรามิลเอาโทรศัพท์มาคืนโรสตามที่ว่าก็ได้ค่ะ” โรสิตาตอบอย่างไม่มีเวลามาคิดมากว่าเขาจะมองคำที่จะเอื้อนเอ่ยต่อไปจะดูเหมือนเป็นการเล่นตัวหรือไม่ เพราะเมื่อเวลาที่เขาเสนอมาไม่เอื้อต่อการต้อนรับแขกที่เพิ่งรู้จักกันเพียงแค่ผิวเผิน เธอในฐานะเจ้าบ้านจึงผัดผ่อน “แต่ขอเป็นช่วงบ่ายนะคะเพราะช่วงเช้าโรสไม่ค่อยว่าง”

    “จริงนะครับ”

    รามิลเผลอดีใจออกนอกหน้าจนทั้งน้ำหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รวมถึงโรสิตาที่นั่งอยู่อีกที่ต่างหลากใจโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ก็ช่างสิ เขาสนใจเพียงแค่เวลานัดกับกลัวผู้หญิงที่หมายตาเปลี่ยนใจฉับพลันเท่านั้น ฉะนั้น เพื่อความแน่นอนรามิลจึงทวนซ้ำอีกครั้ง “งั้นพรุ่งนี้บ่าย ๆ เจอกันครับ”

    “ค่ะ”

    เมื่อรามิลขยับปากจะพูดต่อแต่กลับไม่มีการตอบรับ เขาจึงก้มลงดูที่หน้าจอก็พบเพียงภาพพักหน้าจอล็อกปรากฏอยู่ ชายหนุ่มจึงมุ่นคิ้วเข้าหากันพลางบ่นอุบอิบ “จะคุยต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้!”

     

    ศุภลักษณ์เห็นว่าภควัตรทำงานทั้งวันจนแทบไม่มีเวลาได้พัก เธอที่เพิ่งคุยกับนพสิทธิ์ผู้เป็นสามีเสร็จจึงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำงานของบุตรชายอย่างหมายมาด ครั้นเลขาหน้าห้องที่ตนรับไหว้เมื่อครู่จะเข้าไปรายงานภควัตรตามหน้าที่ ศุภลักษณ์ก็รีบห้าม

    “ไม่เป็นไรจ้ะ” ศุภลักษณ์บอกกับเลขาของลูกชายตัวเองอย่างใจเย็น “อย่าให้ตาภีมรู้ตัว เพราะฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าจริง ๆ แล้วเวลาทำงานลูกชายของฉันเขาเป็นยังบ้าง”

    เมื่อนายผู้หญิงที่แม้แต่ประธานใหญ่อย่างนพสิทธิ์ยังต้องลงให้ออกตัวเสียอย่างนั้น พนักงานตัวเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับแล้วเดินไปเปิดประตูให้ด้วยความนบนอบ

    “คุณฝนมีอะไรหรือครับ?”

    ภควัตรที่กำลังก้มหน้าตรวจรายงานการประชุมเพื่อตัดงบประมาณและสรุปผลกำไรขาดทุนทั้งหมดของบริษัทในไตรมาสแรกด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม จริงจังเอ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ เห็นอย่างนั้นมารดาจึงเดินเข้ามาใกล้พลางพยักหน้ายิ้มด้วยความพึงใจ แต่กระนั้นบุตรชายของตนก็ยังก้มหน้าอ่านเอกสารตรงหน้าอยู่อย่างนั้น ศุภลักษณ์ที่ไม่รู้จะภูมิใจหรือเหนื่อยแทนดีจึงแกล้งวางถุงกระดาษลงตรงหน้าดังปังเพื่อให้เกิดเสียง แล้วจึงเลื่อนเก้าอี้มานั่งประจันหน้า

    ทันทีที่ภควัตรเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าวัตถุตรงหน้าไม่ใช่แฟ้มเอกสารเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น เขาจึงเลิกคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยความหลากใจ

    คุณแม่!”

    “ทีนี้ละเงยหน้าขึ้นมองแม่ได้ซะทีนะตาภีม”

    ภควัตรรีบปิดแฟ้มเอกสารที่ตนอ่านค้างอยู่แล้วก็พยายามฝืนยิ้มสดใสเพื่อไม่ให้มารดารับรู้ถึงความตึงเครียดที่ซ่อนอยู่ก้นบึ้งความคิด ขณะที่มือก็รินน้ำใส่แก้วส่งให้ศุภลักษณ์

    “แม่ดื่มมาแล้วล่ะจ้ะ” เมื่อรับแก้วน้ำจากมือของบุตรชายมาวางไว้ที่ข้างลำตัว ศุภลักษณ์จึงพูดในสิ่งที่คิดไว้ตั้งแต่เดินออกมาจากห้องทำงานของสามีทันที “ว่าแต่เราเถอะ ตั้งใจทำงานขนาดนี้เห็นทีแม่ต้องให้โบนัสหน่อยละมั้ง เอางี้...วันนี้แม่ให้หยุดครึ่งวันเป็นไงจ๊ะ”

    “ครับ?”

    เห็นภควัตรมีท่าทีประหลาดใจศุภลักษณ์ก็ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความชอบใจแล้วจึงขยายความต่อตามแผนการที่วางไว้อย่างแนบเนียน “แต่แม่ไม่ได้ให้เราหยุดเฉย ๆ หรอกนะ นั่นน่ะแม่ฝากเอาไปให้คุณน้ามาริสาทีจ้ะ”

    ในตอนแรกภควัตรก็หันมาจ้องถุงนั้นด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อนึกได้ว่าบ้านของมาริสาก็คือบ้านของมุกลิณญ์ด้วยเช่นกัน คนที่เพิ่งละสายตาจากงานตรงหน้าก็เผยยิ้มกว้างบนใบหน้าขึ้นมาทันที เพราะว่าเขาเองก็มีเรื่องมากมายอยากจะขอคำปรึกษาจากฝ่ายนั้นเหมือนกัน

    “เป็นอาหารพื้นถิ่นที่แม่ฝากเพื่อนซื้อมาน่ะจ้ะ” ศุภลักษณ์ขยายความ “เออนี่ ถ้าไงเราก็ไปรับน้องที่มหาวิทยาลัยสิ”

    ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

    และทันทีที่บุตรชายออกไปพ้นประตูห้องศุภลักษณ์จึงเก็บแฟ้มนั้นเข้าที่ด้วยความเบิกบานใจไม่แพ้กัน มีเพียงเลขาสาวที่เดินเข้ามาดูอย่างงง ๆ ว่าเจ้านายของตนจะรีบไปไหน ส่วนศุภลักษณ์เองเมื่อหันมาและเห็นว่าหญิงสาวยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ว่าจะทำอะไรต่อดีในเมื่อเจ้านายก็ไม่อยู่ในห้องเสียแล้วนายผู้หญิงจึงตัดสินแทนให้ “ฝน วันนี้กลับบ้านได้เลยนะ ฉันอนุญาต”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×