คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3
บทที่ 3
เขาตามมายืนรอเธออยู่พักหนึ่ง!
มีหรือโรสิตาจะไม่รู้ เธอเองก็คอยให้ภควัตรเดินออกปากตรงนั้นก่อนเหมือนกันถึงจะเดินตามออกมาขณะที่ในใจก็ภาวนาไปด้วย พอแค่นี้เถอะ อย่าให้มีความบังเอิญหนที่สามตามมาอีกเลย และนั่นเองทำให้พอกลับถึงบ้านมาอาบน้ำท่าเสร็จสรรพคนเป็นแม่จึงกอดบุตรสาวตัวน้อยที่นอนอยู่ข้างกายแนบแน่น
แม้จะไม่มีชื่อเขาอยู่บนสูติบัตร แต่คนที่ทนอุ้มท้องเด็กคนหนึ่งที่หล่อหลอมขึ้นจากสายใยรักของคนทั้งคู่มาเก้าเดือนเต็มก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าร่างแน่งน้อยที่นอนซบอกอยู่นี้ไม่ใช่ความผิดพลาด และเรื่องคนนั้นก็คือความเต็มใจของคนทั้งสอง
ดังนั้น...อลีนาคือความรัก!
แสงจันทร์วันขึ้นสิบสี่ค่ำสาดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ทำให้เห็นว่าพวงแก้มของผู้อ่อนวัยถูกขับจนขาวผ่อง คนเป็นแม่ก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบไล้เบา ๆ ด้วยความรักใคร่พลางหวนคิด
เธอรู้ตัวว่ามีชีวิตน้อย ๆ อยู่ด้วยก็ตอนที่ภควัตรบินไปฝรั่งเศสร่วมสองสัปดาห์แล้ว ตอนนั้นโรสิตาทั้งดีใจและสับสน เธอดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้จากไปเลย เขา...ยังฝากชีวิตน้อย ๆ เอาไว้ให้ดูต่างหน้า เขายังอยู่กับเธอเสมอ ในชั่วขณะจิตแรกเธออยากบอกกับเขาเหลือเกิน
หากแต่เมื่อนึกถึงน้ำคำและท่าทีของศุภลักษณ์แล้วความคิดเหล่านั้นก็เป็นอันล้มเลิกไปในที่สุด โรสิตาเลือกที่จะเก็บงำความลับทั้งหมดนี้ไว้ไม่บอกใคร ด้วยกลัว...ศุภลักษณ์จะมาพรากลูกของเธอไปอีก
ท่ามกลางหมู่มวลของผู้คนมากมาย โรสิตาขอเพียงชีวิตที่สงบสุขกับคุณยาย มารดาและบุตรสาว กับกิจการร้านขนมไทยที่เมื่อลงมือทำแล้วก็รู้สึกว่าไม่เลวทีเดียวแบบนี้
โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้คาดคิด...
ทว่าอะไรกันที่ทำให้เธอต้องโคจรมาพบกับเขาอีกถึงสองครั้งติดต่อกัน ในช่วงเวลาที่กระชั้นชิดขนาดนี้!
เมื่อเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่วางอยู่ดังขึ้น โรสิตาที่กำลังรดน้ำต้นไม้ที่แขวนอยู่ตามระเบียงบ้านจึงวางสายยางทันทีแล้วเดินมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูก็พบว่าเป็นเบอร์แปลก แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็กดรับสายพร้อมกับพูดขึ้นด้วยประโยคทักทายแบบกลาง ๆ
“โรสิตาพูดค่ะ”
แล้วเสียงใส ๆ นั้นเองที่เรียกรอยยิ้มของเจ้าของดวงหน้าหล่อแบบคนมีเชื้อสายจีนจากทางฝั่งของบิดาให้ปรากฏขึ้น โดยเขาหันไปหาหญิงสาวที่กำลังจ้องมองอยู่แวบหนึ่งแล้วจึงแนะนำตัวด้วยถ้อยคำที่สุภาพ “สวัสดีครับคุณโรสิตา ผมรามิลนะครับ”
“รามิล?”
แล้วเจ้าของชื่อก็ขยายความ “คือผมได้ลองชิมขนมของทางร้านคุณแล้วติดใจน่ะครับ ผมเลยสนใจจะเหมาขนมจากทางร้านของคุณไปจัดเลี้ยงในงานเปิดคอมมูนิตี้มอลล์ของผมบ้าง”
“อ้อค่ะ” ที่แท้ก็ลูกค้าใหม่ แล้วทำไมไม่โทร.มาที่เบอร์ร้าน แต่ก็...ช่างเถอะ “ได้สิคะ ถ้าไงขอรายละเอียดด้วยได้ไหมคะ”
เพียงเท่านั้นบนดวงหน้าของต้นสายก็ยิ้มอิ่มเอม แล้วเขาก็ว่า “ได้เลยครับ”
วันนี้เป็นวันแรกที่มุกลิณญ์จะต้องเข้าไปรายงานตัวที่คณะซึ่งตนสังกัดในฐานะอาจารย์คนใหม่ ณ มหาวิทยาลัยที่เคยให้ทุนไปศึกษาต่อเมื่อหลายปีก่อน และเพราะว่ามีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ไม่ห่างบ้าน ดังนั้น แทนที่จะให้คนรถขับรถมาส่งหญิงสาวก็เลือกที่จะเดินทางโดยขนส่งสาธารณะเหมือนอย่างที่อยู่ต่างประเทศ
โดยเจ้าตัวให้เหตุผลกับมารดาว่า “มันอินดี้ดีกว่าให้ลุงนำไปส่งอีกค่ะคุณแม่”
แม้มารดาจะไม่เข้าใจความอินดี้ หรือรากศัพท์เดิม ‘อินดิเพนเด้นท์’ ตามที่บุตรสาวว่า แต่เมื่อรู้ว่าถึงอย่างไรก็คงห้ามไม่ได้แน่เจ้าตัวก็ต้องปล่อยไปตามเรื่อง
มุกลิณญ์ที่เดินไปตามทางเรียบเพื่อลงไปยังชานชาลาที่รถไฟฟ้าใต้ดินจะเทียบท่าเป็นระยะต้องหยุดฝีเท้ากึก เพราะคนที่เดินนำหน้าไปแบบก้าวต่อก้าวหยุดฝีเท้ากะทันหัน ครั้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พึงใจคนข้างหน้าจึงย่อตัวนั่งลง ทั้งยังเคลื่อนตัวเข้าหาตนอีก เธอจึงเอียงหน้ามองอย่างฉงนระคนหวาดระแวง
“รบกวนช่วยขยับเท้าไปข้างหลังหน่อยได้ไหมครับ”
“อะไร?”
ขณะที่มุกลิณญ์ยังไม่กระจ่างต่อท่าทีเช่นนั้น ชายหนุ่มในชุดสุภาพกลับเดินเข้ามาใกล้อีกจนหญิงสาวที่ยื่นเก้ ๆ กัง ๆ เริ่มไม่ชอบใจ
“หือ...”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงครางเบา ๆ ด้วยความฉงน มุกลิณญ์จึงได้เห็นว่าหน้าที่อยู่ระหว่างเอวของตนผู้นี้มีหน้าตาที่หล่อเหลาไม่น้อย แต่บัดนี้หน้าตาเกลี้ยงเกลาก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะทันทีที่เขาควานมือไปรอบ ๆ ตัวของเธออีกครั้ง มุกลิณญ์ที่หมดความอดทนจึงใช้กระเป๋าสะพายของตนดันคนที่นั่งยองอยู่จนหงายหลังแล้วรีบวิ่งหนีไปทางอื่นอย่างไม่รีรอ
เสียงที่ประกาศบอกว่าถึงสถานีต่อไปดังขึ้น ด้วยสถานีที่รถไฟฟ้าจอดรับส่งผู้โดยสารอยู่นี้เป็นสถานีใหญ่ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะคราคลั่งไปด้วยผู้คนที่มากกว่าปกติ พอกันกับผู้โดยสารภายในรถที่เมื่อถึงจุดหมายก็ต้องพยายามแทรกตัวเพื่อหาทางเดินออกจากรถไฟฟ้านั้นให้ได้
มุกลิณญ์เองเมื่อลุกขึ้นและเดินไปรอหาช่องออกจากขบวนรถ เธอก็สัมผัสได้ว่ามีมือหนา ๆ ปัดเข้าที่ก้นอย่างจัง พอกันกับเจ้าของมือนั้นเมื่อรู้ตัวว่าบังเอิญไปโดนสิ่งที่ไม่สมควรโดนก็รีบชักมือหนีพลางหน้าเจื่อนด้วยความสำนึกผิด แต่ทว่าคนที่ไม่รู้ว่านั่นเป็นอุบัติเหตุอันเกิดจากคนข้างหลังซึ่งดันต่อ ๆ กันมาอีกทอดหนึ่งกลับหันขวับมามองตาเขียว เอาเรื่อง
ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว! มุกลิณญ์อุทานในใจ
ดวงหน้าสวยหวานที่ประทินด้วยเครื่องสำอางบางเบาแม้จะบึ้งตึง ไม่พอใจ ทว่าก็ทำให้อีกคนนิ่ง อึ้งราวตกอยู่ในภวังค์ และเมื่อเห็นเขาจ้องนิ่งอย่างนั้นคนที่พาลคิดไปว่ากำลังถูกคุกคามทางสายตาจึงก้าวเท้ามาด้านหลังและเหยียบลงบนเท้าของคนที่ยืนประชิดเต็มแรง
“โรคจิต!” มุกลิณญ์ด่าทิ้งท้ายให้
ส้นที่ทั้งสูงทั้งแหลมนั้นทำให้คนถูกเหยียบสะดุ้งสุดตัว ครั้นจะเอ่ยขอโทษร่างแบบบางสูงโปร่งก็เดินนำไปไกลแล้ว เขาที่เดินตามออกมาจึงได้แต่ส่ายหน้า ทั้งยังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่บ้าง “งั้นถือว่าหายกันก็ได้!”
มุกลิณญ์หยุดถามทางกับพนักงานรักษาความปลอดภัยตรงประตูทางเข้าก่อนจะเดินไปยังตึกคณะที่ตนกำลังสังกัดอยู่ เมื่อถึงโถงชั้นล่างจึงเอื้อมมือกดลิฟท์ที่ลงมาถึงขั้นหนึ่งพอดีแล้วเดินเข้าไปยืนอยู่หว่างกลาง เธอมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามหลังมาอีกจึงยื่นนิ้วไปกดปิด แต่ชั่ววินาทีนั้นเอง เสียงทุ้ม ๆ กลับดังแทรกขึ้น
“รอด้วยครับ”
เท่านั้นนิ้วที่กำลังกดปิดจึงเปลี่ยนไปกดเปิดค้างไว้ เธอรอจนคนมาใหม่ที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาจนพ้นประตูจึงกดปิดอีกครั้ง กระนั้นคนที่ก้มหน้าก้มตาก็ร้องบอกอีก
“รบกวนกดชั้นห้าให้ด้วยครับ”
มุกลิณญ์ทำตาอย่างว่าง่ายเพราะตนเองก็กำลังจะขึ้นไปที่ชั้นดังกล่าวเหมือนกัน แต่เมื่อคนที่เพิ่งเข้ามาถึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าวขอบคุณ ทั้งเขาและเธอต่างก็ทอดมองกันด้วยความตะลึงลาน
“ทำไมเป็นคุณอีกแล้วล่ะ?”
มุกลิณญ์ไม่ตอบ เธอเดินเข้าไปยืนชิดข้างฝาด้านในสุด ตากลมต้องเลขดิจิตอลที่บอกชั้นเขม็ง
ยามอยู่ในลิฟต์กับคนตรงหน้า เหมือนเครื่องจักรกลภายในทำงานช้ากว่าปกติมาก แต่กระนั้นคนที่ยืนอยู่ยังลุ้นให้มีคนเรียกใช้ลิฟต์ระหว่างชั้นสอง สาม สี่ แต่ก็ไม่มี จนถึงชั้นห้ามุกลิณญ์จึงแกล้งผลักคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าจนถลา แล้วเธอก็ชิงสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
“คุณ...เอ่อ”
ชายหนุ่มพยายามจะอธิบายให้คนที่เมื่อเข้าใจผิดแล้วก็พลอยมองเขาเป็นคนร้ายเข้าใจแต่ก็ไม่ทันการณ์ เห็นดังนั้นจึงก้าวเท้าตามออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้
“นี่ไงอาจารย์คนใหม่ที่ว่าจะมาวันนี้”
น้ำเสียงของเจ้าของโทรศัพท์มือถือที่กำลังเลื่อนรูปซึ่งถ่ายลงโซเชียลมีแววชื่นชม “สวนเนอะ”
“เห็นว่าโสดด้วยนี่”
แล้วอาจารย์คนเดิมก็แทรกขึ้น “โสดอะไร ใคร ๆ เขาก็ว่ากันนะว่านี่แหละว่าที่สะใภ้ของคุณนพสิทธิ์และคุณศุภลักษณ์แห่งพีเอ็นกรุ๊ป”
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั่นก็คือคำลือทั้งสิ้น จริง...หรือเท็จไม่มีใครล่วงรู้ได้
จนเมื่อเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้คนที่ยืนมุงกันอยู่จึงชะงัก จากนั้นเจ้าของโทรศัพท์จึงเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผู้มาใหม่แล้วก้มลงมองรูปในโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ จากนั้นจึงยิ้มต้อนรับด้วยความยินดี
“อาจารย์คนใหม่ใช่ไหมคะ?”
มุกลิณญ์ยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร แล้วจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ใช่ค่ะ”
“งั้นเชิญทางนี้ก่อนค่ะ” อาจารย์รุ่นพี่เชื้อเชิญมานั่งพร้อมกับส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ประจำภาควิชานำของว่างมารับรองแขก แล้วจึงบอกต่อ “นั่งคอยแป๊บนึงนะคะพอดีว่าท่านคณบดีกำลังติดประชุมน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
และทันใดนั้นเอง คนที่ทำมุกลิณญ์ขวัญผวาก็เดินตามมาติด ๆ ทั้งอาจารย์คนนั้นยังต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีเสียด้วย
“อาจารย์ปรัชวิทย์สวัสดีค่ะ”
อากัปกิริยาของคนตรงหน้าเรียกความประหลาดใจให้มุกลิณญ์ได้ไม่น้อยทีเดียว เธอขมวดคิ้วอย่างนึกฉงนว่าด้วยเหตุใดอาจารย์รุ่นพี่ที่ยังไม่ได้แนะนำชื่อของตนให้เธอรู้จักกลับต้องมาต้อนรับขับสู้ชายโรคจิตคนนี้อย่างดียิ่ง
ทั้งคนเดิมยังถามอีก “อาจารย์มาพบท่านคณบดีหรือคะ”
“ใช่ครับ พอดีว่ายังมีเวลาผมจึงแวะมาคุยธุระกับท่านก่อนน่ะครับ” เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเรือนละหลายหลักพลางบอก “ไม่ทราบว่าพี่วิพัฒน์ไปไหนเหรอครับ”
เขาคือใครมุกลิณญ์ไม่รู้ เธอรู้แค่ว่าคนที่เขาเรียก 'พี่วิพัฒน์' คือคณบดีของคณะที่ตนกำลังสังกัด เช่นนั้นย่อมแสดงว่าเขาต้องสนิทสนมกับว่าที่เจ้านายคนแรกในการทำงานที่นี่ของเธอเป็นอย่างดีทีเดียว
“เห็นทีท่านคณบดีจะไม่ว่างแล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวประชุมเสร็จก็ต้องพาอาจารย์คนใหม่ไปเดินเซอร์เวย์ภาคต่อเลย”
“อืม...”
ปรัชวิทย์พยักหน้ารับน้อย ๆ พร้อมกับตวัดหางตามองมาทางมุกลิณญ์ราวกับจะรู้ ส่วนคนถูกมองน่ะหรือก็แกล้งหยิบหนังสือขึ้นมาทำท่าว่าอ่านบังหน้าเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด
พอดีที่เจ้าหน้าที่ประจำคณะนำชาร้อน ๆ พร้อมกับคุกกี้มาวางให้ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์ทั้งสองขอตัวไปสอนหนังสือจึงฝากแขกทั้งสองไว้ที่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว มุกลิณญ์เห็นอำพันยิ้มให้จึงยิ้มกลับพร้อมกับขอบคุณผู้มากวัยกว่าอย่างนบนอบ นางอำพันที่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าปรัชวิทย์ทอดมองมาพอดีแล้วยกมือไหว้ตนนางจึงรีบรับไหว้พร้อมกับว่า
“เดี๋ยวป้าไปเอาของว่างมาให้นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับป้าอำพัน” ขณะที่ยกมือห้ามสายตากลับยังจับจ้องดวงหน้าสวยอย่างนึกชื่นชมในกิริยาที่มีต่อเจ้าหน้าที่ผู้มากวัยกว่าคนนั้น ปรัชวิทย์จึงเผลอยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าที่หล่อเหลาก่อนจะขยายความให้คนคุ้นเคยได้กระจ่าง “ผมทานมาแล้วครับ”
“อ้อค่ะ”
ทันใดนั้นเองเมื่อเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งดังขึ้น มุกลิณญ์ก็แค่ปรายตามองตามร่างสูงที่เดินออกไปยืนตัวตรงอยู่ที่ระเบียงเพียงเสี้ยววินาทีแล้วจึงรีบกวาดตากลับมา อำพันเห็นอย่างนั้นก็อาสาแนะนำเขาให้อาจารย์คนใหม่ของภาคได้รู้จักตามประสาคนช่างพูดโดยไม่รอให้คนที่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันถามขึ้น
“นั่นอาจารย์ปรัชวิทย์ค่ะอาจารย์มุกลิณญ์”
มุกลิณญ์มองไปทางเขาอีกครั้งเพื่อไม่ให้คนพูดเสียหน้า ขณะที่อำพันก็พูดต่อจ้อย ๆ “อาจารย์แกเคยเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับท่านคณบดีมาก่อนแกเลยชอบมาคุยกับท่านคณบดีเสมอ ๆ ค่ะ”
“เขาไม่ได้อยู่คณะนี้เหรอคะ?”
“เปล่าหรอกค่ะ อาจารย์แกสอนภาคปรัชญาค่ะ”
สอนปรัชญา? ถึงว่าแลดูเพี้ยน ๆ มุกลิณญ์นึกขำอยู่ในใจ แต่ก็นั่นแหละ ดีเสียอีก...ดีกว่าสอนคณะเดียวกัน
เธอมองคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่นานด้วยความครุ่นคิด จนเขาเดินเข้ามาเจ้าตัวก็ยังไม่ละสายตา ปรัชวิทย์เห็นอย่างนั้นจึงยิ้มให้อย่างอยากเป็นมิตร มุกลิณญ์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าจ้องอีกฝ่ายนานเกินไปจึงหลุบตาลงแล้วทำทีว่าหยิบหนังสือมาอ่านต่อทันที
ชั่วอึดใจ ท่านคณบดีที่เมื่อเสร็จกิจธุระก็เดินเข้าพร้อมด้วยรอยยิ้มต้อนรับ ยินดี ทั้งยังว่า “อาจารย์มุกลิณญ์ใช่ไหมครับ”
มุกลิณญ์ที่เก็บหนังสือเข้ากระเป๋าเรียบร้อยรีบยกมือไหว้ผู้มาใหม่พร้อมกับเดินตามเขาออกไปด้านนอก มีเพียงปรัชวิทย์ที่ยืนทวนชื่อนั้นกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาอยู่ตรงนั้น
“มุกลิณญ์...ชื่อเพราะจัง”
ด้วยช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีมีลูกค้าไม่มาก โรสิตาจึงอาศัยจังหวะตรงนี้ออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้บ้าน และด้วยเหตุผลที่ว่าเกรงจะเป็นการรบกวนคุณยายมากจนเกินจำเป็นมารดาจึงต้องพาเด็กหญิงตัวน้อยไปที่ห้างนั้นด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
โดยตอนที่ต้องไปซื้อของโรสิตาจะพาเด็กหญิงอลีนาไปฝากไว้กับรุ่นพี่ที่เปิดร้านสอนวาดรูปที่ชั้นบนสุดก่อน แล้วเจ้าตัวจึงลงมาซื้อของตามที่ต้องการพร้อมกับนำของนั้นไปไว้ที่รถเสร็จสรรพ เธอจึงจะย้อนกลับมารับบุตรสาวอีกเที่ยวหนึ่ง
ส่วนภควัตรเองเมื่อรู้ว่ามุกลิณญ์ได้งานใหม่ในตำแหน่งอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ด้วยความยินดีปรีดาที่เห็นน้องสาวที่ตนเอ็นดูรักใคร่กำลังจะประสบความสำเร็จในชีวิตอีกขั้น คนที่นึกขึ้นได้ว่าควรมีอะไรติดไม้ติดมือไปฝากหญิงสาวบ้างเพื่อเป็นสินน้ำใจที่เธอเคยช่วยเหลือ เขาจึงใช้เวลาในช่วงบ่ายแวะเข้ามาที่ร้านจิวเวลรี่ที่ผู้เป็นมารดาแนะนำอย่างไม่รีรอ
เขาเลือกอยู่นานแต่ก็ยังไม่ถูกใจสักที ทว่าพนักงานก็ไม่ได้กดดันอะไร แถมเธอคนนั้นยังว่า “คุณภีมเลือกดูตามสบายเลยนะคะ”
พอดีกับเด็กหญิงอลีนาที่อยู่ในร้าน เมื่อเห็นว่าคอยนานแล้วมารดาก็ยังไม่กลับมารับเสียทีก็ชะเง้อชะแง้คอยท่า และทันใดนั้นเมื่อขบวนพนักงานที่สวมชุดมาสคอตเป็นตัวคาแรกเตอร์ต่าง ๆ เดินเรียงแถวกันมา ความอยากรู้อยากเห็นก็ดึงดูดใจให้เด็กน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กระโดดลงแผล็วแล้ววิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว
เด็กน้อยวิ่งลงกระไดเลื่อนไปที่อีกชั้นก็เห็นว่าตัวมาสคอตเหล่านั้นได้เดินนำไปไกลแล้ว เธอจึงวิ่งตามท่ามกลางเสียงซุบซิบของผู้คนที่มองมาด้วยความสงสัย
“ลูกใคร ทำไมปล่อยให้วิ่งแบบนี้”
เมื่อคนหนึ่งสนเท่ห์ อีกคนก็ร่วมด้วย “นั่นสิ เลี้ยงลูกยังไง”
แต่เด็กน้อยที่ยังอ่อนเดียงสากลับไม่สนใจ เธอยังคงวิ่งไปต่อ และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ภควัตรหยิบสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งส่งให้พนักงานพอดี
“คุณภีมนั่งรอตรงโน้นสักครู่นะคะ”
เธอรับสร้อยในถาดไปพร้อมกับบัตรกดเงินสดที่เขายื่นให้ พลางผายมือบอก ทว่าเมื่อหมุนตัวกลับมาก็เป็นจังหวะที่เด็กหญิงตัวน้อยสะดุดขาตัวเองล้มลงกับพื้นพอดี
ท่ามกลางความตกใจของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น มีเพียงเขาที่รีบวิ่งออกไปอุ้มร่างน้อย ๆ ขึ้นมาอย่างรวดเร็วทั้งยังถาม
“หนู เป็นอะไรมากไหมครับ”
เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงที่ยืนอยู่ภายในอ้อมแขนยังร้องจ้าด้วยความเจ็บระคนตกใจ คนโตกว่าก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ยังไม่ได้ใช้มาซับน้ำตาให้อย่างเบามือ ขณะที่ปากก็ว่า “ไม่ร้องนะครับคนเก่ง เอ่อ...แล้วแม่ของหนูอยู่ไหนครับ”
เด็กหญิงอลีนาไม่ตอบ เธอยังคงสะอื้นอยู่เล็กน้อย จนใครคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นตามลงมาแล้วก็รีบช้อนตัวเด็กน้อยไปอุ้มไว้แทน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ?”
นอกจากคนมาใหม่จะถามเด็กหญิงอลีนาด้วยความลนลานแล้ว เธอยังจ้องหน้าภควัตรอย่างเอาเรื่องอีกด้วย เชื่อเถอะ...ในใจของเธอคนนั้นคงโทษว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ใจร้าย ที่ชอบรังแกเด็กไปแล้ว!
ดูที่เสื้อก็รู้ว่าเป็นพนักงานร้านสอนวาดรูปที่ชั้นบนนั่น...ภควัตรหรี่ตามอง เขาต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายถามว่าเธอนั่นแหละดูแลลูกเต้าของตัวเองยังไงถึงปล่อยให้มาวิ่งเล่นทั่วห้างแบบนี้ได้
จนพนักงานคนเดิมเดินออกมาช่วยอธิบายให้คนมาใหม่ฟังอย่างใจเย็นว่าเขาเป็นคนช่วยเด็กคนนี้เอาไว้ เธอคนนั้นก็หน้าเจื่อนลงเล็กน้อยก่อนจะรีบขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ แต่ว่าช่างเถอะ...ภควัตรไม่ถือสา เด็กน้อยได้เจอกับมารดาก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว
และภควัตรก็หันกลับมารับของที่พนักงานยื่นให้ทันที “ขอบคุณครับ”
________________
มาต่อกัน ๆ เอาใจช่วยโรสิตาด้วยนะคะ ^^
ความคิดเห็น