ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมใจปรารถนา (มี E-book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 64


    บทที่ 1 

     

    ห้าปีก่อนหน้า

    ทะเลภูเก็ตยามเย็นยังคงเงียบสงบ ลมทะเลที่พัดเข้ามาทำให้กระแสน้ำที่ไหลอยู่กระเพื่อมไหว เม็ดทรายสีขาวลอยต่ำขึ้นเหนือพื้น บรรดาปูเสฉวนต่างพากันวิ่งล้อลมไปมาแลดูน่าสนุกสนาน

    มือหน้าของชายหนุ่มในชุดเสื้อแขนสั้นผ่าหน้าสีอ่อนกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลเข้มเอื้อมไปหยิบตัวปูที่เดินเข้ามาหาตัวแล้วจึงหันมาหาพลางเรียกหญิงคนรักในชุดเดรสสีขาวผ้าเนื้อบางเบาที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนักด้วยน้ำเสียงที่เจื้อยแจ้ว แว่วหวาน

    “โรส ผมมีอะไรมาฝากคุณด้วยแหละครับ”

    นั่นทำให้หญิงสาวผมยาวเลยบ่าในวัยยี่สิบสี่ปีตื่นเต้นไม่น้อย เธอรีบหันมาหาชายคนรักที่มีอายุมากกว่าตนสองปีด้วยสีหน้าที่ฉาบยิ้มเต็มที่ แล้วจึงทอดมองสิ่งที่เขาใช้มือทั้งสองข้างครอบเอาไว้อย่างหลวม ๆ จากนั้นจึงเอ่ยถามแจ้ว ๆ

    “อะไรเหรอคะพี่ภีม?”

    ภควัตรยิ้มเจ้าเล่ห์ นั่นยิ่งกระตุ้นความใคร่รู้ให้กับอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

    เขาไม่บอก ทั้งยังไม่ยอมหงายมือข้างที่อยู่ด้านบนออก งั้นเธอค่อย ๆ ง้างเองก็ได้! ว่าแล้วโรสิตาก็ค่อย ๆ ง้างมือทั้งสองข้างของภควัตรจนหลุดออกจากกัน และเมื่อเห็นว่ามีเจ้าปูตัวน้อยอยู่ด้านในเธอที่ไม่ชอบให้เขาทำอะไรแบบนี้จึงดุให้ทีหนึ่ง

    “พี่ภีม...ไม่เล่นแบบนี้สิคะ!”

    “ไม่ชอบหรือครับ?”

    “ไม่ค่ะ สงสารน้อง”

    “ยังไง?”

    แล้วโรสิตาก็อธิบายว่า “ก็พี่ภีมเอามือครอบน้องไว้แบบนี้น้องก็หายใจไม่ออกสิคะ”

    “พี่ครอบไว้หลวม ๆ น่า”

    “ก็นั่นแหละค่ะ”

    แล้วโรสิตาก็รีบช้อนตัวปูน้อยจากมือของภควัตรมาไว้ในมือของตนอย่างระมัดระวังพลันนั่งลงแล้วจึงวางมือลงบนพื้นทรายสีขาวนวลเพื่อให้เจ้าตัวนั้นค่อย ๆ เดินลงและวิ่งหลุนไปเพื่อน ๆ ของมันอย่างรวดเร็ว

    แต่กระนั้น เมื่อโรสิตายันกายลุกขึ้น คนที่มีแผนการบางอย่างอยู่แล้วจึงค่อยเอื้อมมือไปดึงมือเรียวนุ่มของอีกฝ่ายมากุม พลางทักว่า “มือของโรสดูโล่ง ๆ ไปหน่อยนะครับ”

    “หือ...”

    โดยไม่ปล่อยให้เจ้าหล่อนประหลาดใจนานนัก ภควัตรก็ยื่นหน้ามาอยู่ตรงบริเวณข้างหูของโรสิตาแล้วจึงเอื้อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มละมุน “พี่ว่าควรมีแหวนสักวงติดนิ้วไว้นะครับ”

    “พี่ภีมหมายความว่าไงคะ?”

    ทันใดนั้นเองคนถูกถามก็หยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงฉานขึ้นมา แล้วเขาก็ค่อย ๆ คุกเข่าลงตรงหน้าของเธอก่อนจะเปิดฝากล่องนั้นพร้อมกับกระซิบถาม “แต่งงานกับพี่นะโรส”

    แม้โรสิตาจะไม่พูดอะไร ทว่าภควัตรรู้ว่ารอยยิ้มละมุนบนด้วยหน้าสวยนั้นคือคำตอบที่ออกมาจากใจและก็ตรงกับใจของเขามากที่สุดด้วย ครั้นเมื่อเขาหยิบแหวนทองคำขาวฝังเพชรเม็ดจิ๋วขึ้นมาสวมให้เจ้าหล่อนก็ไม่ขัดขืน ชายหนุ่มที่มีรักต่อสาวตรงหน้าอย่างเต็มหัวใจจึงลุกขึ้นแล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากนูนสวยด้วยความทะนุถนอม ตามด้วยปลายจมูกโค้งมนที่เลื่อนลงมาฝังบนแก้มนวลนุ่มทั้งยังมีกลิ่นที่หอมละมุนแฝงอยู่

    ภควัตรพิศมองดวงหน้าหวานด้วยรักใคร่ โรสิตาเองก็ย่อมรู้ดี ว่ายามมีเขาอยู่ใกล้เธอรู้สึกปลอดภัยเป็นที่สุด!

    แล้วหน้าหล่อก็ยื่นเข้าหาเธออีกครั้ง คราวนี้เขาประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากเรียวบางสีชมพูระเรื่อนั้นด้วยรัก และแม้ว่านั่นจะทำให้โรสิตารู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวไปทั่วทั้งเรือนร่าง แต่สุดท้ายเมื่อความรักที่บ่มเพราะด้วยกันมาจนสุกงอมจากภควัตรเรียกร้องริมฝีปากของเธอก็สนองตอบด้วยการเผยอยกขึ้นและสนองรับกับของคนที่เริ่มก่อนด้วยความดูดดื่ม

    รสรักมันเป็นเช่นนี้เอง!

    โรสิตาเพิ่งประจักษ์ขึ้นใจตน...

     

    หลังจากรับประทานอาหารที่ริมระเบียงเรียบร้อยแล้ว โรสิตาก็ได้เดินนำเข้ามาภายในห้องก่อน ส่วนภควัตรก็ทอดมองแผ่นหลังเรียบบางขาวนวลที่มีเพียงเสื้อสายเดี่ยวเว้นด้านหลังเกือบถึงเอวสวมทับพลางเดินตามเข้ามา แต่เมื่อปิดประตูกระจกบานใหญ่และใส่กลอนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่ลืมที่จะเลื่อนม่านที่รูดไปรวบไว้ที่มุมหนึ่งมาปิดจนเต็มบานประตู

    นี่...เป็นครั้งแรกที่โรสิตาต้องมาอยู่ร่วมห้องกับคนที่เพิ่งขอเธอแต่งงานสองต่อสอง

    แน่นอน...หญิงสาวที่ค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องการรักนวลสงวนตัวอยู่พอตัวจึงทำตัวไม่ถูก เธอนั่งก้มลงมองลายผ้าปูที่นอนอยู่เช่นนั้นจนหนุ่มเจ้าของห้องเดินเข้ามาใกล้ ภควัตรนั่งประชิดกายของโรสิตาทั้งยังยื่นจมูกมาดอมดมแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าจนขนสีน้ำตาลอ่อนลุกทั่วแผ่นหลัง จนโรสิตาเห็นท่าว่าจะเก็บอาการเก้อเขินเอาไว้ไม่อยู่จึงแกล้งดุ

    “อย่าค่ะพี่ภีม เหงื่อทั้งนั้น...เหม็น”

    “ไม่เหม็นซะหน่อย แฟนพี่น่ะตัวหอมที่สุด”

    “หอมอะไรกันคะ”

    โรสิตาเอี้ยวตัวหลบ และนั่นทำให้หน้าของเธอชนเข้ากับหน้าของเขาพอดี เห็นอย่างนั้นคนที่เขินจนตั้งตัวไม่ถูกก็ยื่นหน้าไปทางด้านหลังอีกครั้ง แต่ภควัตรที่ยิ้มละมุนก็ยื่นหน้าตามไปในทันที

    เขามองดวงตากลมโตที่กะพริบปริบ ๆ ด้วยความรักใคร่ก่อนจะขโมยจูบเธออีกครั้ง

    “พี่ภีม ฉวยโอกาส”

    โรสิตาเอื้อมมือมาตีภควัตรทีหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับเป็นเธอเสียเองที่ล้มตึงหงายท้องลงไปบนที่นอนนุ่ม ภควัตรเห็นอย่างนั้นจึงโน้มตัวนอนลงตาม เขาเอื้อมมือไปเขี่ยผมที่หล่นลงมาปรกกรอบหน้าสวยให้ไปทางด้านหลัง แล้วก็ประทับรอยจุมพิตลงบนเรียวปากนั้นอีกครั้ง

    เมื่อประคองร่างแบบบางให้นอนราบลงบนเตียงกว้างหกฟุตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มือที่ซุกซนก็ค่อย ๆ เลื้อยมาที่ไหล่บางเพื่อปลดสายเสื้อให้หลุดออก และแน่นอนที่โรสิตาจะทำตาดุใส่ตามพิธีแต่สุดท้ายเมื่อรู้ว่าร่างของตนนอนทับชุดส่วนล่างไว้เธอจึงยกก้นขึ้นเพื่อให้เขาปลดลงมากองที่ปลายเท้าได้ง่ายยิ่งขึ้น

    แล้วมือเรียวก็เอื้อมไปปิดสวิตช์โคมไฟที่อยู่ตรงบนหัวเตียงอย่างรวดเร็ว

     

    โรสิตาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามีแสงสว่างจ้าสอดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง เธอขยับกายเล็กน้อยเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า และพลันเมื่อหันไปเห็นเจ้าของแขนใหญ่ ๆ ที่กางให้นอนหนุนตลอดทั้งคืนเจ้าตัวจึงคลี่ยิ้มละมุน

    เรื่องเมื่อคืนแม้จะทำโดยแลกกับการผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับตนเองมาโดยตลอดว่าอย่าชิงสุกก่อนห่าม...มีอะไรกันก่อนแต่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเกิดจากความเต็มใจของเธอทั้งสองฝ่าย

    ก็ช่างปะไร เธอจะแต่งงานกับภควัตรอยู่แล้ว จะท้องก่อนแต่งสักเดือนสองเดือนก็คงไม่มีใครมาสังเกตเห็นได้หรอกกระมัง!

    เมื่อคิดได้อย่างนั้น เรียวแขนขาวนวลจึงวาดลงบนเรือนร่างของเขา พร้อมกับเอาหน้าซุกแผ่นอกที่ผึ่งผายด้วยความรักยิ่ง ทว่านั่นกลับทำให้ภควัตรลืมตาขึ้นมาโดยพลัน เมื่อเห็นว่าโรสิตาตื่นแล้วชายหนุ่มจึงเอ่ยถาม “ตื่นนานแล้วหรือครับ”

    “เพิ่งตื่นค่ะ”

    “เมื่อคืนหลับสบายไหมครับ”

    แล้วโรสิตาก็ยิ้ม ทั้งยังตอบแจ้ว “สบายสิคะ ได้นอนกอดพี่ภีมนี่สบายดีที่สุด”

    “เดี๋ยวพอเราแต่งงานกันแล้ว” ภควัตรเองก็วาดฝัน “เราก็จะได้นอนกอดกันทุกคืน...”

    ทว่าเรื่องกลับไม่ง่ายอย่างที่หวัง เพราะเมื่อทันทีที่รู้ว่าทั้งสองกลับมาถึงกรุงเทพฯ ศุภลักษณ์ที่นอกจากจะเป็นมารดาของภควัตรแล้วยังควบด้วยเจ้านายของโรสิตาอีกตำแหน่งก็ให้คนมาตามหญิงสาวไปพบที่ห้องทำงานของตนทันที

    เมื่อโรสิตาเดินเข้ามาศุภลักษณ์ก็พูดเพียงสั้น ๆ ว่า “นั่นก่อนสิ” แล้วดวงหน้าที่เรียบเฉยก็ทอดมองมาหาเธอด้วยแววตาที่ไม่เหมือนเก่า คนมากวัยกว่าสอบถามเรื่องการไปดูงานที่ภูเก็ตเพียงสองสามประโยคซึ่งนั่นโรสิตาก็รับรู้ได้อีกว่าเป็นคำถามที่ใช้ ‘เกริ่น’ ก่อนเข้าเรื่องที่จะคุยจริงเท่านั้น

    บรรยากาศที่แสนอึมครึมเช่นนี้ ทำให้โรสิตารู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาทันที

    ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น โรสิตาภาวนาในใจขอให้เป็นภควัตรแต่กลับไม่เป็นผล เพราะคนที่เข้ามาใหม่คือเลขาหน้าห้องของศุภลักษณ์ที่นำกาแฟมาวางให้คนละแก้วตามสั่งแล้วก็เดินออกไปตามคำสั่งเท่านั้น

    โรสิตาจึงหมุนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วไปมาราวกับจะยึดมันเป็นเครื่องรางยามคับขัน

    ทว่านั่นกลับทำให้ดวงตาสีเข้มของผู้มากกว่าด้วยวัยและแต้มยิ่งเคร่งขรึมเข้าไปอีก

    ด้วยประสบการณ์มีหรือที่ศุภลักษณ์จะไม่รู้ หากก็รู้อีกด้วยว่าอย่างไรเสียแต้มของตนก็เหนือกว่าอยู่แล้วเจ้าตัวจึงไม่เสียเวลามาเอ่ยถาม

    ศุภลักษณ์ยกกาแฟขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วก็เข้าเรื่องทันที โดยเรื่องนั้นมีอยู่คร่าว ๆ ว่าคนเป็นแม่อยากให้บุตรชายของตนได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอย่างจริงจังเสียที ด้วยที่ผ่านมาเธอพยายามพูดเกลี้ยกล่อมภควัตรอยู่หลายหนแต่ก็ไม่ ผู้เป็นมารดาของอีกฝ่ายจึงอนุมาน

    “เขาห่วงเธอ...”

    ทว่าโรสิตากลับไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างไร เธอจึงนิ่งเสีย และนั่นก็เท่ากับเปิดช่องให้ศุภลักษณ์ว่าต่อ “ถ้าเธอยังอยู่ในชีวิตของเขา เขาก็จะไม่ยอมไปไหน”

    แล้วจะให้เธอทำอย่างไร...

    ด้วยแรกเริ่มเดิมทีแล้วโรสิตาได้ก้าวเข้ามาทำงานภายในบริษัทแห่งนี้ในฐานะครีเอทีฟคนหนึ่งเท่านั้น เธอหวังแค่หาเงินใช้ไปเดือน ๆ หนึ่งอย่างเช่นเพื่อนพนักงานคนอื่น และการที่ภควัตรบุตรชายเพียงคนเดียวของประธานบริษัทอย่างคุณนพสิทธิ์เข้ามาในชีวิตของเธอเพื่อมอบความรักให้ ก็คือเรื่องเหนือความคาดหมายเรื่องหนึ่งที่โรสิตาไม่อาจควบคุมได้

    และที่ผ่านมา แม้ทั้งนพสิทธิ์และศุภลักษณ์จะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอทั้งคู่แต่ว่าพวกท่านก็ไม่ได้ทักท้วงหรือห้ามปรามแต่อย่างใด

    แล้ววันนี้ศุภลักษณ์มาขอแบบนี้ หมายความว่าอย่างไร?

    “เธอห่างกับเขาสักพักได้ไหม” นี่คือคำที่กลั่นออกมาจากน้ำเสียงที่ราบเรียบทว่าคงความหนักแน่นเอาไว้ด้วย “และถ้าตาภีมกลับมาแล้วใจของเธอทั้งสองคนยังเหมือนเดิม เธอจะกลับมาคบกับเขาต่อฉันก็ไม่ว่า”

    “แล้วเรื่องงานของโรสล่ะคะ”

    โรสิตาทั้งตกใจ ทั้งกลัว หากทว่าศุภลักษณ์กลับเตรียมแผนสำรองเอาไว้เสร็จสรรพแล้วเช่นกัน “ฉันจะให้เงินเธอก้อนหนึ่ง เอาไว้ใช้ระหว่างที่ตั้งตัวหรือหางานใหม่”

    แล้วผู้มากวัยกว่าก็ร้องขอแกมกดดันอีกสองสามประโยค

    เมื่อภควัตรที่กลับจากสัมมนาที่ต่างจังหวัดกับนพสิทธิ์แล้วพบว่าโรสิตาลาออกไปแล้ว เขาก็มีท่าทีลนลานเป็นการมาก ทว่ามารดากลับยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้โดยที่เนื้อหาใจความทั้งหมดบนกระดาษสีน้ำตาลอ่อนปรากฏเป็นถ้อยคำสั้น ๆ ‘เราคงไปต่อด้วยกันไม่ได้แล้ว ลาก่อนค่ะ...’ เพียงเท่านั้น ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมใด ๆ ทั้งสิ้น

    กับแหวนวงน้อยที่เขาเคยสวมให้เองกับมือ!

    นั่นทำให้ภควัตรแทบแดดิ้น และเมื่อไปหาที่คอนโดฯ ก็พบว่าโรสิตาย้ายออกไปแล้ว ไปไหนก็ไม่รู้...ติดต่อก็ไม่ได้สักทาง ภควัตรจึงเฮิร์ทอยู่พักหนึ่ง และเมื่อตั้งสติได้เขาก็ตอบรับที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา ณ มหาวิทยาลัยชื่อดังที่ประเทศฝรั่งเศสอย่างไม่รีรอ

    ด้วยความหวัง นานไปคงลืมอีกฝ่ายได้เอง...

     

    ที่ประเทศฝรั่งเศส ภควัตรได้พบกับสาวรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่น

    เธอคนนั้นชื่อมุกลิณญ์ เป็นบัณฑิตใหม่ป้ายแดงที่เมื่อจบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังภายในประเทศด้วยคะแนนเกียรตินิยมก็เดินทางไปศึกษาต่อที่นั่นทันที และด้วยอีกฝ่ายจบด้านสาขาภาษาฝรั่งเศสมาโดยตรง คนที่ไปหวังเที่ยวเล่นและเปิดคอร์สปูพื้นภาษาท้องถิ่นก็ได้เจอกับคนไทยด้วยกันหลายคนที่นั่น

    หนึ่งในนั้นก็คือภควัตร หรือ ‘พี่ภีม’ ลูกชายของเพื่อนแม่ที่เธอเคยเจอเมื่อตอนเด็ก

    มุกลิณญ์จำได้ว่าภควัตรเคยติดตามศุภลักษณ์ไปร่วมงานวันเกิดของเธอตอนที่เธออายุได้สักสี่ห้าขวบเห็นจะได้ แล้วด้วยความหมั่นไส้หรืออะไรก็ไม่อาจอนุมานได้ อยู่ ๆ เมื่อมุกลิณญ์เอาเค้กไปยื่นให้ภควัตร เขากลับหยิบมาละเลงใส่หน้ากลม ๆ ของเธอจนเต็มไปหมด

    ทั้งเมื่อถูกศุภลักษณ์ดุให้ เด็กชายที่อายุมากกว่าเธอสี่ปีกลับประกาศลั่น “ภีมไม่ชอบหน้ายัยหมูอ้วนนี่เลยครับแม่!”

    แต่ไม่คิดว่าเมื่อเจอกันอีกครั้ง เขากลับรู้สึกขายหน้าไม่น้อย เพราะว่าตอนนี้ยัยเด็กอ้วนฉุคนนั้นกลับโตมาเป็นสาวสวย เก่ง แถมยังมีผู้ชายมากมายมารายล้อม

    ทว่ามุกลิณญ์ก็ยังคงยืนยันคำเดิมกับพิมพ์พิชชา เพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่มาเรียนภาษาเพิ่มเติมและกลายเป็นรูมเมทของเธอว่า “ฉันน่ะไม่เอาด้วยหรอก ภาระหัวใจทั้งนั้น”

    แต่กลับภควัตร...ทั้งที่ตั้งท่าชิงชังไว้แล้วเชียว แต่ทำไมทุกครั้งที่มีเขาอยู่ใกล้หัวใจของเธอจึงต้องหวั่นไหวไปเสียทุกครั้งเลยก็ไม่รู้...

    และหลังจากที่เรียนจบ ภควัตรจึงกลับมา

    สิ้นเสียงประกาศเตือนของพนักงานต้อนรับ ภควัตรจึงเก็บหนังสือที่ตนเลือกหยิบขึ้นเครื่องมาด้วยเพื่ออ่านฆ่าเวลาในการเดินทางที่แสนยาวนานเข้ากระเป๋า ครั้นหันมามองหน้าสวยที่นอนหลับสนิทชายหนุ่มจึงเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความเอื้อเอ็นดู

    “มุกครับ”

    ภควัตรเขย่าต้นแขนของหญิงสาวที่มารดากำชับนักหนาว่าให้ดูแลอย่างดีเพียงแผ่วเบา นอกจากมันจะไม่เป็นผลแล้วหน้าสวยยังเอนมาพิงไหล่กว้างของเขาอีก เห็นเช่นนั้นชายหนุ่มจึงค่อย ๆ หยิบผมยาวสวยสีน้ำตาลเข้มที่หล่นลงมาปรกหน้าขึ้นทัดหูให้อีกฝ่าย มุกลิณญ์ที่กำลังเคลิ้มจึงยิ้มละมุนทั้งที่ตายังหลับสนิท ภควัตรจึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วยความระมัดระวังแล้วจึงกระซิบบอก “ถึงแล้วครับมุก”

    “ถึงแล้ว...” มุกลิณญ์ทวนคำของเขา ขณะที่เปลือกตายังปิดอยู่ทั้งยังผัดผ่อน “ขอมุกนอนต่ออีกเดี๋ยวนะคะ”

    ภควัตรเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับแอร์โอสเตสสาวที่เดินผ่านมาพอดี โดยทันทีที่เห็นแววตาเว้าวอนของความช่วยเหลือเจ้าของดวงหน้าแฉล้มจึงกระตุกยิ้มพร้อมทั้งยื่นมือมาบิดที่ต้นแขนของเพื่อนสาวเต็มแรง จนคนขี้เซาสะดุ้ง

    อย่าว่าแต่มุกลิณญ์เลย ภควัตรเองก็ทำหน้าเหยเกไม่ต่างกัน

    ครั้นเห็นว่ามุกลิณญ์ตื่นเต็มตาแล้ว เจ้าหล่อนที่ยืนกอดอกเชิดหน้าอยู่ข้าง ๆ จึงทำเสียงเล็กเสียงน้อย ล้อเลียน “ไงยะ ขอมุกหลับต่ออีกหน่อยนะคะพี่ภีม...”

    นั่นทำให้พิมพ์พิชชาที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนรักของมุกลิณญ์ถูกฟาดให้ที่ต้นแขนไปทีหนึ่ง ก่อนที่คนเพิ่งตื่นเต็มตาจะค่อนว่าให้

    “ที่หยิกเพื่อเต็มแรงขนาดนี้เนี่ยอิจฉา หรืออะไร?”

    คราวนี้พิมพ์พิชชาเบ้เบะปากที่สวยได้รูป ทั้งยังกลอกตามองบนใส่มุกลิณญ์อย่างไม่ได้มีเจตนาเกินไปกว่าเพื่อกระเซ้าหยอก ทั้งยังกระซิบ “นี่ยัยมุกฉันจะบอกให้นะว่าแค่ฉันกระดิกนิ้วเนี่ยทั้งสนามบินก็พร้อมจะปรี่มาแย่งกันจีบฉันละ แต่ที่ฉันไม่ทำนี่เพราะอะไร? เพราะฉันยังไม่อยากเหนื่อยไงเลยขออยู่ชิว ๆ ไปก่อน”

    “ย่ะ!” มุกลิณญ์กระแทกเสียงใส่เพื่อนสาว

    “แล้วนี่จะลงไปได้รึยัย หรือว่าจะกลับไปปารีสอีกรอบ?”

    “โอ๊ย ไม่กลับแล้วย่ะพี่ภีมอยู่นี่ฉันจะกลับไปทำบ้าไรคนเดียวล่ะ”

    “งั้นก็เชิญจ้ะ”

    “รู้แล้วน่า” มุกลิณญ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับตีที่มือของพิมพ์พิชชาซึ่งเอื้อมมาให้จับหนึ่งที ทั้งยังกล่าวทิ้งท้าย “ถึงบ้านแล้วเดี๋ยวฉันโทรหา”

    เย้าหยอกกับเพื่อนสาวพอควรแล้วมุกลิณญ์จึงหันไปหาภควัตรพร้อมด้วยรอยยิ้มละมุน อีกฝ่ายเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงยิ้มตอบ แล้วทั้งคู่จึงช่วยกันเก็บสัมภาระแล้วพากันจูงเดินลงไป การส่งแขกคู่สุดท้ายของพิมพ์พิชชาก็เป็นอันว่าสิ้นสุดลงตรงนี้ด้วย

     

    เห็นว่ามุกลิณญ์ยังไม่หายง่วงนอนดี คนเป็นพี่จึงเดินนำเข้าไปในร้านกาแฟแบรนด์ดัง เขารอจนเธอนั่งลงเรียบร้อยแล้วถึงเดินไปสั่งเครื่องดื่มให้ แต่กระนั้นคนที่มัวแต่ก้มหาบัตรที่ใช้แทนเงินสดก็ชนกับใครอีกคนเข้าให้

    “ขอโทษครับ”

    แล้วคนที่เงยหน้าขึ้นมาก้องนิ่งไปในบัดดล ภควัตรทอดมองแผ่นหลังของคนที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากาแฟที่ถือในมือจะหกไปแล้วเกินครึ่ง เธอเดินดิ่วออกไปอย่างรวดเร็วส่วนเขาที่กำลังจ่ายเงินก็ยื่นบัตรใบนั้นให้พนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์แล้วจึงสาวเท้าเดินตามออกไปอย่างไม่รีรอ

    และนั้นก็ทำให้มุกลิณญ์ที่เงยหน้าขึ้นมาพอดีต้องเดินตามมาด้วยความฉงน เธอไม่ลืมรับบัตรที่พนักงานคนเดิมคืนให้ก่อนจะเดินตามไปชะโงกหน้ามองแผ่นหลังของภควัตรที่วิ่งออกไปที่นอกร้านตรงหน้าประตูนั้น

    “พี่ภีมคงเจอคนรู้จักละมั้ง”

    มุกลิณญ์ไม่สนใจอะไรมากไปกว่านั้น ด้วยระยะห่าง...เธอไม่ควรจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาให้มาก

    แล้วสาวเจ้าก็เดินกลับเข้ามา ซึ่งนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บาริสต้าสาววัยไล่เลี่ยกับตนยื่นหน้ามาบอก “คุณมุกคะ เครื่องดื่มที่สั่งไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ” เท่านั้นมุกลิณญ์ก็แทบจะไม่สนใจอะไรอีก

    ส่วนภควัตร เขาเดินตามมาถึงทางเชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสาร แต่เพราะช้าไปสามก้าว เธอคนนั้นก็ถูกผู้คนที่สัญจรไปมากลืนเข้าไปในที่สุด

    แต่กระนั้นหัวใจที่โหยหายังพร่ำถาม “ใช่คุณหรือเปล่าโรส”

     

    ________________

    รีไรท์แล้ว เป็นไงบ้างคะ เม้นท์คุยกันได้น้าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×