ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลุ้นรักหยอกใจ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #4 : ลุ้นรักหยอกใจ ตอนที่ 4 [YAOI]

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 58


    ลุ้นรักหยอกใจ ตอนที่ 4
     

    รเมศตื่นขึ้นมาอีกครั้งในยามเช้า แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านสีครีมทำให้รู้สึกร้อน ความสว่างจากธรรมชาติทำให้ห้องนอนนี้ไม่ต้องพึ่งไฟนีออนเลยด้วยซ้ำ เขาพลิกตัวไปอีกด้านเพื่อหนีไอร้อนตามสัญชาติญาณแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่าเตียงนี้ไม่ใช่ของตนเอง สมองเริ่มทำงานด้วยการระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนได้ทีละฉากว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ชายหนุ่มรู้สึกถึงความร้อนผ่าวบริเวณแก้มทั้งสองข้างได้เป็นอย่างดี อยากก่นด่าตนเองที่สุดที่ทำเรื่องงี่เง่าแบบนั้นลงไปได้ อะไรดลใจให้เขาคิดถึงเจ้าของห้องในยามที่จิตใจไม่ปกติด้วย แล้วตนจะสามารถมองมิสเตอร์ลีได้สนิทใจเหมือนเดิมหรือเปล่า

    กลิ่นหอมๆ ของขนมปังที่โชยมาจากโซนห้องครัวในห้องรับแขกกว้างทำให้ร่างที่นอนขดบนเตียงเลิกผ้าห่มออกมาด้วยความอยากรู้แถมกระเพาะอาหารก็มีปฏิกิริยาทันทีอีกด้วย มะขามนิ่วหน้ารับรู้ถึงความแสบในช่องท้อง หรือว่าโรคประจำตัวจะเล่นงานตนเสียแล้ว

    “Ah, you wake up. Go get dressed and have breakfast.” ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตพับแขนครึ่งท่อนกางเกงสแลคสีเทาชำเลืองมองคนที่เพิ่งเดินงงๆ ออกมาจากห้องนอนขณะกำลังหยิบแผ่นขนมปังออกจากกระทะมาวางบนจานจนพูน คนอายุน้อยกว่าซึ่งยังไม่ตื่นเต็มร้อยได้แต่จ้องมองผู้พูดอย่างงงๆ มิสเตอร์ลีกำลังทำอาหารเช้าอย่างงั้นเรอะ?

    คุณทำอะไร คนร่วมห้องถามเสียงงัวเงียพลางคิดถึงเตียงหนาที่ทำให้ตนหลับสบายทั้งคืนโดยไม่สะดุ้งตื่นด้วยความแปลกที่เลยสักนิด หากมีเตียงแบบนี้ไว้ที่บ้านตนคงสามารถหลับได้ทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ เขาทำหน้ามึนพาตนเองนั่งที่โซฟารับแขกมองเจ้าของห้องที่แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อเชิ้ตพับครึ่งแขนกางเกงสแลคสีเข้มและสวมผ้ากันเปื้อนทับกำลังตอกไข่ลงในกระทะแบน กลิ่นหอมของน้ำมันกระตุ้นการทำงานของกระเพาะจนได้ยินเสียงโครกครากทันที

    “Breakfast for you and me. Do you like fried egg, scrambled egg, or omelette?” รเมศรู้สึกประหลาดใจกับคำถามไม่น้อย นายลีทอดไข่เป็นด้วยหรือแต่สังเกตจากท่าทางการจับกระทะและตะหลิวแล้วก็มองออกว่าไม่ใช่มือสมัครเล่น

    งั้นไข่คนละกัน จริงๆ มะขามชอบไข่ตุ๋นที่สุดหากวิธีการทำจะยุ่งยากเกินไปจึงเลือกอาหารที่ทำง่ายๆ ดีกว่า เขาไม่ใช่คนเรื่องมากในการกินสักเท่าไหร่แค่มีอะไรลงท้องจนอิ่มก็เพียงพอแล้ว

    “Oh, Your washed clothes are on the table” คนตัวโตชี้นิ้วให้สังเกตเห็นถุงพลาสติกที่ปิดผนึกมาอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะรับแขก หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งยิ้มด้วยความโล่งอกที่ได้ชุดคืนมาเสียทีจึงเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของห้อง ถึงจะเป็นชุดเดียวกับเมื่อวานคงไม่มีใครสังเกตหรอกเพราะยังไงก็ต้องเปลี่ยนแบบฟอร์มที่สนามบินอยู่แล้ว

    สาเหตุมาจากนโยบายของบริษัทที่อยากรักษาภาพลักษณ์ของพนักงานให้ดูดีตลอดเวลาจึงบังคับให้เปลี่ยนชุดก่อนเข้าและออกจากงาน แถมยังมีสวัสดิการซักรีดให้ด้วยซึ่งก็สะดวกสบายสำหรับหลายๆ คนที่ไม่อยากเสียเวลารีดเสื้อผ้ากันซึ่งเป็นนโยบายที่มะขามชอบที่สุดเช่นกัน

    เขาใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่ถึงสิบห้านาทีก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยความสดชื่นตื่นเต็มตา โชคดีที่มิสเตอร์ลีเตรียมแปรงสีฟันให้ด้วย ไม่งั้นคงต้องทนอมกลิ่นปากจนถึงที่ทำงานแน่ๆ ส่วนพวกอุปกรณ์บำรุงผิวพรรณต่างๆ ตนทิ้งเอาไว้ในล็อคเกอร์เสมอเพราะการทำงานบริการที่ต้องพบปะผู้คนตลอดเวลาจึงต้องมีเทคนิคทำให้ตนเองดูดีบ้าง

    รเมศเบิกตามองอาหารเช้าฝีมือของเจ้าของห้องด้วยความทึ่งกับปริมาณไม่น้อย ขนมปังชุบไข่กองพูนบนจานสีขาว มีไส้กรอกและแฮม ตบท้ายด้วยไข่คนตามที่เขารีเควสเอาไว้ ส่วนคนทำเป็นไข่ดาว อาหารเช้าแบบฝรั่งแบบนี้ทำให้อ้วนและท้องอืดได้ง่ายๆ เลย เขาเม้มริมฝีปากลงอยากถามหาจานผักเป็นที่สุดแต่ก็ไม่อยากถามให้เสียน้ำใจนายลีดีกว่า

    คุณทำอาหารเป็นด้วย? คนอายุน้อยกว่าถามเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดจนเกินไป เขาหยิบขนมปังชุบไข่ที่ทอดจนเหลืองทั้งสองด้านมาวางไว้บนจานของตนแล้วปรุงรสด้วยพริกไทย เกลือเล็กน้อย อืมรสชาติอร่อยกว่าที่คิดไว้เสียอีกจึงหยิบมาอีกชิ้นทันที

    นิดหน่อย ผมอยู่ตัวคนเดียว บางทีก็เบื่ออาหารข้างนอก หนุ่มฮ่องกงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วกลับมาพร้อมสลัดผักที่แช่จนเย็นได้ที่แล้ว เขาเลื่อนขวดน้ำสลัดให้กับคนร่วมโต๊ะได้เลือกตามใจชอบ คุณทานได้ไหม?

    ผมกินง่ายนะมิสเตอร์ลี ขอบคุณสำหรับอาหารเช้ามื้อนี้ คนร่วมห้องส่งยิ้มหวานแสดงความรู้สึกจากใจจริงให้โดยไม่หลบสายตาเหมือนเช่นเคย ผมถือว่าผมติดหนี้คุณหนึ่งครั้งแล้วล่ะ มะขามยอมรับอย่างเปิดเผยว่าหากเมื่อคืนตนไม่มาหาคนๆ นี้ ทุกอย่างอาจจะเลวร้ายก็ได้ เขาอาจจะเลือกหาตนเองไปหาคู่นอนคืนเดียวเพื่อดับความฟุ้งซ่านก็ได้ซึ่งเมื่อพิจารณาด้วยสติอย่างถี่ถ้วนแล้ว ถือว่าเป็นการกระทำที่งี่เง่าที่สุด ใช่ว่าเขาจะรักนวลสงวนตัวนักแต่โรคภัยที่มากับเพศสัมพันธ์มีค่อนข้างมาก หากติดโรคเพราะความไม่ยั้งคิดขึ้นมามันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลยล่ะ

    ไม่เป็นไร ผมดีใจที่คุณคิดถึงผม ลีเองไม่คาดคั้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอีกแล้ว เขาถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายเช่นกัน

    นั่นสิรเมศก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนถูกบีบสมองและหัวใจจนเจ็บชา แม้ว่าพี่โชคจะอาสาตัวดูแลให้เหมือนครั้งก่อนตนกลับปฏิเสธ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกของตนได้ดีกว่าใครเพราะรู้เรื่องมาโดยตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างตนกับแฟนเก่า แต่ทว่า...การที่เขามานั่งกินข้าวกับนายลีในห้องนี้ได้ก็น่าจะเป็นคำตอบของความรู้สึกเบาบางที่อยู่ในใจได้แล้ว

    เพียงแต่ว่า...ยังไม่อยากยอมรับจนกว่าจะแน่ใจถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อตนเองมากกว่านี้

    ความเจ็บช้ำจากรักครั้งก่อนยังเป็นบาดแผลใหญ่ในใจของมะขาม เวลาที่ผ่านมายังไม่นานพอที่จะเยียวยาจิตใจตรงนี้ได้ ถึงพี่เบิร์ดไม่ใช่แฟนคนแรกแต่เป็นคนที่ทำให้เริ่มหันมาคิดจริงจังกับการใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคน เริ่มวางแผนชีวิตกันในอนาคต คิดแม้กระทั่งจะเปิดเผยความสัมพันธ์ให้กับคุณย่ารู้แต่ทว่าทุกอย่างก็พังทลายไปเสียก่อน ที่ผ่านมาเขาพยายามกล่อมตนเองมาเสมอว่า ไม่เป็นไร เขาทนได้และเข้มแข็งพอแล้วที่จะยืนหยัดอยู่ตามลำพัง หากคืนนี้การได้พบกันโดยบังเอิญทำให้รู้ถึงความอ่อนแอที่หลบซ่อนอยู่ภายในได้ชัดเจนเสียที

    แม้ว่าเขายังคงเสียใจกับการสูญเสียคนรักไปเช่นเดิมแต่จากนี้ไปควรจะทำความเข้าใจกับตนเองเสียใหม่และยอมรับความเป็นจริงให้ได้เพราะถึงอย่างไรพี่เบิร์ดก็ไม่กลับมาหาตนอีกแล้ว และที่สำคัญคือความรู้สึกของตนที่มีต่อคนที่อยู่เบื้องหน้านั้นเป็นอย่างไรกันแน่

    ดวงตาคมชำเลืองมองคนร่วมโต๊ะเป็นระยะ ชายหน้าตี๋ผิวขาวผ่องจนน่าอิจฉาอยู่ไม่น้อย รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างจัดว่าเป็นผู้ชายที่มีบุคลิกดีมากคนหนึ่งเท่าที่ตนเคยพบเจอมาเลยแต่ทว่าความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่า คนๆ นี้มีบางอย่างปิดซ่อนเอาไว้ภายในหน้ากากเปื้อนยิ้ม หากมะขามยังรู้สึกลังเลที่จะค้นหาคำตอบนี้

    คุณดูแจ่มใสขึ้นมากนะภาษาไทยแปร่งๆ ทำให้ผู้ฟังเลิกคิดฟุ้งซ่านทันที ทานเยอะๆ นะเจ้าของห้องหยิบขนมปังชุบไข่วางบนจานคนร่วมโต๊ะอีกหนึ่งแผ่นซึ่งเจ้าตัวเริ่มทำหน้าเบ้เล็กน้อยเพราะเป็นแผ่นที่สี่แล้ว ถึงตนจะกินจุแต่ก็ไม่ถึงกับกระเพาะครากหรอก

    ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับมิสเตอร์ลี ผมรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆคู่สนทนายิ้มอย่างมีเลศนัยจนทำให้รเมศรู้สึกประหลาดใจในพฤติกรรมดังกล่าว ผู้ชายคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่?

    เมื่อกี้คุณบอกว่า คุณติดหนี้ผมใช่ไหม?” นั่นไงคิดเอาไว้แล้วไม่ผิด หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งร้องในใจ มีหรือที่คนเจ้าเล่ห์อย่างนายลีจะไม่ฉวยโอกาสที่ตนเผลอเปิดเอาไว้เล่า หากน่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่โกรธหรือฉุนเฉียวเหมือนครั้งที่แล้ว คงเป็นเพราะคะแนนความอ่อนโยนจากเมื่อคืนช่วยเอาไว้และทำให้มั่นใจอีกฝ่ายไม่ได้คิดร้ายต่อตนก็ได้

    ใช่ร่างเล็กกว่าวางส้อมลงบนจานแล้วนั่งกอดอกตั้งใจฟัง

    ผมอยากรู้วันหยุดของคุณลีถามเช่นนี้เพราะรู้ลักษณะการทำงานของรเมศเป็นงานเข้ากะซึ่งมีเวลาทำงานไม่แน่นอนและวันหยุดเองก็ไม่ตรงกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป

    ผู้ฟังเลิกคิ้วแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดปฏิทินภายในเครื่องแล้วยื่นให้คนถามดูเอาเอง เขาไม่ค่อยได้หยุดตรงกับวันเสาร์อาทิตย์นักหรอกแถมอีกฝ่ายก็ต้องเดินทางไปมาระหว่างเมืองไทยกับฮ่องกงทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าจะหาโอกาสหยุดตรงกันยากมากทีเดียว

    ชายชาวจีนยิ้มคลี่บางหลังจากที่ดูตารางการทำงานของมะขามจนจำได้เกือบทั้งหมดแล้ว “Perfect” เขากล่าวพร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนผู้เป็นเจ้าของที่ทำหน้างงงวยกับประโยคเมื่อครู่ “You have days off on Friday and Saturday in next month. So, make yourself free on that day, okay?”

    แม้ว่าจะพูดว่าเดือนหน้าแต่ใจความเป็นจริงแล้วอีกแค่สองสัปดาห์เท่านั้นเองทำให้คนอายุน้อยกว่ารู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที คุณคิดจะทำอะไรกับผม?”

    ลียิ้มยียวนแทนคำตอบ "ความลับ" ผู้ฟังพ่นหายใจออกมาด้วยความรำคาญ บอกให้ตนเตรียมใจก่อนไม่ได้หรือไง

    "ไม่บอกผมก็ไม่ไป" เขายื่นเงื่อนไขต่อรอง หากคิดอะไรไม่ดีต่อตน ใครจะบ้าตามไปด้วยเล่า

    ชายผิวขาวยกแก้วกาแฟขึ้นจิบพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วจึงยอมบอกสิ่งที่คิดไว้ออกไป "ผมอยากไปทะเล แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน คู่สนทนาทำหน้าโล่งอกโดยอัตโนมัติ หากพูดถึงทะเลตนเองก็ไม่ได้ไปมานานมากเช่นกันแม้ว่าจะมีสิทธิ์ของพนักงานสายการบินสามารถบินฟรีได้ก็ตามแต่คนรักเก่าซึ่งเป็นนักบินจึงมีตารางงานรัดตัวตลอดจึงทำให้แทบไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันเลย

    คุณชวนคุณก็คิดเอาเองละกัน มะขามโยนให้อีกฝ่ายทันที ในเมื่อเป็นคนเอ่ยปากชวนก็ต้องวางแผนนั่นแหละ

    ได้สิ ทำตัวให้ว่างก็พอแล้ว คนอายุมากกว่าส่งยิ้มกว้างให้เช่นเคยแล้วลงมือรับประทานอาหารในจานต่อโดยไม่มีใครชวนคุยอีก บางครั้งแค่มีใครสักคนอยู่ด้วยกันก็ทำให้จิตใจที่ห่อเหี่ยวรู้สึกพองโตได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้ว หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งบอกกับตนเองว่า อย่างน้อยการตัดสินใจเมื่อคืนก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดพลาดซะทีเดียว เขาสามารถข้ามความเจ็บปวดไปได้บ้างแล้วแม้ว่าแผลในใจยังมีอยู่แต่เชื่อว่าสักวันมันคงจะไม่ทำให้ตนเจ็บอีกต่อไป

     

     

    ขามว่างแล้วมาหาพี่ด้วย หัวหน้างานของพนักงานสายการบินเปิดประตูตะโกนเรียกชื่อรุ่นน้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วจึงผละออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในช่วงพักเบรคทำหน้างงงวยกันเป็นแถวโดยเฉพาะเจ้าของชื่อที่ต้องวางขวดน้ำหวานลงแล้ววิ่งตามทันที

    ชายหนุ่มเคาะประตูพอเป็นพิธีแล้วจึงตรงเข้าในห้องทำงานของอนันตโชคโดยไม่รอคำอนุญาตเช่นเคย รเมศอยากรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงทำสีหน้าแบบนั้นกับตน มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?

    คนอายุมากกว่าชำเลืองมองรุ่นน้องแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ มีคนร้องเรียนการใช้บริการของเราวะ เขากล่าวแล้วหยิบเอกสารการร้องเรียนให้เจ้าตัวอ่านเองเพื่ออธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน ในฐานะที่ต้องดูแลลูกน้องจะต้องให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่ายจะไม่ฟังความข้างใดข้างหนึ่งหรอก นั่งอ่านก่อนและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาด้วย

    พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินอ่านรายละเอียดในเอกสารอย่างถี่ถ้วนจนร้องอ้อเบาๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาออกทั้งหมด คุณป้าเสียงแปดหลอกที่ตกเครื่องเมื่อวานนี่เอง เขาจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากมุมมองของตนให้หัวหน้างานฟังรวมถึงเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ให้ผู้โดยสารคนดังกล่าวขึ้นเครื่องเพราะมาช้ากว่าเวลาเช็คอินถึงยี่สิบนาที

    อนันตโชคประสานมือเอาคางเกยขณะรับฟัง เขานี่แหละเป็นคนปฏิเสธไม่ให้ผู้โดยสารขึ้นในที่สุด หากสิ่งที่เขียนมาไม่ได้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวแต่เป็น...อากัปกิริยาของลูกน้องต่างหาก "เขาบอกว่าขามชักสีหน้าไม่พอใจ กระแทกน้ำเสียงและพูดจาไม่ดีอีกด้วยนะ"

    ผู้ฟังเลิกคิ้วทำหน้างุนงงกว่าเดิม เขามั่นใจว่าตนเองควบคุมอารมณ์ได้ดีมากสำหรับเคสของเมื่อวานและเรื่องก็จบลงด้วยการที่ผู้โดยสารที่ตกเครื่องยอมเปลี่ยนเที่ยวบินแต่โดยดี ดวงตาคมหลุบลงเพื่ออ่านสิ่งที่ผู้ร้องเรียนเขียนให้อีกครั้งและพบกับจุดที่น่าสงสัย "พี่โชคครับ เป็นไปได้ไหมว่าคนคอมเพลนจะไม่ใช่ผู้โดยสาร"

    "เออ พี่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันวะ ไม่งั้นคงไม่บอกว่าเราไม่ช่วยเหลือบังคับให้จ่ายเงินอย่างเดียว" คนอายุมากกว่าช่วยเสริมแนวคิดนี้ ตนอ่านคำร้องแล้วรู้สึกตงิดอยู่ไม่น้อยทีเดียว เพราะความเป็นจริงแล้วรเมศพยายามหาตั๋วราคาถูกที่สุดให้เพื่อที่ลูกค้าจะได้ไม่ต้องจ่ายมากด้วยซ้ำ

    หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเกาหัวแกรกๆ เลยทีเดียว เขาไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของคนเขียนได้เลย ทั้งๆ ที่ตนก็ทำทุกอย่างตามขั้นตอนแล้ว เว้นเสียแต่ว่า... "พี่โชคครับ ผมไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันไหมแต่ว่าตอนที่ผมคุยกับผู้โดยสารคนนี้อยู่ ผมรู้สึกเหมือนมีคนจ้องตลอด แต่เมื่อผมแหงนหน้าขึ้นมองตอบก็ไม่พบใครที่น่าสงสัยเลย" เขาตัดสินใจเล่าสิ่งที่ผิดสังเกตในความรู้สึกให้อีกฝ่ายฟัง

    "อืม เป็นแบบนี้นานหรือยัง" อนันตโชคยังไม่ด่วนตัดสินใจว่าคนพูดคิดไปเองหรอก

    "ผมรู้สึกตัวว่าถูกมองประมาณสักสองอาทิตย์ได้แล้วครับโดยเฉพาะเวลาอยู่เค้าน์เตอร์เช็คอิน" มะขามก็พูดไม่ได้เต็มปากนักว่าเมื่อไหร่แต่ตนเพิ่งมาสังเกตได้ไม่นานมานี้ และไม่หยั่งรู้ด้วยว่าเป็นฝีมือของใครกันแน่ เพียงแค่รู้สึกรำคาญใจที่ถูกใครไม่รู้จ้องมาอีกแล้ว     

    "งั้นต้องระวังตัวเพิ่มกว่าเดิมด้วยก็ดีนะขาม มีอะไรไม่ชอบมาพากลก็รีบบอกพี่กัน" คำตอบจากรุ่นพี่ที่เคารพทำให้ผู้ฟังรู้สึกใจชื้นขึ้นมากทีเดียว อย่างน้อยก็มีคนเชื่อในสิ่งที่เขาพูดบ้าง "ส่วนเรื่องเคสร้องเรียนพี่จะตอบฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ตามที่เราพูดนะ แล้วให้ติดต่อคนที่เขียนด้วยว่าใช่ผู้โดยสารหรือเปล่า" ชายร่างใหญ่เอานิ้วจิ้มที่หมายเลขโทรศัพท์ซ้ำไปซ้ำมา ตนก็อยากรู้เช่นกันว่าลูกน้องของตนผิดจริงตามที่กล่าวหาหรือไม่

    รเมศคลี่ยิ้มด้วยความโล่งอกพลางยกมือไหว้ขอบคุณคู่สนทนาที่ช่วยเหลือมาโดยตลอด ถ้าไม่นับรสนิยมแปลกประหลาดของคนๆ นี้แล้วถือว่าเป็นหัวหน้าที่น่าเคารพและให้ความยุติธรรมแก่ลูกน้องอย่างเท่าเทียมทีเดียว ทำให้หลายๆ คนรักและยำเกรงพี่โชคมากแต่ใช่ว่าทุกคนที่จะคิดแบบนั้น เมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนชังเป็นเรื่องปกติของมนุษย์โลก

    "ไอ้ขาม ว่าแต่เมื่อคืนทำไมไม่โทรหรือส่งข้อความมาบอกวะ ถ้าเราไม่มาทำงานพี่เตรียมแจ้งความคนหายแล้วรู้ไหม" อนันตโชควกกลับมาเรื่องเมื่อวานที่ตนย้ำหนักย้ำหนาแล้วให้ติดต่อมาแต่จนแล้วจนรอดก็เงียบกริบ ถ้าไม่เห็นว่าวันนี้มาทำงานด้วยสีหน้าแจ่มใสไม่ตาโหลอมทุกข์แบบเมื่อวานตนคงจะว้ากตั้งแต่แรกเห็นแล้วโทษฐานทำให้เป็นห่วงแต่ที่ไม่ติดต่อไปเองเพราะโตๆ กันแล้วน่าจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรได้แล้ว

    "ผมขอโทษครับพี่โชค ตอนนั้นผมเอาแต่คิดถึงตัวเองฝ่ายเดียว ผมไม่มีคำแก้ตัวที่ทำให้เป็นห่วงครับ" มะขามยืดอกรับความผิด ตนทำให้ทั้งพี่โชคและจ๊ะเอ๋เป็นกังวลไปด้วย และตั้งมั่นว่าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกเป็นอันเด็ดขาด

    "คราวหลังอย่าแบกอะไรไว้คนเดียว มึงไม่ไหวก็บอกกันได้ ถึงพี่ไม่ใช่แฟนไม่ใช่ญาติแต่ก็พร้อมจะช่วยเหลือนะ" ในฐานะที่ทำงานร่วมกันมาเกือบสี่ปีทำให้เขาพอทราบพื้นเพครอบครัวของรเมศบ้างจึงรู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษ "ตกลงเมื่อคืนมึงไปนอนกับมิสเตอร์ลีใช่ไหม?"

    มะขามเบิกตาโตด้วยความช็อคสุดขีด เขาอุตส่าห์บอกให้นายลีจอดรถไกลที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว ทำไมพี่โชคถึงรู้ได้ล่ะ หากรอยยิ้มขำๆ ที่คู่สนทนามอบให้ทำให้เขารู้ตัวว่าถูกหลอกจนได้

    "แสดงว่ากูเดาถูกสินะ" คนถูกต้อนจนมุมผงกศรีษะรับอย่างจนใจ มาถึงขั้นนี้แล้วคงจะปฏิเสธยากแล้ว หัวหน้าแผนกส่ายหน้าเล็กน้อยเนื่องจากตนเตือนไว้แล้วแท้ๆ ก็ยังจะถลำจนได้แต่จะโทษก็ไม่ได้เพราะเวลานั้นมิสเตอร์ลีอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของรุ่นน้องแล้วก็ได้ เขาได้แต่ภาวนาว่าคนๆ นั้นคงจะมีความจริงใจให้บ้างนะ

    "ใช่...แต่ผมไม่ได้มีอะไรกับเขานะพี่โชค แค่ไปค้างคืนเท่านั้น" รเมศละอายเกินกว่าจะบอกความจริงว่าตนตั้งใจไปทำอย่างว่าเพื่อประชดชีวิตแล้วโดนสมาชิกวีไอพีสวดยับแทนอีกด้วย

    "เรอะ? ไม่น่าเชื่อ เป็นคนดีกว่าที่คาดไว้แหะ" อนันตโชคลูบคางตนเองเบาๆ จากการดูคนด้วยประสบการณ์ของตนเองแล้ว นายลีน่าจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่น้อยนะ แถมอ้อยมาจ่อปากช้างถึงที่แล้วกลับไม่ยอมกิน คงต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ

    "อ้อ พี่โชค ผมมีเรื่องจะปรึกษาเกี่ยวกับวันหยุดของเดือนหน้าครับ" มะขามได้โอกาสเปลี่ยนประเด็น ตอนนี้ตนยังไม่พร้อมจะตอบคำถามที่ยังไม่แน่ใจ

    "หือ? ว่ามาสิ" การทำงานเป็นกะที่ไม่มีเวลาทำงานตายตัว พนักงานสามารถสลับวันหยุดหรือกะได้หากมีความจำเป็นจริงๆ โดยต้องบอกหัวหน้าให้ทราบก่อน

    "คือวันศุกร์และเสาร์ที่ผมหยุดติดกัน วันพฤหัสผมขอเข้าตอนเช้าได้ไหมครับ"

    "ทำไมวะ?" อนันตโชคขอทราบเหตุผลก่อนตัดสินใจเพราะการปรับเปลี่ยนตารางงานของคนๆ เดียวอาจจะมีผลกระทบต่อหลายคนได้

    "ผมเพิ่งวางแผนจะไปเที่ยวครับ" เขากล่าวเสียงอ่อยๆ เพราะเป็นแผนของมิสเตอร์ลีไม่ใช่ของตนเลยเพียงแต่ที่อยากเปลี่ยนเพราะจะได้มีเวลาทำธุระส่วนตัวมากขึ้นก่อนถูกลากไปไหนก็ไม่รู้

    "อ้อ ก็ดีแล้วตั้งแต่ต้นปีมาแกยังไม่ได้ไปพักยาวเลย งั้นพี่จะใช้ขามหยุดศุกร์เสาร์อาทิตย์ละกัน จะได้พักกายพักใจซะบ้าง" ผู้ฟังแทบอยากก้มกราบหัวหน้าที่เคารพเป็นอย่างยิ่งแต่ทว่าก็ยังมีเรื่องที่ยังกังวลอยู่บ้าง

    "แบบนี้พี่โชคต้องเปลี่ยนวันหยุดของคนอื่นหรือเปล่า ถ้าแบบนั้นผมเกรงใจนะ" เพราะรู้ว่าวันหยุดสุดสัปดาห์มีค่ามากสำหรับบางคน มะขามจึงไม่อยากเป็นต้นเหตุของความไม่พอใจทั้งปวง แค่นี้ตนก็ถูกกล่าวหาลับหลังแล้วว่าเป็นเด็กของอนันตโชค เพียงแต่เจ้าตัวบอกให้เขาอยู่เฉยๆ ไม่จำเป็นต้องแก้ต่าง

    คู่สนทนาหัวเราะกับความคิดมากของรุ่นน้องจึงอธิบายให้กระจ่างแต่เนิ่นๆ "ไม่มีหรอก พี่จัดตารางเผื่อคนจะหยุดอยู่แล้วล่ะ ดังนั้นขามไปเที่ยวให้สบายใจเถอะ"

    หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งยกมือไหว้ด้วยความซาบซึ้งในความกรุณาเป็นที่สุด ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่ตนจะได้มีเวลาพักผ่อนเพิ่มอีกหนึ่งวันเพราะไม่รู้ว่ามิสเตอร์ลีจะวางแผนอะไรไว้อีกหรือไม่ เขาได้แต่หวังว่าการถูกลากไปเที่ยวทะเลกับคนเจ้าเล่ห์ในครั้งนี้คงจะไม่มีปัญหาใดๆ เข้ามารบกวนจิตใจอีกก็พอ

     

     

    รเมศพยายามเก็บอารมณ์หงุดหงิดไม่ให้แสดงออกมามากผ่านทางสีหน้าระหว่างการทำงาน วันนี้เขารู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมายังตนชัดเจนกว่าทุกครั้งเสียอีก ดวงตาคมชำเลืองกวาดมองรอบๆ ภายในอาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินทุกครั้งที่มีโอกาส อยากรู้เหลือเกินว่าคนๆ นั้นต้องการอะไรจากตนกันแน่ ชายหนุ่มพยายามปั้นหน้ายิ้มให้กับผู้โดยสารที่มาเช็คอินก่อนเวลาขึ้นเครื่องพร้อมกล่าวเสียงนุ่มเพื่อให้เกิดความประทับใจมากที่สุด

    นับตั้งแต่วันสงกรานต์ที่ผ่านมา มะขามก็ไม่ได้เห็นมิสเตอร์ลีเข้าออกสนามบินเหมือนดั่งเคยที่อย่างน้อยจะต้องเดินทางไปกลับเมืองไทยและฮ่องกงเดือนละสองถึงสามครั้งแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะถามได้ รู้เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายมีงานมีการทำอะไรที่ไม่ผิดกฏหมายก็เพียงพอแล้วล่ะ

    ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้เวลาปิดรับเช็คอินเสียที เขารีบจัดการเอกสารแล้วรีบก้าวขายาวอย่างรวดเร็วเพื่อไปส่งที่สำนักงานของการท่าให้ทันเวลา สายตาปริศนายังคงจ้องมาอยู่เหมือนจะรู้ด้วยซ้ำว่าตนต้องไปที่ใดต่อ เขาหันหลังกลับลงมามองเมื่อขึ้นบันไดครบขั้นก็ไม่พบใครที่น่าสงสัยตามมาจึงรีบเดินต่อทันที ตนรู้สึกเหมือนถูกใครไม่รู้คุกคามตลอดเวลาการทำงานแบบนี้เห็นทีคงขอร้องให้หัวหน้างานเปลี่ยนหน้าที่ของตนไปประจำจุดอื่นจนกว่าจะหาต้นตอเจอ

    ด้วยความรีบร้อนจนเกินเหตุทำให้มะขามไม่ทันระวังตัวเมื่อเดินมาถึงทางแยกจึงชนเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเลี้ยวออกมาพอดีจนอีกฝ่ายล้มลงไปนั่งกับพื้น

    "ขอโทษครับ" พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินรีบกล่าวเมื่อยอมรับว่าเป็นความประมาทของตนเองแล้วรีบจับมือคู่กรณีให้ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว หากประโยคต่อไปได้หายลงไปในลำคอเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ถูกชนชัดเจน...แฟนใหม่ของพี่เบิร์ด

    "เดินระวังหน่อยสิ" สจ๊วตหนุ่มบ่นพลางปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออก อีกฝ่ายส่งยิ้มพราวเมื่อสังเกตุอากัปกิริยาของรเมศออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด "พี่เบิร์ดบินคนละไฟล์ทกับโกโก้ ไม่ต้องห่วงว่าจะเจอกันหรอก"

    ผู้ฟังโล่งอกในทันที เขายังไม่อยากเจอคนรักเก่าที่สุดแต่ถ้าเป็นคนๆ นี้ไม่ได้ส่งผลอะไรกับตนมากนักจึงทำเป็นไม่สนใจประโยคดังกล่าวซะ "ขอโทษนะครับ ถ้าคุณไม่เป็นอะไรมาก ผมขอตัวก่อน" เขาส่งยิ้มเจื่อนๆ แล้วเดินอ้อมกลุ่มลูกเรือของสายการบินคู่แข่งเพื่อไปทำงานต่อโดยไม่สนใจสายตาไม่สบอารมณ์จากคู่กรณีสักนิดและไม่คาดคิดด้วยว่าจะทำให้อีกฝ่ายผูกใจเจ็บด้วยหรือไม่

     

     

    และแล้วชั่วโมงการทำงานในวันนี้ของรเมศก็หมดลงในที่สุดเสียที  เนื่องจากเลิกงานช้ากว่าที่คาดคะเนไว้จึงเปลี่ยนแผนฝากท้องไว้กับโรงอาหารของสนามบินแทน จะได้ไม่ต้องแวะที่อื่นให้เสียเวลาด้วย ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งพาตนเองไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำพร้อมสั่งเมนูประจำของตนเช่นเคย เมื่อได้แล้วจึงหาที่นั่งว่างๆ เพื่อลงมือรับประทานมื้อเย็นอย่างสบายอารมณ์แต่ทว่ากลับมีเสียงทักขัดจังหวะมาจากด้านหลังจนได้

    "อ้าว พี่ขาม ผมขอนั่งด้วยคนนะ"

    คนกำลังคีบเส้นหมี่เข้าปากชะงักเล็กน้อยพลางชำเลืองมองพนักงานซอร์ฟเตอร์หรือพนักงานขนถ่ายสัมภาระของสนามบินที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตแล้วก้มลงกินต่ออย่างไม่สนใจ อยากนั่งก็นั่งไป เขาก็ไม่ได้หวงที่อยู่แล้ว

    "พี่ขามเพิ่งเลิกเหรอ" คนถูกถามผงกศีรษะรับเช่นเดิม เดิมที่ตนก็ไม่ใช่คนช่างคุยแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชอบเป็นผู้ฟังเสียมากกว่า "นานๆ ทีจะได้เจอพี่เวลานี้นะ นึกว่าจะครองกะเช้าตลอดซะอีก" ดูเหมือนคนร่วมโต๊ะยังไม่ยอมแพ้พยายามชวนคุยต่อไปหากผู้ฟังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมถึงรู้ว่าตนเข้ากะไหนเป็นประจำ

    "แล้วแต่หัวหน้าจะจัดให้เข้าวะ" มะขามตอบสั้นๆ ถนอมคำพูดเช่นเดิม

    คู่สนทนาหัวเราะแห้งๆ พลางตักข้าวเข้าปากเคี้ยวคำตุ้ยๆ "ช่วงนี้ผมได้ยินข่าวลือแปลกๆ มาล่ะพี่ขาม เขาว่ากันว่ามีพวกคนจีนพยายามขนของผิดกฏหมายผ่านทางเครื่องบิน"

    หัวข้อนี้ทำให้รเมศรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างเพราะคู่สนทนาทำงานเกี่ยวกับเรื่องสัมภาระอยู่แล้ว คงจะมีข่าววงในมาบ้าง "ของอะไรล่ะปิติ?"

    เจ้าของชื่อคลี่ยิ้มกริ่มพลางน้อมตัวเข้าใกล้จนใบหน้าเกือบชิดกัน "พวกงา พวกนอสัตว์น่ะพี่ ค่อยๆ ทยอยขนทีนิดเอา ไม่ให้ผิดสังเกต"

    "ของพวกนี้มันตรวจสอบได้ตั้งแต่เครื่องสแกนหน้าประตูแล้วนะ ไม่ได้เกี่ยวกับเราด้วยซ้ำ" รเมศไม่ใคร่สนใจข่าวลือนี้สักเท่าไหร่เนื่องจากหน้าที่ตรวจสอบสัมภาระไม่ใช่ของสายการบินแต่ของเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินต่างหาก ใครจะขนอะไรขึ้นเครื่องได้หรือไม่นั้นไม่ใช่งานของพวกตนเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ถ้าถามมาเขาก็สามารถแนะนำทางออกที่ดีที่สุดให้ได้เท่านั้น

    "แต่เวลามีปัญหาสายการบินซวยตลอดนะพี่" คนอายุมากกว่าไม่อาจเถียงความจริงนี้ได้แต่เรื่องนี้ควรฟังหูไว้หูก่อนดีกว่ายังไม่ปักใจเชื่อนักเพราะพวกโหลดเดอร์กับซอร์ฟเตอร์มักเป็นตัวสร้างปัญหามากกว่าในสายตาของเขา แค่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจึงยอมเงียบไว้ก่อนเท่านั้น

    "ขอบใจที่บอกนะปิติ พี่จะลองบอกหัวหน้าให้ระวังแล้วกัน" รเมศวางตะเกียบกับช้อนลงในถ้วยเมื่อกินจนหมดแล้ว ก่อนลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับเสียทีตามประสาคนหวงบ้าน สมัยนี้ขโมยชุกชุมเสียด้วย ตนเพิ่งได้ยินว่าหมู่บ้านใกล้ๆ เพิ่งโดนยกเค้าไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วทำให้ยามประจำหมู่บ้านต้องตรวจตราเข้มงวดกว่าเดิมแต่ใช่ว่าจะวางใจได้เท่าตนเอง

    ครับ แล้วเจอกันพี่ขาม คนอายุน้อยกว่าโบกมือร่ำลาคู่สนทนา

    เออ ตั้งใจทำงานล่ะ มะขามตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนมุ่งหน้าเดินออกจากโรงอาหารเพื่อกลับบ้านตามที่ตั้งใจไว้โดยเหลียวมองรอบตัวเช่นเคยและไม่รู้สึกถึงสายตาคู่นั่นอีก แสดงว่าอีกฝ่ายอาจจะกลับไปแล้ว เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดพยายามคาดคะเนถึงบุคคลปริศนาดังกล่าวแต่ก็นึกไม่ออกว่าตนเคยไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจขนาดจ้องไม่วางตาขนาดนั้นได้

     

     

    วันนี้เป็นวันที่หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งรู้สึกไม่สบอารมณ์ตั้งแต่ตื่นเช้ามาทำงานแล้วแม้ว่าเขาจะปรับใบหน้าให้ยิ้มแย้มต้อนรับผู้โดยสารได้โดยไม่มีที่ติหากความรู้สึกในใจยังคงขุ่นมัวไม่จางหายเนื่องจากสาเหตุว่าวันพรุ่งนี้แล้วที่มิสเตอร์ลีบังคับขู่เข็ญตนให้ไปเที่ยวในช่วงวันหยุดสองวันด้วยกันแต่แล้วคนวางแผนก็บินกลับฮ่องกงอย่างกะทันหันโดยไม่บอกว่าจะกลับเมื่อไหร่

    แม้แต่สายตาเจ้าปัญหายังไม่อยู่ในความสนใจของเขาเลยสักนิด อยากมองก็มองไป ตอนนี้ตนไม่อยู่ในอารมณจะใส่ใจด้วยซ้ำเพราะอยากจะด่าไอ้บ้าคนนั้นมากกว่า

    ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้โดยสารจากหน้าระบบได้แต่ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด ชายหนุ่มในชุดพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินหยิบขวดชาขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมดดับความรุ่มร้อนในจิตใจ ทำไมการหายตัวไปของเจ็กหน้ามึนต้องทำให้รู้สึกโมโหขึ้นขนาดนี้ด้วยวะ ปกติเขาน่าจะยินดีมากกว่าที่ไม่ต้องเจอหน้าตี๋ๆ กวนตีนอีก

    เอ่อ พี่ขามคะ ขวดจะบี้อยู่แล้วค่ะ เสียงหวานๆ ของเพื่อนร่วมงานเรียกสติของเจ้าของชื่อให้กับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ดวงตาคมมองขวดพลาสติกในมือที่ถูกบีบจนห่อตัวเข้าหากันด้วยความตกใจเล็กน้อย ตนเผลอใส่อารมณ์กับนายคนนั้นมากเกินไปหรือเนี่ย วันนี้จ๊ะเอ๋รู้สึกว่าพี่ขามดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะคะ เมื่อคืนนอนไม่พอหรือเปล่า หญิงสาวเอียงคอมองคู่สนทนาด้วยความสงสัยหากอีกฝ่ายกลบเกลื่อนด้วยการเดินไปหยิบน้ำขวดใหม่จากในตู้เย็น

    นิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวก็ได้หยุดสามวันแล้วจะนอนให้เต็มที่เลย เขาหันกลับมายิ้มเฉ่งได้เช่นเดิมเมื่อคิดได้ว่าถ้าหมอนั่นไม่ยอมติดต่อมาสักทีเขาจะยื่นคำขาดเลยว่าไม่ไปด้วยแล้ว เอาเวลาที่เหลือนอนกลิ้งตีพุงอยู่ที่บ้านยังจะดีกว่าด้วยซ้ำ สบายใจกว่าเยอะ

    อ้าว จ๊ะเอ๋ได้ยินว่าพี่ขามจะไปเที่ยวไม่ใช่หรือคะ พนักงานสาวทำหน้างุนงงกับข้อมูลที่ไม่ตรงกันจากพี่โชคผู้จัดตารางการทำงานของแผนก

    ตอนแรกก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว

    อ้าว ยกเลิกทริปกันเหรอ ว้า เสียดายแทนจัง รเมศหัวเราะในลำคอ ก็คนนัดหายหัวกลับฮ่องกงไปแล้วก็ต้องยกเลิกสิแม้ว่าลึกๆ จะเสียดายที่อดเที่ยวก็ตามแต่ก็ไม่แน่ตนอาจจะหาทริปสั้นๆ ออกไปท่องเที่ยวคนเดียวก็ได้ เผื่ออารมณ์เซ็งจะได้หายไปบ้าง

    ไว้โอกาสหน้าก็ได้ วันหยุดยังมีอีกเยอะ ชายหนุ่มที่เริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้วไหวไหล่ราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก เขามองเวลาจากหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนังจึงใกล้หมดเวลาพักแล้วจึงชักชวนให้เพื่อนร่วมงานที่เข้ากะเดียวกันกลับไปประจำที่ตามหน้าที่ของใครของมันได้แล้ว

    งานของพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีหน้าที่ประจำตายตัวแต่ละคนจะได้รับการแบ่งงานจากหัวหน้าโดยจะได้งานแบบใดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความถนัดของบุคคลด้วย สำหรับมะขามแล้วมักจะได้งานเช็คอินเป็นประจำแต่ช่วงบ่ายของวันนี้เขาได้ประจำที่เกทซึ่งเป็นงานที่นานๆ ทีจะวนมาหาสักครั้ง

    ช่วงเวลาเพียงเล็กน้อยหลังจากปิดเช็คอินแล้วอาจจะเป็นเวลาที่ยาวนานของผู้โดยสารหากสำหรับพนักงานสายการบินมันคือเวลาที่โคตรยุ่งที่สุดที่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จทันเวลา ชายหนุ่มถึงกับโล่งอกเมื่อได้ยินจากเจ้าหน้าที่ว่าเที่ยวบินที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีไม่ล่าช้าเพราะถ้าช้าย่อมหมายถึงผลกระทบต่อเนื่องไปยังเที่ยวบินถัดๆ ไปอีกด้วย

    เครื่องบินลำใหญ่ขนาดสามร้อยกว่าที่นั่งค่อยๆ แล่นเข้ามาเทียบยังงวงช้างตามกำหนดการทำให้รเมศยิ้มออกเสียทีเพราะนี่คือเที่ยวบินสุดท้ายในวันนี้ของตนแล้ว เขาเดินออกมาชะโงกมองบริเวณกระจกบานใสเพื่อสังเกตว่าจอดสนิทแล้วหรือยัง เขาต้องรอสัญญาณจากเพื่อนร่วมงานอีกกลุ่มที่ต้องเข้าไปทำความสะอาดภายในเสียก่อนถึงจะเรียกให้คนเดินทางที่นั่งรอในเกทขึ้นเครื่องได้

    ผู้โดยสารในเครื่องบินเริ่มทยอยออกกันมาไม่ขาดสาย โชคดีที่จุดที่รเมศยืนอยู่สามารถมองเห็นความเป็นไปได้อย่างชัดเจนเหลือเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น ดวงตาคมหรี่มองทันทีเมื่อเห็นร่างสูงของผู้ชายผิวขาวที่แสนคุ้นตาเดินปะปนกับฝูงชนด้วยท่าทีไม่เร่งรีบหากคนมองกลับร้องเฮ้ยขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อกี้เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? นั่นมันนายลีหรือเปล่า เขาพยายามเพ่งแผ่นหลังของเป้าหมายที่กำลังเดินออกไปไกลเรื่อยๆ ด้วยความไม่แน่ใจนัก

    พี่ขามได้เวลาแล้ว หนึ่งในเพื่อนร่วมงานตะโกนเรียกให้กลับมาทำงานเสียที เขารู้สึกเลยว่าตนเองกำลังยิ้มอยู่แม้ว่าจะพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติก็ไม่สามารถทำได้ ส่วนลึกของจิตใจที่เขาไม่อยากยอมรับบอกว่า กำลังดีใจที่คนๆ นั้นกลับถึงเมืองไทยเสียที แต่อีกส่วนหนึ่งยังคงเคลือบแคลงกับพฤติกรรมของอีกฝ่าย แม้ว่าจะนัดหมายกันไว้แล้วก็ตามแต่จู่ๆ ก็ขาดการติดต่อไปดื้อๆ ก็ทำให้รู้สึกไม่ดีได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาจะกล้าเอ่ยถามหรือเปล่า หรือจะปล่อยให้มันผ่านไปดั่งที่แล้วๆ มา

     

     

    ประตูล็อคเกอร์ถูกปิดดังปังด้วยฝีมือของผู้เป็นเจ้าของหลังจากสิ้นสุดการทำงานเสียที ใครจะคาดคิดว่าเที่ยวบินสุดท้ายของวันนี้จะล่าช้าด้วยเหตุไม่คาดฝันจนได้ทำให้ต้องเลิกงานช้ากว่าที่คิดไว้เกือบชั่วโมง รเมศบิดขี้เกียจแก้ขบเมื่อยที่ต้องยืนเป็นเวลานานก่อนจะสะพายกระเป๋าเดินออกไปจากออฟฟิศ เขาทักทายหรือตอบรับกับเพื่อนร่วมงานที่เดินสวนกันบ้างเป็นระยะก่อนจะเดินออกมารอรถเมล์ที่ป้ายประจำทางในสนามบิน

    โดยปกติแล้วรเมศต้องขึ้นรถเมล์สามป้ายแล้วจึงข้ามสะพานลอยเพื่อต่อรถสองแถวเข้าไปในซอยอีกที หากอากาศดีแดดไม่แรงมากเขาก็จะเลือกเดินจากหน้าปากซอยเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย แต่ถ้าวันไหนเหนื่อยหรือขี้เกียจก็จะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้ไปส่งถึงบ้านซึ่งอยู่เกือบท้ายสุดของหมู่บ้านอีกต่อ

    เมฆสีเทาลอยอยู่บนท้องฟ้าช่วยบังแสงแดดร้อนในช่วงบ่ายแก่ๆ ได้เป็นอย่างดีทำให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ เลือกแวะนั่งพักดื่มน้ำเย็นๆ ที่ร้านอาหารตามสั่งของครอบครัวโบนัสก่อน อย่างไรวันนี้ตนก็มีเวลาเหลือเฝือโดยไม่เร่งรีบใดๆ เขาจึงนั่งคุยสัพเพเหระกับเจ้าของร้านตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่รู้จักกันมายาวนาน

    รถเก๋งสีบรอนซ์แล่นผ่านหน้าร้านอย่างช้าๆ ดึงความสนใจของมะขามในทันที เขาหันควับจากคู่สนทนาแล้วมองป้ายทะเบียนรถทันทีและต้องอ้าปากค้างเมื่อจำได้ว่าใครเป็นเจ้าของรถคันดังกล่าว ไอ้หมอนั่นมาแล้วทำไมไม่บอกกันก่อนวะ!!! ชายหนุ่มลุกพรวดแล้วขอตัวลากลับทันที ภายในใจมีแต่ความขุ่นข้องใจว่าเหตุใดถึงไม่ยอมโทรมาถามกันก่อนไม่ใช่นึกอยากมาก็มาแบบนี้

    มะขามรีบวิ่งออกไปยังถนนพบว่ารถคันดังกล่าวหายไปแล้วจึงตัดสินใจเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างทันที เขาทำคิ้วขมวดตลอดเวลาการเดินทางและเมื่อมาถึงหน้าบ้านจึงเห็นร่างสูงของคนฮ่องกงยืนรอพิงรถเล่นโทรศัพท์ฆ่าเวลาอย่างสบายอารมณ์ ยิ่งทำให้รู้สึกโมโหแข่งกับอากาศร้อนๆ ได้ทันที

    มาทำไมเสียงมะนาวไม่มีน้ำไม่ทำให้คนตัวโตสะทกสะท้านสักนิด เขาส่งยิ้มกว้างให้กับเจ้าของเสียงทันทีที่พบหน้ากัน

    "มารับไง จะพาไปทะเล"

    รเมศทำหน้างงไปชั่วขณะ เดี๋ยวนะตกลงนัดกันพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ "คุณจำวันผิดหรือเปล่า" เขาหยุดยืนคุยกับแขกไม่ได้รับเชิญที่หน้าประตูรั้วไม่คิดจะเชิญชวนให้เข้าบ้านเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าเมฆฝนจะเริ่มคล้อยต่ำลงมาทุกที

    "ไม่ผิด ผมจำตารางงานของคุณได้ เราไปกันวันนี้ พรุ่งนี้จะได้เที่ยวแต่เช้า" เจ้าของแผนการเอ่ยและขยับเข้ามาใกล้คู่สนทนา

    "คุณคิดเองเออเองหมด คุณถามผมบ้างหรือเปล่า" มะขามถอยห่างโดยอัตโนมัติด้วยความไม่พอใจ จู่ๆ ก็บินไปฮ่องกงโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า แล้วยังจะโผล่มามัดมือชกเขาในวันนี้อีก ใครจะไปดีใจวะ!!!

    ลียักไหล่เล็กน้อย ไม่แคร์ต่ออารมณ์ของคู่สนทนาสักนิด"แต่มะขามบอกเองว่า ให้ผมคิดแผนคนเดียวไง เดินทางคืนนี้จะได้ไม่เหนื่อยมากนะ"

    แววตาซื่อๆ ของผู้พูดทำให้รเมศที่พลาดท่าไปเต็มๆ นึกตบกบาลตัวเองที่ตอบไม่ชัดเจนเองและทำให้อีกฝ่ายตีความเอาเองได้ด้วย หากเขาไม่ยอมจำนนง่ายๆ หรอก "แล้วทำไมคุณไม่บอกให้ผมเตรียมตัวก่อนบ้าง"

    "กำลังบอกไง ผมรอคุณได้" ลียิ้มกริ่ม เวลายังมีอีกมากดังนั้นเมื่อเขาจัดการงานของตนเองเสร็จแล้วจึงขับรถมาหา พฤติกรรมประจำวันของอีกฝ่ายง่ายต่อการคาดเดามาก เขาสังเกตได้ว่ามะขามไม่ใช่คนเที่ยวกลางคืนบ่อยๆ ออกจะชอบอยู่ติดบ้านด้วยซ้ำ ดังนั้นมาหาที่บ้านย่อมมีโอกาสเจอมากที่สุด

    หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งแสยะยิ้มให้แล้วทำหน้าปั้นปึ่งอย่างไม่ยอมแพ้ทันที "ผมมีผ้ากองโตที่ต้องซัก ผ้าที่ต้องรีด ต้องทำความสะอาดบ้านและรดน้ำต้นไม้ทุกต้น คุณจะรอไหมล่ะ" เขาร่ายงานบ้านทั้งหมดที่คิดว่าจะทำในช่วงวันหยุดนี้ อยากรู้ว่าจะยอมยกธงขาวกลับไปหรือไม่

    ผู้ฟังยืนกอดอกใช้ความคิดชั่วขณะก่อนหาทางออกที่ดีที่สุดให้ "แบ่งกันทำสิ จะได้เสร็จเร็วๆ ผมช่วยรดน้ำต้นไม้ได้นะ"

    เจ้าของบ้านแอบอึ้งนิดหน่อยที่อีกฝ่ายเสนอตัวช่วยเอง แสดงว่าหมอนี่ตั้งใจจะพาตนไปให้ได้ภายในคืนนี้เลย

    "ผมยังไม่ได้จัดกระเป๋า" เขาหาข้ออ้างมาอีกเรื่อง

    "นอนสองคืน คุณจัดแป๊บเดี๋ยวก็เสร็จ" รเมศทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกจับไต๋ได้ "อ้อ คุณมีกางเกงว่ายน้ำไหม"

    "ไม่มี ผมว่ายน้ำไม่เป็น" มะขามปฏิเสธตรงๆ ถ้าเล่นน้ำทะเลแค่กางเกงขาสั้นก็ใช้ได้แล้วจึงไม่สนใจซื้อมาเก็บไว้

    "ว้า ผมมีให้ยืมแต่คนละไซส์" ลีพูดและหลุบตามองสะโพกของคู่สนทนาไปด้วยทำให้อีกฝ่ายนึกฉุนที่ถูกมองด้วยสายตาลามกแบบนั้น นายลีตัวใหญ่เกินไปต่างหาก!!! เวลาถูกทับแล้วรู้สึกอึดอัดมาก

    "ผมไม่ยืมหรอก ตกลงคุณจะพาผมไปที่ไหนกันแน่" รเมศรีบเปลี่ยนประเด็นทันที ถามถึงกางเกงว่ายน้ำย่อมมีเหตุผลที่ต้องใช้แน่ๆ

    "ที่โรงแรมมีสระว่ายน้ำเล็กๆ และผมจะพาคุณไปสวนน้ำ"

    "สวนน้ำ?" ร่างเล็กกว่าทวนสถานที่อีกครั้งด้วยความสงสัยและเริ่มจะปะติดปะต่อได้ด้คร่าวๆ ว่าที่ๆ นายลีจะพาตนไปต้องไม่ใช่ทะเลทางใต้แน่ๆ

    "เราจะไปหัวหินกัน" คนฮ่องกงเฉลยตามด้วยเสียงร้องอ้อเบาๆ มิน่าถึงอยากเดินทางภายในคืนนี้เพราะต้องใช้เวลาเดินทางประมาณสามถึงสี่ชั่วโมงทีเดียว

    "คุณจองโรงแรมแล้วใช่ไหม" ร่างสูงพยักหน้าพร้อมยิ้มกว้างจนตาหยี เขาตั้งใจเลือกโรงแรมเล็กๆ เงียบๆ และเป็นส่วนตัวเพื่อที่จะได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่

    หนุ่มสีผิวน้ำผึ้วหรี่ตาลงด้วยความไม่ใคร่พอใจนักเพราะไม่ว่าอย่างไร มิสเตอร์ลีคงต้องหลอกล่อให้ไปด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาชำเลืองมองเมฆฝนที่ลอยต่ำ สายลมเย็นที่ปะทะผิวกายทำให้อนุมานได้ว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกแล้วจึงตัดสินใจด้วยความจำใจ

    "ก็ได้คุณลี งั้นผมขอเวลาครึ่งชั่วโมง ส่วนคุณ...รอในรถ" เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ไม่คิดให้คนเจ้าเล่ห์เข้าไปมาในบริเวณบ้านของตนหรอก

    ว้า ผมอยากรู้ว่าคุณเก็บหมีของผมไว้ตรงไหน คนอายุมากกว่าเอ่ยถึงของขวัญวันเกิดที่ให้กับเจ้าตัวพร้อมกับยิ้มบางๆ ใช้นอนกอดแทนผมบ้างไหมผู้ฟังหน้าแดงขึ้นมาโดยอัตโนมัติแล้วสะบัดหน้าหมุนตัวกลับเพื่อเปิดประตูรั้วโดยไม่ยอมตอบคำถามดังกล่าว

    รเมศเลื่อนประตูรั้วพอให้ตนเองลอดผ่านไปได้แล้วรีบเลื่อนประตูปิดต่อหน้าแขกไม่ได้รับเชิญทันที ลมพัดเอากลิ่นฝนและฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณแต่ก็ไม่ทำให้เขาใจอ่อนลงแต่อย่างใด บ้านหลังนี้เท่านั้นที่เขายังไม่พร้อมให้คนๆ นี้เข้ามาอีกครั้ง คุณไปรอในรถก่อน

    หนุ่มฮ่องกงตั้งใจจะปฏิเสธหากเสียงฟ้าร้องครืนๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนใจในที่สุด เขายอมกลับเข้าไปในรถแต่โดยดีอย่างน้อยก็ไม่บ้าพอที่จะตากฝนให้ตนเองไม่สบายทั้งๆ ที่กำลังจะไปเที่ยวหรอก

    เจ้าของบ้านยิ้มอย่างโล่งอกแล้วจึงเปิดประตูบ้านแล้วโดยไม่ลืมหอบผ้าที่ตากไว้เข้าไปด้วย ถือว่าโชคดีที่พี่โชคเพิ่มวันหยุดให้ทำให้เขามีเวลาว่างเหลือเฝือในการทำงานบ้านที่ค้างไว้ ชายหนุ่มยกมือไหว้รูปของญาติผู้ใหญ่ที่ตั้งไว้ในห้องรับแขกและเดินเข้าห้องนอนของตนเพื่อเก็บจัดกระเป๋าอย่างเร่งรีบก่อนที่ฝนจะโปรยปรายลงมาในไม่ช้านี้

    เปรี้ยง!!! เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องไปทั่วบริเวณพร้อมกับฝนเม็ดใหญ่ที่โปรยปรายลงมากระทบหลังคาขณะที่มะขามกำลังเดินตรวจว่าตนเองปิดหน้าต่างและประตูทุกบานมิดชิดแล้วหรือยัง อย่างน้อยเพื่อความสบายใจจะได้ไม่ต้องพะว้าพะวงเวลาที่ตนต้องห่างบ้านหลายวัน และอาจจะต้องรบกวนโบนัสน้องชายข้างบ้านช่วยสอดส่องอีกแรงด้วย

    เมื่อเช็คจนพอใจแล้วเจ้าของบ้านจึงคว้ากระเป๋าเดินทางใบหย่อมๆ และร่มเพื่อออกไปฝ่าเม็ดฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ยิ่งฝนตกหนักมากเท่าไหร่ควรจะยิ่งออกไปยังถนนใหญ่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า มิฉะนั้นแล้วอาจจะออกไปไม่ได้เพราะถนนบางช่วงจะมีน้ำขังในระดับที่สูงมาก อย่างน้อยตนก็ไม่อยากให้ทริปกึ่งบังคับนี้ต้องสะดุดลงด้วยเหตุดังกล่าว ลึกๆ แล้วก็ยอมรับว่าตนเองก็อยากออกไปพักผ่อนที่อื่นบ้างหลังจากโหมทำงานหนักมาโดยตลอดเพื่อไม่ให้รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวจากการอยู่ตามลำพังด้วย

    รเมศเปิดประตูรถเก๋งและรีบเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็ว เขาโยนกระเป๋าเดินทางไว้ที่เบาะหลังโดยไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าของรถแต่อย่างใดพร้อมกับวางร่มไว้บนแผ่นรองเท้า โชคดีที่ไม่ใช่พรมไม่งั้นคงจะทำความสะอาดลำบากแน่ รีบไปเถอะ ฝนตกหนักแบบนี้อีกไม่นานน้ำขังแน่ คนขับรถทำตามโดยดีไม่มีใครอยากเจอปัญหาน้ำเข้ารถกันหรอก เสียทั้งรถและเสียเงินอีกด้วย

    ลีเป็นคนที่วางแผนล่วงหน้าเสมอโดยเฉพาะการเดินทาง เขามักจะหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตก่อนการเดินทางจริงเสมอว่าเส้นทางเป้าหมายนั้นจะไปได้อย่างไรบ้าง มีถนนเส้นไหนตัดผ่านหรือทะลุหากันบ้าง ไม่ใช่ว่าจะพึ่งพาจากหน้าจอจีพีเอสนำทางเพียงอย่างเดียวหรอก เขาจึงขับรถในกรุงเทพมหานครได้โดยไม่ค่อยหลงทางแต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงรถติดได้เลยและยิ่งฝนตกในช่วงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงานด้วยแล้ว คงจะต้องเสียเวลาอีกนานโขแน่ๆ จึงตัดสินใจขับรถขึ้นทางด่วนยอมอ้อมหน่อยดีกว่าไปไม่ถึง

    คุณหายไปไหนมา ด้วยความเบื่อหน่ายจากการมองสายฝนที่ไม่ยอมหยุดลงสักทีทำให้คนข้างๆ ตัดสินใจชวนคุยและเลือกประเด็นที่ตนคาใจเป็นอันดับแรก จู่ๆ ก็ไม่ติดต่อกันเลยย่อมทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวคนๆ นี้มากขึ้นว่ารู้สึกดีกับตนจริงๆ หรือแค่อยากจีบเล่นๆ เท่านั้น

    ทำงานสิ คำตอบสั้นๆ สร้างความไม่พอใจแก่ผู้ฟังเป็นอย่างมากแต่มะขามก็ไม่คิดจะถามต่ออีกแล้ว เขาตัดสินใจเอาเองว่าคบกันอย่างผิวเผินก็แล้วกัน

    คนขับรถสังเกตอากัปกิริยาของคู่สนทนาออกทันทีว่ารู้สึกอย่างไร เขาลอบอมยิ้มขำขันกับอารมณ์ขี้งอนแต่ก็เลือกที่จะยังไม่อธิบายต่อในตอนนี้ ยังมีเวลาอีกมากที่จะค่อยๆ เรียนรู้ตัวตนของกันและกันก่อน คุณแพ้ขนสัตว์หรือเปล่า ลีจงใจเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาเพื่อให้บรรยากาศไม่อึมครึมจนเกินไป ถึงเขาจะเป็นคนอารมณ์ดีแต่ก็ไม่อยากให้คนข้างๆ แผ่รังสัทะมึนตลอดเวลาหรอก

    ไม่แพ้ มะขามตอบสั้นตามอารมณ์

    แล้วเกลียดสัตว์บ้างไหม? คำถามประหลาดดึงความสนใจจากวิวฝนตกกลับมาที่คนร่วมทางในที่สุด รเมศมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม หมอนี่คิดวางแผนอะไรอยู่กันแน่?

    ไม่หรอก เมื่อก่อนก็เคยเลี้ยงหมาไว้หนึ่งตัวแต่ตายไปนานแล้ว คนอายุน้อยกว่าเปรยถึงความหลังในเยาว์วัย สมัยเด็กๆ ปู่กับย่ากลัวว่าตนจะเหงาจึงซื้อสุนัขมาไว้เป็นเพื่อนและเฝ้าบ้านด้วยแต่น่าเสียดายที่สัตว์สี่ขาตัวนั้นด่วนจากไปเพราะมีคนใจร้ายวางยาเบื่อ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่อยากเลี้ยงอีก

    ผมชอบแมวแต่ผมอยู่คอนโดเลยเลี้ยงไม่ได้ เนื่องจากฮ่องกงเป็นดินแดนที่มีพื้นที่จำกัดมากดังนั้นการเลี้ยงสัตว์จึงเป็นเรื่องยากทีเดียว

    เดี๋ยวนี้คาเฟ่แมวมีออกเยอะแยะ คุณก็ไปสิ หนุ่มชายไทยเอ่ยถึงสถานที่ยอดนิยมของคนสมัยนี้ ร้านกาแฟน่ารักๆ ที่มีแมวเป็นจุดดึงดูดคนให้มาแวะเวียนบ่อยๆ ซึ่งน่าจะเหมาะกับคนที่อยากเลี้ยงแต่เลี้ยงไม่ได้หลายๆ คนเลยล่ะ

    ผมเคยไปแล้วแต่ไม่ชอบ ผมอยากให้สัตว์ได้อยู่ตามที่เขาอยากจะเป็น ไม่ใช่อยู่ในกรอบแบบนั้น คนต่างชาติให้เหตุผลในอีกมุมมองหนึ่ง แมวเป็นสัตว์รักอิสระคงไม่พอใจที่ต้องอยู่แต่ในห้องแคบๆ เช่นนั้นหรอกเพียงแต่เขาก็เข้าใจดีว่าโลกภายนอกมันอันตราย แค่ออกนอกถนนก็มีโอกาสตายได้แล้วจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำใจยอมรับว่าอย่างน้อยก็ให้มีชีวิตรอดจนถึงอายุขัยน่าจะดีกว่าตายอย่างทรมานก็ได้

    อย่าคิดแทนสัตว์เลยคุณ เขาอาจจะชอบที่ได้อยู่แบบนั้นก็ได้ใครจะรู้ มีคนให้อาหารไม่หิว มีคนเล่นด้วย ป่วยก็พาไปหาหมอ ผมว่ามันอาจจะดีกว่าก็ได้นะ คนขับรถไม่เถียงกับความคิดนี้แม้แต่เขาเองยังจินตนาการไม่ได้เลยว่าถ้ามีโอกาสเลี้ยงแมวขึ้นมาจริงๆ ตนจะเลี้ยงระบบปิดเหมือนที่คนๆ ทำกันหรือจะปล่อยให้มีอิสระแต่ก็เสี่ยงอันตรายได้หรือเปล่า

    เอ๊ะ ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะ รเมศทำหน้างงกับคำถามไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ลียิ้มกริ่มเมื่อสบโอกาสรถติดพอดี ร่างสูงโน้มตัวเข้าหาคนข้างๆ และถามคำถามเดิมซ้ำอีกรอบ ผมอยากรู้คุณใช้หมีของผมบ้างหรือยัง

    คำถามสองแง่สองง่ามทำให้ผู้ฟังอ้าปากค้างแล้วใช้มือทั้งสองข้างยันหน้าตี๋ๆ ออกห่างทันที ทะลึ่ง!!! ใครจะเอาไปใช้ทำเรื่องพรรค์นั้นวะ แค่วางไว้บนเตียงก็พอแล้ว

    คนอายุมากกว่าหัวเราะลั่น ดูเหมือนตนจะใช้คำผิดไปไกลโขทีเดียวแต่ก็ทำให้ได้คำตอบตามที่ต้องการ เผื่อเหงาจะได้นอนกอดแทนตัวผมไง

    ไม่กอด!!! หมอนข้างมีไม่ต้องพึ่งตุ๊กตา หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งสวนตอบอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อที่ไม่รู้เกิดจากความอายหรือความโกรธกันแน่ เมื่อเดาว่าคนตั้งใจซื้อมาเป็นเพื่อนกับตุ๊กตาตัวเก่า เขาจึงเลือกวางไว้ใกล้ๆ กันตามความต้องการของผู้ให้ ไม่เคยคิดเอาไว้ใช้เป็นตัวแทนเรื่องสัปดนเลยสักนิด

    คุณติดหมอนข้างเหรอ แต่ที่โรงแรมไม่มีหมอนข้างให้นะ งั้นคุณกอดผมได้ตามสบาย ลีได้รับคำตอบด้วยการยันกลับด้วยสองมือทันทีที่พูดจบ

    ไม่มีทาง!!!” มะขามปฏิเสธเสียงแข็งพลางสะบัดหน้าหนีไปมองวิวข้างถนนทันที คำพูดส่อๆ ทำให้นึกออกในสิ่งที่ลืมไปเสียสนิทไปเลยก็คือ การมาเที่ยวตามลำพังสองต่อสองเช่นนี้ นายลีคงไม่เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะจองห้องแยกหรอก ยังไงก็ต้องอยู่ร่วมห้องเดียวกันแน่นอนแล้วแบบนี้จะหาทางหลบหลีกอย่างไรดี เขาเม้มริมฝีปากลงอย่างขัดใจเมื่อรู้ตัวสักทีว่าเป็นเสมือนอ้อยเข้าปากช้างจนได้ แบบนี้ตนจะอยู่รอดปลอดภัยจนถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่า มันเป็นอนาคตที่ไม่มีใครหยั่งรู้ได้เลย

     

     

    จบตอนที่ 4

    By Keaw (01/05/15)
     

    บ่นกันท้ายบท : จบตอนนี้เกี้ยวอยากประกาศกู่ร้องดังๆ ว่า... อยากไปทะเล!!! เชียงใหม่ร้อนมว๊ากกกก จะละลายอยู่แล้วค่าาา 

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×