คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ลุ้นรักหยอกใจ ตอนที่ 1 [YAOI]
ภายในท่าอากาศยานแห่งหนึ่งซึ่งจอแจไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาเดินกันขวักไขว้ละลานตา บ้างก็ประสงค์ต้องการเดินทางออกไปยังเมืองอื่น บ้างก็เพิ่งมาถึงหมาดๆ สถานที่แห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของการคมนาคมทางอากาศไม่เคยหลับไหลเลยสักครั้งและเมื่อมีผู้มาใช้บริการเป็นประจำก็ย่อมมีผู้ให้บริการรอต้อนรับด้วยรอยยิ้มแย้มไม่ว่าลูกค้าจะมาถึงในเวลาใดก็ตาม
ชายหนุ่มผิวสีงาช้างเดินลากกระเป๋าเดินใบใหญ่มาตามลำพัง เขาปกปิดใบหน้าส่วนหนึ่งด้วยแว่นกันแดดสีดำเนื่องจากภายนอกอาคารนั้นเป็นเวลาบ่ายที่แดดแรงทีเดียว ร่างสูงมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายโดยไม่แวะเวียนที่อื่นก่อนเพื่อมาให้ทันเวลาเช็คอินแม้ว่าจะเผื่อเวลาไว้บ้างแล้วแต่จำนวนผู้ใช้บริการในสนามบินนานาชาติแห่งนี้กลับมีมากกว่าที่คาคคิดเสียอีกอันเป็นผลจากการกระตุ้นทั้งทางภาครัฐและเอกชนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
ริมฝีปากบางยิ้มพราวโดยอัตโนมัติเมื่อดวงตาตี๋ๆ ในแว่นสีดำมองเห็นป้ายโลโก้สัญลักษณ์ของสายการบินที่ตนเลือกใช้บริการในครั้งนี้แล้ว เขายืนต่อแถวตามลำดับโดยสายตาจับจ้องอยู่ที่คนๆ หนึ่งไม่คลาดสายตาจนกระทั่งผู้ถูกมองรู้สึกตัวแล้วลอบเบ้ปากเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับเป็นรอยยิ้มละไมให้กับผู้โดยสารที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย
เขาหัวเราะในลำคอกับพฤติกรรมที่เห็นพร้อมกับหลิ่วตาให้พนักงานเช็คอินคนเดิมที่เริ่มแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์โดยไม่ปิดบังแม้ว่าจะเอ่ยกับผู้ใช้บริการเสียงสุภาพก็ตามที
“ขอพาสปอร์ตและเอกสารด้วยครับ” ฝ่ายตรงข้ามจงใจพูดภาษาไทยกับเขาทั้งๆ ที่รูปลักษณ์หน้าตาของตนไม่ได้บ่งบอกเลยว่ามีเชื้อสายไทยอยู่เลย
“เอาไป” ภาษาไทยสำเนียงเปร่งๆ จากชายร่างสูงผู้ส่งยิ้มกรุ้มกริ้มอย่างเปิดเผยให้กับพนักงานสายการบิน เขายื่นเอกสารที่ใช้ในการเดินทางทั้งหมดวางไว้บนเคาน์เตอร์แถมยังฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังหยิบลอบจับมือนิ่มๆ สีน้ำผึ้งอีกด้วยทำให้ดวงตาคมเรืองวาบด้วยความไม่พอใจและสลัดทิ้งทันที
พนักงานเช็คอินตรวจสอบความถูกต้องแล้วจึงทำรายการให้กับผู้โดยสารตามปกติ “ต้องการจะเลือกที่นั่งด้วยไหมครับ” เขาถามตามหน้าที่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงสมาชิกระดับวีไอพีที่เดินทางเป็นประจำจึงได้รับอภิสิทธิ์ดังกล่าว
“ผมชอบนั่งริมทางเดิน” ผู้ฟังพยักหน้าเข้าใจสำเนียงประหลาดพร้อมกับเลือกที่นั่งให้ตามความต้องการ
พนักงานคนเดิมมองตัวเลขน้ำหนักกระเป๋าที่ลูกค้านำมาด้วย ยี่สิบกิโลกรัมกับเศษอีกไม่ถึงร้อยกรัมจึงยกผลประโยชน์ให้และที่สำคัญเขาไม่อยากเสวนามากเกินความจำเป็นอีกด้วย ชายหนุ่มรูปร่างสูงสันทัดก้มตัวลงแปะสติกเกอร์บนกระเป๋าก่อนโยนมันลงสายพานดังโครมต่อหน้าต่อตาผู้เป็นเจ้าของ “เรียบร้อยแล้วครับ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ขอบคุณที่ใช้บริการ” เขากล่าวเสียงเรียบพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณแต่ไม่ยิ้มให้เช่นเดิม
“ขอบคุณ” ชายร่างสูงถอนแว่นกันแดดออกพร้อมกับส่งยิ้มจนดวงตาปิดเป็นเส้นตรงและยังไม่วายใช้ปลายนิ้วแตะหลังมือคู่สนทนาหน้าไม่รับแขก “เดือนหน้าเจอกันอีกนะ” เขากล่าวเสียงระรื่นแล้วจึงเดินตัวปลิวไปยังเกทโดยมีคนบางคนแอบชูนิ้วกลางให้ด้วยความหมั่นไส้เต็มกำลัง
ปัง!!! ประตูล็อคเกอร์ถูกปิดอย่างแรงด้วยฝีมือของเจ้าของพร้อมกับเสียงถอนหายใจด้วยความเซ็งสุดขีด “เฮ่อ แม่งตามหลอกตามหลอนกูจริง” คนพูดเป็นหนุ่มผิวสีแทนรูปร่างไม่สูงไม่ผอมจนเกินไป ผมสีดำขลับตัดสั้นพอประมาณแล้วจัดทรงด้วยเจลให้ตั้งขึ้นเล็กน้อย
“ลูกค้าวีไอพีนะมึง ทนๆ ยิ้มให้ฮีหน่อยสิ เดือนๆ หนึ่งเดินทางกับเราไม่ต่ำกว่าสามรอบนะโว้ย หัดยิ้มให้เขาหน่อย เดี๋ยวโดนคอมเพลนมาแล้วจะซวยมิใช่น้อยนะ” หัวหน้างานเดินตบหลังให้ทำใจยอมๆ ไปเถอะ
“งั้นคราวหน้าเจ๊ก็ให้มันแตะอั๋งละกันนะ” ลูกน้องสวนกลับทันทีพร้อมยกขวดชาเขียวขึ้นดื่มจนหมดขวดพร้อมกับส่งรหัสชิงโชคตามธรรมเนียมของผู้รักการชิงโชค
“ต๊ายยย เจ๊ไม่เอาย่ะ ขั้วเดียวกันเดี๋ยวฟ้าผ่าสิยะ”คู่สนทนายกมือขึ้นทาบอกพลางจีบปากจีบคอขึ้นเสียงสูงผิดปกติแถมยังบิดสะโพกไปมาชวนให้บรรดาลูกน้องพากันละเหี่ยใจกับความพิสดารทางเพศของคนตรงหน้า เป็นชายแต่งหญิงที่ชอบรุกหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า สาวเสียบ นั่นเอง แม้ว่าเวลาทำงานจะแต่งเครื่องแบบได้เรียบร้อยสมชายชาตรีแต่เมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้วก็สามารถเนรมิตตนเองเป็นสาวร่างใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว
“แหม ผมคิดว่าเจ๊จะชอบไอ้มิสเตอร์ลีซะอีก เดี๋ยวนี้รับกล้ามมาแรงนะ” เนื่องจากสนิทสนมกันพอสมควรจึงสามารถแหย่ได้โดยไม่กลัวจะถูกลงโทษ
“ไม่วะขาม คนนี้พี่ยกให้แก” หัวหน้างานเปลี่ยนโทนเสียงเป็นทุ้มต่ำอีกครั้งและซัดด้วยฝ่ามือแรงๆ ตรงแผ่นหลังลูกน้องคนสนิทที่ทำปากเบี้ยวทันทีที่นึกถึงไอ้หมอนั่น
“ผมก็ขอบายเหมือนกันพี่โชค คติของผมคือ ไม่ยุ่งกับลูกค้า ไม่อยากมีปัญหาทีหลัง” หัวหน้าพนักงานสายการบินภาคพื้นดินแอบเห็นด้วย พอมีเรื่องรักเข้ามาเอี่ยวงานมักจะวุ่นอยู่เสมอ ตนก็ผ่านการตามล้างตามเช็ดปัญหาเทือกๆ นี้มานักต่อนักแล้ว
“ก็จริงของมึง งั้นก็หาทางปฏิเสธสวยๆ เก๋ๆ อย่าให้เสียลูกค้านะโว้ยย พี่ไม่อยากเขียนรีพอร์ตเรื่องของแก” อีกฝ่ายโยนภาระให้ลูกน้องก่อนจะโบกมือลากลับไปทำงานต่อปล่อยให้เจ้าตัวทำหน้ายุ่งตามลำพัง แล้วตนจะถีบหัวส่งไอ้บ้านั่นด้วยวิธีไหนล่ะ
มอเตอร์ไซค์รับจ้างค่อยๆ ชะลอความเร็วและหยุดสนิทเทียบหน้าประตูรั้วเหล็กสีน้ำตาลเข้มตามคำบอกเล่าของคนซ้อน ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดในชุดลำลองก้าวลงพร้อมกับยื่นธนบัตรสีเขียวให้
“วันนี้ได้ครบตามเป้าหรือยังวะ” เขาเอ่ยถามคนขี่จักรยานยนต์ตามประสาคนรู้จักกัน
“ยังเลยเพ่ขาม เดี๋ยวดักรอหัวค่ำก็น่าจะถึงอยู่ ไปก่อนละ” เจ้าของชื่อพยักหน้าเล็กน้อย คนขยันทำมาหากินแบบนี้ตนก็ยินดีอุดหนุนเท่าที่ทำได้แถมยังเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่เห็นหน้ากันตั้งแต่สมัยเด็กๆ อีกด้วย เขาไขประตูรั้วแล้วจึงเดินหิ้วอาหารเย็นของตนเข้าไปในบริเวณบ้านจัดสรรชั้นเดียว
“กลับมาแล้วครับปู่ ย่า” เขาเอ่ยทันทีที่เลื่อนประตูกระจกออกพร้อมกับส่งยิ้มให้กับรูปถ่ายของบุคคลที่ล่วงลับไปทั้งสอง รเมศไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นเด็กกำพร้าถึงผู้ให้กำเนิดทั้งสองจะด่วนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุตั้งแต่ตนยังจำความไม่ได้ก็ยังมีปู่ย่าคอยเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนแทน แม้ครอบครัวจะไม่ร่ำรวยมากเขาก็พึงพอใจในสิ่งที่มีแล้ว แต่ทว่าบ้านหลังเล็กที่อบอุ่นนี้เหลือเพียงแค่เขาคนเดียวในปัจจุบัน
ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ได้เพื่อนร่วมงานที่ดีที่ช่วยประคับประคองตนในวันที่ไม่มีผู้มีพระคุณทั้งสอง ยังมีเพื่อนข้างบ้านที่คอยเอาอาหารการกินมาให้หรือเข้ามาชวนคุยบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เหงาจนเกินไปจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถตัดใจไม่ขายบ้านหลังนี้แม้ว่าจะต้องนั่งรถสองสามต่อเพื่อไปทำงานก็ตาม ที่พักใจของเขาอยู่ที่นี่แล้วทำไมต้องย้ายไปด้วย
ขามหรือมะขามรู้รสนิยมของตนเองตั้งแต่ต้นว่าชอบพอเพศเดียวกันและไม่ได้ปิดบังในที่ทำงานเพราะตนได้ตั้งกฏเอาไว้ว่าจะไม่สนใจเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าโดยเด็ดขาด และจะไม่พาผู้ชายเหล่านั้นเข้าบ้านอีกเช่นกัน ทั้งนั้นก็เพื่อรักษาความสงบสุขในบ้านน้อยหลังนี้ เขาไม่ต้องการให้คนนอกมารบกวนความทรงจำอันมีค่าของตนเองโดยเด็ดขาดแต่ทว่าใช่ว่าเขาจะไม่เคยพลาด
ไอ้มิสเตอร์ลีคือหนึ่งในนั้น สมาชิกระดับวีไอพีของสายการบินที่ตนทำงานอยู่ซึ่งเดินทางเข้าออกเมืองไทยเป็นประจำ เขาไม่เคยสนใจหรอกว่าอีกฝ่ายทำธุรกิจอะไรด้วยซ้ำ ไม่ใส่ใจท่าทีก้อร่อก้อติดอย่างโจ่งแจ้งอีกด้วย ทุกครั้งที่พบหน้ากันเขาต้องข่มใจตนเองให้ปั้นหน้ายิ้มตามหน้าที่พนักงานบริการที่ดีเสมอ แต่ทว่าตนได้พบกับหมอนั่นในบาร์แห่งหนึ่งในวันที่เหงาจับใจจนไม่อยากกลับบ้านเนื่องจากเพิ่งครบรอบทำบุญร้อยวันของย่าไปหมาดๆ หนำซ้ำยังมีปัญหาระหองระแหงกับแฟนเก่าที่เป็นถึงกัปตันของสายการบินอื่น ความเมานั่นแหละดลใจตนให้ทำอะไรบ้าๆ อยากประชดประชันความรู้สึกของตนเองและสุดท้ายมันก็จบลงที่เตียงในบ้านของเขาเอง
ความคิดแว่บแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาคือ ถีบไอ้เจ็กร่างใหญ่ลงจากเตียงแล้วไล่ให้มันกลับไปให้เร็วที่สุดก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า แน่นอนว่าหมอนั่นยอมขับรถกลับออกไปแต่โดยดีจึงทำให้เขาคิดว่า เรื่องทุกอย่างมันจบลงแล้วเพียงแค่คืนเดียว แต่เขาก็คิดผิดในที่สุด
มิสเตอร์ลีผู้ตั้งใจจะจีบตนรู้ที่อยู่เสียแล้ว ยิ่งทำให้รุกหนักกว่าเดิมเสียอีกทำให้เขานึกอยากจะถีบหน้าขาวๆ กับตาตี๋ๆ ทุกครั้งที่พบหน้ากันจนเริ่มมีความคิดอยากจะย้ายไปประจำสนามบินอื่นสักระยะเสียจริงๆ จะได้รักษาสุขภาพจิตและไม่ต้องทนเห็นภาพบาดตามบาดใจเมื่อเห็นแฟนเก่าเดินควงสจ๊วตวัยกระเตาะโดยบังเอิญอีกด้วย เขาไม่ได้อาลัยอาวรณ์ที่ถูกขอเลิกหรอกแค่รู้สึกเจ็บใจที่ตนหาใหม่ได้ช้ากว่าเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอาเถอะไอ้หมอนั่นกลับประเทศไปแล้ว คงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักระยะ ระหว่างนี้หากตนหาคนรักใหม่ได้เมื่อไหร่ก็คงจะเลิกตามตื้อเองมั้ง เขาคิดพลางเอนตัวลงนอนดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาไปพลางๆ คืนนี้ต้องรีบนอนแต่หัววันเพราะพรุ่งนี้จะต้องเข้ากะตั้งแต่ตีห้าแต่ด้วยความขี้เกียจจึงขอหลับตาสักงีบก่อนจะตื่นไปจัดการงานบ้านที่ค้างเอาไว้
เสียงเคาะกระจกดังระรัวจนทำให้คนที่ตั้งใจจะหลับคำรามอย่างหงุดหงิดแล้วจึงยันกายขึ้นมองดูแขกไม่ได้รับเชิญซึ่งเป็นเด็กหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียง
“พี่ขาม ขอเข้าไปหน่อย” อีกฝ่ายพยายามเลื่อนบานประตูออกแต่ติดที่เจ้าของบ้านล็อคไว้จึงต้องรอให้อีกฝ่ายเปิดก่อน
“มาทำไมวะโบนัส” คนถูกถามส่งยิ้มเฉ่งให้พร้อมกับยื่นกล่องพลาสติกบรรจุอาหารให้
“แม่ฝากผัดผักรวมกับต้มข่าไก่มาให้พี่ขาม และช่วยสอนการบ้านผมทีสิ ผมไม่เข้าใจอ่ะ” รเมศจำใจรับมาอย่างเสียไม่ได้ กับข้าวของบ้านนี้อร่อยทุกอย่างเสียด้วยจึงยอมให้เจ้าลูกหมาตัวโตเข้ามาในที่สุด
“ทำไมไม่ไปเรียนพิเศษกับคนอื่นๆ วะ” เขาถามพร้อมกับเลื่อนโต๊ะรับแขกเข้ามาใกล้โซฟาที่นั่งอยู่ โบนัสเป็นเด็กเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่สุดของชีวิตเลยก็ว่าได้
“พี่ขามก็รู้ว่าบ้านผมไม่มีเงินเหลือเฝือขนาดนั้น แค่หาค่าเทอมให้ผมได้ ผมก็ดีใจแล้ว อะไรที่มันสิ้นเปลืองก็ไม่อยากใช้หรอก ของแบบนี้เรียนเอาเองก็ได้ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะสอบเข้ามหา’ลัยดังๆ สักหน่อย อยากได้ที่ใกล้บ้านมากกว่าจะได้มีเวลากลับมาช่วยหม๊ามี๊ขายของได้ด้วย” รเมศอมยิ้มให้กับความคิดที่ดีของคนอายุน้อยกว่า คิดได้ขนาดนี้พ่อแม่คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ ยกเว้นแต่เรื่องการสอบเข้าที่กำลังจะมาถึงนี่แหละ
ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเปิดตำราภาษาอังกฤษซึ่งเป็นวิชาที่เด็กหนุ่มเรียนอ่อนที่สุดแต่เขาถนัดที่สุด “ไม่เข้าใจตรงไหนล่ะ”
เด็กหัวเกรียนขยับร่างเข้ามาใกล้พลางชี้ไปยังแกรมม่าที่ตนพยายามทำความเข้าใจยังไงก็ไม่ได้สักที พนักงานหนุ่มยิ้มพราวทันทีเพราะว่ามันเป็นของกล้วยๆ สำหรับตนเอง เห็นแบบนี้คะแนนภาษาอังกฤษของตนในช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยสูงเกือบเต็มเสมอ เขาใช้มาร์กเกอร์ลากเน้นจุดสำคัญพร้อมกับสอนให้นักเรียนฟังไปด้วย และในที่สุดมื้อเย็นของวันนี้ตนก็ได้มีเพื่อนร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเพิ่มมาอีกคน
รเมศหน้าบูดเป็นตูดเป็ดในทันทีที่เห็นร่างสูงๆ ที่ไม่อยากเจอที่สุดกำลังเดินออกมาจากงวงช้างแถมยังส่งยิ้มมาให้ตนอีกด้วย ทำไมมันกลับมาเร็วจังวะ!!! เพิ่งผ่านไปแค่สามวันเอง บ้านช่องไม่คิดจะอยู่นานๆ หรือไง
“ดีใจจังที่ได้เจอกันอีก” หนุ่มฮ่องกงหยุดทักทายพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินที่ต้องทำหน้าที่ไหว้ขอบคุณผู้ใช้บริการที่กำลังเดินออกจากเครื่องบิน ดวงตาคมเหลือบมองอย่างขัดเคืองก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้กับคนอื่นๆ ตามเดิม คิดจะชวนคุยนะเรอะ ฝันไปเถอะ
คนตัวใหญ่กว่าไม่ยี่หระต่อท่าทีหมางเมินแม้แต่น้อยยังคงยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองอีกฝ่ายยกมือไหว้ผู้โดยสารจนกระทั่งหมดชุดแล้วจึงสะบัดหน้าหนีตนในทันที รเมศไม่ใช่ผู้ชายที่หน้าตาโดดเด่นนักแต่เขาชอบรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่เมื่อยิ้มแล้วจะเห็นลักยิ้มบนแก้มทั้งสอง
ลีเดินตามหลังคนอื่นๆ เป็นคนสุดท้ายโดยไม่เร่งรีบใดๆ เขาเดินทางบ่อยมากจนรู้ว่าแต่ละสนามบินเสียเวลารอสัมภาระนานหรือไม่และพนักงานที่มารอรับเรื่องกับผู้โดยสารก็ยังคงเป็นพนักงานหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งคนเดิมนั่นแหละจึงแสร้งทำเป็นยืนรอกระเป๋าเช่นเดียวกับคนอื่นๆ โดยแอบชำเลืองมองเป้าหมายเป็นระยะ หากไม่ใช่เวลาที่พูดคุยกับลูกค้าแล้วอีกฝ่ายมักจะทำหน้านิ่งแถมยังแผ่ออร่าไม่อยากให้ใครเข้าใกล้นัก แต่เมื่อเข้าโหมดทำงานก็สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วทำให้เขาชอบมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างเพลิดเพลินทีเดียว
รเมศมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือ กระเป๋าใกล้จะหมดแล้วและผู้โดยสารเริ่มบางตาลงทุกขณะ หากไม่มีปัญหาอะไรตนจะได้ไปพักเบรคทานมื้อเที่ยงสักที การเข้ากะเช้าแม้จะมีข้อดีที่เลิกงานเร็วแต่ก็ทำให้ร่างกายอ่อนล้าง่ายกว่าช่วงเวลาอื่นๆ โดยส่วนตัวแล้วตนไม่มีปัญหาใดๆ ในการเข้ากะทำงานเนื่องจากบ้านอยู่ใกล้สนามบิน ถ้าซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาก็ไม่เกินสิบห้านาทีด้วยซ้ำถึงมักมีคนขอแลกเป็นประจำ
เสียงเครื่องจักรหมุนสายพานสำหรับขนถ่ายสัมภาระของผู้โดยสารหยุดทำงานลงแล้วเมื่อไม่มีกระเป๋าหลงเหลืออยู่ พนักงานหนุ่มโล่งอกที่ไม่มีของตกค้างใดๆ เขาจึงหมุนตัวเก็บเอกสารเตรียมขึ้นไปส่งรายงานแต่ทว่ามีปลายนิ้วของใครบางคนสะกิดที่หัวไหล่
“เอ่อ กระเป๋าผม…ไม่มา” สีหน้าของคนพูดไม่สู้ดีนัก แววตาในดวงตาตี๋ฉายความกังวลใจออกมาอย่างชัดเจน ร่างสูงรอจนแน่ใจแล้วจึงเดินมาขอความช่วยเหลือทันที ของในกระเป๋าเดินทางสำคัญมากเสียด้วย
“คุณรออยู่ตรงนี้ก่อน” มะขามเดินตรงไปที่ช่องขนส่งในทันทีจึงจะไม่ถูกชะตากับคนๆ นี้แต่เรื่องงานต้องมาก่อนและกระเป๋าใบใหญ่ๆ สีเหลืองอ๋อยขนาดนั้นคงไม่มีใครหยิบผิดหรอก เกรงว่าจะตกค้างอยู่ในเครื่องบินเสียมากกว่า เขาใช้วิทยุสื่อสารสอบถามกับพนักงานบนเครื่องเป็นการด่วนแต่ได้ความว่าไม่มีกระเป๋าใบดังกล่าวอยู่เลย ชิบหายล่ะ…
“เจอไหม?” ลีถามเสียงเครียด
“ยังครับ ผมขอบอร์ดดิ้งพาสของคุณด้วย” พนักงานภาคพื้นดินรับเอกสารดังกล่าวมาแล้ววิทยุจ้างเรื่องให้กับหัวหน้างานทราบทันทีเพื่อประสานไปทางสถานีต้นทางคือฮ่องกง ส่วนตัวเขาต้องรับเรื่องเอาไว้ก่อน หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งหยิบเอกสารขึ้นมากรอกจนครบถ้วนแล้วยื่นให้ลูกค้าอ่านพร้อมอธิบาย “พวกเรากำลังตามหาให้ครับ ขอเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของมิสเตอร์ลีด้วยครับ”
คนสูงกว่าทำหน้ามุ่ยขึ้นมาทันที “ผม…มีประชุมวันพรุ่งนี้ ของอยู่ในกระเป๋า”
“พวกเราจะพยายามตามให้ได้เร็วที่สุดครับ” รเมศไม่สามารถการันตีได้ว่าจะเจอหรือไม่จึงต้องตอบเป็นกลางที่สุด จนกว่าจะได้รับคำตอบจากฮ่องกงว่ามีกระเป๋าของอีกฝ่ายตกค้างหรือไม่ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก เขาไม่อยากให้ลูกค้าวีไอพีมายื่นรอแบบเสียเวลาโดยใช่เหตุ
หนุ่มฮ่องกงกรอกข้อมูลที่ติดต่อได้ลงในเอกสารตามที่พนักงานต้องการ “ผมอยู่รอได้ไหม?”
นั่นไง เดาไว้แล้วไม่มีผิด มะขามพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วกดวิทยุสื่อสารบอกผู้จัดการทันที “พี่ วีไอพีจะรอกระเป๋า จะให้พาไปห้องรับรองไหม?” สำหรับสมาชิกพิเศษจะได้รับอภิสิทธิ์มีห้องพิเศษสำหรับนั่งรอเครื่องบินก่อนขึ้นเครื่องแต่ในกรณีนี้คงต้องขออนุญาตเป็นพิเศษก่อนถึงจะเข้าไปได้
ปลายทางเงียบไปอึกใจก่อนตอบกลับมาว่าไม่ได้เพราะเจอกระเป๋าตกค้างอยู่ที่สนามบินต้นทางและกำลังประสานให้ส่งมากลับเที่ยวบินถัดไป รเมศมองเห็นเค้าความวุ่นวายแน่ๆ เพราะรอบถัดไปกว่าจะมาถึงเมืองไทยก็อีกสี่ชั่วโมงเลยทีเดียว ขืนให้รอมีหวังระเบิดลงแน่
“ฮ่องกงพบกระเป๋าของคุณแล้วมิสเตอร์ลี” ผู้ฟังยิ้มจนตาหยีด้วยความดีใจเป็นที่สุด “แต่คุณต้องรออีกประมาณห้าชั่วโมงเลยนะ ผมแนะนำว่าคุณไปที่พักก่อนแล้วทางเราจะส่งกระเป๋าไป” เขาเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้โดยปกติแล้วหากสัมภาระตกหล่นก็มีบริการส่งให้ถึงโรงแรมอยู่แล้ว
ลีกรอกตาไปมาด้วยความชั่งใจและยอมตกลงในที่สุดแต่ก็มีข้อแม้เพิ่มขึ้นมาอีกว่า “คุณมาส่งกระเป๋าได้ไหม”
ไอ้เรื่องมาก!!! มะขามคิดในใจทันทีด้วยใบหน้าบึ้งตึงไม่ยิ้มแย้มด้วยก่อนปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ได้ครับ ผมไม่ได้รับผิดชอบตรงส่วนนี้”
“งั้นผมจ่ายพิเศษให้” ผู้ฟังทำหน้าละเหี่ยใจเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าเงินจะซื้อได้ทุกอย่างหรือไง กฏบริษัทไม่ได้มีบอกว่าต้องให้พนักงานเป็นคนส่งสักหน่อย และที่สำคัญกฏที่เขากำหนดเองว่าจะไม่สานสัมพันธ์กับลูกค้าเช่นกัน อยากเจอตนนอกเวลางาน ฝันเปียกไปเถอะ
“ไม่ได้ครับ ทางเรามีพนักงานบริการส่งอยู่แล้ว”
“ถ้าคุณไม่ไป ผมจะรอจนกว่ากระเป๋าจะมา” อีกฝ่ายก็ดื้อแพ่งไม่หยอก แถมใช้ประโยชน์ในฐานะสมาชิกระดับพิเศษอีกด้วย หากไม่มีกระเป๋าใบนั้นตนก็ต้องอยู่ว่างๆ ต่อไป ดังนั้นจะรอที่ไหนก็ไม่แตกต่างนัก
“คุณรออยู่ตรงนี้” รเมศพูดเสียงเข้มด้วยความหงุดหงิดแล้วรีบเดินเลี่ยงออกไปปรึกษากับหัวหน้าอีกครั้ง “เจ๊…วีไอพีเรื่องมากโคตร จะให้ผมส่งกระเป๋า ถ้าไม่ไปก็จะรออยู่ที่นี่วะ” เขาขอความช่วยเหลือเป็นการด่วน หากแก้ปัญหาไม่ได้ งานอื่นๆ ก็จะไม่เดินตาม
“เออๆ พี่กำลังไปเคลียร์ให้ ขามขึ้นมาส่งเอกสารเลยล่ะกัน บอกให้ฮีรออยู่ตรงนั้นแหละ” คำตอบจากหัวหน้าพนักงานทำให้เขายิ้มออกทันทีเพราะว่าตนเป็นเพียงแค่พนักงานระดับล่างไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำนักหรอกหรือบางครั้งต่อให้บอกจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่ฟังเพราะคำพูดของตนไม่มีพาวเวอร์พอ
หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเดินกลับไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีชัยและบอกตามที่ได้ยินมาทุกประโยคไม่มีตกหล่นก่อนขอตัวหยิบเอกสารทั้งหมดขึ้นไปยังสำนักงานทันทีโดยไม่รอฟังการสนทนาระหว่างผู้โดยสารวีไอพีกับพี่โชคสักนิดว่ามันจะทำให้ตนยุ่งยากไปตลอดทั้งวัน
“หา?!!! พี่จะให้ผมขึ้นรถไปส่งกระเป๋าให้ไอ้เจ๊กนั่นเรอะ” รเมศในชุดลำลองหลังเลิกงานร้องเสียงสูงด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาทำตาโตปราดเข้าไปเขย่าไหล่คนตัดสินใจ ไหงกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ
“เออ โทษทีวะขาม พี่พยายามแล้วแต่ฮีทำหน้าไม่พอใจแล้วพ่นภาษาอังกฤษรัวใส่จนฟังไม่รู้เรื่องวะเลยต้องยอม ดีกว่าให้มานั่งรอให้พวกเราเสียสุขภาพจิต” ข้อเสียของโชคหรืออนันตโชคมีเพียงอย่างเดียวคือ ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับปานกลาง หากสื่อสารกันง่ายๆ ย่อมไม่มีปัญหาหรอก ยกเว้นกรณีที่เจอกับมิสเตอร์ลีที่ทำให้เขาต้องยอมยกธงขาวและทำตามข้อเรียกร้องโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ก็คนมันฟังไม่รู้เรื่องแถมตนอยู่ในระดับหัวหน้าจะขอความช่วยเหลือจากคนของสายการบินอื่นก็เสียหน้าเลยเออออห่อหมกไปละกัน
“ไอ้บ้านั่นมันพูดไทย ฟังไทยได้นะพี่ มันจงใจกวนตีนกันชัดๆ” พนักงานหนุ่มกัดฟันกรอด รู้งี้อยู่รอฟังแต่แรกก็คงจะดี แถมไปสัญญากับเขาแล้วด้วย จะปฏิเสธอย่างไรดีวะ
คู่สนทนาฉีกยิ้มแห้งๆ กลบเกลื่อนความผิด “อย่าโกรธเลยวะขาม โรงแรมที่มิสเตอร์ลีพักอยู่ก็ไม่ได้ไกลสนามบินมาก ไปส่งแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวจะให้คนขับรถพาไปส่งถึงบ้านเลย เอ๊า” เขาพยายามหว่านล้อมคนเจ้าอารมณ์ให้ยอมรับเงื่อนไขเสียที ไหนๆ ก็เอ่ยไปแล้วก็ควรทำตามสัญญา
ดวงตาคมเหลือบมองรุ่นพี่ที่เคารพด้วยความขัดเคืองหากสุดท้ายก็ต้องจำใจในที่สุด “ก็ได้พี่โชค แต่รอบหน้าอย่าตกหลุมพรางไอ้บ้านั่นอีกนะ ผมขอล่ะ ก็รู้อยู่ว่ามันคิดไม่ซื่อกับผม ยังจะส่งผมไปหามันถึงที่อีก ถ้ามันลากผมเข้าห้องจะทำไง” รเมศบ่นพลางทำหน้าเบื่อหน่ายสุดขีด อุตส่าห์เลี่ยงไม่ให้อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแล้วเชียว
“เตะไข่มันสิวะไอ้ขาม ถ้ามึงไม่ยอมใครจะเสียบมึงได้” อนันตโชคยิ้มพราวเพราะรู้ถึงฤทธิ์เดชของลูกน้องเป็นอย่างดีว่าไม่ยอมให้ใครทำอะไรง่ายๆ หรอกถ้าไม่เต็มใจด้วย แม้แต่แฟนเก่าคิดจะเคลมสักยกก่อนเลิกรากัน เจ้าตัวยังต่อยจนเลือดกำเดาไหลเป็นทางเลย
“เออๆ ก็ดีเหมือนกัน จะได้เลิกตอแยสักที” มะขามปิดล็อคเกอร์ดังปังอีกหนด้วยความจำยอม เอาเถอะแค่ไปส่งกระเป๋าเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว คงไม่เสียเวลานักหรอก
เหมือนวันนี้คงไม่ใช่วันดีๆ ของรเมศอย่างแน่นอน กระเป๋าเจ้าปัญหามาถึงตามกำหนดก็จริง เขาอุตส่าห์เป็นคนโยนมันขึ้นรถกับมือของตนเองและไปส่งของให้ด้วยตนเองตามความประสงค์ของลูกค้าระดับวีไอพีจอมกวนโอ๊ยที่มีชื่อว่า มิสเตอร์แม็ก ลี
“ไม่ใช่กระเป๋าของผม” ประโยคเดียวที่สร้างความบรรลัยไม่สิ้นสุด ชายหนุ่มอยากตะโกนดังๆ เป็นที่สุด ทำไมมันซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้วะ ไอ้กระเป๋าสีเหลืองอ๋อยแบบนี้ยังจะมีคนเลียนแบบใช้อยู่เรอะ!!! “ของที่จะพรีเซนต์ลูกค้าอยู่ในกระเป๋า…” เสียงง่อยๆ ของคนตัวโตทำให้อารมณ์เดือดๆ ของผู้ฟังวูบลงทันตาเห็น นี่ไม่ใช่เวลามาโวยวายสักหน่อย ต้องหาทางแก้ไขต่างหาก
ร่างสันทัดก้มลงค้นหาสติกเกอร์ที่ติดบนกระเป๋าเพื่อหารหัสสำรองที่นั่ง แค่มีรหัสนี้จะสามารถตรวจสอบได้ทุกอย่างเลยทีเดียว เขาจดรหัสแล้วรีบโทรบอกพี่โชคทันที “พี่โชค ซวยหมาที่สุด มีคนหยิบกระเป๋าสลับกัน นี่ไม่ใช่ของมิสเตอร์ลีวะ”
“ตายโหง!!! มึงเอารหัสมาเลย” ปลายสายรีบค้นหาปากกาเป็นการด่วน เวลาไม่ใช้เรียงหน้ากันสลอน พอจะใช้ขึ้นมาหายไปไหนกันวะ เมื่อจดรายละเอียดได้แล้วจึงบอกให้ลูกน้องที่ออกกะแล้วรอสายสักพักใหญ่ๆ “ข่าวร้ายวะขาม รหัสนั่นเสือกเป็นของกรุ๊ปทัวร์ ป่านนี้ไปไหนแล้วก็ไม่รู้” ผู้ฟังคิ้วขมวดไม่ต่างกัน จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องที่ตนต้องมาร่วมรับผิดชอบด้วยหรอกแต่…พอเห็นท่าทางหงอยๆ ของไอ้บ้านั่นกลับทนไม่ได้ขึ้นมาเสียเอง
“พี่เอาเบอร์โทรของเอเจนซี่มาสิ เดี๋ยวผมจะลองช่วยดูก่อน” รเมศยืมปากกาจากลีแล้วจดหมายเลขลงบนฝ่ามือของตนเอง “ขอบใจมากพี่ ได้เรื่องยังไงแล้วจะโทรบอก”
“คุณทำอะไร?” คนตัวโตมองกระทำของอีกฝ่ายอย่างงุนงงเมื่อเห็นร่างเล็กกว่าออกไปเดินวนไปวนมาอยู่หน้าโรงแรมตั้งแต่เมื่อครู่แล้วก่อนจะวิ่งหน้าตื่นมาหาตนที่ล็อบบี้อีกครั้ง
“ผมรู้แล้วว่ากระเป๋าของคุณอยู่ที่ไหน” มะขามเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้ม
“ที่ไหน? ผมมีรถ ผมจะเอาไปเอง” เนื่องจากลีเดินทางไปมาระหว่างไทยกับฮ่องกงเป็นประจำทำให้บริษัทแม่ยอมจ่ายค่าเช่าโรงแรมเป็นแบบรายเดือนให้เลยและยังมีรถยนต์ส่วนตัวไว้ให้อีกด้วย
“เอ่อ พัทยา…”
“ผมเคยไป ผมรู้ทาง” หนุ่มหน้าตี๋ถอนหายใจอย่างโล่งอก หากว่ารีบไปตอนนี้ก็คงจะกลับมาทันคืนนี้แน่นอน “ขอบคุณมาก” คนอายุมากกว่าก้มศีรษะให้แสดงความรู้สึกจากใจจริง เขาเข้าใจดีว่าเรื่องกระเป๋าสลับเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ ไม่ได้เป็นความผิดของสายการบิน หากตนตั้งใจเฝ้าดีๆ แต่แรกก็คงไม่ถูกหยิบไปหรอก ดังนั้นปัญหานี้เขาควรจัดการต่อเอง ไม่ต้องพึ่งคนตรงหน้าหรอก
“คุณจะขับรถไปเองเหรอ? ไกลนะคุณ แล้วรู้ไหมว่ากระเป๋าอยู่ที่ไหน ผมว่ารออยู่ที่นี่เถอะ” รเมศอดเป็นห่วงไม่ได้ ยิ่งเป็นคนต่างชาติขับรถเอง มีหวังหลงทางออกไปเขมรจะทำอย่างไร”
“ผมต้องใช้วันพรุ่งนี้ ผมรอไม่ได้” คนฮ่องกงตอบเสียงหนักแน่นต่อการตัดสินใจของตนเอง ก่อนจะขอตัวขึ้นห้องเพื่อหยิบกุญแจรถและของใช้ส่วนตัวลงมา
ระหว่างนั้นมะขามกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก แค่จะพูดว่าขอตัวก่อนกลับไม่ทำ เขาเดินวนเป็นวงกลมรอบกระเป๋าสีเหลืองสักพักก่อนตัดสินใจเดินตรงไปยังประตูทางเข้าของโรงแรมทันทีและตะโกนคนขับรถที่ยืนรออยู่ว่า “พี่ครับ กลับไปก่อนเลย เดี๋ยวผมไปเองได้”
สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตนเองนี่แหละ เขามักจะใจอ่อนกับคนที่เดือดร้อนเสมอแม้กระทั่งคนที่ตนหมั่นไส้เป็นที่สุด ถึงมิสเตอร์ลีจะตามตื้อตามจีบออกนอกหน้าแค่ไหนก็ไม่เคยบังคับฝืนใจเขาสักครั้ง อีกฝ่ายมักจะยืนยิ้มๆ มองตนเดินหนีเสียมากกว่าโดยไม่ดึงหรือรั้งเอาไว้เลย นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายอมช่วยเหลือในครั้งนี้ก็เป็นได้
ชายร่างสูงผิวสีงาช้างรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นร่างเล็กกว่านั่งกอดอกรอตนอยู่เช่นเดิม ตนนึกว่าอีกฝ่ายกลับไปแล้วด้วยซ้ำ “อ้าว ทำไมคุณยังไม่กลับ”
“ผมจะไปด้วยละกัน ขืนคุณไปเองรับรองว่าไม่เจอกระเป๋าหรอก” รเมศบอกเหตุผลให้กับคู่สนทนาและตนเองรับรู้ไปพร้อมๆ กันว่าไม่ได้ให้ความหวังแต่มันคือความรับผิดชอบต่างหาก
“แต่ตาคุณคล้ำนะ คุณเหนื่อยแล้ว” พนักงานสายการบินแยกเขี้ยวใส่ผู้โดยสาร เรื่องรอยแพนด้ารอบดวงตาเป็นเรื่องปกติของคนทำงานไม่เป็นเวลาต่างหาก ไม่ต้องมาย้ำให้กระเทือนใจหรอก
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมหยุดพอดี จะไปกันหรือยัง ชักช้ารถจะติดนะ” เขาพูดพร้อมกับลากกระเป๋าไปมาเป็นการยืนยันความคิดของตน
คนตัวโตส่งยิ้มละไมให้พร้อมกับกล่าวขอบคุณอีกครั้งทำให้คู่สนทนาแอบรู้สึกเขินไปชั่วขณะ ลีจัดว่าเป็นผู้ชายที่บุคลิกและหน้าตาดีในระดับนึงเลยทีเดียว หากไม่ติดนิสัยช่างตื้อและดื้อแพ่งไม่เข้าเรื่อง เขาอาจจะชอบมากกว่านี้ก็ได้ และเขาก็ไม่นึกเสียใจนักที่เคยมีความสัมพันธ์ข้ามคืนกับคนๆ นี้แม้ว่าจะจำไม่ค่อยได้มากนักก็ตาม
รเมศรู้สึกว่าตนเองคิดถูกที่ตามมาด้วย ไม่ใช่เพราะคนขับรถพาหลงทางหรอกแต่เป็นเพราะว่ากรุ๊ปทัวร์ที่หยิบกระเป๋าผิดใบไปยังไม่มาเช็คอินด้วยซ้ำจึงต้องรอจนกว่าจะได้เจอไกด์ประจำทัวร์เสียก่อนซึ่งยังดีที่ยังคุยง่ายจึงบอกให้พวกตนไปรอที่โรงแรมเลย
“ผมดีใจ…ที่คุณมากับผม” หนุ่มฮ่องกงเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับคนกำลังอ้าปากงับเบอร์เกอร์เคี้ยวแก้มตุ้ยด้วยความหิวโหย ดวงตาคมเสมองไปทางอื่นเมื่อถูกจ้องไม่วางตาซะขนาดนั้น แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าคนพูดกำลังมีความสุขซะเหลือเกิน
“ผมแค่ใจอ่อนนิดๆ หน่อยๆ เห็นแก่ที่คุณเป็นผู้โดยสารที่ไม่เคยมีปัญหาเลยยอมช่วยนะ” เขาพูดตามจริงหากเทียบลีกับสมาชิกพิเศษคนอื่นๆ ที่เคยรับมือมาแล้ว บอกเลยว่ามีปัญหาน้อยที่สุดแล้ว ไม่เคยอวดเบ่ง ไม่เคยเรียกร้องสิทธิ์งี่เง่าแต่เสียอย่างเดียวที่ตามตื้อตนไม่เลิกรานี่สิ
“ผมรู้ว่าคุณไม่ใช่คนใจร้าย” ลีพยายามสื่อสารด้วยภาษาไทยแปร่งๆ เช่นเดิม เขาต้องฝึกพูดอีกมากเพราะต้องใช้ในการติดต่อลูกค้าคนไทยบางคนใช้ภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่องและพูดภาษาจีนไม่ได้เลย จึงหาทางออกด้วยการเรียนภาษาเสียเอง
“แต่ผมมั่นใจว่าคุณเป็นพวกดื้อ ไม่ยอมฟังใครแน่ๆ” มะขามตอบพร้อมกับกัดเบอร์เกอร์จนหมดชิ้นเสียที
“ผมอยากดื้อกับคนที่ดื้อด้วยได้” ผู้ฟังรู้สึกเอะใจเล็กน้อยจะบอกว่าเขานั่นโกรธไม่เป็นหรือไงเลยคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างงั้นเรอะ “ผมชอบคุณนะ”
คำสารภาพแบบไม่มีอารัมภบททำให้รเมศสำลักเฟรนฟรายที่กำลังกินอยู่เดือดร้อนคนข้างๆ ช่วยลูบหลังและยื่นน้ำอัดลมให้ดูดแก้อาการไอโคลกจนหน้าดำหน้าแดง “ผม…ถามจริงเถอะ คุณชอบผมหรือว่าติดใจผมกันแน่” หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งปาดน้ำตาที่หางตาทั้งสองข้าง เขายอมที่จะถามตรงๆ ดีกว่าปล่อยให้ตนเองเข้าใจผิด
“ทั้งสองอย่าง” น่าแปลกที่ผู้ฟังกลับรู้สึกโล่งอกมากกว่าผิดหวัง
“ผมว่าคุณรู้จักผมน้อยไปนะ”
“ผมยอมรับ คุณจะให้ผมรู้จักคุณเพิ่มขึ้นบ้างไหม” ร่างสูงกว่าถามด้วยรอยยิ้มกริ่มพร้อมกับเลื่อนฝ่ามือมาจับมือของคู่สนทนาด้วย
คนอายุน้อยกว่าแลบลิ้นใส่ทันที “อย่าหวังเลยมิสเตอร์ลี ผมไม่ได้ชอบคุณสักหน่อย”
“แต่ก็ไม่เกลียดผมใช่ไหม” หนุ่มฮ่องกงต่อให้ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ายอมรับ ถ้ารู้สึกเช่นนั้นจริงก็คงไม่มานั่งเป็นเพื่อนรออยู่แบบนี้หรอก ป่านนี้คงนอนตีพุงอยู่ที่บ้านไปแล้วล่ะ
“แต่ก็อย่าคิดว่าผมจะชอบคุณละกัน มันยากมาก” หนุ่มวัยยี่สิบปีกว่าๆ ตอบอย่างไม่ให้ความหวังนัก ถือว่าเป็นวิธีการปฏิเสธแบบละมุนละม่อนที่สุดแล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากให้บริษัทเสียรายได้จากการกระทำของตนเอง
“คุณต้องชอบผมเข้าสักวันเอง” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ทำให้ผู้ฟังขยับตัวออกห่าง สายตาหวานฉ่ำชนิดที่ว่าจะงาบให้ได้มันฟ้องซะขนาดนี้จะให้ตนเชื่อในสิ่งที่ถูกได้อย่างไรเล่า อย่าคิดว่าตนจะตกหลุมพรางง่ายๆ หรอก ไม่มีทางซะหรอก
“มั่นใจเกินไประวังจะเจ็บหนักนะมิสเตอร์ลี” เขากลั้วหัวเราะพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูดต่อแต่แล้วต้องชะงักเมื่อรสชาติของน้ำไม่ใช่สิ่งที่ตนสั่งจึงรู้ตัวว่าเป็นแก้วของอีกคนต่างหากแต่ด้วยความที่กลัวเสียหน้าเลยแสร้งทำเป็นดูดต่อเล็กน้อยและวางไว้ตามเดิม
“ไม่ลองไม่รู้” คนอายุมากกว่าส่งยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วคว้าแก้วใบเดิมมาดูดต่อพร้อมกับยักคิ้วให้อีกด้วย ยิ่งเพิ่มความหมั่นไส้ให้แก่รเมศมากขึ้น เจ๊กนี่กวนโอ๊ยชะมัด แต่บทสนทนาต้องหยุดชะงักลงเมื่อเขาเหลือบเห็นรถทัวร์กำลังเลี้ยงเข้าโรงแรมพอดีจึงลุกพรวดเดินออกจากร้านอย่างรวดเร็วเพื่อไปตามหาคนที่หยิบกระเป๋าผิดไป
และแล้วภารกิจในวันนี้ก็เสร็จสิ้นอย่างสวยงามเมื่อหัวหน้าไกด์ทำกระเป๋าที่หยิบสลับมาให้อย่างไม่อิดออดเพราะว่าลูกทัวร์โวยวายว่าเปิดกระเป๋าไม่ได้ และจู่ๆ ก็มีคนตามมาถึงโรงแรมที่พักเพื่อนำมาเปลี่ยนกันทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กทีเดียว แฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย
หนุ่มวัยยี่สิบปีเศษยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะโยนกระเป๋าเจ้าปัญหาสีเหลืองอ๋อยลงบนเบาะหลังรถเก๋งก่อนปิดประตูอย่างเบามือ จะได้กลับบ้านเสียที พรุ่งนี้เขาตั้งใจว่าจะนอนตื่นสักสิบโมงเลยทีเดียวให้ร่างกายได้พักผ่อนจากที่ตรากตรำงานหนักมาหลายวันแถมยังต้องมาไกลถึงพัทยาเสียด้วย
“ถ้าไม่ได้คุณช่วย ผมคงแย่แน่ๆ” ชาวจีนเชื้อสายฮ่องกงเอ่ยขอบคุณอีกครั้งดวงตาตี๋ฉายความรู้สึกซาบซึ้งออกมาอย่างชัดเจนและซื่อตรงทำให้ผู้มองรู้สึกเขินนิดหน่อย
“มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลยมิสเตอร์ลี ผมเป็นคนใจอ่อนก็เท่านั้น ถ้าคุณอยากตอบแทนผมจริงๆ เลิกตอแยกับผมสักทีเถอะนะ” เขาใช้บุญคุณเป็นข้ออ้างเสียเลย ช่างเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ผู้ฟังแสดงสีหน้าลำบากใจไม่น้อยทีเดียวแล้วไม่ยอมพูดจาอะไรอีกซึ่งมะขามก็ไม่ได้สนใจอีก ถือว่ารับรู้กันแล้ว เขาคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยระหว่างรอคนขับรถจัดการตนเองก่อน เขาไม่รู้หรอกว่าข้างในกระเป๋าเดินทางมีอะไรอยู่แต่เมื่อเจ้าของเช็คแล้วก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ชายหนุ่มปรับช่องแอร์ให้หันมาทางตนพอให้ได้ไอเย็นคลายร้อนบ้าง โชคดีที่ตนทำงานในสนามบินที่เปิดแอร์ตลอดเวลาไม่งั้นถ้าเจอแดดร้อนๆ คงช็อคได้ทีเดียว
ลีขับรถออกไปโดยไม่พูดไม่จาอะไรอีก ส่วนรเมศเองก็ไม่คิดจะชวนอีกฝ่ายคุยด้วยซ้ำ เขาเพลียและเหนื่อยมากสำหรับวันนี้ ใจจริงอยากจะขอให้เจ้าของรถขับไปส่งถึงบ้านด้วยซ้ำแต่กลัวอีกฝ่ายจะหาข้ออ้างอีกจึงตัดใจยอมขึ้นแท็กซี่กลับเองเสียดีกว่า
“เฮ้ คุณไหวไหม?” พนักงานสายการบินทักเมื่อเหลือบมองคนขับเริ่มมีอาการสัปหงกคล้ายหลับใน เขาเขย่าร่างใหญ่แรงๆ ขืนมาวูบหลับตอนขับรถก็ได้ตายหมู่กันพอดี เขาพอจะได้ยินมาว่าการขับรถทางตรงเป็นระยะไกลๆ มักทำให้ง่วงนอนง่ายกว่าทางคดเดี้ยวไปมา โชคดีที่ไม่มีรถตามหลังมาจึงบอกให้ชะลอจอดข้างทางเสีย “ผมพอจะขับรถเกียร์ออโต้เป็นอยู่ คุณไปพักเถอะ”
หนุ่มฮ่องกงสะบัดศีรษะแรงๆ พยายามตั้งสติให้ได้แต่ดูเหมือนว่าการเดินทางทั้งทางอากาศและทางรถยนต์ในวันนี้จะทำให้ตนเหนื่อยกว่าที่คิดไว้จึงยอมทำตามคำแนะนำโดยดี และเมื่อสลับตำแหน่งกันเรียบร้อยเจ้าตัวก็น็อคหลับทันทีปล่อยให้คนไทยอึ้งกิ่มกี่ไม่น้อย นอนทิ้งกันดื้อๆ แบบนี้เรอะ คนขับจำเป็นส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มขำขันเอาเถอะ ดีกว่าตื่นมาแล้วกวนประสาทตนอีก เขาค่อยๆ เหยียบคันเร่งแล้วหมุนพวงมาลัยหักขวาเพื่อเข้าสู่ถนนตามเดิม ไว้ถึงโรงแรมแล้วค่อยบอกให้พี่ยามหามขึ้นห้องล่ะกัน
รเมศหน้าบูดบึ้งขณะเดินลากกระเป๋าตามพนักงานโรงแรมกะดึกที่ช่วยกันหิ้วปีกคนขี้เซาที่ไม่ยอมตื่นง่ายๆ กลับเข้าห้องพักเป็นเหตุให้ตนต้องตามมาอย่างเสียไม่ได้ ไหนๆ ก็ช่วยมาตั้งแต่ต้นแล้ว เอาเป็นว่ามาส่งให้ถึงห้องเลยละกัน เขาบอกให้พนักงานโยนร่างสูงไว้ที่โซฟารับแขกแล้วจึงยื่นธนบัตรสีแดงสี่ใบให้เป็นสินน้ำใจ
ห้องพักของมิสเตอร์ลีเป็นห้องสูทหนึ่งห้องนอนค่อนข้างกว้างขวางเหมาะกับการอยู่ระยะยาวไม่น้อย ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งลากกระเป๋าเดินทางของเจ้าของห้องไปวางไว้ที่มุมห้องแล้วจึงทอดสายตามองดูคนตัวโตที่นอนไม่รู้เรื่องอย่างเอือมระอา คนอะไรสร้างความเดือดร้อนให้ตนได้ไม่รู้จักจบ กว่าจะมาถึงกรุงเทพก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว โชคดีที่ตนหยุดงานในวันพรุ่งนี้ไม่งั้นต้องได้โด๊ปกาแฟถ่างตาเป็นแน่
มะขามวางกุญแจรถไว้กับโต๊ะรับแขกก่อนนึกออกว่าต้องเอาเงินคืนมาก่อนสิ ไม่งั้นตนจะกลับบ้านได้ยังไงกัน เขาจึงจำใจเดินอ้อมหลังโซฟาแล้วก้มลงเขย่าตัวคนขี้เซาแรงๆ ให้ตื่นมาซะดีๆ
“มิสเตอร์ลี ถึงห้องคุณแล้วนะ ตื่นได้แล้ว” คนตัวเล็กกว่าใช้มือทั้งสองเขย่าร่างใหญ่จนโยกตามแรง คนบ้าอะไรหลับได้หลับดีเกินไปแล้ว
“เฮ้ย ไอ้คุณลี ถ้าไม่ยอมตื่น จะเอาน้ำเย็นราดล่ะ” เขาไม่พูดเปล่ายันถือวิสาสะเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำที่แช่เย็นไว้ออกมาอีกด้วย มือเรียวดึงจุกออกแล้วเตรียมจ่อปากขวดรดใบหน้าขาวๆ ของนักธุรกิจชาวฮ่องกงและค่อยๆ เอียงขวดลงต่ำจนหยดน้ำตกลงกระทบผิวแก้มของคนที่หลับอยู่
“เฮ้ย!!!” รเมศร้องเสียงหลงเมื่อเสียท่าให้กับคนเจ้าเล่ห์จนได้ มือใหญ่คว้าแขนเขาหมับแล้วดึงให้ล้มลงมานอนทับ “ไอ้เจ็กบ้า!!!” เขาตะคอกลั่นขณะที่อีกฝ่ายกลับหัวเราะชอบใจพร้อมกับส่งยิ้มพราวระยับให้ แถมท้ายด้วยการหยิบขวดน้ำในมือของเขาออกมาราดแผ่นหลังของตนเป็นการเอาคืนอีกด้วย ดวงตาคมมองตอบอย่างหาเรื่อง มันจงใจแกล้งหลับชัดๆ
“ก็คุณจะหนีผมอีกแล้ว” คนตัวโตไม่พูดอย่างเดียวใช้ฝ่ามืออุ่นไล้แผ่นหลังเย็นไปด้วย เขาน็อคหลับไปจริงๆ ตอนที่ให้อีกฝ่ายขับรถให้และมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ถูกหิ้วปีกหามขึ้นห้องและใครจะยอมพลาดโอกาสทองกันเล่า
“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ชอบคุณ” ร่างเล็กกว่าพยายามตะเกียกตะกายออกจากอ้อมกอดที่แข็งแกร่งกว่า “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ผมจะกลับบ้านแล้ว” เขาขึ้นเสียงแข็งบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ที่ถูกหลอกด้วยแผนตื้นๆ รู้งี้น่าจะให้พนักงานโรงแรมคิดค่าบริการกับเจ้าตัวโดยตรงตั้งแต่แรก ไม่งั้นเขาก็ได้กลับบ้านไปนานแล้ว พลาดท่าจนได้
สถานการณ์เริ่มล่อแหลมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฝ่ามือหนาเลื่อนลงต่ำกว่าเดิมหมายจะสอดใต้กางเกงยีนส์หากร่างเล็กกว่าไม่ยอมให้เกิดขึ้นง่ายๆ จึงเอื้อมมือไปปัดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งสายตาอาฆาตให้อีกด้วย
“ผมไม่ง่ายหรอกน่ะ”
ผู้ฟังยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ผมรู้ ผมมองคุณตั้งนานแล้ว” มะขามเบ้ปากไม่รู้สึกดีใจด้วยหรอก ก็คนมันไม่ได้รักไม่ได้ชอบจะพูดตะล่อมอย่างไรก็ไม่มีผลหรอก
“งั้นคุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่เต็มใจกับคุณแน่” สำหรับเขาแล้วเรื่องของหัวใจกับเรื่องความสัมพันธ์ทางกายมันอาจจะไม่ไปด้วยกันแต่ก็ไม่อยากเสียใจภายหลังหรอก ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสียดีกว่าและที่สำคัญที่สุดเขายังไม่พร้อมจะทำความรู้จักกับใครในตอนนี้โดยเฉพาะคนๆ นี้
ชายผิวขาวส่งยิ้มกวนๆ ให้แล้วใช้จังหวะทีเผลอจับตัวฝ่ายพลิกลงทาบทับอย่างรวดเร็วยิ่งทำให้รเมศโกรธจัดจนใช้เท้าถีบหน้าท้องอย่างแรงก่อนจะรีบไสตัวลงจากโซฟา ไอ้บ้านี่ตัวอันตรายที่สุด!!! หากเขาก้าวไปได้นิดเดียวก็ถูกวงแขนใหญ่ตะครุบเอวแล้วดึงเข้ามานั่งตักอีกจนได้
“ปล่อยกู!!!” ร่างเล็กกว่าตะคอกเสียงดัง เมื่ออยู่ในท่านี้ก็เหมือนถูกพันธนาการอย่างหนาแน่น ตอบโต้ก็ไม่ได้ ดิ้นรนก็ยิ่งจะทำให้รัดแน่นขึ้น แต่ก็ไม่มีวันยอมให้ทำตามใจชอบง่ายๆ หรอก
“ชู่…ผมไม่ทำอะไรหรอก” ลีเอ่ยเสียงดุพลางเอนหลังพิงพนักโซฟาแต่ผู้ฟังไม่มีวันเชื่อใจง่ายๆ หรอก ขืนอยู่เฉยๆ ก็เข้าทางมันสิ
“ปล่อยผมเถอะมิสเตอร์ลี” คนถูกกอดใช้ไม้อ่อนเข้าขอร้อง ดวงตาคมส่งสายตาอ้อนวอนดังจะให้ปล่อยเป็นอิสระเสียที หากได้รับคำตอบเป็นการจุมพิตที่ลำคอเบาๆ
“Call me Max” ผู้ฟังเม้มริมฝีปากลงอย่างขัดเคือง ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ แต่เพื่อทางรอดก็จงใจยอมเรียกตามต้องการ
“ก็ได้แม็กซ์” หนุ่มฮ่องกงคลี่ยิ้มอย่างดีใจแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยง่ายๆ หรอก
“Just tell me your nickname?” ลีอาศัยอยู่ในเมืองไทยมานานพอที่จะรู้ว่าคนไทยมีชื่อจริง นามสกุลและชื่อเล่น ส่วนใหญ่คนที่ไม่สนิทสนมกันมักจะไม่เรียกชื่อเล่นกันหรอก เขาจึงอยากรู้อีกชื่อที่คนในอ้อมกอดปกปิดเอาไว้ด้วย
รเมศกรอกตาไปมาระหว่างชั่งใจว่าควรบอกหรือไม่แต่สุดท้ายบรรยากาศเช่นนี้บอกไปอาจจะเป็นผลดีกว่า “…มะขาม”
“มะขาม? Tamarind?” ผู้ฟังทวนชื่อพร้อมคำแปลภาษาอังกฤษเรียบร้อยทำให้เจ้าของชื่อร้อง เออ ออกมาดังๆ ด้วยความไม่พอใจ “ผมชอบชื่อนี้”
“ขอบใจ” เจ้าของชื่อหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ตื่นแต่เช้าทำงานมาทั้งวันยังต้องมารบกับเจ้าคนจีนจอมตื้อไม่เลิกอีก “จะปล่อยผมได้หรือยัง”
“not yet, until you promise not to run away from me again”
คำสัญญานี้เขารับปากไม่ได้หรอกเพราะไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ เขาเป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นและไม่คิดว่าจะต้องหลบหน้าด้วยเรื่องแค่นี้ด้วยแต่สิ่งที่พอจะพูดได้ก็คือ… “ผมไม่ลาออกเพราะอยากหนีคุณหรอก ผมชอบงานที่นี่ เราคงได้เจอกันอีกแน่ถ้าคุณยังใช้บริการสายการบินนี้ต่อไป”
“That’s enough” ร่างใหญ่พึงพอใจในคำตอบแล้วจึงก้มลงจูบที่ลำคอสีน้ำผึ้งอีกครั้ง ลมหายใจร้อนๆ ทำเอาคนในอ้อมกอดรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปด้วย หากยิ่งขยับหนีก็เหมือนเป็นการกระตุกอารมณ์อีกต่างหากเพราะตนนั่งตักอยู่จึงได้แต่ทำตัวเป็นตอไม้ให้อีกฝ่ายกอดจนพอใจละกัน อยากดมกลิ่นเหงื่อก็เรื่องของเอ็ง แม้แต่เขาเองยังรู้สึกเหนอะหนะตนเองด้วยซ้ำ
และแล้วสิ่งที่มะขามรอคอยก็เป็นจริงเสียทีเมื่อวงแขนใหญ่ยอมคลายออกเสียที เขารีบลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจเป็นที่สุดจะได้กลับบ้านแล้วโว้ย “ผมกลับ…” เขาหมุนตัวกลับหันไปมองเจ้าของห้องหมายจะเอ่ยลาแต่ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มเฉ่งถือกระเป๋าเงินของตนไว้ในกำมือ “คืนเงินมาให้ผมด้วยมิสเตอร์ลี”
ผู้ฟังส่ายหน้าทันที “เมื่อกี้ให้เรียกว่ายังไง”
“โอเค แมกซ์ คืนเงินมา”
“ไม่มีทาง” เมื่อพูดจบก็เขวี้ยงกระเป๋าหนังของรเมศเข้าไปในห้องนอนทันที ยิ่งทำให้อีกฝ่ายอ้าปากค้างไม่คิดว่าจะมามุกนี้ ร่างสูงกว่าลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วใช้ปลายนิ้วจับผิวแก้มนิ่มเบาๆ “You’ve already known. What should happen if you are here with me.”
มะขามเถียงไม่ออกจริงๆ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ เผลอๆ จะเตรียมใจเอาไว้ด้วยซ้ำไป แล้วตอนนี้เขาจะทำอะไรได้นอกจากตามเกมส์งี่เง่าของเจ้าบ้านี่อย่างงั้นเรอะ? ตนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก “ถ้าผมไม่ยอมซะอย่างล่ะ?”
ลีส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคู่สนทนามาถึงขั้นนี้แล้ว ตนก็ไม่ยอมรามือเช่นกันหรอกน่า “ผมจะทำให้คุณยอมเอง” คนอายุน้อยกว่าเบ้ปากให้กับคำพูดที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจจนน่าหมั่นไส้จึงผลักร่างสูงออกห่างพร้อมกับดึงคอเสื้อยืดตนเองลงเล็กน้อยพอให้อีกฝ่ายทำตาวาว
“ผมเหนียวตัว ขออาบน้ำก่อนได้ไหม?” เจ้าของห้องผายมือชี้บอกทางด้วยความยินดีซึ่งคนอายุน้อยกว่าตั้งใจจะปักหลักนอนในห้องน้ำจนกว่าจะข้ามคืนเลยทีเดียว แต่เมื่อก้าวเข้ามาในห้องน้ำแล้วกลับติดที่ร่างสูงยืนคร่อมไม่ยอมให้ปิดประตู “ถอยไป”
ผู้ฟังก้าวเข้ามาในห้องด้วยแทนที่จะถอยหลังยิ่งทำให้ร่างเล็กกว่าหน้าซีดลงเล็กน้อย ตนเริ่มเห็นแววแล้วว่าคืนนี้คงไม่รอดเป็นแน่แท้ เขาเพลียเกินกว่าที่จะคิดทันคนเจ้าเล่ห์ได้จริงๆ
“ผมว่า…คุณควรพักได้แล้วนะแมกซ์ พรุ่งนี้คุณมีประชุมสำคัญไม่ใช่หรือ?” รเมศเอาเรื่องงานที่เจ้าตัวย้ำหนักย้ำหนามาอ้างและได้ผลลัพธ์เป็นการกลั้วหัวเราะในลำคอพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
“You forgot one thing, dear. Yesterday is April Fool’s Day.” ในวินาทีนั้นรเมศนึกอยากเตะก้านคอตามด้วยแทงเข่าคู่กรณีเป็นที่สุด หากทว่าเขาก็คิดช้าไปเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นเมื่อร่างสูงกว่ารั้งเอวเข้าไปอาบน้ำด้วยกันสำเร็จ และสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มคิดก่อนที่สติสตังจะถูกอารมณ์พาไปตามผู้คุมเกมส์ก็คือ ครั้งหน้าจะไม่เห็นใจหรือใจอ่อนไอ้หมอนี่เป็นอันเด็ดขาด!!!
จบตอนที่ 1
By Keaw (4/1/15)
Talk ท้ายบท : เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากวัน April Fool Day นะคะ ^_^ หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ คิดเห็นอย่างไรบอกกันได้จ้าา
ความคิดเห็น