คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่9 : จูปาจุ๊ปส์
ผมกำลังมองบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่แยกจากบ้านหลังอื่นๆในหมู่บ้าน ข้างๆบ้านนี้ห่างไปไม่ไกลมีทะเลสาบจำลองขนาดใหญ่ และถัดไปเป็นสวนสาธารณะของหมู่บ้าน ใช่แล้วครับผมกำลังยืนอยู่หน้าบ้านไอ้ตังค์ ตลอดสองอาทิตย์ที่ไปโรงเรียนและกลับบ้านกับมันผมไม่เคยมาบ้านมันเลยซักครั้ง แต่ที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้
มันมีสาเหตุครับ ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วระหว่างที่ผมกำลังนั่งเล่นเฟสบุ๊คอยู่
‘โฟมพรุ่งนี้สอบคณิต ถ้าอ่านไม่เข้าใจตรงไหนถามกูได้นะ’ ไอ้คุณหัวหน้าห้องมันทักผมมาครับ ผมนี้ขมวดคิ้วเลย
‘สอบคณิต?’ ผมตอบกลับไป ทำไมมันไม่มีความจำเรื่องนี้อยู่ในหัวเลยวะ
‘อืม ก็เรื่องตรีโกณไง อย่าบอกนะว่าลืม’ เวรแล้วไง! ตรีโกณนี้มันไอ้ sin cos tan สามเหลี่ยมนรกนั้นใช่มั้ย
‘เออๆ ขอบใจๆ เกือบลืมเลยนะเนี่ย’ ตามจริงไม่เกือบหรอกครับ ไม่รับรู้ตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า คุยกับไอ้แบงค์เสร็จผมก็รีบคลิกเข้าไปที่กล่องสนทนาของกลุ่ม ‘นกเขาจุ๊กกรู้’ ไม่อยากจะบรรยายรูปประจำกลุ่มครับ มันเป็น
รูปการ์ตูนนกเขาชวาสามตัวที่กำลังแย่งกันกินหนอนชาเขียว ซึ่งไอ้แก๊บและไอ้โมให้ความเห็นว่า มันเป็นรูปที่ไม่ตรงกับชื่อของกลุ่ม ไอ้โมมันแนะนำว่าให้พวกผมสามคนยืนเรียงกันแล้วถ่ายรูปครึ่งตัวล่างระดับใต้เข็มขัดเอามาเป็นรูปประจำกลุ่ม ซึ่งเมื่อได้ยินความคิดอุบาทพิสดารของไอ้ตี๋โม ไอ้แก๊บก็หันมาชมภาพนกเขาของผมทันทีว่ามันเป็นภาพที่สวยงามมีศิลปะสื่อถึงกฎการคัดเลือกโดยธรรมชาติของชาร์ล ดาวิน ที่ว่าสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะที่เหมาะสมกว่าย่อมอยู่รอด ซึ่งหน้าผมกับไอ้โมก็หงิกทันทีที่ได้ฟังไอ้แก๊บมันพูดถึงกระบวนการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต การแปรผันทางพันธุกรรม หรือการกำเนิดสปีชีส์ใหม่และอื่นๆอีกมากมายที่พวกผมยิ่งฟังก็ยิ่งเครียด หลังจากนั้นพวกผมสามคนเลยตกลงปลงใจที่จะเอารูปประจำกลุ่มเป็นรูปการ์ตูนนกเขาชวาสามตัวแย่งหนอนชาเขียว เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ต้องรับฟังความคิดอันต่ำทรามของไอ้โม และทฤษฏีหรือกฎอะไรต่างๆมากมายที่ชวนปวดหัวจากไอ้แก๊บ
‘พวกมึงงงงงงงง พรุ่งนี้สอบตรีโกณ!!!!’ ผมพิมพ์บอกพวกมัน
‘รู้แล้วเว้ย! กูกำลังนั่งติวกับไอ้โมที่ร้านมันอยู่’
‘ไม่ยอมเตือนกูนะพวกมึง แม่งจะติวกันก็ไม่เคยบอก’
‘มึงจะถ่อมาร้านกูมั้ยละ ไม่ได้ห้ามนะ’ ฮึ่ยๆๆ รู้สึกเหมือนโดนเพื่อนทิ้งครับ บ้านไอ้แก๊บกับไอ้โมมันอยู่ละแวกเดียวกัน บ้านผมนี้คนละมุมโลกกันเลย
‘แล้วกูจะทำไงวะแม่ง อ่านคนเดียวไม่รู้เรื่องแน่’
‘มึงก็ให้ไอ้ตังค์มันติวให้ดิวะ อยู่หมู่บ้านเดียวกันไม่ใช่เหรอมึง’ ไอ้ตังค์! ใช่แล้ว! ผมลืมคิดถึงมันไปเลย และนั้นละครับคือที่มาที่ว่าทำไมผมถึงได้มายืนอยู่หน้าบ้านไอ้ตังค์
“สอบพรุ่งนี้มาอ่านคืนวันนี้ ถ้าตกนี้กูจะไม่แปลกใจเลย” ไอ้ตังค์มันเดินมาเปิดประตูรั้วให้ผมเข้าไป ผมโทรตามมันเองละครับ ดึกแล้วไม่อยากกดออดรบกวนคนอื่น
“แช่งกูเหรอมึง มึงมีหน้าที่ติวให้กู ถ้ากูสอบตกก็เพราะคนติวมันแย่” ผมเข็นจักรยานเข้าไปจอดในบ้านมัน แผลผมหายจนเดินเหินได้ตามปกติแล้วละครับ เหลือก็แค่แผลตกสะเก็ดที่สร้างความคันให้ผมบ้างเป็นบางเวลา
“พ่อแม่มึงละ” ผมถามมันเมื่อเดินเข้ามาในบ้านไม่เห็นมีใครอยู่ ไอ้ตังค์อ้าปากหาวชี้ให้ดูนาฬิกา
“สี่ทุ่มแล้วนะมึง พ่อแม่กูนอนหมดแล้ว” ผมสำรวจไปทั่วบ้านมัน สะดุดเข้ากับรูปถ่ายครอบครัวขนาดใหญ่ที่ติดไว้ที่ผนังบ้าน
“พี่มึงเหรอ” ผมชี้ภาพให้มันดู ในภาพมีคนที่สูงอายุสองคนก็น่าจะเป็นพ่อกับแม่มัน มีไอ้ตังค์ แล้วก็ผู้หญิงที่อายุมากกว่ามันหนึ่งคน แล้วก็ผู้ชายที่ใส่ชุดนักศึกษาอยู่อีกสองคน
“ผู้หญิงคนเดียวในรูปอะพี่คนโต ส่วนผู้ชายอีกสองคนก็พี่คนรอง” มันชี้รูปแล้วอธิบาย
“อ้าวแล้วพี่มึงละวะ” ก็บ้านมันเงียบจริงๆนะครับ
“พี่สาวกูแต่งงานไปอยู่กับครอบครัวที่เชียงใหม่ พี่ผู้ชายอีกสองคนเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ”
“มึงโคตรจะลูกหลงเลยว่ะ”
“เออ หลงโคตรกูห่างจากพี่คนแรกตั้งสิบเอ็ดปี มาๆ ไปได้แล้ว ตกลงมึงจะให้กูติวหรือจะมาซักประวัติกูเนี่ย” มันลากผมขึ้นไปชั้นบน บ้านมันมีตั้งสามชั้นแน่ะ ห้องไอ้ตังค์อยู่ชั้นสามครับ เดินขึ้นบันไดจนหอบ
“เฮ้อ สบาย” ผมโยนกระเป๋าที่หอบหนังสือมาทิ้งบนพื้นแล้ววิ่งไปกระโดดขึ้นเตียงนุ่มๆ ห้องมันสวยมากครับ โทนห้องเป็นสีคราม ดูแล้วเย็นตาดีแล้วมันก็ชวนให้น่านอนเหลือเกิน
“ลุกมาเดี๋ยวนี้!” มันดึงผมออกจากเตียงลากลงไปกองกับพื้น ไอ้ตังค์เอาโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆมาตั้งตรงหน้าผม ตามมาด้วยหนังสือที่ผมหอบมาจากบ้าน กระดาษและดินสอยางลบปากกาพร้อม
“เริ่มเลยเหรอวะ” ผมถามไอ้คนที่เปิดหนังสือจับดินสอเตรียมตัวจะติวเต็มที่
“จะรออะไรละ สี่ทุ่มแล้วนะมึง กูว่ากว่าจะติวจบก็ประมาณตีหนึ่ง”
“ตีหนึ่ง!” ผมเอานิ้วขึ้นมานั่งนับ สามชั่วโมงเลยเหรอ
“ปกติมึงนอนไม่ดึกเหรอ” ไอ้ตังค์ถาม มันหยิบแว่นตามาสวม หน้ามันเวลาใส่แว่นแล้วดูขรึมมากเลยครับ
“ก็ดึก แต่กูอ่านการ์ตูนจนดึกมันเลยไม่ง่วง แต่ถ้าให้อ่านหนังสือเรียนนี้คงไม่ไหว” ปวดหัวตาย ผมไม่ใช่พวกใฝ่รู้ใฝ่เรียนขนาดที่จะต้องแหกตานั่งอ่านหนังสือตลอดทั้งคืน
“งั้นฝึกไว้ตั้งแต่วันนี้ซะ” มันพูดจบ ก็ร่ายเนื้อหาในหนังสือยาวเลยครับ ไม่มีเบรกให้ผมได้พักหายใจเลย ดีนะที่ผมเป็นพวกเข้าใจอะไรง่ายเลยไม่มีข้อสงสัยอะไรมากมาย
“จบแล้ว คราวนี้ก็ทำโจทย์”
“หา!” ผมนี้แทบสลบ ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงก็ติวเสร็จผมนี้ตั้งท่าจะกระโจนขึ้นเตียงแล้ว
“ก็ต้องฝึกทำข้อสอบด้วย จะได้ทำได้” ทำไมมันแม่งไม่รู้จักง่วงอะไรบ้างเลยวะ ผมเห็นมันเอาแต่พูดๆมาสองชั่วโมงแล้วแค่ผมนั่งฟังเฉยๆยังเหนื่อยเลย
“ตังค์ กูไม่ไหวแล้ว” ผมลากเสียงยานๆ หัวมันตื้อไปหมดแล้วครับ
“ตังค์คร้าบบบบบบบบบบบ” ผมเอาคางไปถูแขนมันเบาๆ ต้องทำตัวน่ารักไว้ครับเผื่อมันใจอ่อน
“กูเชื่อละว่ามึงไม่ไหวจริงๆ” ไอ้ตังค์หัวเราะ ผมก็เชื่อว่าตอนนี้หัวผมเบลอจริงๆละครับ ถ้าสมองยังปกติคงไม่ลดตัวลงไปอ้อนไอ้ตังค์ขนาดนั้น
“แค่นี้ก็ได้ถ้างั้น” ผมรีบเด้งตัวกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงมันทันที ตอนแรกติวเสร็จกะจะกลับไปนอนที่บ้านแต่ไม่ไหวแล้วครับ ถ้าให้ปั่นจักรยานกลับบ้านมีหวังได้นอนอืดข้างทางแน่
“แย่งหมอนกูอีก” ในห้องมีแค่แสงสลัวๆจากไฟหัวเตียงเท่านั้น ผมปรือตามองไอ้ตังค์ที่เอนตัวนั่งลงบนเตียง ที่นอนมันมีแค่หมอนใบเดียวกับผ้าห่มนวมผืนใหญ่หนึ่งผืน หมอนข้างก็ไม่มี แล้วผมจะก่ายอะไรละเนี่ย ผมติดหมอนข้าง
“ตังค์” ผมเรียกมันเบาๆ ไอ้ตังค์เอามือหนุนแขนตัวเองนอน ตอนนี้ผมสลึมสลือมากๆเลยครับ อารมณ์ครึ่งหลับครึ่งตื่น หัวมันเบลอไปหมดอยากจะหลับท่าเดียว
“หืม” ไอ้ตังค์หันมามอง ภาพหน้ามันมัวๆ คงเพราะผมฝืนตาตื่นไม่ไหวแล้ว
“หมอนข้าง อยากกกอดหมอนข้าง” ผมพึมพำ ไอ้ตังค์หัวเราะแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้ผม
“ไม่มีหรอก”
“อยากกอดหมอนข้าง อยากกอด อยากกอด หมอนข้าง จะเอาหมอนข้าง” เริ่มไม่ค่อยรู้ตัวแล้วครับว่าเพ้ออะไรออกไป แต่ขาผมนี้ก่ายออกไปข้างๆแล้ว
“นี้ไงหมอนข้าง กอดหมอนข้างอุ่นๆ” ผมทั้งก่ายทั้งกอดอะไรไม่รู้ที่อยู่ข้างๆ ถึงจะไม่นุ่มเหมือนหมอนข้างที่บ้านแต่มันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าเยอะ ผมรู้สึกว่าตัวผมก็กำลังถูกกอดกระชับอยู่ ฮ้า อุ่นสบายดีจัง
“ฝันดีนะครับ”
“อื้อ” ในห้วงนิทราผมได้ยินเสียงนุ่มๆคุ้นเคยบอกฝันดี เหมือนเสียงของไอ้ตังค์เลย ผมกำลังฝันถึงมันอยู่หรอกเหรอ ในฝันไอ้ตังค์มันจูบหน้าผากผมเบาๆด้วย ฮ่าๆ ผมจะฝันพิสดารเกินไปแล้วนะเนี่ย
…
“ฮึก..กอด..ขอกอด..” ผมยืนแขนไปให้พี่เปาที่กำลังจะออกเดินทางไปกรุงเทพฯเพื่อขึ้นเครื่องไปอเมริกา ผมยังจำอ้อมกอดครั้งสุดท้ายของพี่เปาที่โอบกอดผมไว้แน่น
“เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้” พี่เปาลูบหัวผม เสียงพี่เปาสั่นไม่น้อยแต่ใบหน้าก็แย้มยิ้มไม่มีน้ำตาออกมาซักหยด ผมอยากจะเข้มแข็งให้มากกว่าพี่เปา แต่ในตอนนั้นผมทำใจแข็งกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้จริงๆ
“จะ..ฮึก..จะได้เจอกันอีกมั้ย..ฮือๆ” ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย กระชับวงแขนรัดตัวพี่เปาไว้แน่น
“ไอ้เด็กน้อย พี่จะกลับมาดูไอ้เด็กน้อยโตเป็นผู้ใหญ่” ผมฉีกยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ผมเห็นน้ำตาพี่เปาคลอที่เบ้าตาแต่ก็ไม่ไหลออกมา พี่เปาใจแข็งเสมอ
“โฟมรักพี่เปา” พี่เปาชะงักมองหน้าผม ผมไม่เคยกล่าวคำว่า ‘รัก’ ออกไป ที่ผ่านมาผมจะบอกพี่เปาเพียงแค่ว่าผมชอบพี่เปาเท่านั้น ตอนนี้ผมอยากจะให้พี่เปารับรู้ว่า พี่เปาเป็นคนสำคัญที่ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าผมรักคนสำคัญของผมคนนี้
“แล้วเจอกันนะไอ้เด็กดื้อ” พี่เปาเอามือขยี้หัวผมเบาๆ
“พี่เปา!” ผมตะโกนตามหลังคนที่เดินผละออกจากผมแล้วไม่หันกลับมามองอีกเลย
“พี่เปา!..ฮึก..พี่เปา..รัก!..รักพี่เปา..ฮือๆ..โฟมรักพี่เปา!!!!!!!!!”
…
“ฝันร้ายเหรอมึง” ผมสะดุ้งเฮือก หอบหายใจถี่ เอามือกุมขมับที่เต้นตุบๆจนปวด ฝันถึงพี่เปาอีกแล้ว
“โฟม”
“กูไม่เป็นไร” ผมหันไปบอกไอ้ตังค์ที่มันตื่นมานั่งเป็นเพื่อน เกือบลืมไปเลยว่ามานอนบ้านมัน
“กี่โมงแล้ว” ผมถามมัน
“อีกยี่สิบนาทีตีห้า” ไอ้ตังค์เอื้อมมือไปคว้ามือถือมาเปิดดูนาฬิกา
“เฮ้ย! มึงถอดเสื้อทำไม” เพิ่งสังเกตครับว่ามันไม่ได้ใส่เสื้อ หุ่นมันดีโคตร หน้าท้องแอบมีกล้ามเนื้อนิดๆ
“กูก็ถอดนอนแบบนี้ทุกวัน”
“จะหกโมงแล้วค่อยปลุกกูแล้วกัน” ผมทำท่าจะเอนตัวลงนอนอีกครั้งแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินคำถามที่ออกมาจากปากไอ้ตังค์
“พี่เปานี้ใครเหรอ”
“มึงพูดเรื่องอะไร” ทำเป็นไม่รู้เรื่องไว้ก่อนครับ แต่ในใจก็แอบคิดละว่ามันคงได้ยินที่ผมละเมอ
“โฟมรักพี่เปา มึงพูดแบบนี้” ตอนแรกก็หนาวนะครับแต่ตอนนี้เหงือแตกพลักๆชักอยากจะถอดเสื้อเป็นเพื่อนไอ้ตังค์แล้ว
“อะ..เอ่อ..ไม่มีไรหรอกมึงอย่ารู้เลย” ผมเบือนหน้าหนีสายตาของมันที่จ้องมาอย่างคาดคั้น
“โฟม ไม่สบายใจอะไรก็บอกกูได้นะ” มันจับหน้าผมให้หันไปหามัน
“ไม่มีอะไรหรอก แล้วมึงจะมาเบียดกูทำไม” ผมเอามือดันอกของมันไว้ ไอ้ตังค์มันคร่อมทับตัวผม ผมจะเสหน้าหลบสายตาคมที่จ้องมองมาแต่มันเอามือดันหน้าผมไว้ให้จ้องแต่หน้ามัน ใจผมเต้นแรงตอนที่สบกับดวงตาคมคู่นั้น มันเป็นแววตาที่ผมไม่เคยเห็นจากสายตาอ่อนโยนของไอ้ตังค์มาก่อน
“พี่เปา..เป็นใคร” มันถามน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว
“มึงจะรู้ไปทำไมวะ มันเรื่องของกะ..อุ๊บส์!” ผมเบิกตากว้าง ใจเต้นรัวแรง สัมผัสหยุ่นๆของริมฝีปากที่ประทับลงบนริมฝีปากผมมันอุ่นร้อนจนร่างผมอ่อนปวกเปียกเหมือนจะหลอมละลายไปในอ้อมกอดของมัน
“กูแค่อยากรู้..” มันผละริมฝีปากออก ผมได้แต่นิ่งค้าง
“แค่อยากรู้ว่า..คนที่กูชอบ..รักใคร”
~~~~~ Nonsense รักนี้ไม่มีเหตุผล ~~~~~
ความคิดเห็น