ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักไม่บังคับใจ(yaoi)

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 55












                   “ทำไมมึงไม่เตือนกู” 

                    พอปู่ไม่อยู่ไอ้เพ้งมันก็ลากผมไปด่าที่โซฟาทันที  ปู่ทั้งสองพร้อมคนขับรถอย่างไอ้น้ำหวานไปเยี่ยมครอบครัวคุณลุงคุณป้าพ่อแม่ไอ้เพ้งที่อยู่ในกรุงเทพฯเหมือนกัน  แต่อยู่ไกลจากมหาลัยผมมากๆ 

                    “กูโทรไปแล้ว  ไม่เชื่อก็ดูบันทึกการโทรดิ”  มันรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดดู  ก่อนหน้ายักษ์จะเริ่มคลายลงเมื่อเห็นว่าผมโทรไปจริงๆ  ไม่ใช่แค่สายเดียว  แต่เกือบจะยี่สิบสาย

                    “มึงไม่รับเองเสือกให้คู่ขามึงรับ”

                    “เออๆ  กูผิดเอง”  หา!  อะไรนะ  นี้โลกมันหมุนกลับทิศ  หิมะจะตกในเมืองไทยเหรอไงทำไมคนอย่างไอ้เพ้งถึงรู้จักยอมรับผิดด้วย

                    “แต่มึงก็ผิดอีกนั้นละ  ที่ไม่รู้จักโทรหากูอีกรอบตอนเช้า”  นั้นไง!  โลกยังหมุนเป็นปกติ  หิมะจะไม่ตกในเมืองไทย ไอ้เพ้งมันก็ยังเป็นไอ้เพ้งคนเดิมวันยังค่ำ

                    “สรุปกูผิดว่างั้น”

                    “เออ!”  กำลังหันหลังจะสะบัดก้นหนีไอ้เพ้งไปอ่านการ์ตูนในห้องอย่างเซ็งๆ  แต่มันก็ขว้ามือไว้ก่อนจะกดเสียงต่ำๆพูดเป็นเชิงสั่ง

                    “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจะพาไปซื้อของ”  จู่ๆก็เปลี่ยนบทสนทนาไปคนละเรื่องทำเอาผมต้องเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

                    “จะไปซื้อของสดมาทำกับข้าว”  คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้ผมงงเป็นไก่ตาแตก  ทำกับข้าว  ไอ้เพ้งเนี่ยนะจะทำกับข้าว  ทำไปทำไม  แล้วที่สำคัญอย่างมันนี้นะจะทำกับข้าวเป็น  ขนาดผมที่คิดว่าน่าจะทำอะไรเป็นมากกว่ามันยังทำได้มากสุดแค่ไข่เจียวเอง

                    “แล้วจะยืนทำหน้าโง่อีกนานไหม  บอกให้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”  กำลังจะอ้าปากด่ามันไปว่าหน้าที่กำลังทำอยู่เขาเรียกว่างง  แต่พอไอ้คนเอาแต่สั่งรีบอธิบายเหตุผลของการออกไปซื้อของเพิ่มเติมก็เลยจำใจเดินเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่มันสั่ง

                    “วันนี้วันเกิดกู  จะทำกับข้าวให้ปู่กิน”

                     เห็นแก่ความเป็นหลานกตัญญูของมันหรอกนะถึงได้ยอมสละเวลาพักผ่อนในวันหยุดแบบนี้ไปช่วยมันซื้อของ  ซึ่งผมก็ได้แต่เข็นรถเข็นตามก้นมันนั้นละครับ  เห็นไอ้เพ้งเลือกซื้อผักซื้อเนื้อหมู  ปลา  ไก่  และอีกสารพัดเครื่องปรุงอย่างชำนาญเล่นเอาผมตะลึงไปเล็กน้อย  ไม่คิดว่าคนที่ห่ามๆอย่างมันจะทำอะไรละเอียดอ่อนเทือกนี้เป็นด้วย 

                    “องุ่นเขียวกับองุ่นแดงอยากกินอันไหน”  มันหันมาถาม  ชี้ไปที่องุ่นที่วางขาย 

                    “อย่าตอบว่าอะไรก็ได้”  เหมือนกับอ่านใจกันได้งั้นแหละ  ผมเลยมององุ่นสองสีอย่างพิจารณา  ก่อนที่สมองจะตัดสินใจมั่วๆเลือกองุ่นแดงอย่างไม่มีเหตุผล

                    “องุ่นแดง”  ผมตอบไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก  คนถามเอามือลูบคางนิดๆหันไปพิจารณาองุ่นทั้งสองสีอีกครั้ง

                    “งั้นเอาองุ่นเขียว”  พูดจบก็ตั้งหน้าตั้งตาเลือกองุ่นเขียวใส่ถุงพลาสติก

                    “แล้วจะถามกูเพื่อ!  มันหันมาฉีกยิ้มหล่อๆพร้อมกับบอกเหตุผล  พอได้ยินคำตอบเท่านั้นแหละผมก็เดินสะบัดก้นหนีมันไปหาซื้อขนมกินทันที

                    “กูแค่เบื่อๆเลยอยากกวนมึงเล่น”  นี้ละครับคือคำตอบของมัน 

                    ผมเดินหงุดหงิดก่อนจะคว้าซองมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบมาใส่ในอ้อมแขนสามซอง  ปากก็พร่ำบ่นไอ้เพ้งไปเป็นการระบายอารมณ์  เดินไปเรื่อยๆถึงแผนกขายน้ำก็คว้าน้ำอัดลมมาอีกสามขวดใหญ่ๆ  เห็นว่ามาช้อปคราวนี้ไอ้เพ้งมันเป็นคนจ่ายผมเลยหยิบไม่อั้น  มาคิดดูอีกที่วันนี้วันเกิดมันหรอกเหรอ  ผมเคยรู้นะว่าวันเกิดมันวันไหนตอนที่ผมชอบมัน  แต่พอเริ่มไม่ชอบก็ลืมๆไปเลย  จะน่าเกลียดไหมถ้าจะไม่ให้ของขวัญอะไรมันเลย  อยากน้อยก็ในฐานะคนอาศัยอยู่ห้องเดียวกัน  แต่ถ้าเกิดให้ไปแล้วไอ้บ้าเพ้งมันหลงตัวเองคิดว่าผมยังพิศวาสมันละ  แต่ผมรู้สึกอยากให้ของขวัญอะไรมันซักอย่าง  ก็แค่ในฐานะที่จะต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนานก็เท่านั้น

                    “ใช่น้ำตาลรึเปล่าครับ”  กำลังคิดว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญให้คนอาศัยร่วมห้อง  เสียงทักทายที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น  เงยหน้ามองเห็นหนุ่มหล่อหน้าตี๋ตัวสูงชะลูดฉีกยิ้มให้เล่นเอาแผลที่เริ่มจะหายแล้วที่มุมปากเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที

                    “อะ  เอ่อ  หวัดดีครับพี่นุ”  ยกมือไหว้คนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยสวยงามนักเพราะของที่หอบอยู่เต็มอ้อมแขน  น้ำอัดลมขวดหนึ่งทำท่าจะร่วงลงพื้นพี่นุเลยรีบมาช่วยถือของ  ผมบอกขอบคุณก่อนจะฉีกยิ้มเป็นมิตรออกไป

                    “ยังเจ็บอยู่ไหม”  กำลังจะถามว่าเจ็บอะไร  คุณพี่หน้าหล่อก็เอื้อมมือมาลูบเบาๆตรงมุมปากที่ยังมีรอบช้ำจางๆอยู่

                    “อะ  เอ่อ  ไม่เป็นไรแล้วครับ”  ผมเบี่ยงตัวออกมารู้สึกแปลกๆที่มีผู้ชายมายื่นลูบแก้มอยู่กลางห้าง  สีหน้าพี่นุยังดูกังวลผมเลยต้องฉีกยิ้มแล้วย้ำไปอีกว่าไม่เป็นไรจริงๆ

                    “ขอโทษจริงๆนะ  ตอนนั้นพี่ก็ต่อยซะเต็มแรงด้วย”  ผมหัวเราะเห็นด้วยว่าหมัดพี่นุที่ปล่อยมานั้นเต็มแรงจริงๆ

                    “มันเรื่องเข้าใจผิดน่ะครับ  ไม่เป็นไรจริงๆ”

                    “พี่ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดีนั้นละ  เอางี้  ให้พี่เลี้ยงไถ่โทษซักมื้อนะ  เย็นนี้เลยไหมน้ำตาลว่างรึเปล่า” 

                    “ไม่ว่าง”  เสียงเย็นๆที่ผมไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใครดังขึ้นด้านหลัง

                     พี่นุดูจะงงๆกับบุคคลที่สามที่เข้ามาใหม่  แต่สายตายังจ้องจะเอาคำตอบจากปากผมท่าทางพี่นุที่ทำเหมือนกับว่าคำพูดของไอ้เพ้งเป็นเพียงแค่อากาศธาตุทำเอาไอ้คนเอาแต่ใจเริ่มเดือด  แต่มันก็ไม่น่าจะระบายอารมณ์ด้วยการดึงเอวผมเข้าไปกอดหรอกนะ  ผมหันไปค้อนมันก่อนจะดันตัวเองออกแล้วหันไปยิ้มให้พี่นุ

                    “พอดีว่าปู่น้ำตาลมาเยี่ยมน่ะครับ  เย็นนี้ต้องทานข้าวกับปู่  ขอโทษด้วยนะครับ”  ผมบอกพี่นุพลางวางของที่หอบเต็มแขนใส่รถเข็นที่เพ้งมันเข็นมาด้วย

                    “งั้นเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ  เออ  พี่ขอเบอร์น้ำตาลไว้หน่อยสิ”  ตกลงกันเรียบร้อยผมก็รีบจัดการแลกเบอร์กับพี่นุโดยมีไอ้เพ้งทำเสียงจิ๊ในลำคออยู่ข้างๆ  ผมเลยหันไปมองว่ามันเป็นไร

                    “เร็วๆ”  บอกแค่นั้นก็เดินหนีไปทางอื่น  ผมบอกลาพี่นุแล้วรีบเข็นรถเดินหาคนจ่ายเงิน  เห็นหลังมันแวบๆที่แผนกเด็กอ่อน  สายตาของไอ้คนขี้หงุดหงิดจ้องมองของเล่นเด็กอ่อนที่เป็นตุ๊กตายางที่บีบแล้วจะมีเสียงแหลมออกมาเหมือนกับนกหวีด  เห็นมันหัวเราะนิดๆนิ้วมือขาวๆเอื้อมไปแตะตุ๊กตายางรูปเป็ดสีเหลืองที่เอาไว้ให้เด็กน้อยเล่นเวลาอาบน้ำ

                    “อารมณ์ไหนของมันวะ”  ผมเอามือเกาคางอย่างใช้ความคิดว่าทำไมคนดิบเถื่อนอย่างมันวันนี้ถึงได้ทำตัวละเอียดอ่อนนักตั้งแต่คิดจะทำอาหารละ  พนักงานประจำแผนกเข้ามาบริการเห็นไอ้เพ้งมันส่ายหน้าเหมือนกับจะบอกว่ามาดูเฉยๆแล้วเดินออกมา  พอเห็นผมมองอยู่มันก็เดินมาหาสีหน้าที่หงุดหงิดก่อนหน้านี้หายไปแล้ว 

                    “อยากได้เหรอ”  ผมพยักเพยิดไปทางตุ๊กตายางเป็ดลอยน้ำ 

                    “เปล่า  แค่ดูเฉยๆ”   มันปฏิเสธแล้วเข็นรถไปจ่ายเงิน 

                    “อยากได้ก็บอกมาเหอะน่า  ไอ้เด็กน้อย”  ผมหยักคิ้วให้มันอย่างล้อเลียน  ไอ้คนถูกล้อเอามือมาดีดหน้าผากผมก่อนจะบ่นว่ายุ่ง

                    “ตอนเด็กเคยอยากได้ไปลอยน้ำเล่นตอนอาบน้ำ  แต่ไม่ค่อยสบายแม่เลยไม่ให้แช่น้ำเล่น  ก็แค่เสียดายที่ไม่ได้แช่น้ำกับเป็ดตอนเด็กเท่านั้นเอง”  ผมหัวเราะคิกจนไอ้เพ้งเอามือมาดันหัว  ไม่คิดว่าคนอย่างมันจะมีความปรารถนาอะไรน่ารักแบบนี้ด้วย

                    “อยากได้แต่ไม่กล้าซื้อใช่ไหมละ”  ได้ทีผมแซวมันใหญ่  ไอ้คนถูกแซวหันมาทำหน้ายักษ์ใส่  ผมไม่รอให้มันด่ารีบวิ่งไปที่แผนกเด็กอ่อนหยิบตุ๊กตายางรูปเป็ดสีเหลืองขนาดเล็กๆประมาณหนึ่งกำมือ  ก่อนจะจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ตรงนั้น  แล้วรีบวิ่งกลับไปหาไอ้เพ้งที่มองผมอย่างงงๆ

                    “อะ  สงสารเด็กน้อยอยากได้ของเล่น”  ผมยื่นตุ๊กตายางเป็ดน้อยสีเหลืองให้มัน  ไอ้คนถูกล้อทำตาขึงใส่ก่อนจะเดินหนีเลยต้องรีบขว้าไหล่มันไว้ 

                    “สุขสันต์วันเกิด  ก็เห็นว่าอยากได้  ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดจากกูแล้วกัน”  ผมรีบยัดตุ๊กตาใส่มือมัน  ก่อนจะรีบเข็นรถไปที่จ่ายเงินกลัวว่ามันอาจจะเกิดอาการอารมณ์เสียแล้วทำร้ายร่างกายผมได้  หันกลับไปมองก็เห็นเจ้าของวันเกิดยื่นยิ้มมองตุ๊กตายางเป็ดในมือ  เห็นแล้วก็อดจะยิ้มตามไม่ได้  ไม่นึกว่าคนอย่างไอ้เพ้งจะมีโหมดเด็กน้อยแบบนี้ด้วย

     

     

     

     

                    “มึงรู้จักไอ้พี่นุนั้นด้วยเหรอ”  ผมละมือจากการล้างองุ่นหันไปมองไอ้เพ้งที่ก้มหน้าก้มตาปอกหอม    

                    “ก็ไม่เชิงรู้จัก  แค่มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยเลยรู้จักกัน”  พอนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก็ลืมบอกไอ้เพ้งไปเลยว่าเด็กมันมาเล่นงานผม 

                    “ไม่เชิงรู้จักแต่ปล่อยให้เขาลูบหน้ากลางห้างเนี่ยนะ  เป้าหมายใหม่มึงละสิ”

                    “เป้าหมายบ้าไร  มึงอย่ามาพูดดูถูกกูแบบนี้นะ!”  ผมหันไปมองมันอย่างฉุนๆ  ไอ้เพ้งแค่ยักไหล่เบาๆก่อนจะพูดเชิงหลงตัวเองอย่างไม่สำนึกผิด

                    “แค่นี้ทำโกรธ  กูน่าจะรู้นิเนอะว่ายังไงซะมึงก็สนกูคนเดียว”  รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากคนตรงหน้าทำเอาผมอยากจะปาองุ่นใส่  ติดว่าแม่เคยสอนว่าอย่าเอาของกินมาเล่นถึงระงับมือไว้ทัน  ได้แต่สาปส่งไอ้คนหลงตัวเองว่าขอให้หอมกระเด็นเข้าตาให้มันแสบตาจนบอดไปเลย!

                    “แล้วปากมึงไปโดนอะไรมาละนั้น”

                    “ห่วงกูเหรอ”  ผมหันไปยิ้มให้มันอย่างล้อเลียน  ให้มันรุกอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ยอมไม่ได้  แต่มันแค่เบะปากพร้อมกับยักไหล่เบาๆอย่างน่าหมั่นไส้

                    “แค่ถามตามมารยาท”

                    “ที่เป็นแบบนี้เพราะน้องฝ้ายของมึงนั้นละ”  ไอ้ตัวต้นเหตุวางมีดปอกหอมลงแล้วเงยหน้ามองผม  ทำไมต้องทำหน้าจริงจังแบบนั้นด้วยวะ

                    “เขาทำไรมึง”  ผมเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง  เล่าไปก็บ่นไปด้วยว่าเพราะมันนั้นแหละที่ทำให้ผมโดนเล่นงานแบบนี้  แปลกที่คราวนี้ผมด่ามันแต่มันไม่ได้ด่ากลับแบบเมื่อก่อน  หน้าตามันดูจริงจังตั้งใจฟังที่ผมเล่า

                    “ขอโทษนะ” 

                    “หา!”  ไม่คิดครับว่าคนอย่างมันจะพูดคำนี้เป็นกับเขาด้วย

                    “แปลกใจอะไร  ที่มึงเจ็บเพราะเรื่องของกู  กูก็รู้สึกผิดเป็นเหมือนกันนะเว้ย” 

                    “ช่างมันเถอะน่า  ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้”  เห็นมันขมวดคิ้วทำหน้าตาเคร่งเครียดก็รู้สึกไม่ค่อยดี  เลยเดินไปขยี้หัวมันเบาๆ

                    “มึงก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน  อยู่กับไอ้แทนตลอดละตอนไปเรียนน่ะ”

                    ผมชะงักมือที่กำลังขยี้หัวมัน  จะคิดได้ไหมว่าที่มันพูดเพราะมันห่วงผม  ไม่หรอกมันคงกลัวว่าถ้าผมเป็นไรไปแล้วความผิดมันจะซักทอดมาถึงตัวต้นเหตุอย่างมันมากกว่า

                    “จะเล่นหัวกูอีกนานมั้ย  เดี๋ยวปั๊ด!”  ผมรีบเอามือออกจากหัวมัน  ยิ้มแห้งๆแล้วไปล้างผักตามที่มันบอกให้ล้างต่อ  ได้แต่หวังว่าน้องฝ้ายคงจะไม่ตามมารังควาญอีก  เจอไอ้แทนเล่นงานไปขนาดนั้นน่าจะเข็ดแล้วมั้ง  แต่ผมไม่มีทางรู้หรอกว่าพายุที่คิดว่าสงบลงแล้วนั้นอาจจะรุนแรงขึ้นก็ได้

     

     

     

     

                     “ทำไมเดี๋ยวนี้ทำตัวงี่เง่าแบบนี้”  แขนแกร่งที่เคยจับมือผมไว้อย่างอบอุ่น  ตอนนี้กลับสะบัดข้อมือผมที่จับอยู่ออกอย่างไม่ใยดี

                    “ก็พี่ตั้มผิดนัดกับแทนอีกแล้ว  ไหนบอกว่าวันนี้ว่างไง”  ผมเถียงคนตรงหน้ากลับไป  วันนี้ผมจะออกมาเที่ยวกับพี่ตั้มคนรักของผมตามปกติที่ทุกๆวันหยุดสุดสัปดาห์เราจะออกมาเจอกัน  นัดกันไว้เรียบร้อยว่าจะพากันไปดูหนังแต่จู่ๆพี่ตั้มก็บอกว่ามีงานด่วน  ผมจะไม่ทำตัวเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้หรอกถ้าไม่ติดว่างานด่วนของพี่ตั้มน่ะมันบ่อยเกินไป  บ่อยซะจนเดือนหนึ่งเจอกันไม่ถึงสิบครั้ง  โทรหากันแค่อาทิตย์ละครั้งและเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายโทรไป  ผมจะไม่สงสัยหรอกว่างานด่วนของพี่ตั้มมันเป็นแค่ข้ออ้างถ้าผมไม่ได้เห็นรอยลิปสติกติดอยู่ที่เสื้อเชิ้ตที่กองอยู่ในตะกร้าผ้าของพี่ตั้ม

                    “อย่าเอาแต่ใจสิแทน  พี่ต้องทำงานนะ”  น้ำเสียงบ่นอย่างรำคาญทั้งๆที่แต่ก่อนเคยแต่พูดคำหวานหูทำเอาน้ำตารื่นขึ้นมาที่ดวงตาของผม 

                    “ก็ได้  แทนไปดูหนังคนเดียวก็ได้  ขอโทษที่ทำตัวงี่เง่า”  ผมรีบเอามือปาดน้ำตาก่อนที่มันจะร่วงออกมา  หันหลังเตรียมเดินออกไปจากห้องคนรักแต่ก็ถูกคว้าข้อมือไว้ก่อน  การแสดงออกที่เหมือนกับจะง้อนั้นทำให้อารมณ์ที่บูดบึ้งหายไปได้ 

                    “ร้องไห้ทำไม  หืม”  นิ้วมือที่อบอุ่นเกลี่ยที่แก้มผมเบาๆ  ริมฝีปากหยุ่นประทับที่ริมฝีปากเบาๆเป็นเชิงปลอบโยน  นั้นทำเอาน้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นไว้ร่วงลงมา

                    “ฮึก..ก็แทนอยากอยู่กับพี่ตั้มอะ..ฮึก..นานๆจะได้เจอกันที..ฮือๆ”  อ้อมแขนแกร่งที่สลัดมือผมออกก่อนหน้านี้  ตอนนี้กลับโอบรัดตัวผมไว้อย่างอบอุ่น  ฝ่ามือที่ลูบหัวเบาๆทำให้ผมลืมเรื่องรอยลิปสติกที่เจอไปเลย  อันที่จริงเรียกว่าทำเป็นลืมน่าจะถูกกว่า  ผมรักผู้ชายคนนี้มากเกินกว่าจะยอมรับความจริงว่าเขาไม่ได้มีผมคนเดียว  พี่ตั้มอาจจะเหงาบ้าง  ก็แค่ชั่วคราวไม่ได้นอกใจเราซะหน่อย

                    “โอ๋ๆ  อาทิตย์หน้าพี่จะอยู่กับแทนทั้งอาทิตย์เลยเอามั้ย  จะนอนกอดแทนอยู่บนเตียงทั้งวันเลย”

                    “ไอ้พี่ตั้มบ้า  คิดแต่เรื่องแบบนั้น”  ผมเอามือทุบไหล่คนตรงหน้าเบาๆ  หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี  อย่างน้อยพี่ตั้มก็ยังง้ออยู่ 

                    “ก็ใครบอกให้ทำตัวน่ารักละ  ยิ่งร้องไห้แบบนี้ยิ่งยั่วรู้ไหม”

                    “ซาดิสเหรอไงฮะ  ไม่คุยด้วยแล้ว  ไหนว่ารีบไปทำงานไง”  พี่ตั้มก้มหน้ามาจูบผมทีหนึ่งอย่างดูดดื่มก่อนจะเดินมาส่งผมด้านล่างคอนโด

                     ผมโบกรถแทกซี่ไปยังห้างสรรพสินค้าแหล่งช้อปปิ้งของวัยรุ่น  ไหนๆก็ออกจากบ้านมาแล้วก็เดินเล่นหน่อยแล้วกัน  กำลังจะโทรไปหาน้ำตาลให้มาเดินเล่นด้วยกันแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าปู่มันมาเลยตัดใจเดินเล่นคนเดียว  พออยู่คนเดียวใจก็อดคิดถึงคนที่เพิ่งจากกันมาไม่ได้ 

                คืนนี้เจอกันที่เดิมนะคะ

                            แอนนี่

                    “ใครคือแอนนี่” 

                    ข้อความในมือถือพี่ตั้มและชื่อของคนที่ผมไม่รู้จักลอยเข้ามาในหัว  ก็ไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวอย่างเช็คมือถือแฟนตัวเองนักหรอก  เพราะพี่ตั้มไม่ชอบคนที่จู้จี้แบบนั้น  และผมไม่เคยคิดจะทำเพราะถือว่าเป็นการไม่ให้ความเชื่อใจพี่ตั้ม  แต่อาการของพี่ตั้มที่แปลกไปทำให้ผมอดจะเสียมารยาทไม่ได้  แล้วไอ้ข้อความแบบนั้นมันจะหมายถึงอะไรได้ละ  นัดไปคุยเรื่องงานเหรอ  หึ!  คุยตอนกลางคืนแบบนี้เรื่องบนเตียงละสิไม่ว่า  ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพี่ตั้มแอบนอกใจ  แต่พอถูกง้อถูกอ้อนก็ใจอ่อน  รู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ยังไงไม่รู้  แต่ก็เพราะไอ้คำว่ารักคำเดียวนี้ละที่ทำให้ผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น  อยากจะระบายให้น้ำตาลมันฟังแต่ก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัวของมัน  และที่สำคัญถ้ามันรู้มันคงด่าว่าผมโง่  ผมรู้  ผมโง่จริงๆนั้นแหละที่ปล่อยให้ความรักมันครอบงำได้ขนาดนี้

                    “อุ๊ย!  ขอโทษนะคะพอดีมองแต่ที่สูงเลยไม่เห็น”

                     ผมรีบปัดป๊อปคอร์นที่ราดตัวผมออก  กลิ่นเนยนี้หึ่งเลย  ก่อนจะมองหน้าคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ  ถ้าเป็นคนอื่นผมคงจะยิ้มให้แล้วบอกว่าไม่เป็นไร  แต่คนตรงหน้าที่เหยียดยิ้มมองผมอย่างสะใจมันคือยัยน้องฝ้าย  คู่กรณีของไอ้น้ำตาลที่ตอนนี้คงอยากจะให้ผมไปเป็นคู่กรณีเพิ่มอีกคน  แล้วไอ้ประโยคเมื่อกี้มันด่าว่าผมเตี้ยชัดๆ  เสียดายที่ลบรูปที่ถ่ายยัยนี้ไว้ตอนที่ไปเล่นงานไอ้น้ำตาลคราวนั้นไปแล้ว  ไม่งั้นจะเอามาขู่อีกรอบ  มองดูรอบๆนี้มันกลางห้าง  ผมที่เป็นผู้ชายจะมาทำอะไรผู้หญิงที่มารยาล้านเล่มเกวียนอย่างคนตรงหน้าไม่ได้หรอก  มีแต่จะเสียเปรียบ

                    “ทำหน้าแบบนั้นจะไม่ให้อภัยกันเหรอคะ  ฝ้ายไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะคะ”  ไม่ได้ตั้งใจแต่น้ำเสียงหล่อนเนี่ยดูสะใจมากนะ  นางชะนีปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม  ผมได้แต่กัดฟันอย่างเคียดแค้นเดินออกไปจากตรงนั้น  ได้แต่คิดในใจว่าปล่อยให้หมามันเห่าไป  แต่อย่ากัดแล้วกันผมไม่ปล่อยไว้แน่

                    “อุ๊ย!  วันนี้เป็นไรไปคะ  รึว่าผัวทิ้ง”  ฉึ่ง!  อุตส่าห์ปล่อยมาแล้วนะ  หาเรื่องตายเองนะยัยน้องฝ้าย  ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งของผมเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มอย่างสวมหน้ากาก  หรือภาษาบ้านๆเขาเรียกว่ายิ้มอย่างตอแหล  หันกลับไปเผชิญหน้ากับคู่กรณีที่ยังยื่นท้าทายสายตาผมอย่างไม่เกรงกลัว

                    “ทิ้งไม่ทิ้งไม่รู้  แต่ที่สำคัญไม่เคยแย่งผัวใคร”  น้องชะนีปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกัดกรามกรอด  คงโดนผมพูดจี่ใจดำเรื่องไอ้เพ้งละสิ  ผมได้แต่เชิดหน้ากำลังจะสะบัดหน้าเดินหนีแต่มีผู้ชายคนหนึ่ง  หน้าตาออกลูกครึ่ง  ซึ่งผมยอมรับว่าหล่อมากเดินมาข้างๆน้องฝ้าย  พอเห็นว่ามีใครอีกคนมาน้องเขาก็รีบกอดแขนผู้ชายคนนั้นแน่น  หึ!  คู่ขาใหม่ละสิ  ขนาดผมเป็นผู้ชายยังไม่เปลี่ยนคนควงเป็นว่าเล่นแบบน้องเขาเลยนะเนี่ย  พฤติกรรมแบบนี้ใครจะอยากได้ไปเป็นแม่พันธุ์

                    “มิคคะ  ทำไมปล่อยฝ้ายรอนานจังละ”  ภาพออดอ้อนของคนตรงหน้าทำเอาผมอยากสำรอก  นี้คงจะอวดคู่ควงละสินะ  นึกว่าผมจะอิจฉาละสิฝันไปเถอะ  ผมมีเด็ดกว่านั้นอีก

                    ‘สวัสดีครับ  น้องแทนมีอะไรรึเปล่า

                    “พี่นุเหรอครับ  เมื่อไหร่จะมาเนี่ยแทนรอนานแล้วนะ”  ผมทำเสียงหวานใส่โทรศัพท์  สายตาก็ชำเลืองมองคนตรงหน้าเห็นน้องฝ้ายเม้มปากแน่นเหมือนกับอยากจะพูดอะไร  ดูก็รู้ว่าน้องเขาอยากจะงาบพี่นุเหมือนกันละ  ใครไม่อยากงาบพี่นุบ้างละ  ทั้งหล่อทั้งรวย  กีฬาและการเรียนก็เด่น  เพอร์เฟ็คขนาดนั้น 

                    ‘ฮะ!  เรานัดกันด้วยเหรอทำไมพี่จำไม่ได้’  ผมไม่ได้สนใจว่าพี่นุจะพูดอะไรได้แต่แสร้งทำเป็นเขินอายเหมือนกับว่าพี่นุหยอดคำหวานมาให้ 

                    “คิดถึงแทนเหรอครับ  คิดถึงก็รีบๆมาสิ  แทนรออยู่นะ  แค่นี้นะครับ  รีบๆมาละ”  ผมตัดสายไป  หันไปยิ้มให้คนตรงหน้า

                    “พี่ไปก่อนนะครับน้องฝ้าย  พอดีนัดกับพี่นุไว้”  ผมเดินไปใกล้ๆน้องฝ้ายเพื่อบอกลา  แต่สายตาส่งไปให้หนุ่มลูกครึ่งที่ยื่นข้างๆอย่างหยาดเยิ้ม  หนุ่มคนนั้นก็ส่งรอยยิ้มหวานเยิ้มปนเซ็กซี่มาให้ผมเช่นกัน  ท่าทางของเราสองคนต้องตกอยู่ในสายตาน้องฝ้ายอย่างแน่นอน  และนั้นทำให้คุณเธอรีบลากคู่ควงคนล่าสุดเดินออกไปทันที  แอบเห็นหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นเหลียวหลังมามองผมด้วย  แต่ผมไม่สนใจหรอกก็แค่อยากแกล้งน้องฝ้ายให้อกแตกตายเท่านั้น พอได้แกล้งคนแล้วก็อารมณ์ดี  เสน่ห์เราก็แรงใช่ย่อยนะเนี่ย ฮุๆ

    ..RRRR..RRRR..

                    ผมหยิบมือถือที่สั่นอยู่ในมือขึ้นมาดู  หน้าจอโชว์ชื่อของสายล่าสุดที่เพิ่งโทรออก  เวรแล้วไง  เมื่อกี้ก็ตั้งใจจะแกล้งน้องฝ้ายจนลืมไปเลยว่าพี่นุคงงงเป็นไก่ตาแตกแล้ว  และผมก็เอามือตบหน้าผากตัวเองไปป้าปหนึ่งเพื่อขับไล่ความโง่ของตัวเอง

                    “เมื่อกี้จะแกล้งโทรก็ได้  ทำไมต้องโทรไปหาพี่นุจริงๆด้วยวะ  โง่จริงๆเลย”  บ่นให้กับความโง่ชั่วครั้งชั่วคราวก่อนจะกดรับ

                    “หวัดดีครับพี่นุ”

                    ‘เออ  แทนเมื่อกี้ที่คุยกัน..’

                    “อ้อ  ไม่มีไรหรอกครับ  แค่แกล้งใครเล่นเฉยๆ  ขอโทษด้วยที่เอาชื่อพี่มาแอบอ้าง”  ผมรีบอธิบายให้พี่นุฟัง  เริ่มรู้สึกอายที่ก่อนหน้านี้พูดกับเขาซะหวาน  ทั้งที่แทบจะไม่รู้จักกันเล้ย

                    ‘งั้นเหรอ  ไม่เป็นไรหรอก  นึกว่าจะชวนพี่ไปเที่ยวไหนซะอีก’  ใครอยากจะชวนมากันเล่า

                    “เปล่าครับ  ขอโทษที่รบกวนนะครับ”

                    ‘แล้วตอนนี้น้องแทนอยู่ไหนละ’  นี้พูดเรื่องเดียวกันอยู่รึเปล่า  พี่ควรจะพูดคำว่า  ไม่เป็นไรครับสิ  ไม่ใช่มาถามว่าผมอยู่ที่ไหน

                    ‘ก็เอาชื่อพี่ไปใช้  ก็ต้องจ่ายค่ายื่มชื่อสิครับ  ชื่อพี่แพงนะ’  เห็นผมเงียบพี่แกเลยบอกเหตุผลกลับมา  กะอีแค่เอาชื่อมาอ้างจะเก็บเงินเหรอเนี่ย  รวยแล้วยังจะงกอีก

                    “ตอนนี้ผมอยู่ถ้าจะมาเอาเงินก็มาเอา” ผมบอกสถานที่ที่ผมอยู่ไป

                    ‘เหรอ  พี่ก็อยู่แถวๆนี้  งั้นอีกสิบนาทีเจอกันชั้นหนึ่งหน้าเคเอฟซีนะ  เดี๋ยวพี่ไปเอาเงิน’  นี้กูประชดมึงนะเว้ยไอ้พี่นุ!  จะมาเอาจริงเหรอ  ไอ้คนขี้งกเอ้ย!








                                                                                                ..รักไม่บังคับใจ..










    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×