ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TS8 (HKS) รัก- ลืม -ร้าย หัวใจพ่ายเธอ

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : หอมหวาน

    • อัปเดตล่าสุด 11 มิ.ย. 55



    FRAME talk

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ชั้นละสายตาจากบัญชีของผับที่ต้องมาปิดก่อนเที่ยงของทุกวัน ชั้นหรี่ตาลงทันทีที่เห็นชื่อ “ฮัท” ปรากฏบนหน้าจอ ตอนแรกชั้นคิดว่าจะตัดสายทิ้ง แต่เมื่อลองคิดดูอีกทีก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้จะมาไม้ไหนอีก

    “ฮัลโหล” ชั้นพูดเสียงเรียบกรอกลงไปในโทรศัพท์

    “เฟรม...เฟรมเห็นซองเอกสารของพี่หล่นที่ผับบ้างมั้ย???” น้ำเสียงนั้นร้อนรนจริงจัง

    “ไม่เห็น” ทั้งที่ซองนั้นวางอยู่มุมโต๊ะแต่ชั้นก็เลือกที่จะโกหก คนแบบนี้ต้องโดนซะบ้าง!!!

    “จริงเหรอเฟรม” ฟังจากเสียงดูเหมือนพี่อัทจะไม่เชื่อนัก

    “แล้วชั้นจะโกหกทำไม” ที่ชั้นโกหกเพราะความสะใจส่วนตัว

    “เฟรม มันสำคัญกับพี่มากนะ อย่าแกล้งพี่แบบนี้เลย” การอ้อนวอนนั้นไม่ได้ทำให้ชั้นใจอ่อน ในทางกลับกันมันทำให้ชั้นหงุดหงิดใจมากขึ้น ตั้งแต่เราเลิกกันไปพี่ฮัทไม่เคยโทรมาหาชั้นสักครั้ง ไม่แม้แต่จะรับโทรศัพท์  ในสายตาเค้าชั้นมีค่าน้อยกว่าซองเอกสารบ้าๆนี่!!!

    “แค่นี้ใช่มั้ย???” ชั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะกดวางสายอย่างเจ็บใจ พอชั้นจะลืมพี่ได้ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเจอกัน ต้องได้ยินเสียงกัน... ตายจากกันยังจะเจ็บน้อยกว่านี้ ชั้นหยิบซองเอกสารที่พี่ฮัทตามหาขึ้นมา มันคืออะไรกันนะ ชั้นต่อสู้กับตัวเองว่าจะถือวิสาสะเปิดดูหรือไม่ แต่สุดท้ายด้านร้ายก็ชนะ ชั้นค่อยๆเปิดซองเอกสารนี่อย่างระมัดระวัง ในนั้นมีกระดาษสีขาวเรียบๆ เพียงแผ่นเดียว เมื่อคลี่ออกมาอ่านจนจบหัวใจชั้นแทบหยุดเต้น พี่ฮัทนี่มันเรื่องอะไรกันแน่... เกิดอะไรขึ้น ชั้นรีบหยิบมือถือกดไปที่เบอร์ที่ชั้นแน่ใจว่าสามารถไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ได้

    “พี่นัท...เฟรมอยากให้พี่นัทช่วยสืบคนๆหนึ่งให้หน่อยคะ เอาแบบละเอียดที่สุด และด่วนที่สุด” ชั้นพูดทันทีที่ได้ยินเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย

    “ใครกัน” พี่นัทถามกลับมาสั้นๆ ชั้นก้มลงไปอ่านชื่อนั้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

    “โสรญาค่ะ เด็กคนนี้ชื่อโสรญา”

    ในที่สุดชั้นก็รู้ความจริง พี่ฮัทพี่เก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวได้ยังไงกัน... ชั้นรีบขับรถไปที่คอนโดของพี่ฮัททันที ชั้นรอไม่ได้อีกแล้ว เมื่อถึงหน้าห้องชั้นกดกริ่งๆเรียกเจ้าของบ้าน รอไม่นานเจ้าของบ้านหนุ่มก็เปิดประตูออกมารับแขก

    “เฟรม” พี่ฮัทเรียกชื่อชั้นด้วยความประหลาดใจ ชั้นยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้พี่ฮัท

    “เฟรมเปิดมันแล้วใช่มั้ย???” พี่ฮัททำหน้าตกใจยิ่งขึ้น ชั้นพยักหน้าช้าๆ พี่ฮัทคว้ามือชั้นเข้าไปในห้องทันที

    “นี่มันเรื่องอะไรกันพี่ฮัท วันนี้เฟรมต้องรู้เรื่องทั้งหมด” ชั้นยื่นคำขาดกับอดีตคนรัก

     

    HUT talk

    ในที่สุดเฟรมก็รู้ว่า สมายล์เป็นน้องสาวต่างแม่ของผม เมื่อสองปีก่อนผมเป็นนักศึกษาปีสองในมหาวิทยาลัย โดยกลางคืนผมทำงานที่ผับของพี่ฮั่นเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของที่บ้าน ความจริงแล้วครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่ไม่ลำบาก เพราะพ่อไปค้ำประกันหนี้นอกระบบให้เพื่อน แต่สุดท้ายเพื่อนคนนั้นก็ทิ้งให้พ่อเป็นคนรับผิดชอบหนี้ก้อนโตส่วนนี้ จากนั้นชีวิตครอบครัวผมก็เริ่มลำบากจนถึงขีดสุด หลายครั้งที่พ่อกับแม่ต้องถูกขู่ทำร้ายจนพ่อตัดสินใจว่าจะใช้เงินก้อนสุดท้ายพาแม่และผมหนีไปตายเอาดาบหน้าที่ต่างประเทศ แต่พี่ฮั่นก็ยื่นมือมาช่วยผมรับเลี้ยงดูผมเหมือนน้องชายแท้ๆ ก่อนที่พ่อจะเดินทางพ่อได้บอกผมว่าความจริงพ่อมีลูกสาวอีกคนหนึ่งเพราะความไม่ตั้งใจ อยากให้ผมช่วยตามหาน้องให้เจอ.... ผมรับปากพ่อไว้ จากนั้นผมก็ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาช่วยงานที่ผับเต็มตัวโดยที่พี่ฮั่นไม่เห็นด้วย ผมเกือบลืมเรื่องน้องสาวไป และจนวันหนึ่ง...

    “พี่ฮัท...คนผับนู่นมารังควานแขกเราถึงที่เลยนะ” เด็กที่ร้านร้องบอกผม ผมจึงรีบไปเคลียร์เรื่องนี้ที่ผับนั่นทันที เมื่อผมเข้าไปถึงเสี่ยอิทธิพลก็ให้การต้อนรับอย่างดีเหลือเชื่อ

    “ในที่สุดเราก็ได้นั่งคุยกันซะที” เสี่ยอิทธิพลพูดอย่างสบายใจ

    “ผมจะมาบอกให้เสี่ยรู้ไว้ว่า ถ้ามีคราวหน้าอีกมันจะไม่ใช่แค่การนั่งคุยแน่” ผมตอบเสียงเข้ม

    “เออ...ชั้นชอบไอ่คนนี้จริงๆ” เสี่ยอิทธิพลหันไปพูดกับลูกน้อง ก่อนหัวเราะอย่างสะใจ

    “ตามหาน้องสาวไปถึงไหนแล้ว” อยู่ๆ เสี่ยอิทธิพลก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

    “เสี่ยรู้เรื่องนี้มาจากไหน” ผมถามเสียงแข็งเพราะนอกจากผมกับพ่อแล้วไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกเลย

    “ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าชั้นรู้ได้ยังไง แต่ที่ควรรู้คือ...เด็กนั่นอยู่ในมือชั้นแล้ว” เสี่ยยื่นหน้ามาพูด ใบหน้าเหี้ยมนั้นปราศจากรอยยิ้ม ผมจ้องตากลับอย่างไม่หวั่นเกรง

    “แล้วผมจะแน่ใจได้เหรอ? ว่าเสี่ยพูดความจริง” ผมถามกลับอย่างมีชั้นเชิง

    “ไม่มีทางรู้หรอกไอ่หนู... แต่ถ้าอยากลองดีแค่ชั้นสั่งคำเดียวเด็กนั่นก็จะถูกส่งไปชายแดน หน้าตาน่ารักๆ แบบนั้นคงทำเงินให้ชั้นไม่น้อย” เมื่อได้ยินคำพูดนั้นผมกำหมัดไว้แน่น ผมอยากเข้าไปรัวหมัดใส่ไอ่คนเลวคนนี้จริงๆ

    “เสี่ยจะเอายังไงกับผม” ผมกัดฟันถามอย่างเหลืออด เสี่ยอิทธิพลหัวเราะร่วนๆ

    “ทำงานให้ชั้น...แล้วน้องสาวแกจะปลอดภัย” เสี่ยอิทธิพลพูดอย่างเป็นต่อ และนั่นคือเหตุผลที่ผมต้องทิ้งทุกอย่างมา ทิ้งพี่ฮั่นคนที่มีพระคุณ ทิ้งพี่นัทพี่เอพี่บีที่รักกันราวกับพี่น้องท้องเดียวกัน และทิ้งคนสำคัญ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคนนี้...เฟรม

    เฟรมนิ่งเงียบหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของผม เฟรมเหม่อมองออกไปนอกระเบียงด้วยสีหน้าที่ผมมองไม่ออกว่ามีความคิดอะไรในใจของหญิงสาวคนนี้

    “ทำไมพี่ไม่บอกเฟรม” เฟรมพูดออกมาสำเนียงนั้นมีหลากหลายความรู้สึก แต่ที่ผมรู้สึกได้มากที่สุดคือความน้อยใจ

    “พี่ไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะเรื่องส่วนตัวของพี่” ผมตอบตามความรู้สึกของตัวเอง

    “ถ้าเฟรมไม่เจอผลตรวจดีเอ็นเอเฟรมก็ไม่มีวันที่จะได้รู้ใช่มั้ย?” เฟรมหันมาถามผมด้วยความโกรธ

    “พี่คิดว่าชีวิตนี้พี่พึ่งพาคนอื่นมามากแล้ว” ผมก้มหน้าพูดกับตัวเอง

    “อ่อ...ใช่สิ เฟรมกลายเป็นคนอื่นไปแล้ว แกงส้มต่างหากที่ควรจะอยู่เคียงข้างพี่ เฟรมลืมไปว่าไม่มีสิทธิ์อะไร ขอโทษนะที่ทำให้พี่ลำบากใจ” เฟรมน้ำตาคลอพูดกับผมด้วยความน้อยใจ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินออกไป ผมมองตามหลังร่างบางที่เปิดประตูออกไป อีกครั้งที่ผมต้องทำให้เธอร้องไห้... ในเมื่อเฟรมรู้ทุกอย่างทำไมผมต้องมาทุกข์เพราะการทำให้คนรักต้องเจ็บปวดเช่นนี้ด้วย ผมจึงรีบวิ่งไปเพื่อไปให้ทันหญิงสาวผู้กุมหัวใจของผม แต่ลิฟต์ก็ลงไปแล้ว ผมตัดสินใจวิ่งลงบันได้ ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน พี่จะไม่ปล่อยมือเฟรมไปอีกแล้ว พี่สูญเสียทุกอย่างมากแล้ว ขอสักครั้งที่ผมได้บอก คำว่า “รัก” ถึงแม้จะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม ผมรีบวิ่งไปดักหน้าลิฟต์ชั้นหนึ่งได้อย่างทันท่วงที ประตูลิฟต์ค่อยเปิด ร่างบางที่ร้องไห้เพียงลำพังเบิกตากว้าง

    “พี่ฮัท!!!” เฟรมเรียกชื่อผมด้วยความตกใจ ผมรีบแทรกตัวเข้าไปในลิฟท์ก่อนกดไปที่ชั้นของห้องผม

    “พี่ฮัททำอะไร” เฟรมมองหน้าผมถามอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ทำ

    “ทำตามใจตัวเอง” ผมตอบสั้นๆ ก่อนคว้าร่างบางนั้นมากอดด้วยความคิดถึง นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้ทำแบบนี้ รู้มั้ยว่าพี่ทรมานแค่ไหน ลมหายใจของพี่มีแต่เฟรมเท่านั้นที่เป็นเจ้าของมัน

    “ปล่อยเฟรมนะ....พี่ฮัทพี่มีแกงส้มอยู่แล้วทั้งคน”  เฟรมผลักผมออกแล้วต่อว่าผมทันที

    “พี่กับแกงส้มไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆ” ผมยืนกรานบอกความจริง

    “เฟรมไม่เชื่อ!!!” เฟรมขึ้นเสียงด้วยอารมณ์โกรธ เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟต์ถึงชั้นที่ผมต้องการพอดี ผมคว้ามือเล็กๆ นั้นกลับมาที่ห้อง ก่อนจะพาไปที่ห้องแกงส้มที่ร้างคนมาหลายวัน

    “นี่คือห้องของแกงส้ม รู้รึยังว่าพี่กับแกงส้มไม่ได้นอนด้วยกัน” ผมหันไปบอกกับเฟรม

    “แล้วทำไมพี่ไม่บอกเฟรมตั้งแต่แรก” ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำจะทำให้เฟรมอารมณ์เย็นลงแต่ผิดถนัดดูเหมือนเฟรมจะยิ่งเดือดดาลมากขึ้น กำปั้นเล็กๆ ทุบรัวที่หน้าอกของผม

    “พี่แค่อยากให้เฟรมลืมพี่... พี่คิดว่าให้เฟรมเข้าใจแบบนั้นมันจะง่ายกว่าสำหรับเฟรม” ผมพยายามอธิบาย มือก็รวบแขนเล็กไว้ทั้งสองข้าง ก่อนจะกอดร่างบางนั้นจากด้านหลัง

    “เฟรมลืมพี่ไม่ได้ มันทำให้เฟรมเจ็บ พี่รู้มั้ย??? พี่ใจร้ายที่สุด เฟรมไม่อยากคุยกับพี่แล้ว” เฟรมร้องไห้ทั้งสะบัดตัวเพื่อพยายามจะหลุดจากอ้อมแขนของผม พี่จะไม่มีวันปล่อยเฟรมไปอีกแล้ว

    “เฟรมนิ่งก่อนนะ” ผมก้มลงกระซิบข้างหู ร่างเล็กน้อยค่อยๆนิ่งลง ผมเห็นว่าเฟรมนิ่งแล้วผมดึงจับมือนุ่มนั้นไว้ทั้งสองข้าง ก่อนคุกเข่าตรงหน้า...

    “เฟรมพี่รักเฟรมนะ รักยิ่งกว่าใครบนโลกนี้ พี่สัญญาต่อจากนี้ไปพี่จะไม่มีวันหันหลังให้เฟรมอีก ไม่ใช่เพราะมันจะทำให้เฟรมเสียใจหรอกนะ แต่การทิ้งเฟรมไว้ครั้งนี้มันทำให้พี่รู้ว่าการอยู่แบบไร้หัวใจมันเป็นยังไง ทุกครั้งที่หายใจมันเจ็บปวดแค่ไหน พี่ไม่อยากทำร้ายหัวใจตัวเองอีก ให้โอกาสพี่สักครั้งนะ” คำพูดทุกคำนั้นมาจากใจ มันไม่ใช่เพียงคำพูดที่พูดไป แต่มันคือความรู้สึกทั้งหมดจากหัวใจของผม เฟรมยืนนิ่งก้มมองหน้าผมทั้งน้ำตา ก่อนจะย่อตัวลงมานั่งเสมอผม รอยยิ้มทั้งน้ำตานั้นมาจากความตื้นตันใจ

    “เฟรมรักพี่นะ และจะรักตลอดไป” คำพูดแค่สั้นๆ ก็ทำให้คนที่เหนื่อยล้าจากโลกที่โหดร้ายมีแรงสู้ต่อ ผมเช็ดน้ำตาด้วยมือทั้งสองข้างประคองใบหน้าขาวใสนั้น ก่อนค่อยๆบรรจงประทับความรักที่เก็บไว้ตลอดฝากไว้ที่ริมฝีบากงามนั้น แม้มันจะเป็นจูบที่อ่อนแรง หากแต่ความหวานของมันปลุกใจที่ด้านชาของผมให้ผลิดอกงามสะพรั่งอีกครั้งด้วยมือของเฟรม....หญิงสาวผู้เป็นลมหายใจของผม

    HUNZ talk

    วันนี้เป็นวันที่แกงส้มได้ฤกษ์ออกจากโรงพยาบาล แต่ผมก็ขอร้องแกมบังคับให้หมอตรวจแกงส้มอย่างละเอียดอีก กว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว ผมจึงพาทุกคนไปทานขาวเย็นที่ร้านอาหารดังของจังหวัด

    “เป็นไงอร่อยมั้ย???” ผมหันไปถามหลังจากที่ขึ้นมาบนรถตู้คันใหญ่ระหว่างทางกลับไร่

    “อร่อยมากเลย” แกงส้มตอบอย่างกระตือรือร้น ผมยิ้มอย่างภูมิใจ

    “ก็แน่ละสิ ชั้นอุตส่าห์เปิดหาในเนตทั้งคืนเลย” ผมบอกแกงส้มด้วยรอยยิ้ม

    “นึกว่าพี่คุ้นกับร้านอาหารในจังหวัดนนี้ดีซะอีก” แกงส้มถามอย่างแปลกใจ เอาแล้วไง...งานงอกแล้วไง ไม่น่าหลุดปากพูดมากไปเลยเชียว ผมนั่งหาคำแก้ตัวโดยแกล้งเป็นไอกลบเกลื่อน

    “ชั้นมันพวกลิ้นจระเข้กินอะไรไม่ค่อยรู้รสหรอก กลัวว่านายจะไม่ชอบ” ผมคิดว่ามันเป็นข้อแก้ตัวที่โอเคมากๆ ในความคิดผม แต่คิ้วที่ขมวดเข้าหากันยิ่งขึ้นของแกงส้มมันฟ้องว่าผมกำลังคิดผิด

    “นึกว่าพี่รู้ใจผมซะอีก” แกงส้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆลง เอาอีกแล้วระลอกสอง....เวรกรรมจริงๆ

    “ก็นายความจำเสื่อม ชั้นก็คิดว่านายคงไม่ชอบอาหารเดิมๆ” ผมแถไปเรื่อยแล้วครับ ไม่คงไม่คิดมันแล้ว เอาคำตอบแบบกำปั้นทุบดินแบบนี้แหละ

    “อ่อ...จริงด้วย” แกงส้มพยักหน้าเห็นด้วยอย่างง่ายดาย ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

    “พี่ฮั่น...ผมมีอะไรจะถาม” แกงส้มเรียกผมอีกครั้ง เอาอีกแล้ว....จะรอดมั้ยว่ะเรา!!!

    “มีอะไรเหรอ???” ผมหันไปตอบด้วยหน้าตาที่คิดว่าแช่มชื่นที่สุด

    “เราสองคนกำลังจะเลิกกันเหรอครับ” แกงส้มมองหน้าผมสักพักแล้วค่อยพูดออกมา

    “จะบ้าเหรอเอามาจากไหน” ผมนึกถึงไอ่ตัวร้ายสองตัวที่ด้านหน้ารถ อย่าให้รู้นะว่าเป็นแกสองคน

    “ก็สรรพนามที่พี่ใช้กับผมมันห่างเหินกันเกินสำหรับคู่รัก...พี่ไม่ต้องสงสารผมก็ได้นะ ยังไงผมก็จำอะไรไม่ได้ ถ้าพี่ฮั่นอยากจะทิ้งผมก็ไม่ต้องเห็นใจผมหรอก” แกงส้มพูดกับผมด้วยความจริงใจ ทำไมการโกหกมันยากลำบากแบบนี้นะ แล้วแกงส้มก็อีกคน...ช่างสงสัยเหลือเกิน ผมชักห่วงแผนของตัวเองขึ้นมาแล้วมันจะรอดมั้ยเนี่ย???

    “งั้นต่อไปนี้พี่จะไม่ทำให้แกงส้มรู้สึกแบบนั้นอีก” ผมพูดโดยหลีกเลี่ยงคำถามและดูเหมือนจะเป็นที่พอใจของเจ้าของคำถามเพราะมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏอย่างเขินขาย บางทีนายก็ทำตัวน่ารักเกินไปนะ....

    เมื่อถึงที่ไร่ผมลงจากรถก่อนและไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงได้ยื่นมือไปหาร่างสูงโปร่งนั้น แกงส้มมองมือผมเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนจะส่งมือนั้นมาประทับบนฝ่ามือของผม

    “ไอ่เอ...แกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเราสองคนพี่ฮั่นจะทำแบบนี้มั้ย?” ผมได้ยินเสียงจากลูกน้องคนสนิท

    “ถ้าจะให้พี่ฮั่นทำแบบนี้กับเรานะ โดดน้ำไม่พอแกต้องกระโดดตึกสิบชั้น” เสียงไอ่เอดังตอบขึ้น ผมหันไปมองหน้าลูกน้องปากมากด้วยสายตาอำมหิต ทำเอาสองแฝดแยกย้ายกันแทบไม่ทัน

    “อ้าว...พี่เอกับพี่บีไม่นอนที่บ้านหลังนี้เหรอครับ” แกงส้มถามเอเห็นสองแฝดเดินกลับบ้านพัก

    “ไม่...บ้านหลังนี้มีแค่เราสองคน” ผมตอบสั้นๆ แต่คนฟังกลับหน้าแดงขึ้นมาทันที

    “ขึ้นบ้านกัน...” ผมจึงชวนแกงส้มขึ้นบ้าน ผมเดินอาดๆด้วยความเหนื่อยล้ามาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของผมหันหลังกลับไปพบว่าแกงส้มมองผมด้วยสายตาบ๊องแบ๊ว

    “มีอะไรทำไมไม่ไปที่ห้อง” ผมถามอย่างสงสัย แกงส้มเอียงคอทำหน้าประหลาดใจเป็นรอบที่ล้านแปดของวันนี้

    “เราไม่ได้นอนห้องเดียวกันเหรอครับ” อ๊ากกกกกก!!! คำถามซื่อๆนั้นทำเอาผมแทบคลั่งแกงส้มนายเล่นอะไรกับชั้น...นายรู้ตัวมั้ย???? สายตาไร้เดียงสาที่ช้อนมองผมทำเอาผมหัวใจจะวาย ผมพยายามรวบรวมจิตใจที่กระเจิดกระเจิงเพราะคำพูดน่ารักนั้น

    “พี่ไม่อยากให้ฝืนใจ พี่รู้ว่าแกงส้มยังจำอะไรไม่ได้” ผมโกหกมาตลอดทั้งวันและนี่คือความจริงประโยคแรกที่ผมพูดออกมาจากใจ ผมร้ายแต่ผมไม่อยากเลวไปกว่านี้ ทุกอย่างผมกำหนดมันได้... แต่เรื่องนี้ถ้าแกงส้มไม่ยินยอมด้วยใจจริงๆแล้ว ผมก็ไม่อาจจะล่วงล้ำก้าวข้ามเส้นนั้นไป แกงส้มยิ้มกว้างให้ผม

    “ขอบคุณนะพี่ฮั่นที่พี่คิดถึงความรู้สึกของผม” ถึงแม้มันจะเป็นคำพูดดี แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บกับคำพูดนี้เหลือเกิน ผมรู้ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ถูกต้องแต่บางทีมันอาจจะทำให้ทุกๆอย่างในชีวิตผมเปลี่ยนไป....

     

    ตอนนี้ผมกำลังยืนจดๆจ้องๆกับจักรยานที่จอดที่โรงรถ ผมจำทุกอย่างได้ยกเว้น...เรื่องของตัวเองทั้งหมด ผมจำได้ว่าผมต้องใช้เครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างอย่างไร ผมรู้วิธีการทำอาหาร แต่ที่ผมไม่รู้คือ....ผมเป็นใคร ดังนั้นการที่ผมได้ออกไปสำรวจรอบๆไร่อาจจะทำให้ความทรงจำของผมกลับมา ผมถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปทางเส้นหลังไร่เพียงเท่านั้น ผมจึงตัดสินใจจูงจักรยานออกมาปั่นตามเส้นทางที่ราบเตียนเป็นถนนทอดยาว ผมแวะชิมองุ่นตามทางไปเรื่อยๆ ปั่นจนไปถึงเนินที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่าสีเหลืองต้นเล็กๆ ทำให้มองคล้ายๆ พรมสีสวยปกคลุมโดยรอบ มีต้นไม้ยืนต้นขึ้นห่างๆกันแต่ก็ทำให้ร่มรื่นไม่น้อย ผมจอดรถจักรยานเพื่อไปนั่งพักมองทิวทัศน์ที่สวยงามนั้น มีเสียงลูกนกน้อยดังอยู่ใกล้ๆ ผมมองหาจนพบว่าลูกนกน้อยขยับตัวอย่างอ่อนเปลี้ยอยู่บนพื้น ผมเงยหน้ามองบนต้นไม้พบรังนกอยู่สูงพอสมควร

    “ตกมาได้ไงเนี่ย” ผมพูดกับลูกนกตัวน้อย ยังไงก็ต้องเอากลับขึ้นไปคืนรังให้ได้ ผมจึงประคองลูกน้อยมือเดียว ก่อนจะค่อยๆปีนต้นไม้อย่างระมัดระวัง ผมไต่ไปได้ไม่กี่กิ่ง ก็เห็นพี่ฮั่นปั่นจักรยานตามผมมา

    “พี่ฮั่นนนนนนน!!!” ผมร้องเรียกแต่ไม่อาจโบกมือให้ได้ เพราะมือหนึ่งถือลูกนกไว้ ส่วนอีกมือต้องจับต้นไม้ไว้กันตาย ขืนพลาดนิดเดียวนะ แกงส้มเอ๊ยยยยย!!! เดี้ยงทั้งคนเดี้ยงทั้งนกแน่ๆ งานนี้

    “แกงส้มขึ้นไปทำไมบนนั้น” พี่ฮั่นร้องถามทันทีที่ได้ยินเสียงผม ก่อนจอดรถจักรยานที่ใต้ต้นไม้

    “นกมันตกลงมาพี่ฮั่น ผมกำลังจะเอามันกลับรัง” ผมตอบเสียงดัง

    “ลงมานี่เลยทั้งคนทั้งนก” พี่ฮั่นสั่งเสียงกร้าว อะไรกัน...คนเค้าจะทำความดีแท้ๆ ทำไมต้องมาทำเสียงแบบนี้ด้วยนะ แต่ผมก็ไต่ลงมาตามคำสั่ง

    “ซนไม่เข้าท่า” พี่อั่นพูดทันทีที่เท้าผมสัมผัสพื้น

    “ใช่...ดูสิตกลงมาได้” ผมก้มลงไปบ่นให้ลูกนกที่อยู่ในมือทันที

    “พี่หมายถึงเราต่างหากแกงส้ม” พี่ฮั่นพูดเสียงแข็ง อ้าว!!! ...... นี่ผมผิดอะไรเนี่ย ทำดีนะคร้าบบบบบบ... ทำไมพี่ฮั่นต้องมาว่าผมด้วย ผมมองหน้าพี่ฮั่นอย่างข้องใจ

    “รู้มั้ย...ว่าถ้าเราจับลูกนกแล้วกลิ่นเราจะติดตัวมัน แม่ก็จะย้ายรังโดยที่ทิ้งมันไว้” พี่ฮั่นอธิบาย

    “งั้นแม่นกก็ใจร้ายนะสิทิ้งลูกได้ลงคอ” ผมเงยหน้ามองหาแม่นก หึ...ถ้าเจอนะจะจับมานั่งเทศน์ยาวๆ มีที่ไหนทิ้งลูกง่ายๆ แบบนี้ แม่นกไม่มีจรรยาบรรณ!!!

    “อย่าไปว่ามันเลยมันเป็นธรรมชาติของมัน ตอนเด็กนี่ไม่ช่างสังเกตเลยนะ” พี่ฮั่นพูดแทงใจดำผม

    “พี่ฮั่นผมความจำเสื่อมนะ” ผมเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง พี่ฮั่นหัวเราะออกมา

    “พี่ขอโทษ พี่ลืมไป” พี่ฮั่นพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ผมชักหมั่นไส้พี่ฮั่นขึ้นมาแล้วละสิ!!!

    “แล้วจะทำยังไง” ผมถามพร้อมยกลูกนกมาให้พี่ฮั่นดู

    “ก็ปล่อยมันไว้ข้างล่างนี่แหละ” พี่ฮั่นตอบง่ายๆ

    “มันก็ตายน่ะสิ” มันพูดเสียงดัง พี่ฮั่นก้มมองลูกนกในมือผมอย่างลำบากใจ

    “มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ทุกสิ่งก็ต้องเป็นไปตามวังวนของมัน” ในที่สุดพี่ฮั่นก็พูดขึ้นมา อะไรกัน!!!....ลูกนกตัวแค่นี้เนี่ยนะจะปล่อยเอาไว้ที่นี่ พี่ฮั่นใจร้ายมิใช่น้อยเลยนะ

    “ตามใจจะทิ้งจะขว้างมันยังก็เชิญ ให้มันสังเวยกฎของธรรมชาติไปเลยละกัน” ผมวางลูกนกไว้ที่พื้น ก่อนที่จะปั่นจักรยานออกไปด้วยความโมโห

    ผมเก็บตัวอยู่ในห้องตั้งแต่ที่วีนใส่พี่ฮั่น...ผู้เข้าใจสัจธรรมของโลก มันน่าโมโหนักคนอะไรไม่มีความเมตตาปรานีเลย เรารักคนแบบนี้จริงๆเหรอเนี่ย แกงส้ม...เมื่อก่อนนายเป็นคนประเภทไหนกันแน่!!!

    “แกงส้มทานข้าวได้แล้ว” เสียงคนใดหนึ่งคนหนึ่งในสองแฝดเรียกผม ผมเดินออกไปที่ห้องทันที

    “มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย??? ขอโทษนะที่ผมไม่ได้มาช่วยทำอาหาร” ผมพูดขึ้นมาเมื่อเห็นอาหารวางอยุ่เต็มโต๊ะแล้ว

    “ไปเรียกพี่ฮั่นมาทานข้าวละกัน ทำอะไรไม่รู้อยู่ที่โต๊ะข้างบันไดหลังบ้านตั้งแต่เย็น” ใครสักคนนี่แหละบอกผมให้ไปเรียกคนใจร้ายนั่น แต่ไอ่เราจะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ส่วนร่วมกับอาหารมื้อนี้เลย ผมจึงเดินช้าๆเพื่อประวิงเวลาไปถึงจุดหมาย

    “แกจะกินอะไรเนี่ย???” เสียงพี่ฮั่นคุยกับใครกัน มองเดินไปด้วยฝีเท้าเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เห็นมีใครเลย พี่ฮั่นก็นั่งอยู่คนเดียวนี่น่า หรือว่า..พี่ฮั่นจะเป็นคนจำพวกคุยกับ...ผีได้ ไม่เอานะ...ผมกลัว!!!

    “หนอนก็ไม่กิน ผลไม้ก็ไม่กิน” ผมค่อยเดินไปใกล้ๆอย่างเงียบเชียบโดยหลบหลังพุ่มไม้ พี่ฮั่นกำลังพูดกับสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือ นั่นมัน...ลูกนกนิ หรือว่าพี่ฮั่นเก็บมันมาเลี้ยง

    “ที่แท้แกก็กินแมลงนี่เองเจ้าลูกนก” เหมือนพี่ฮั่นจะค้นพบอาหารของลูกนกตัวนั้นแล้ว

    “ว่าแต่ว่าแกจะชื่ออะไรดีนะ....เฮ็ดวิก ชื่อเฮ็ดวิกแล้วกัน มันดังมากเลยนะ” พี่ฮั่นเริ่มเข้าสู่กระบวนการตั้งชื่อ ผมอดยิ้มไม่ได้กับท่าทางห่ามๆที่คุยกับนกอย่างแมนได้น่าเอ็นดูที่สุด

    “ผมว่ามันไม่ดีนะ” ผมจึงตัดสินใจเดินออกไปร่วมวงสนทนา พี่ฮั่นยิ้มน้อยให้ผม

    “ทำไมถึงไม่ดีละ” พี่ฮั่นมองหน้าผมรอฟังเหตุผล

    “ผมว่ามันต้องชื่อบุญหลง เพราะมันหลงกับแม่มัน” ผมให้เหตุผลกับพี่ฮั่น พี่ฮั่นหัวเราะออกมา

    “บุญหลงนี่นะ” พี่ฮั่นลุกขึ้นมายื่นเจ้าลูกนกให้ผม ผมรับมันมาอย่างนุ่มนวล

    “ทำไมละ...บุญหลงไม่ดีตรงไหน” ผมหันไปถามร่างสูงที่กำลังขำเสียเต็มประดา พี่ฮั่นเอามือทั้งสองข้างกุมมือผมไว้เพราะรู้ว่าผมไม่กล้าปล่อยเพราะมีเจ้าบุญหลง (ผมถือว่ามันชื่อบุญหลงแล้ว) อยู่ในมือ

    “ดี...ถ้าเป็นแกงส้มตั้งอะไรก็ดีหมดแหละ” รอยยิ้มที่ใบหน้านั้นหายไป เหลือเพียงสายตาที่แรงกล้าทำเอาผมหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

    “บุญหลงมันหนาว เราต้องช่วยให้ความอบอุ่น” พี่ฮั่นกระชับฝ่ามือแน่นขึ้นเพื่อไม่ให้ผมชักมือกลับ

    “ผมว่ามันคงร้อนแล้วแหละ” ผมหลุบตาต่ำเพื่อหนีจากสายตาทรงพลังนั้น พี่ฮั่นยื่นหน้ามาใกล้ผมค่อยๆ เคลื่อนใบหน้านั้นมาใกล้ขึ้นทุกทีๆ ผมหลับตาก่อนที่จะใบหน้างามนั้นจะทำให้หัวใจผมละลาย ผมรู้สึกถึงริมฝีปากร้อนประทับลงบนริมฝีปากผม มันทำให้ผมรู้สึกเบาโหวงในช่องท้องคล้ายตัวเองจะล่องลอยไปตามรสจูบนั้น พี่ฮั่นขบริมฝีปากผมเบาๆก่อนจะล่วงล้ำให้กลายเป็นจูบที่ลึกซึ้งกว่าเดิม อารมณ์จูบนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมหายใจถี่ได้กลิ่นลมหายใจที่เร้าร้อนของพี่ฮั่น แต่....พี่ฮั่นก็ถอนริมฝีปากไปจากผมดื้อๆ

    “พี่กลัวเจ้าบุญหลงจะถูกบีบตายเอา” พี่ฮั่นพูดด้วยสีหน้ากรุ่มกริ่ม ผมวางเจ้าบุญหลงบนรังที่สร้างขึ้นในกรง พี่ฮั่น...นี่คือจูบแรกของความทรงจำใหม่ของผม มันเป็นสิ่งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกเคลิบเคลิ้มล่องลอย ผมเพิ่งรู้ตัวเองว่าไม่อาจทัดทานทุกห้วงการสัมผัสของชายหนุ่มรูปงามคนนี้ได้ ความรู้สึกแบบนี้รึเปล่านะ...ที่เค้าเรียกกันว่า “ความรัก”

     

    ปล. นี่คือตอนที่ยาวที่สุดที่เคยเขียนมา ตอนแรกว่าจะตั้งใจว่าพาร์ทนี้จะเขียนน้อยกว่านี้ แต่มันเพลินมากในการเขียนเลยใส่ไม่ยั้งเลย  เอาซะจนปวดหลังเลย.... 5555

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×