คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6 : แค่หนึ่งคืน
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องนั่งรอชะเง้อจนคอยืดคอยาวด้วยนะ... ผมนั่งมองซีดีกับรายชื่อเพลงที่ตั้งใจทำมาตั้งแต่เช้า หรือว่าวันนี้มันจะฤกษ์ไม่ดีสำหรับผม....ก็แค่เลือกเพลงทำไมมันถึงมีอุปสรรคมากมายแบบนี้ เสียงพูดคุยเบาๆของชายหนุ่มสองคนทำให้ผมขยับร่างนิดหน่อยให้ไม่เห็นเป็นพิรุธ
“กลับแล้วนะครับ...” คุณกันหันมาบอกผมก่อนจะแย้มยิ้มให้ ผมพยักหน้ารับเล็กน้อยๆพร้อมส่งยิ้มกลับ นายผีดิบเดินตามไปส่งถึงหน้าบ้านพูดคุยกันสองสามคำก่อนจะเดินกลับเข้ามา
“นี่...มาเลือกเพลงได้แล้ว” ผมร้องเรียกร่างสูงที่ทำท่าเหมือนจะเดินผ่าน
“ขอโทษนะ...ชั้นไม่ว่าง” น้ำเสียงเย็นชามากับท่าทางเคร่งขรึม เค้าเป็นอะไรไปเนี่ย???
“แล้วเมื่อไหร่จะได้เลือกเพลงนะ” ผมก้าวอาดไปหาร่างนั้น พร้อมเอาด้วยความเหลืออด
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น...” นายผีดิบตอบโดยไม่มองหน้า ผมสะบัดหน้าอย่างโมโห... ทำเหมือนผมทำอะไรผิดนั่นแหละ อยู่ๆก็กลับมาบึ้งตึงกับผมซะอย่างนั้น เหมือนว่าบรรยากาศมันยังน่าอึดอัดไม่พอเมื่อสายตาผมเหลือบไปเห็นร่างบางของเจนจิราเยื้องย่างลงมาจากบันได
“ฮั่นค่ะ...คืนนี้คุณหนูต้องไปค้างบ้านคุณหญิงป้าใช่มั้ยคะ???” น้ำเสียงหวานแต่สายตากลับตวัดมาที่ผม นี่ก็อีกคน...ฝนตกฟ้าร้อง หล่อนพร้อมจะโทษผมไปซะทุกอย่าง!!!
“ใช่...แต่ผมจะไปเอง คุณอยู่ที่นี่แหละ---ขอตัวนะ” ท้ายประโยคคงพูดกับผมก่อนเดินเลี่ยงไปทางห้องนอนส่วนตัวของเค้า เจนจิรามองตามร่างสูงอย่างงุนงง ผมเองก็เดินไปที่เปียโนอย่างน้อยก็เพื่อเลี่ยงการพูดคุยกับเจนจิรา
“เดี๋ยว....เมื่อกี้คุยอะไร” เจนจิราเรียกผมไว้ ผมหายใจออกแรงก่อนจะหันไปหาร่างสวยนั้น
“ไม่มีอะไร...ก็เรื่องทั่วๆไปครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามไม่ให้ความไม่ชอบใจหลุดรอดออกไป เจนจิราหรี่ตามองหน้าผมอย่างพินิจพิเคราะห์
“อ่อ...ดีค่ะ มันควรจะเป็นอย่างนั้น” เจนจิราพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด รอยยิ้มนั้นดูมีหลากหลายความหมาย ซึ่งมันทำให้ผมรู้หวั่นใจอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะมองร่างบางหันเดินกลับไป ความหงุดหงิดใจที่เกิดขึ้นมาผมแยกแยะไม่ออกว่าเกิดจากคำพูดหวานอาบน้ำพิษของเจนจิราหรือเพราะความเย็นชาของชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นกันแน่
เมื่อนายผีดิบออกจากบ้านไป ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ผมเลือกที่จะเดินขึ้นมาบนห้องแล้วนั่งฟังเพลงทำอะไรเรื่อยเปื่อยไปตามเรื่อง จนถึงเวลาอาหารเย็น ผมตัดสินใจเดินลงไปที่ห้องครัวอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้รับการต้อนรับจากแม่ครัวแต่อย่างน้อยก็อยากจะให้ป้านวลได้รู้ว่า ผมเต็มที่ใจที่ช่วยเหลืองานทุกอย่าง ไม่ได้จะมานั่งๆนอนๆแล้วรับเงินเดือน
“โอ๊ยยยย...นี่มันยังน้อยไปนะแก คิดดูสิเพิ่งสิบห้าหยกๆ สิบหกหย่อนๆ หวงผู้ชายยังกะจงอางหวงไข่---ใช่สิย่ะ----นี่ถ้าไม่ใช่ลูกหนูไฮโซนะ ป่านนี้ใจแตกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” เสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันน่ารังเกียจตามมา ผมไม่ต้องชะเง้อมองก็รู้ว่าเป็นเพลิน สาวใช้คู่ใจของเจนจิรา
“ยัยคุณหนูนี่นะ วันๆไม่ทำอะไรหรอก วิ่งตามคุณฮั่นซะ...ผู้ชายนี่ก็กระไร ยอมให้เด็กเมื่อวานซืนทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อย่างว่าแหละเงินทองเป็นพันล้านหมื่นล้าน... ให้เลียแข้งเลียขาก็ยอมหมด” ผมฟังถ้อยคำหยาบคายจาบจ้วง นั้นแล้วไฟอารมณ์โหมขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“คนเราแบบนี้แหละแก มีแค่เงิน สันดายเสีย----”
“แต่คนดีๆ เค้าก็ไม่ว่าคนที่ให้ที่ซุกหัวนอนเสียๆหายๆแบบนี้หรอกนะ” ผมโพล่งพร้อมเดินก้าวเข้าไปในหัวครัว เพลินใบหน้าซีดเผือดทันที ก่อนจะกดวางสายไปเสียเฉยๆ
“ครูแกง---”
“ในเมื่อรู้ว่าสิ่งที่เจ้านายทำมันไม่ดี แล้วส่งเสริมกันไปทำไม เพื่อเอามาว่าลับหลังแบบนี้รึไงกัน!!!”
“คือ....เพลิน” เพลินก้มหน้าพยายามจะแก้ตัว แต่ผมไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น มันเลวร้ายกว่าที่ผมคาดไว้มาก คนเรามองหาแต่ผลประโยชน์จากอีกฝ่าย ตักตวงด้วยการใส่หน้ากากเข้าหา แล้วมาว่าลับหลัง... ผมรังเกียจการกระทำแบบนี้ที่สุด!!!
“มีเรื่องอะไรกัน...” เสียงหวานเฉียบดังมาจากด้านหลัง ใบหน้าเพลินมีประกายความดีใจจนปิดไว้ไม่มิด
“ครูแกงค่ะ...อยู่ๆครูแกงมาว่าเพลินสาดเสียเทเสีย” เพลินปรี่เข้าไปหลบหลังเจนจิราโดยพลัน ผมหันไปปะทะสายตากับเจนจิราอย่างไม่หวาดหวั่น
“เพลิน...หล่อนมันก็แค่คนใช้ จะมีอะไรไปสู้คุณครูเค้าล่ะ นี่เพิ่งมายังไม่ถึงอาทิตย์นะ...นานๆไปหล่อนอาจจะต้อหมอบต้องคลานเข้าหาก็ได้ รีบๆทำใจให้ชิน” วาจาเย็นยะเยือกเสียดแทงเข้าหัวใจผม ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองให้อยู่
“ผมขอตัว....” ผมพูดสั้นๆ มันคงจะดีกว่าถ้าหลีกเลี่ยงการปะทะ ประโยคก่อนหน้านี่ของเจนจิราเป็นเหมือนคำเตือนที่บอกผมว่าอย่างไปยุ่งกับคนของเธอ... ผมยอมรับว่าตัวเองอารมณ์ร้อนไปจริงๆ แต่ผมไม่คิดว่าคนเราอยู่ใต้ชายคาบ้านเค้ายังมีหน้าพูดจาแบบนั้นอีก ผมเกลียดการเนรคุณ... ผมเกลียดคนไม่จริงใจ!!!
“ชั้นขอเตือนไว้อย่างนะ...ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่นี่ด้วยฐานะอะไร คุณไม่สิทธิ์จะพูดจาว่าร้ายคนอื่นแบบนี้โดยเฉพาะคนที่เค้ามาอยู่ก่อน” เมื่อก้าวได้สองก้าว เจนจิราก็ประกาศกร้าวขึ้นมา
“ผมก็อยากบอกอะไรเหมือนกัน.... ว่าผมไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านสักเท่าไหร่หรอกนะ แต่คนที่ทำต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง...มันเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ มันไม่ใช่สิ่งที่คนดีๆเค้าทำกัน ผมว่าคุณเจนคงจะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร!!!” ผมหันไปพูดจาท้าทายโต้ตอบ ผมจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างกับคนแบบนี้เด็ดขาด ถึงผมจะไม่ชอบเอาตัวเองไปบ้องเกี่ยวกับเรื่องราวของคนอื่นแต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ในเมื่อการอยู่นิ่งๆก็ต้องถูกข่มเหง สู้ประกาศสงครามสู้กันมันจะๆแบบนี้ยังจะดีซะกว่า...
บนโต๊ะอาหารเย็นที่มีเพียงผมและเจนจิราเงียบเชียบ สงครามเย็นก่อตัวอย่างช้าๆ แววตาแข็งกระด้างของเจนจิราปะทะกับสายตาแข็งกร้าวของผมเป็นเนืองๆ มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบจานเป็นสิ่งที่ทำให้ผมคลายความอึดอัดใจไปบ้าง เมื่อทานเสร็จ ผมยกจานชามทุกอย่างไปเก็บที่ห้องครัวเอง เพลินยังไม่กล้ามองผมเต็มตานักแต่คงไม่ใช่เพราะคิดตามกับสิ่งที่ผมพูดแน่ๆ ผมเชื่ออย่างนั้น
“ทำไมไม่ให้นังเพลินเก็บสำรับ” น้ำเสียงเรียบหากแต่อ่อนโยนลงของป้านวลทักขึ้นมาทันทีที่มองเห็นจานชามในมือผม ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไม่ตอบอะไรออกไป เมื่อวางจานลงไปที่อ่างก็หันกลับมามองป้านวลที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะคนเดียว
“ผมล้างจานให้นะครับ...” ผมบอกสั้นๆแล้วหันกลับมาโดยไม่รอฟังคำตอบ
“ไม่ต้อง-----” แต่ไม่ทันป้านวลจะพูดจบ เสียงฝีเท้าก็ดังเข้ามาใกล้ เพลินเดินเข้ามาในห้องครัวขัดจังหวะ
“ป้าพรุ่งนี้คุณหนูอยากรับประทานข้าวต้มปูหลังจากกลับมาจากบ้านคุณหญิงป้า” เพลินพูดลอยหน้าสั่งผู้อาวุโสกว่า ทำให้ผมชักไม่ชอบหน้าคนๆนี้มากขึ้นไปอีก
“แต่ปูไม่มีนี่หว่า....คุณหนูสั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติต้องบอกเร็วกว่านี้” ป้านวลถามพร้อมชักสีหน้าไม่พอใจนิดๆ
“อันนี้มันปัญหาของป้าแล้วแหละ...”
“ฝนก็ทำท่าจะตกแบบนี้...จะให้ป้านวลออกไปซื้อรึไง” ผมถามออกไปอย่างขุ่นเคือง
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้น...ความจริงแล้วมันก็เป็นความรับผิดชอบของป้านวล อาหารทุกอย่างต้องพร้อมไว้อยู่แล้ว” เจนจิราโผล่ออกมาช่วยคนสนิททันจังหวะ ป้านวลวางช้อนส้อมเสียงดังทำประชดก่อนจะเดินอาดๆหยิบกระเป๋าเงิน
“ป้า...” ผมร้องเรียกอย่างจนใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องยอมเจนจิราคนนี้อยู่เรื่อยเลยนะ
“ผมจะไปซื้อให้เองครับ” ผมอาสาในที่สุด เจนจิราเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ความพ่ายแพ้ตรงดิ่งเข้ามาหาผม... หรือว่าผมจะอ่อนหัดกับสงครามแบบนี้กันเนี่ย????
และแล้วผมก็กลับเข้ามาพร้อมปูหลากหลายสายพันธุ์ ก่อนจะออกไปผมก็ต้องสู้รบปรบมือกับป้านวลตั้งนาน แต่นั่น...มันคือสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับป้านวลเริ่มดีขึ้น หลังจากผมประกาศตัวกับเจนจิราอย่างชัดเจน ถึงกระนั้นผมก็ยังเป็นคนที่โชคร้ายอยู่ดี เมื่อฝนที่ตกกระหน่ำลงมานั้น ช่างไร้ความปราณีเสียนี่กระไร ผมตัวเปียกปอนไปทั้งตัวและหนาวสั่นจากอากาศที่เย็นเฉียบของยามค่ำคืน ผมเดินห่อตัวเข้ามาในตัวบ้าน มือเย็นเฉียบเพราะน้ำแข็งที่อยู่กับตัวปู ผมเอื้อมมือไปบิดลูกบิดทางเข้าหน้าบ้าน แต่ปรากฏว่าล็อค... บอกตรงๆว่าผมรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ผมเดินอ้อมมาทางหลังบ้านก็พบว่าล็อคเช่นเดียวกัน ลมแรงที่หอบความหนาวเหน็บกระแทกร่างผมระลอกแล้วระลอกเล่า ผมรู้สึกหนาวๆร้อนๆ ด้วยความที่ป่วยง่ายมาตั้งแต่เด็ก... การกร่ำฝนฝ่ากระแสลมหนาว มันทำให้ผมอ่อนแรงได้ไม่ยากนัก ยิ่งพื้นบ้านทั้งหลังเป็นหินอ่อนที่เย็นเฉียบ ผมได้แต่ทรุดตัวนั่งกอดตัวเองที่มุมเสาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ตัวเองได้มากที่สุด ผมเจ็บใจตัวเองยิ่งนักที่ไม่เอะใจขอกุญแจบ้านจากเจนจิรา แถมยังไม่หยิบมือถือมาอีก...แต่ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะกล้าทำกับผมขนาดนี้.... ความคิดแวบแรกที่รู้ว่าตัวเองต้องติดอยู่ด้านนอกตลอดทั้งคืน ผมกลับนึกถึงนายผีดิบ...ไหนสัญญากันไว้แล้วว่าจะดูแลกัน แล้วตอนนี้นายไปอยู่ที่ไหน ชั้นกำลังลำบาก....ผมหัวเราะในความโง่เขลาของตัวเอง แกงส้ม...นี่นายเชื่อคำพูดนั้นของผู้ชายคนนั้นจริงๆเหรอเนี่ย???
HUNZ talk
ผมไม่อยากปล่อยความรู้สึกของตัวเองให้ลอยละล่องไปกับแกงส้มอีก... ใช่...มันไม่ยากเลยสักนิดที่ผมจะรักเด็กหนุ่มใบหน้าไร้เดียงสา แววตาอ่อนหวานที่มาพร้อมความสดใส ผมต้องตัดใจก่อนที่ทุกอย่างมันจะลำบากกว่านี้ เพราะคำพูดของคุณกันทำให้ผมรู้ว่าความจริงแกงส้มเข้ามาอยู่ในหัวใจใกล้คำว่ารัก...เกินไปแล้ว ปล่อยให้แกงส้มเป็นเพียงอดีตที่สวยงามเท่านั้นก็พอแล้วสำหรับหัวใจตายด้านดวงนี้
“พี่ฮั่น...” เสียงหวานปลุกผมจากห้วงความคิด นี่ผมเหม่อ....ในขณะที่กำลังเดินมาส่งคุณหนูเหรอเนี่ย???
“ครับ---”
“คิดอะไรอยู่ วันนี้เงียบๆไปนะ ถูกคุณป้าดุอีกเหรอ???” คุณหนูถามผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“เปล่าครับ---คุณหนูควรจะนอนได้แล้วนะครับ พรุ่งนี้เราต้องกลับไปตั้งแต่เช้าจะไปโรงเรียน” ผมเปิดประตูห้องนอนให้ พร้อมส่งยิ้มบอกลา
“พี่ฮั่น...สมายล์รักพี่ฮั่นนะ สัญญานะว่าจะอยู่ข้างๆสมายล์ตลอดไป” คุณหนูคว้าแขนผมไปซบอย่างคุ้นเคย ทั้งที่ผมได้ยินคำพูดแบบนี้มาเป็นร้อยๆครั้งๆ แต่ทำไม...การที่มีแกงส้มเข้ามาให้ชีวิต คำพูดเหล่านี้มันถึงกลายเป็นมีดแหลมคมที่คอยทิ่มแทงหัวใจจนเหวอะหวะอย่างนี้... หรือว่าผมจะรักแกงส้มไปแล้วจริงๆ หากมันเป็นความรักจริงๆ มันก็เป็นรักที่ทรมานยิ่งนัก
“คุณหนู...อย่าทำแบบนี้ครับ มันไม่เหมาะสม” ผมดึงแขนกลับอย่างสุภาพพร้อมให้เหตุผล
“พี่ฮั่นบอกรักสมายล์ก่อนสิคะ...บอกรักสมายล์บ้างสิ” น้ำเสียงอ้อนนั้นทำไมถึงมีแต่เงาของการบังคับ... ผมไม่อยากพูดในจริงที่ไม่เป็นความจริง... ผมไม่ได้รักคุณหนู ถึงจะไม่มีคนที่ทำให้ผมหวั่นไหวเฉกเช่นตอนนี้ แต่ผมก็แน่ใจว่าผมไม่ได้รักร่างบางที่อยู่ตรงหน้า!!!
“นอนหลับฝันดีนะครับ...คุณหนู” ผมเลี่ยงด้วยการบอกราตรีสวัสดิ์ ใบหน้าสวยน่ารักเง้างอนก่อนจะปิดประตูใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ผมยกมือมาทุบหน้าผากตัวเองอย่างเจ็บใจ ทางเลือก...คำนี้มันไม่มีจริงในชีวิตผม ผมเดินกลับไปที่ห้องที่ทางคุณหญิงเตรียมให้อย่างเงียบๆ แต่เสียงมือถือก็ดังขึ้น
“ครับป้านวล.....”
ผมขับรถกลับบ้านด้วยความร้อนรน โกรธแสนโกรธ... เจนจิราร้ายกาจมากไปแล้ว ทำแบบนั้นกับแกงส้มได้ยังไงกัน คนเรากล้าทิ้งคนทั้งคนไว้นอกบ้านในคืนที่อากาศหนาวเหน็บอย่างนี้ได้จริงๆหรือ... แกงส้มก็อีกคน... ทำอะไรทำไมไม่ห่วงตัวเองบ้างเลยนะ ออกจากบ้านดึกดื่นเพื่อปูพวกนั้นนี่นะ... คนอะไรมันช่างดื้อรั้นจริงๆ ผมรีบวิ่งทันทีเมื่อรถจอดถึงบ้าน แกงส้มต้องนอนอยู่นอกบ้านมานานเท่าไหร่กัน... ป้านวลเองก็ไม่มีกุญแจที่จะเปิดเข้าบ้านหลังใหญ่ กว่าจะเดินออกมาเจอแกงส้มที่นอนไข้ขึ้นก็นานจะนานพอดู
“คุณฮั่นค่ะ...ทางนี้” เสียงป้านวลดังมาจากทางด้านหลัง ผมรีบสาวก้าวจนเกือบวิ่งตรงไปหา
“เป็นยังไงบ้าง???” ผมปรี่ตัวเข้าไปประคองแกงส้ม...ที่เสื้อผ้าเปียกชุ่ม ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวผมยิ่งโมโหทั้งที่เป็นห่วงเหลือเกิน ตัวเองอ่อนแอบอบบางอย่างนั้น ทำไมถึงห้าวหาญทำอะไรเกินตัว!!!
“เด็กบ้า!!!” ผมลูบใบหน้านั้นอย่างอาทร ร่างของแกงส้มร้อนจัด เหมือนเจ้าตัวจะพยายามเปิดตามามองอย่างอ่อนแรง
“ป้านวลไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ผมบอกป้านวลแต่สายตายังจับจ้องร่างที่อยู่ในวงแขนไม่วางตา ป้านวลเดินไปเงียบๆ แกงส้มลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ทำไมถึงมาช้าแบบนี้ หนาวมากเลยรู้มั้ย???” คงเป็นเพราะพิษไข้ แกงส้มถึงเพ้อออกมาอย่างนั้น แต่ผมกลับหัวใจพองโตอย่างประหลาด... รอพี่อยู่เหรอ แกงส้มรอพี่อยู่ใช่มั้ย???
“ไม่เป็นไรแล้วนะ...บอกแล้วไงว่าจะดูแลปกป้องแกงส้มเอง พี่ทำตามสัญญาแล้วนะ” ผมบอกไปอย่างอ่อนหวานทั้งที่ไม่แน่ใจว่าแกงส้มจะได้ยินหรือไม่.... ใบหน้าไร้เดียงสานั้นค่อยปิดตาลง ผมไล้นิ้วไปตามใบหน้านั้นอย่างโหยหา ค่อยๆโน้มตัวประทับริมฝีปากบนเรียวปากที่ร้อนเร่าราวเปลวไฟ กลิ่นหอมหวานแทรกซึมตามลิ้นที่ตวัดชิมรสจากแกงส้ม ลมหายใจร้อนๆเย้ายวนชวนลิ้มรส ผมไซร้เรียวลิ้นไปทั่วริมฝีปากร้อนอย่างอ้อยอิ่ง อยากให้เวลาหยุดลงที่ตรงนี้ ตรงที่ในอ้อมแขนมีร่างของคนที่ผมอยากตระกองกอดไปชั่วชีวิต หัวใจผมลอยละล่องไปกับสัมผัสที่อ่อนโยน ขอเพียงคืนนี้...ผมขอทำตามที่หัวใจเรียกร้องสักครั้ง ไม่มีหน้าที่ ไม่มีคำสัญญา ผมขอตักตวงความความสุข...แม้จะเป็นการฉวยโอกาส แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความใคร่ ความวาบหวามที่สั่นสะท้านหัวใจจนเสียศูนย์ ผมไม่สามารถยับยั้งหัวใจตัวเองได้ โลกใบนี้คงมีแค่แกงส้มคนนี้เท่านั้นที่ทำให้หัวใจด้านชาของผมกลับมาเต้นอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทั้งชีวิตของพี่...พี่ขอเพียงเท่านี้ และจูบนี้มันจะถูกสลักไว้ที่หัวใจของพี่ตลอดไป.....
ปล. เม้นสักหน่อยเป็นกำลังใจต่อการอัพครั้งต่อไปนะจ๊ะ^^ ขอบคุณที่ติดตามกันจ้า
ความคิดเห็น