ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TS8 (HKS) รักร้าว ในเงามาร

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5 : จุดยืนของหัวใจ ทางไปของชีวิต

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 55




                   

    ผมเลือกเพลงที่ดูจะเล่นง่ายๆ เพื่อให้คุณหนูสมายล์เลือกกว่าสิบเพลง แต่ไม่รู้ว่านายผีดิบนึกเฮี้ยนอะไรมาเคาะประตูห้องตั้งแต่เช้า ไม่นึกว่ามาดเข้มอย่างนั้นจะชอบทำตัวป่วนแบบนี้นะเนี่ย พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ผมก็มีเวลาเกือบชั่วโมงในการรอทานอาหารเช้า ผมจะเลือกที่จะเดินเข้าไปในครัวเผื่อมีอะไรให้ช่วยบ้าง เมื่อยื่นหน้าเข้าไปมองก็เห็นป้านวล แม่ครัวขาใหญ่สาละวนปาดเหงื่อเร่งทำอาหารเช้าอยู่คนเดียว

    “นังเพลิน...หยิบปลามาให้ชั้นหน่อยสิ” คงเป็นเพราะได้ยินฝีเท้า ป้านวลจึงเรียกใช้โดยคิดว่าผมเป็นสาวใช้อีกคน ผมจึงเดินไปหยิบปลาลวกในถ้วยส่งให้พร้อมรอยยิ้ม

    “แล้วแกก็ออกไปจัด---อุ้ย!!!” เมื่อหันมาเห็นหน้าผม ป้านวลก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ

    “มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ” ผมพยายามทำความดีเพื่อให้ป้านวลรู้สึกดีกับผมขึ้นมาบ้าง

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...อิชั้นกลัวทำอะไรผิดพระเนตรผิดพระกรรณ แล้วอิชั้นจะซวย” แววตาแข็งกร้าวกับคำพูดประชดประชัน มันกระแทกความรู้สึกผมจนหน้าเสีย ป้านวลเหมือนจะสะใจก่อนจะคว้าเอาถ้วยปลาออกจากมือผมไปแล้วไม่สนใจผมอีกเลย ผมถอนหายใจยาวก่อนจะเดินออกมาจากห้องครัว

    “ทำไมทำหน้าแบบนั้น---เบื่อโลกรึไง” นายผีดิบทัก ผมเลิกคิ้วสูงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้

    “ก็ถูกป้านวลไล่ออกมา” ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงบอกร่างสูงนั้นออกไป คงเป็นเพราะนายคนนี้เป็นคนที่พูดกับผมมากที่สุดแล้วละมั้ง... ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบหน้ากันก็ตามที

    “อย่าไปโกรธป้าแกเลยนะ---แกคงเสียใจที่อรออกไปเลยพาลมาลงกับนาย” และคำตอบจากใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ทำผมคาดไม่ถึง... มันคือคำปลอบโยน ผมมองหน้านั้นไม่วางตาเพราะไม่เชื่อกับประโยคเมื่อกี้ ถ้าเป็นคำเหน็บเจ็บแสบผมจะไม่ตกใจเลยสักนิด

    “มองหน้าชั้นแบบนั้นทำไม” ร่างสูงแย้มยิ้มอย่างขำขัน ผมส่ายหน้าเบาๆไม่พูดอะไรตอบ นายคนนี้ทำตัวแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ อยู่ๆก็มาทำดีกับผม แต่จะว่าไปแบบนี้มันก็ดีกว่าหันไปทางไหนก็ไม่มีคนพูดกับเราสักคนไม่ใช่เหรอ??? ...อย่างน้อยก็มีคนพูดดีๆกับเราบ้างแต่เรื่องความจริงใจมันก็ต้องมองกันนานๆ ยิ่งนึกถึงเรื่องที่นายคนนี้กล้าลากผมไปจูบที่ซอกกำแพงแล้ว ผมจึงเบือนหน้าหนีทันที

    “คุยอะไรกันอยู่เหรอค่ะ...” เสียงคุณหนูสมายล์ดังขึ้นมา ไม่รู้ทำไมผมต้องกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนรับก็ไม่รู้ รอยยิ้มสดใสทำให้ผมรู้ว่าวันนี้คุณหนูอารมณ์ดี

    “ก็เรื่อยเปื่อยครับ” นายผีดิบชิงตอบก่อนแต่ก็นั่นแหละ ผมก็คงไม่ตอบคำถามนั้นอยู่ดี

    “ครูแกงชินกับที่นี่บ้างรึยังคะ???” คุณหนูถามพร้อมนั่งลง โดยมีนายผีดิบเลื่อนเก้าอี้ให้ โหยยยยย!!! นี่มันเจ้าหญิงกับองครักษ์ในละครน้ำเน่าชัดๆ มันต้องเว่อร์กันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย??? คนรวยก็มีมุมแปลกๆให้ผมต้องสงสัยเหมือนกันนะเนี่ย!!!

    “คุณครูค่ะ...คุณหนูถามไม่ได้ยินเหรอคะ” เจนจิรากระแทกเสียงเล็กน้อย ผมที่สงสัยกับการกระทำนั้นจึงไม่ได้ตอบคำถามออกอาการเหรอหรา ทำเอาคุณหนูขำออกมาเบาๆ

    “ถามว่าอะไรนะครับ” ผมถามกลับอย่างเก้อเขิน นายผีดิบยอมยิ้มเล็กๆในความเปิ่นแต่เช้าของผม

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ทานข้าวกันได้แล้ว สมายล์หิวจะแย่อยู่แล้ว” ท้ายประโยคคุณหนูทำเสียงอ้อนไปทางนายผีดิบ ท่าทางผู้ชายคนนี้จะถูกตีตราจองไว้แล้วสินะ.... ผมลอบมองเจนจิราที่ดูไม่มีความสุขกับรอยยิ้มที่ทั้งสองส่งให้กัน นี่ผมต้องมาเจออะไรเนี่ย...ชิงรักหักสวาทสุดๆ ผมถอนหายใจยาวคิดในใจว่า นึกว่าดูละครละกัน!!!

    บรรยากาศบนโต๊ะอาหารวันนี้ดูสดใสกว่าทุกวัน คงเป็นเพราะเจ้านายสาวของบ้านร่าเริงสดใส แต่ทางกลับกันผมแอบสังเกตเห็นเจนจิราที่ดูเหมือนจะพยายามซ่อนความหงุดหงิดแต่สิ่งนั้นกลับปรากฏในแววตาอย่างชัดเจน ผมเห็นผู้หญิงคนนี้ครั้งแรกก็แอบชมในใจว่าสวยชวนมอง... แต่ไม่ทันข้ามวันอะไรต่างๆก็ทำให้ผมเห็นว่าคนๆนี้ไม่สมควรที่จะได้รับการวางใจในเรื่องใดๆทั้งสิ้น ผมเห็นความทะเยอทะยานและความริษยาเป็นประกายในนัยน์ตาสวยคู่นั้น

    “อิ่มแล้วเหรอคะ???” เจนจิราถามขึ้นเมื่อเห็นคุณหนูวางส้อมไว้บนจานผมไม้รวมที่เป็นของหวานหลังอาหารเช้า

    “ค่ะ....พี่ฮั่นทานผลไม้เพิ่มมั้ยคะ???” คุณหนูสมายล์ถามนายผีดิบที่ดูจะชอบผลไม้เป็นชีวิตจิตใจ

    “พอแล้วครับ” นายผีดิบตอบอย่างสุภาพอ่อนโยน ผมแอบแบะปากับท่าทางสองมาตรฐาน ทีกับคุณหนูนะ ครับ... ได้ครับ พออยู่กับผมกลับกลายร่างเป็นเกรียนตัวพ่อ ทำตัวกวนประสาทไม่หยุดไม่หย่อน

    “คุณหนูสมายล์ครับ....นี่เพลงที่ผมเลือกมาบ้างแล้ว อยากให้คุณหนูฟังแล้วเลือกว่าจะเล่นเพลงไหน” ผมรีบยื่นซีดีส่งให้เมื่อเห็นว่างเล็กนั้นขยับตัวจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร

    “ครูแกงส้ม...แต่วันนี้สมายล์ต้องไปจัดบอร์ดที่โรงเรียนสิค่ะ” คุณหนูมองซีดีอย่างทึ่งๆก่อนตอบด้วยความเกรงใจ

    “งั้นก็ไม่เป็นไรครับ ไว้ว่างเมื่อไหร่ค่อยเลือกก็ได้” ผมตอบพร้อมส่งยิ้มให้

    “แต่สมายล์ดีใจนะคะที่คุณครูเอาใจใส่กับงานแบบนี้ บอกตรงๆสมายล์เกือบลืมเรื่องเปียโนนี่ไปแล้ว” คำตอบนั่นทำเอาผมตกใจเล็กๆ คิดว่าเสียเงินสามหมื่นมาจ้างผมให้เดินไปเดินมารึไงกัน....อิจฉาคนรวยจริงๆ

    “แหม...เงินเดือนขนาดนี้ ไม่เอาใจใส่ก็แย่สิคะ” เจนจิราพูดอ่อนหวานแต่เจตนานั้น...ผมไม่คิดว่าจะเป็นด้านบวกกับผมนัก

    “พี่ฮั่นช่วยเลือกเพลงให้หน่อยสิคะ เพลงไหนเพราะก็เอาเพลงนั้นแหละ สมายล์ตามใจพี่ฮั่นเต็มที่เลย” คุณหนูเอนตัวไปหานายผีดิบซบไปที่ไหล่กว้างนั้นจนผมก็แทบจะก้มหน้าไม่ทัน.... มันเป็นภาพที่ผมไม่คุ้นตานัก ความรักที่แสดงโจ่งแจ้งแบบนี้มันระคายต่อมความอายผมจริงๆ

    “ได้ครับ...ผมจะช่วยครูแกงของคุณหนูเลือก” นายผีดิบตอบเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ มันทำให้ผมชักไม่เข้าใจในความสัมพันธ์นี้  เหมือนคุณหนูจะชอบพอในตัวของนายผีดิบหน้าหล่อนี้อย่างเปิดเผย แต่ฝ่ายชายกลับนิ่งสงบเสียเหลือเกิน...เหมือนร่างสูงไม่ได้มีความรู้สึกใดๆหากแต่เลี่ยงเจ้านายไม่ได้มากกว่า แล้วไหนจะเจนจิราที่ชอบแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของลับหลังเจ้านายสาวอีก มันช่างอิรุงตุงนังเสียจริงๆ ทางที่ดีที่สุด...ผมจะกันตัวเองให้ออกห่างความสัมพันธ์ลึกลับซับซ้อนให้ไกลเป็นอันดีที่สุด!!!

     

    HUNZ talk

    ผมเจ็บใจตัวเองอยู่ลึกๆ เมื่อต้องเป็นคนเดิมของคุณหนูต่อหน้าแกงส้ม มันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่คุณหนูที่เข้ามาซบมากอดผมซึ่งหากไม่มากจนเกินงามผมก็ไม่ว่าอะไรเธอ แต่ครั้งนี้เรื่องราวมันเกิดต่อหน้าแกงส้ม...ความรู้สึกของผมมันช่างเลวร้ายนัก ผมลอบมองใบหน้าไร้เดียงสาที่ก้มหน้าไม่มอง...เห็นได้ชัดว่าแกงส้มไม่คิดว่านี่คือเรื่องปกติ ผมทำอะไรไม่ได้เลย....มันเลยจุดที่ผมจะเรียกร้องขอหัวใจผมกลับมา ผมได้แต่ภาวนาว่าถ้าแกงส้มรู้ว่าผมคือคนที่เคยสัญญากับเค้าไว้เมื่อหกปีก่อน...อย่าให้เค้าต้องผิดหวังในตัวผมเลย แกงส้มเป็นคนๆเดียวที่ผมแคร์ด้วยหัวใจจริงๆ

    “เริ่มได้รึยัง???” เสียงแกงส้มเรียกความคิดผมกลับมายังรายชื่อเพลงถูกเขียนด้วยตัวหนังสือหยุกหยิกของแกงส้ม ผมก้มมองรายชื่อเพลงเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด

    “นายเล่นให้ชั้นฟังทีละเพลงสิ” ผมบอกพร้อมวางกระดาษแผ่นนั้นแกงส้มมอหน้าผมอย่างข้องใจ

    “ทำไมต้องหาเรื่องลำบากให้ด้วยเนี่ย???” เสียงบ่นที่ผมเริ่มคุ้นหูบ่นกระปอดกระแปด

    “ไม่ค่อยได้ฟังเพลงจำพวกผู้ดีแบบนี้เท่าไหร่ไง...” ผมพูดล้อเลียนอีกฝ่าย แกงส้มนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเซ็งๆ ผมทรุดตัวนั่งเบียดที่เก้าอี้ตัวเดียวกัน แกงส้มหันมามองหน้าตกใจ

    “เฮ้ยยย!!! เล่นไม่ถนัดไปนั่งตรงนู้นไป---บอกให้ไปไงเล่า” แกงส้มโวยก่อนค่อยผมออกจากตัว แต่ผมก็ขืนร่างไว้ในชิดกับแกงส้ม ตอนนี้ใบหน้าเราทั้งสองห่างกันไม่กี่คืบ หัวใจของผมมันหวิวๆคล้ายกำลังจะล่องลอยไปกับแววตาเคืองขุ่นหากแต่ดูอ่อนหวานน่ามอง แกงส้มทำท่าเหมือนจะคนลุกขึ้นเอง ผมฉวยโอกาสชิงจังหวะวางท่อนแขนลงบนบ่าแกงส้มไว้ออย่างรวดเร็ว

    “อะไรของคุณเนี่ย???---ปล่อยสิ” แกงส้มพยายามจะยกมือผมออกจากตัวเอง แต่ก็ไม่เป็นผลผมกลับกระชับวงแขนให้ร่างเราทั้งสองใกล้ชิดยิ่งขึ้น กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของแกงส้มลอยกระทบจมูกมันช่างอ่อนละมุนเหมือนใบหน้าที่ดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนผม...

    “ไม่ปล่อย!!!” ผมยืนยันหนักแน่น ทำลอยหน้าลอยตากับแกงส้มที่ใบหน้าสีจัดขึ้นเพราะความโมโห

    “บอกปล่อยไง” แกงส้มทำเสียงขึ้นจมูกอย่างขัดใจ ผมส่ายหน้าช้าๆกวนอารมณ์อีกฝ่าย

    “อะแฮ่ม!!!” เสียงกระแอมมาจากทางด้านหลัง ด้วยความตกใจจึงผละออกจากร่างแกงส้ม พลิกตัวกลับมามองต้นเสียง เห็นเจ้าของเสียงที่ส่งยิ้มหวานมาให้ผมเป่าปากด้วยความโล่งอก

    “คุณกัน...” ผมเรียกร่างสูงคล้ำแต่เนียนด้วยน้ำเสียงโล่งใจ คุณกันส่งยิ้มร่าเริงกลับมา

    “ทำอะไรกันครับ” คุณกันถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์นิดๆ สายตามองตรงไปหาแกงส้มที่กำลังยืนมองผู้มาใหม่อย่างเคอะเขิน

    “นี่...แกงส้ม ครูสอนเปียโนของคุณหนูครับ แกงส้ม...นี่คุณกัน ญาติผู้พี่ของคุณหนู” ผมแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน แกงส้มยกไหว้อย่างน่าเอ็นดู แต่ดูแล้วไม่ได้มีแค่ผมที่คิดแบบนั้น

    “ไอ่ตัวเล็กมันลงทุนจ้างครูมาสอนถึงบ้านเลยเหรอเนี่ย??? ท่าทางจะเอาจริง” คุณกันมองหน้าแกงส้มไม่วางตา ผมรู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่รู้ว่าคุณกันเป็นคนดีคนหนึ่งแต่...ไม่รู้ว่าทำไม ผมถึงมีความคิดไม่ไว้ใจคุณกันแบบนี้นะ

    “แล้วสอนไปถึงไหนแล้ว” น้ำเสียงทุ้มหวานสำเนียงน่าฟังของคุณกันทำเอาผมหวั่นใจ เพราะแกงส้มดูเหมือนจะมีไมตรีจิตที่ดีกับคุณกันไม่น้อย

    “ก็กำลังเลือกเพลงกันอยู่ครับ...แต่ไม่รู้ว่าจะได้เรื่องได้ราวรึเปล่า---- คนเลือกก็วุ่นวายเหลือเกิน” ท้ายประโยคแกงส้มตวัดสายตามาทางผม คุณกันหันมามองยิ้มๆตามคนพูด

    “งั้นผมขอเป็นคนเลือกเพลงละกันนะ ไอ่เพลงพวกนี้ผมก็ฟังมาบ้าง” คุณกันออกตัวอาสากับครูสอนเปียโนหน้าอ่อน แกงส้มพยักหน้ารับทันที.... ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเหวี่ยงโลกได้ทั้งใบเมื่อเห็นคุณกันเดินไปยืนข้างแกงส้ม...

    “ผมว่าเรามาเคลียร์บัญชีก่อนดีกว่าครับคุณกัน” ผมโพล่งออกไปทันทีด้วยความร้อนใจ แกงส้มที่กำลังส่งรายชื่อเพลงให้คุณชะงัก คุณกันพลิกตัวกับมาสบสายตาผมพร้อมคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์รู้ทันที่มุมปาก ผมจึงรู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางของหนุ่มหน้าหวานแสนฉลาดคนนี้เต็มเปา

    “นั่นสินะ----ขอโทษด้วยนะครับ คงต้องให้พี่ฮั่นเลือกเพลงให้เหมือนเดิมซะแล้ว” คุณกันหันไปบอกแกงส้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะเดินไปที่ห้องทำงานซึ่งเป็นห้องที่ใช้ตรวจบัญชีเป็นประจำ ผมหันไปสบตาสายตาหวานไร้เดียงสาเล็กน้อยก่อนสาวก้าวตามคุณกันไป

    ปกติผมจะเป็นดูแลเรื่องทรัพย์สินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากหุ้นของบริษัทตระกูลใหญ่และบริษัทลูก ที่คุณหนูสมายล์ถือหุ้น ยังมีรายได้ที่ได้จากการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แต่ทุกเดือนบัญชีทุกอย่างต้องได้รับการตรวจสอบจากคุณกันญาติผู้พี่ ซึ่งเป็นลูกชายของคุณหญิงป้าผู้ถือสิทธิจัดการมรดกของคุณหนู

    “นี่คือบัญชีที่ผมเตรียมได้เรียบร้อยแล้วครับ” ผมหยิบแฟ้มมาวางตรงหน้าคุณกัน พร้อมนั่งลงบนที่นั่งตรงกันข้าม คุณกันหรี่ตามองพิจารณาแต่ละหน้าอย่างถี่ถ้วน

    “ผมได้ข่าวว่ามีชาวต่างชาติมาติดต่อซื้อเกาะกับไอ่ตัวเล็กโดยตรงเหรอครับ” คุณกันถามหลังจากเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้า

    “ครับ...แต่ผมก็ปฏิเสธไปทันทีแล้วนะครับ เลยไม่มีรายงานในนี้” ผมตอบ คุณกันพยักหน้าช้าๆ

    “พี่ฮั่นคุ้นกับชื่อเค้ามั้ย???” คุณกันถามต่อ

    “เค้าไม่ได้ติดต่อกับผมโดยตรงครับ.... เค้าติดต่อผ่านทางเจนจิราแต่ทันทีที่รู้ผมก็ปฏิเสธไป ผมเองก็ไม่ได้เช็คว่าเค้าเป็นใคร” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำงานพลาดไป... ถึงจะเป็นจุดเล็กๆ แต่หากคุณกันสนใจเรื่องนี้ ผมว่ามันต้องได้รับการสนใจมากกว่าที่ผมทำ

    “เค้าชื่อ ชาล์ส มาเวล พี่ฮั่นคุ้นมั้ยครับ???”

    “นั่นมัน---โธ่เว้ยยย!!” ผมตบหน้าผากด้วยอย่างเจ็บใจที่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ให้หลงหูหลงตาไป เพราะชาล์ส มาเวล เป็นนักธุรกิจที่ขึ้นชื่อในการทำธุรกิจอย่างสกปรก ซ่องสุมกำลังจนแทบจะเรียกว่ากองทัพย่อมๆเลยทีเดียว แต่สิ่งที่คาใจผมคือ...ชาล์สติดติดต่อมาทางเจนจิราได้อย่างไรกัน!!!

    “ไม่เป็นหรอกครับพี่ฮั่น...ผมแค่อยากให้พี่กับไอ่ตัวเล็กระวังตัวมากกว่านี้ เพราะคนอย่างนายชาล์สไม่น่าจะยอมวางมือจากเกาะนั้นง่ายๆ” คุณกันตบบ่าผมอย่างใจเย็น ผมพยักหน้ารับ

    “อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิครับ---เดี๋ยวครูสอนเปียโนเห็นจะไม่ชอบเอานะ” คุณกันเปลี่ยนเรื่องเร็ว จนผมเองแทบเสียหลัก

    “คุณกัน---มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” ผมละล่ำละลักปฏิเสธ แต่แววตารู้ทันก็ทำให้ผมจนใจ

    “ผมรู้ว่าพี่ต้องลำบากใจกับไอ่ตัวเล็ก...แต่พี่เป็นคนนะ พี่มีหัวใจ พี่มีสิทธิที่จะรัก” คุณกันซึ่งเป็นเหมือนเพื่อนที่โตด้วยกันมาพูดช้าๆ แต่ซึมลึกถึงหัวใจ

    “เรื่องของผมไม่ไปไกลกว่านี้หรอกครับ---ไม่มีวันจะไปถึงคำว่ารัก” ผมตัดพ้อต่อโชคชะตา ผมเอาหัวใจแลกกับชีวิตที่ดีขึ้นมาตั้งแต่หกปีก่อน... มันไม่สายไปเหรอ??? กลับการทวงมันคืน!!!

    “คนเรามักจะรักสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข เด็กคนนั้นทำให้พี่มีความสุข.... นานแล้วนะที่ไม่ได้ยินน้ำเสียงที่มีความสุขแบบนั้น ทำเพื่อตัวเองบ้าง...พี่ต้องลำบากเพราะยัยสมายล์มามากพอแล้ว เรื่องคำสัญญานั่น...มันน่าจะตายไปพร้อมคุณน้าทั้งสองได้แล้ว อย่าปล่อยตัวเองเป็นเหมือนคนไร้วิญญาณแบบนี้อีกเลยนะ” คุณกันพูดอย่างเหลืออด ผมได้แต่ก้มหน้าเงียบ... เพราะผมรู้ว่าทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น คุณอาจจะมองว่าเป็นเพียงความเอาแต่ใจของเด็กสาวคนหนึ่ง แต่มันมากกว่านั้น คำสัญญาที่คุณหนูตรึงผมไว้ผมจะทิ้งมันได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีวันนี้... คุณท่านฉุดผมขึ้นมาจากสังคมเสื่อมโทรมเลวร้าย หากไม่มีท่าน... ชีวิตผมคงไม่อยู่ในจุดที่ดีอย่างแน่นอน อาจจะจบตรงที่ติดคุกหรือถูกยิงตายจากนิสัยไม่ยอมใคร... ผมละเลยต่อคำเรียกร้องของตัวเองได้ แต่ผมละเลยต่อคำสัญญาของคนที่ให้ชีวิตผมไม่ได้ มันคือจุดยืนที่ผมควรจำ และควรทำ..... ความรักไม่ใช่ข้ออ้างของการอกตัญญู!!!

     

    ปล. ช่วงนี้อาจจะอัพห่างๆ หน่อย เพราะต้องย้ายไปทำงานที่จังหวัดอื่น แต่ถ้าลงตัวเมื่อไหร่จะอัพให้เหมือนเดิมจ้า ขอโทษจริงๆนะจ๊ะ เม้นคนละนิดคนละหน่อยเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะจ๊ะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×