ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TS8 (HKS) รักร้าว ในเงามาร

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3: คนในคำสัญญา

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 55




    HUNZ talk

     “พี่ฮั่นค่ะ....สมายล์ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ” เสียงใสดังมาจาก้านหลัง ผมถอนหายใจยาวระบายความกดดันที่เกิดขึ้นภายใน ผมเดินผ่านต้นเหตุไปอย่างเย็นชา ไม่รู้ว่าครั้งนี้มันจะเป็นอย่างไร....

    “เรื่องจริงรึเปล่าที่พี่ฮั่นอยู่กับผู้หญิงเมื่อคืน” คุณหนูสมายล์ถามเสียงสั่นใกล้จะระเบิดความโกรธเต็มที่ ผมเลือกที่จะไม่ตอบ... อย่างไรก็ตามผมก็ไม่อาจควบคุมสิ่งที่เกิดได้ พูดไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้น

    “มันเป็นใคร...พี่ฮั่น มันเป็นใคร” คุณหนูตัวสั่นเทาเล็ก น้ำตาไหลออกมาอย่างอ่อนไหว

    “นังอรใช่มั้ยคะ???” เจนจิราโพล่งออกมาทันที ผมหันไปมองหน้านั้นด้วยความรังเกียจ เจนจิราคือผู้หญิงที่เข้าไปเคาะห้องผมเมื่อคืน... และนั่นไม่ใช่ครั้งแรก!!! ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่เธอหรากฎตัว ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เธอทำแบบนั้น และจบลงด้วยการบอกเธอออกจากห้อง แต่เธอก็ทำแบบนี้มาตลอด ผมคิดในใจว่าสักวันเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้น...และเจนจิราก็คงไม่ยอมรับง่ายๆ

    “พี่อรเหรอ???....งั้นเรื่องที่คุณเจนบอกมันก็เรื่องจริงสิค่ะ” คุณหนูหันไปถามคนสนิทอย่างไว้ใจ... นี่คือสิ่งที่ผมหนักใจมาตลอด เจนจิราคือผู้ควบคุมคุณหนูสมายล์ด้วยการนำเรื่องต่างๆมาใส่หัวคุณหนูเพื่อความต้องการของตัวเอง ภายใต้รูปลักษณ์คนสนิทที่หวังดีและแสนอ่อนหวานจนคุณหนูวางใจเธอเป็นที่สุด

    “เพลิน----ไปเรียกนังอรมาสิ” เจนจิราร้องบอกสาวใช้คนสนิทของเธอ เพื่อเรียกสาวใช้ผู้ถูกกล่าวหา สักครู่อรก็เดินมาด้วยสีหน้าที่ตกใจและหวาดหวั่น นั่น...ทำให้ผมรังเกียจตัวเอง ที่ไม่อาจช่วยเหลือคนดีๆได้

    “พี่อรเมื่อคืนพี่อรไปหาพี่ฮั่นที่ห้องเหรอคะ???” แม้จะเป็นประโยคที่มีหางเสียงไพเราะ แต่มันช่างดูเกรี้ยวกราดได้อย่างน่าประหลาด อรส่ายหน้าทันที

    “เปล่า---ไม่ใช่อรนะคะ” อรส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง เพราะเธอเป็นคนที่คอยกันท่าเจนจิราให้ออกห่างจากผม เพราะรู้ทันความคิดเจนจิรา เธอจึงเป็นเป้าสำคัญที่ผมต้องจัดการ

    “ไม่ใช่อร...” ผมพูดออกไปเบาๆแต่หนักแน่น คุณหนูหันมามองหน้าผม

    “ถึงขั้นปกป้องกันด้วย....คุณหนูปล่อยไว้ไม่ได้นะคะ” แต่เจนจิราก็ปรี่เข้ามาเติมเชื้อไฟของเจ้านายสาววัยรุ่นที่อ่อนต่อโลกยิ่งนัก ผมรู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างต้องจบแบบที่เจนจิราต้องการ แม้ความจริงกองอยู่ตรงหน้า...เธอก็สามารถพลิกมันเป็นเรื่องโกหกได้อย่างง่ายดาย

    “พี่อรย้ายไปเฝ้าบ้านที่หัวหินดีกว่านะคะ ปัญหามันจะได้จบๆ” คุณหนูสมายล์พูดกับสาวใช้ด้วยความห่างเหิน อรร้องไห้อย่างน่าเวทนา ผมกำหมัดแน่นเจ็บใจตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้

    “อรขอลาออกค่ะ คนบางคนเค้าจะได้สมใจ” ท้ายคำอรมองเจนจิราอย่างโกรธแค้น แต่เจนจิราก็ไม่ได้สำนึกกลับส่งรอยยิ้มร้ายกาจที่มุมปากกลับ

    “ตามใจ...คุณเจนจัดการเรื่องเงินด้วยนะคะ สองเท่าของการเลิกจ้าง ถือว่าทำบุญ” ผมรู้ว่าคุณหนูเองก็ผูกพันกับอรไม่น้อย... แต่เพราะอ้างว้างจากการขาดพ่อแม่ตั้งแต่เด็กและความเชื่อคนง่ายโดยเฉพาะการเชื่อคนที่เลือดเย็นอย่างเจนจิรา...นั่น มันกลับทำให้คุณหนูไม่ไว้ใจคนรอบข้างยกเว้นเจนจิราและผม เธอกลัวที่จะสูญเสียความรักไปเหมือนที่เธอสูญเสียพ่อแม่อย่างกะทันหัน ความน่ารักสดใสตามวัยก็กลายเป็นความเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ และที่สำคัญเธอยึดติดชีวิตของเธอไว้กับผมอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งผมภาวนาว่าสักวันเธอจะพบคนดีๆรักเธออย่างแท้จริง... ผมคิดแบบนั้นกับคุณหนูไม่ได้จริงๆ มันช่างเป็นหน้าที่ที่ทรมานหัวใจผมเหลือเกิน

    “เจน....คุณทำแบบนี้ได้ยังไง???” ผมเดินตามเจนจิราและมองไปรอบๆเห็นว่าไม่มีใครจะร้องเรียกเธออย่างเหลือทน

    “เอาตัวรอด...เหตุผลง่ายๆ มันก็ดีมากด้วยสิคะ ที่ได้กำจัดนังอรได้สักที เจนเบื่อขี้หน้ามันเต็มทีแล้ว” เจนจิราหันมาพูดกับผมอย่างไม่ไว้ท่าอะไรอีก

    “คุณมัน---”

    “ฮั่นคะ...ที่ทำไปก็เพราะว่าเจนรักคุณ เจนรู้ว่าคุณรักนังคุณหนูนั่นไม่ได้หรอก....คุณต้องการอะไรทำไม่เจนจะไม่รู้ คนเคยๆกันอยู่” คำพูดยั่วยวนนั้นกลับทำให้ผมรังเกียจเธอมากขึ้นไปอีก ผมกับเจนจิราเราเคยคบกันมากก่อนที่ผมจะเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ตอนนั้นเธอเป็นนักเรียนที่สวยที่สุดในย่านนั้น เพราะความคึกคะนองในวัยรุ่นผมจึงสานสัมพันธ์จนถึงจุดที่จบลงบนเตียง แต่ด้วยนิสัยที่ก้าวร้าว สามารถทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เธอต้องการมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดและบอกเลิกเธอในที่สุด หลังจากนั้นไม่นานคุณท่านก็รับผมไปอุปการะส่งเสียผมจึงไม่ได้เจอเธอมานานกว่าห้าปี จนวันที่เธอก้าวเข้ามาในบ้านในฐานะคนดูแลคุณหนูหลังจากที่คุณท่านและคุณผู้หญิงเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และกลายเป็นคนสนิทในปัจจุบัน

    “ผมเต็มใจที่มอบชีวิตนี้เพื่อคุณหนู ตอบแทนข้าวแดงแกงร้อนที่ราดหัวผมมา”

    “หรือว่าหวังสมบัติพันล้านกันแน่... นังเด็กนั่นจ้องจะจับคุณทำผัวอยู่แล้วนิ” คำนั้นทำให้ผมเดือดดาลจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

    “เจนคุณหยาบคายมากนะ...ถ้าคุณไม่หวังดีกับคุณหนูสมายล์ คุณก็ออกจากบ้านนี้ไปซะ”

    “ไปแน่...คนอย่างเจนจิราไม่อยู่เป็นขี้ข้าใครจนตายหรอก แต่ก่อนไปก็ขอได้ในสิ่งที่ต้องการซะก่อน”

    “คุณต้องการอะไร...” ผมถามออกไปเสียงดัง เจนจิรายิ้มอย่างอ่อนหวานเย้ายวน ลูบไล้ออกกว้างผม

    “ที่แน่ๆหนึ่งในนั้นก็คือคุณ”

     

    ผมนั่งเล่นเปียโนอย่างไร้อารมณ์ เงินสามหมื่นแลกกับการที่ผมต้องมานั่งๆนอนๆกินอยู่อย่างสบายมันก็ดีอยู่หรอก แต่ที่นี่มันมีแต่ความอึดอัดใจทั่วทุกระแหง นอกจากอรแล้วก็ไม่มีใครท่าทีญาติดีกับผม... และเธอก็ต้องออกจากบ้านไปเพราะความปากเสียของผมแท้ๆ ซึ่งนั่นมันไม่ยุติธรรมเลย ผมรู้แต่เพียงว่านายผีดิบคือสิ่งต้องห้ามสำหรับทุกคนในบ้าน... การที่มีใครมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับนายคนนี้ก็ต้องถูกเด้งออกตามความต้องการที่ไร้เหตุผลของคุณหนูสมายล์ แต่...เสียงที่ผมได้ยินไม่ใช่เสียงอรแน่ๆ มันคล้ายๆกับคุณเจน และนั่นทำให้ผมกลัวหญิงสาวคนสวยขึ้นมา

    “คุณครู....” เสียงเรียกว่าจากด้านหลัง ผมหันขวับเห็นอรที่มือทั้งสองข้างถือกระเป๋า มันทำให้ความรู้สึกผิดออกฤทธิ์กับผมทันที

    “ผมขอโทษที่ทำให้อรต้องเดือดร้อน ผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมพูดด้วเสียงแหบพร่า

    “ไม่เป็นไรค่ะ...ยังไงมันก็ต้องมีวันนี้อยู่ดี อรแค่จะมาลา เสียดายนะคะ..ที่เราได้รู้จักกันแค่นี้”

    “แล้วอรจะไปไหน...นี่มันก็เย็นมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้มั้งครับ บ้านนี้เค้าคงไม่ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้นหรอก” นี่ก็เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ซึ่งมันก็ไม่ปลอดภัยเลยสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว

    “เดี๋ยวอรจะไปรอเพื่อนที่หน้าปากซอย... ครูไม่ต้องห่วงนะอรหรอกค่ะ” อรตอบพร้อมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ทั้งที่ตาทั้งสองข้างยังแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก

    “งั้นผมไปส่งหน้าปากซอยนะ...ขอผมเลี้ยงอาหารอรส่งท้ายและเป็นการขอโทษที่ทำให้ต้องเดือดร้อน” ผมอาสา เพื่อความสบายใจของตัวเองที่ได้ทำอะไรเพื่ออร...คนที่เดือดร้อนเพราะผม!!!

    ผมวางกระเป๋าใบโตลงบนเก้าอี้ในร้านข้างแกงหน้าปากซอยที่อรยืนยันว่าจะทานร้านนี้ ความจริงแล้วผมอยากพาเธอไปทานอะไรที่ดีกว่านี้ แต่ก็ขัดไม่ได้จริงๆ

    “อรไม่เกรงใจนะ” อรพูดอย่างกระตือรือร้น ผมพยักหน้าแทนคำตอบขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ อรเดินไปสั่งอาหารโดยทักทายเจ้าของร้านอย่างสนิทชิดเชื้อ  สักครู่อรก็มาพร้อมอาหารที่ดูน่าทานหลายอย่าง

    “ร้านนี้อร่อยนะคะครู...พวกแรงงานเงินน้อยอย่างอรมาฝากท้องที่นี่ประจำ” อรแนะนำอย่างสดใส

    “แล้วอรจะย้ายไปอยู่ที่ไหนเนี่ย???” ผมถามอย่างเป็นห่วง ถ้าบ้านผมยังมีภาวะทางการเงินที่ปกติ ผมคงให้ที่บ้านรับเธอเข้าทำงาน...แต่ตอนนี้มันเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ

    “คงกลับไปทำนาทำไร่ที่บ้าน อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ก็สบายใจกว่าอยู่ที่นี่” อรพูดอย่างแช่มชื่น

    “ผมขอโทษนะที่ทำให้อรต้องถูกไล่ออกแบบนี้...ผมรู้ว่าคนที่ย่องไปหานายผีดิบ...คุณฮั่นหน่ะ ไม่ใช่อร” ผมวกเข้ามาเรื่องความผิดพลาดตัวเองอีกครั้ง

    “นี่เป็นเรื่องนึงที่อรอยากจะเตือน...ครูอยู่เงียบๆดีกว่านะคะ คนที่บ้านนั้นร้ายกว่าที่ครูคิด สงสารแต่คุณหนูคนที่หวังดีกับเธอจริงๆถูกกำจัดไปทีละคน”

    “เรื่องมันอย่างกะละคร...มีคนที่นิสัยเป็นตัวร้ายขนาดนั้นเลยเหรออร” ผมถามด้วยความขำขัน แต่อรกลับตหน้าเครียด

    “ร้ายไม่ร้าย อรก็ต้องระเห็จออกจากบ้านไม่ใช่เหรอค่ะครู” คำพูดนั้นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความครุ่นคิด ที่อรมันพูดมันก็ถูก... อย่างน้อยถ้านายผีดิบบอกว่าอรไม่ใช่สาวลึกลับคนนั้น เรื่องมันก็จบ... เว้นแต่นายคนนั้นจะมีความลับที่ซ่อนอยู่ ที่มาขู่เราก็ไม่อยากให้เรื่องมันแดงนี่เอง...มิน่าล่ะ!!!

    ผมรอจนเพื่อนอรมารับ...แล้วจึงเลือกที่จะเดินกลับบ้านเพราะไม่อยากเข้าไปสู่โหมดสีเทาเร็วนัก ผมคิดเรื่องนั่นเรื่องนี้ไปจนเพลินรู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าบ้านแล้ว และมันก็เกิดปัญหาคือ...ผมยังไม่มีกุญแจบ้าน แกงส้มเอ๊ยยยย!!! เพิ่งก่อเรื่องไปหยกๆ ยังจะมาเข้าบ้านค่ำอีก ถ้ารั้วไม่สูงเหมือนกำแพงเรือนจำแบบนี้ ผมก็คงจะปีนเข้าไปแล้ว ผมเอื้อมมือไปกดกริ่งก่อนถอนหายใจรอว่าจะเป็นใครมาเปิด ซึ่งดูๆแล้วมันไม่มีใครจะต้อนรับผมด้วยรอยยิ้มสักคน รอสักพักก็มีคนเปิดประตู

    “ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณทันทีที่ประตูแง้มออก แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นร่างสูงที่หาเรื่องผมเมื่อตอนบ่ายยืนจังก้าอยู่ สายตาที่มองมันคาดเดาไม่ถูกว่านายผีดิบคิดอะไรอยู่

    “ไปไหนมา” เสียงเฉียบดังออกมาจากร่างสูง ผมเลือกที่จะไม่หยุดตอบแต่ก็ถูกกระชากแขนเอาไว้

    “ชั้นถามไม่ได้ยินหรือไง” เสียงกร้าวพุ่งตรงมาที่ผมอย่างชัดเจน

    “ไปธุระ” ผมตอบสั้นๆ หวังจะกวนประสาทใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มที่ สายตาคมนั้นไม่ได้ทำให้ผมหวาดหวั่นแม้แต่น้อย อยู่แดนคนเถื่อนผมจะทำตัวอ่อนแอไม่ได้เป็นอันขาด!!!

    “คิดว่าตัวเองเก่งสินะ...นายควรรู้ว่าสิ่งที่ทำนายมันไม่ใช่สิ่งที่คนฉลาดเค้าทำกัน” ผมถูกล็อคตัวด้วยแขนเข็งแรงทั้งสองข้าง ผมพยายามฝืนตัวออกมาแต่ก็ไร้ประโยชน์ในเมื่ออีกฝ่ายดูไม่ใส่ใจกับการดิ้นรนของผมแม้แต่น้อย

    “แต่ก็ฉลาดที่จะไม่หลงกลเชื่อคนอย่างคุณก็แล้วกัน” ผมจึงเลือกที่จะเฉือดเฉือนด้วยวาจา

    “หลงกล...นี่นายคิดว่าชั้นเป็นคนจำพวกไหนถึงใช้คำแบบนี้กับชั้น” ร่างสูงกระตุกแขนผมแรงจนร้องออกมาเบาๆด้วยความเจ็บ

    “ก็ประเภทโปรยเสน่ห์ให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไงล่ะ ถึงคนทั้งบ้านจะรักระแย่งคุณยังไง ผมก็ไม่เห็นว่าตัวคุณจะมีอะไรดีสักอย่าง...นอกจากหลอกผู้หญิงให้แย่งกันไปวันๆ” โทษฐานที่ทำผมเจ็บ ผมจะสาดคำแรงๆออกไปด้วยความสะใจ

    “ปากดีนักนะ แบบนี้ชั้นต้องล้างปากให้สักหน่อยล่ะ” ผมถูกดันตัวเข้าซอกกำแพง ร่างสูงนั้นเบียดเข้ามาจนแทบขยับตัวไม่ได้ ผมเบือนหน้าหลบโดยทันทีแต่มือใหญ่นั้นก็บีบคางผมพร้อมบดขยี้ริมฝีปากลงบนปากผมอย่างรุนแรง ผมพยายามผลักร่างนั้นออกจากตัวแต่ก็ไม่เป็นผล ใบหน้าผมถูกเชยขึ้นเพื่อรับการลงโทษ เรียวลิ้นนั้นพยายามแทรกตัวเข้ามาริมฝีปากผม แต่ผมก็เม้มปากปกป้องตัวเองไว้จนร่างนั้นผละออกจากตัวผม ผมเช็ดปากอย่างแรงเพื่อแสดงความรังเกียจ สายตาจ้องมอองร่างสูงนั้นอย่างเคียดแค้น

    “หวานดีนะ...จูบแรกรึเปล่า???” นายผีดิบยิ้มเจ้าเล่ห์ถากถาง ใช่...นั่นมันจูบแรกของผม แต่ผมจะไม่นับมัน นี่มันน่ารังเกียจที่สุด!!! ผมวิ่งหนีออกจากซอกกำแพงนั้นเข้ามาในบ้าน ความโกรธพุ่งสูงอย่างเหลือเชื่อ ผมเกลียดริมฝีปากนั้นที่จูบผม ผมเกลียดมือนั้นที่สัมผัสผม เกลียดเสียงทุ้มที่ถากถาง เกลียดรอยยิ้มดูถูกเยาะเย้ย ผมเกลียดคนๆนั้นที่สุด ชั้นเกลียดนาย!!!

     

    HUNZ talk

    ผมมองตามร่างสูงโปร่งที่วิ่งผลาออกไป ผมก็แค่โมโหที่เด็กคนนั้นพูดเรื่องแย่ๆ พรรค์นั้นออกมา มันเจ็บปวดนะครับที่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เป็นผู้ชายที่ไม่สามารถปกป้องใครได้ มีความจริงอยู่ในมือแต่ก็พ่ายแพ้ทุกอย่าง.... ผมไม่มีความศรัทธาในตัวเองแม้แต่น้อย ยิ่งคำพูดของเด็กหนุ่มหน้าหวานทำยิ่งทำให้ความกดดันที่มีมานานระเบิดออก ผมแค่อยากให้ใครรับรู้ถึงความเจ็บปวดของผมบ้าง แต่ผมก็ไม่ควรทำแบบนั้น แววตาตระหนกตกใจหลังจากที่ผมถอนริมฝีปากออกมามันช่างน่าสงสารถึงอย่างนั้นก็อดพูดเย้ยหยันออกไปไม่ได้ ผมพิงกำแพงอย่างอ่อนล้า สิ่งที่ผมทำวันนี้...มันเลวร้ายทุกอย่าง

    ก่อนที่จะเดินออกมาจากซอกกำแพงนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์สีดำเรียบตกอยู่ คงเป็นของแกงส้ม... ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่ไม่รู้ทำไมถึงเปิดเลือกที่จะเปิดกระเป๋าใบนั้นออกดู สิ่งที่ผมเห็นผมทำให้ผมหัวใจเต้นแรง มือสั่นน้อยๆด้วยความตกตะลึง รูปครอบครัวที่อยู่ในนั้น....มีหนึ่งคนที่ผมคิดถึงเค้ามาตลอด “ตุ้ยนุ้ย” เด็กผู้ชายร่างอวบอ้วนใบหน้าไร้เดียงสาในวันวาน เจ้าของสร้อยพระที่แทนคำสัญญาของเราทั้งสองคน มิน่าละ...ถึงคุ้นกับแววตาคู่นั้นนัก ผมนึกโกรธตัวเองขึ้นมาทันใด เมื่อกี้ผมทำอะไรลงไป...คนที่ผมทำร้ายจิตใจไปหมาดๆ คือ “ตุ้ยนุ้ย” ความหวังความฝันเดียวของผม หนึ่งคนที่ผมเลือกที่จะจำแม้จะตกอยู่ในความเลวร้าย รอยยิ้มที่เป็นเหมือนกำลังใจในวันที่ฟ้าหม่นของเด็กจนๆคนหนึ่ง

    “แกงส้ม...นายคือเด็กคนนั้นเหรอเนี่ย???” ถึงแม้จะทำสิ่งแย่ๆลงไป แต่ผมก็อดยิ้มไม่ได้ และแล้วจะถึงวันนี้สักที... วันที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

     

    ปล. เม้นหน่อยเพื่อเป็นกำลังใจในการแต่งนะจ๊ะ ^^  รีดรอไรต์อัพ ไรต์รอรีดเม้นนะจ๊ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×