คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : ข่มขู่
“ทำไมต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วยละ...แม่เป็นห่วง” แม่พูดประโยคนี้เป็นครั้งที่สามในขณะที่ช่วยผมเก็บข้าวของเท่าที่จำเป็น ผมได้แต่ยิ้มไม่ต่อปากต่อคำเพราะกลัวว่าถ้าเถียงด้วยเหตุผล คงจะยาวถึงสองทุ่มแน่ๆ ในที่สุดผมก็จัดการรูดซิปกระเป๋าใบที่สองเสร็จสิ้น ก่อนคว้ากระเป๋าทั้งสองใบผมหันไปหอมแก้มแม่ที่ยังคงมีแววตาวิตกอยู่
“แม่ครับ...ผมอยู่ได้ เชื่อสิ!!!” ผมบอกกับแม่หนักแน่น แม่พยักหน้าอย่างเลยตามเลยเพราะรู้ว่าบทจะดื้อผมเองก็ไม่แพ้ใคร ผมเดินนำแม่ลงมาข้างล่างเพื่อจะบอกลาพ่อ
“ให้รถที่บ้านไปส่งไม่ได้เหรอ???” แม่ถามจริงจัง ผมลอบถอนหายใจ บ้านหลังนั้นดูมีพิธีรีตองมากมายชอบกล ผมไม่รู้ว่าถ้าพ่อกับแม่ไปส่งแล้วคนที่นั่นจะคิดยังไง ยิ่งถ้าพ่อกับแม่ได้รู้ว่าเจ้าของบ้านวัยกระเตาะมีฉายาที่ร่ำลือว่า “คุณหนูปิศาจ” แล้วละก็...ท่านคงเป็นห่วงผมมากแน่ๆ ไม่ทันที่ผมจะได้ปฏิเสธเสียงหัวเราะพ่อก็ดังขึ้นมาเหมือนกับว่าพ่อได้นั่งคุยกับใครสักคน
“น้องเรากลับมาแล้วเหรอ???.... นี่ยังไม่ถึงเวลานิ” แม่พึมพำออกมาเบาๆ เพราะยังไม่ใช่เวลาที่น้องชายผมจะมาจากเรียนพิเศษ ผมจึงเดินเร่งจังหวะให้เร็ว และคนๆนั้นไม่ใช่ใครคือ นายผีดิบ...จอมเย็นชา แห่งบ้านโสรญานั่นเอง เมื่อพ่อเหลือบมาเห็นผมกับแม่ก็ยิ้มกว้างทันที
“เจ้านายเจ้าแกงมันแม่....” พ่อชี้ไปทางนายผีดิบที่ลุกยืนยกมือไหว้แม่ผมอย่างนอบน้อม
“คือ...ผมไม่ใช่เจ้านายหรอกครับ ผมเป็นแค่คนจัดการอะไรต่างๆของคุณหนูเท่านั้นเองครับ” นายผีดิบแก้พูดของพ่ออย่างสุภาพ เรียนการแสดงมารึไงห๊ะ!!! เมื่อเช้าแว๊ดๆใส่ผมจนแทบเสียคน....ดูตอนนี้สิ!!!
“หล่อจริงๆนะพ่อคุณ” อยู่ๆ แม่ก็เดินเข้าไปหานายผีดิบอย่าลืม พ่อก็ได้แต่หัวเราะ พ่อแม่...นี่มันศัตรูหมายเลขหนึ่งของผมเลยนะครับ!!!
“หล่อขนาดนี้ทำไมไม่เป็นไปดาราล่ะพ่อคุณ” เมื่อมองใกล้แม่ยิ่งเป็นเอาหนัก นายผีดิบหัวเราะอย่าเขินๆ ยิ่งทำให้เครื่องหน้าที่ขาวใสดูทรงเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
“แต่ถ้าเมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว แบบนี้ยังเทียบพ่อไม่ติดเลยนะ” พ่อพูดกลั้วหัวเราะอารมณ์ดี แต่เรื่องนี้ผมไม่สนุกด้วยนะครับ
“คุณมาทำไมเนี่ย???” ผมถามโพล่งออกไป เสียงหัวเราะชะงัก นายผีดิบหันมามองหน้าผมด้วยสายตานิ่งเรียบ แต่แววตากลับวิบวับล้อเลียนอย่างไม่น่าให้อภัย
“ทำไมพูดกับพี่เค้ายังงั้นล่ะลูก” พ่อหันมาปรามผม แม่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดพ่อเต็มที่สุดชีวิต
“ก็มารับ--แกงส้มไง” ท้ายคำมันเป็นการตีสนิทที่ไร้การยินยอม.... ผมไม่ชอบให้คนที่ไม่สนิทด้วยเรียกชื่อ พ่อกับแม่จ้องมาที่ผมราวกับสิ่งที่ผมทำมันผิดมหันต์
“ผมไปเองได้” ผมไม่คิดจะเหวี่ยงใดๆอีกแล้ว เพราะอาจจะถูกเรียกไปอบรมที่ห้องพระ ทำไมพ่อกับแม่ถึงมองไม่ออกนะว่านายคนนี้มันแสแสร้ง....โอ๊ยยยยย!!!
“ไม่ได้...ไปกับพี่เค้า เสียน้ำใจเสียมารยาท” คำสั่งนั้นของแม่ถือว่าว่าเด็ดขาดไร้ข้อโต้แย้งใดๆ ผมประสานตากับดวงตาคมกล้านั้นอย่างเฉือดเฉือน....
และผมก็ได้ขึ้นมานั่งบนรถที่ดำคันหรูที่เมื่อเช้าเป็นต้นเหตุของความมอมแมมของผม ร่างสูงนั้นเปลี่ยนท่าทีจากสุภาพเรียบร้อยเป็นนายผีดิบผู้เย็นชาแต่มีพรสวรรค์ในด้านการกวนประสาททันทีที่ลับสายตาพ่อแม่ผม
“นายไม่ถามหน่อยเหรอ...ว่าชั้นมาบ้านนายทำไม” ร่างสูงนั้นถามขึ้นเมื่อรถออกตัวมาไม่นานนัก
“อยากบอกก็บอก ไม่อยากบอกก็ไม่ต้อง” ผมตอบยียวนไป สายตามองตรงจึงไม่เห็นว่าใบหน้าหล่อนั้นมีปฏิกิริยากับคำตอบของผมอย่างไร
“ชั้นมาสืบประวัตินาย” แต่คำพูดเรียบๆนั้นก็ทำเอาผมหันขวับไปมองใบหน้านิ่งเฉยได้
“มาแค่นี้...คิดว่าสืบได้หมดรึไง!!!” ผมยอมรับว่าครั้งแรกที่ได้ยินมันหวั่นใจไม่น้อย แต่นายคนนั้นมาบ้านผมไม่ถึงชั่วโมงจะรู้อะไรตื้นลึกหนาบางขนาดนั้นเชียว...นอกจากว่าจะมีจิตสัมผัสเหมือนในรายการทีวีซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้
“นายเป็นนักเรียนที่มีประวัติการเรียนเยี่ยม กิจกรรมยอด ทั้งดนตรี กีฬาไม่น้อยหน้าใคร แต่ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาการเงินที่เกิดจากหนี้นอกระบบ ทำให้นายยอมดรอปเรียนทั้งที่กำลังจะจบปีสามแล้วเพื่อลดภาระครอบครัว.... เอาอีกมั้ย???” ทุกอย่างที่พูดมันทำให้ผมขยับตัวด้วยความกลัว...
“คุณรู้ได้ยังไง???” ผมรีบถาม แต่ร่างสูงนั้นให้มาเพียงรอยยิ้มที่มุมปาก และการขับรถที่น่าหวาดเสียว ถึงแม้รถคนนี้จะขึ้นชื่อด้านความปลอดภัยแต่ถ้าขับเร็วขนาดนี้...เกิดอะไรขึ้นมานิดเดียว มันเหมือนเอาชีวิตมาทิ้งเลยนะครับ
“คุณจะรีบไปไหนเนี่ย???....ขับ---ขับช้าๆหน่อยคุณ” มันเหมือนเป็นการแกล้งผมมากกว่า เมื่อร่างนั้นค่อยลดความเร็วทันทีที่ผมอุทธรณ์
“เห็นปากเก่ง นึกว่าไม่กลัวอะไร ถือว่าเป็นการต้อนรับน้องใหม่สู่บ้านโสรญาล่ะกันนะ” คำพูดนั้นมันทำให้ผมกอดอกเม้มปากจนไปถึงคฤหาสน์หลังโต ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าต้องสืบประวัติผมซะขนาดนี้ หน้าตาผมเหมือนอาชญากรมากรึไง!!!
HUNZ talk
บอกตรงๆ ว่าทีแรกผมไม่ค่อยไว้ใจเด็กหนุ่มหน้าใสคนนี้ เพราะจากท่าทางที่ดูได้รับการอบรมมาดีบวกกับความมั่นใจที่ค่อนข้างออกไปทางจองหอง น่าจะเป็นเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี แต่ทำไมถึงต้องมาทำงานเงินเดือนสูงในวัยเรียนแบบนี้ ผมจึงเดินทางไปที่บริษัทนักสืบที่ผมฝึกฝนการต่อสู้และการป้องกันตัวต่างๆ เพื่อสืบค้นของมูลของเด็กคนนี้ แต่เมื่อได้อ่านประวัติผมยอมรับในความน่าทึ่งของเด็กคนนี้ และที่สำคัญเด็กคนนี้เคยเรียนโรงเรียนกับ “ตุ้ยนุ้ย” ความทรงจำดีๆความทรงจำเดียวในช่วงที่ผมต้องลำบากท่ามกลางสังคมเสื่อมโทรม บางครั้งเด็กคนนี้อาจจะรู้จักกับ “ตุ้ยนุ้ย” ของผมก็เป็นได้
“ตามชั้นมา” ผมบอกสั้นๆ หลังจากไม่สำเร็จในการพยายามช่วยถือกระเป๋า แกงส้มดึงดันที่จะถือสัมภาระของตัวเองทุกอย่าง โดยให้เหตุผลว่า “ถ้าคุณยัดยาผม...ผมก็แย่หน่ะสิ!!!” คนอะไรมองโลกในแง่ร้ายชะมัดแต่ถ้ามองอีกมุม แกงส้มคงไม่ชอบขี้หน้าผมอย่างแรง แต่ใครจะสนล่ะ!!!
“นี่ห้องนาย...มีอะไรขาดเหลือก็บอกชั้น ห้องชั้นอยู่ตรงข้ามนี้” ผมเปิดประตูห้องที่ได้รับการปัดกวาดเป็นอย่างดี แกงส้มพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ
“อาหารเช้าที่นี่เริ่มเจ็ดโมงเช้า อาหารกลางวันเวลาเที่ยงครึ่ง ส่วนอาหารเย็นเวลาทุ่มตรง” ผมบอกตารางอาหาร แกงส้มพยักหน้าหงึกหงักรับทราบ ผมจะหมุนตัวเดินออกจากห้องเพื่อให้เจ้าของห้องคนใหม่ได้ใช่เวลาส่วนตัวก่อนอาหารเย็น
“เดี๋ยวๆๆ” เสียงเรียกทำให้ผมชะงักฝีเท้าและหันหน้ากลับมองต้นเรียกที่ร้องเรียก
“มีอะไรอีกล่ะ” ผมถามสั้นๆ
“แล้วตารางสอนเปียโนล่ะ คุณยังไม่ได้บอกผมเลย” แกงส้มทำหน้าเหรอหราที่ดูแล้วน่าหมั่นเขี้ยวนัก
“แล้วแต่คุณหนูว่าเธออยากเรียนตอนไหน” ผมตอบเสียงเรียบๆ เพราะไม่มีใครสามารถกำหนดกฎเกณฑ์กับคุณหนูได้ตั้งแต่คุณท่านกับคุณผู้หญิงเสียไป
“บ้าไปแล้ว....แล้วแบบนี้ผมจะวางแผนการสอนยังไง” เสียงนั้นเริ้มโวยวายเล็กๆแสดงความไม่พอใจ
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนายต้องมาอยู่ที่นี่” ผมพูดสั้นก่อนเดินออกไปท่ามกลางความไม่เข้าใจของร่างสูงโปร่งนั้น ผมก้าวเข้ามาในห้องพร้อมทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า ผมปลดกระดุมเสื้ออกเพื่อนำสร้อยเงินที่ผมแขวนติดตัวมาตลอดหกปีมาถือไว้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรช่วงนี้ผมถึงคิดถึงเจ้าของสร้อยเส้นนี้เหลือเกิน... แค่สักครั้งที่ผมได้มีโอกาสยื่นสร้อยเส้นนี้กลับสู่เจ้าของ แค่สักครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มกับแววตาไร้เดียงสานั้นอีกครั้ง มันเลือนรางไปจนผมแทบจะจำไม่ได้แต่ที่จำได้ดีคือความผูกพันเมื่อแรกเห็นมันเป็นสิ่งที่ผมยากจะลืม แม้ว่าจะกลายเป็นคนใหม่แล้วก็ตาม
คุณหนูสมายล์ออกไปเที่ยวเล่นอีกแล้วตามประสา ทำให้บนโต๊ะอาหารเย็นมีเพียงผม เจนจิรา และครูสอนเปียโนคนใหม่ แกงส้มดูเหมือนจะแบกรับความอึดอัดไว้แต่เพียงผู้เดียว ดูจากการจ้วงอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“ฮั่นค่ะ...ลองนี่หน่อยสิค่ะ” เจนจิราค่อยทำหน้าที่บริการผมจนเป็นไปไม่ได้ที่ร่างสูงโปร่งที่ร่วมโต๊ะจะไม่สังเกต อร เด็กสาวที่รับใช้เบือนหน้าหนีเพราะเธอเองก็รู้ว่าเจนจิราเป็นคนอย่างไร
“ไม่เป็นไรเจน---ผมตักเองได้” ผมตัดบททันที รอยยิ้มของเจนจิราเจื่อนไปเล็กน้อย แต่คนที่มีรอยยิ้มที่มุมปากกลับเป็นแกงส้มที่คงนึกขำน่าดู
“คุณครูอิ่มแล้วเหรอคะ???” อรถามแกงส้มเบาๆ ทำให้ผมเงยหน้ามามองเห็นแกงส้มรวบช้อนส้อมไว้กลางจานเรียบร้อย
“ครับ---แต่อาหารอร่อยมาก ขืนอยู่นานมีหวังต้องอ้วนไปกว่านี้แน่ๆ” แกงส้มหันไปตอบคนถามได้สุภาพน่ารัก นี่คงเป็นเพราะครอบครัวที่แสนอบอุ่นจนน่าอิจฉาที่ผมได้สัมผัสด้วยตัวเองในตอนบ่าย ผมประเมินแกงส้มใน “เบื้องต้น” ถือว่า ผ่าน!!!
“ทานเยอะก็ได้นะค่ะ...จะอ้วนสักเท่าไหร่กัน” แต่คำพูดหวานหูเช่นกันแต่ทำไมเจนจิรากลับดูไม่น่าฟังเหมือนแกงส้ม หรืออาจเป็นเพราะผมรู้จักเธอดี... ดีกว่าที่ใครๆจะคาดคิด
“ไม่ไหวหรอกครับ...ผมเคยอ้วนมาก่อน เผลอนิดหน่อยก็ขึ้นกระจาย กว่าจะผอมได้ขนาดนี้มันลำบากครับ” ผมมองปราดไปทั่งร่างสูงโปร่งผิวขาว...นายเคยอ้วนมาก่อนเหรอเนี่ย??? ถึงว่าสิถึงได้ดูเนื้อตัวนุ่มนิ่มมากกว่าแข็งแรง
หลังจากอาหารเย็นมื้ออร่อย ผมก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องใหม่ ดูๆไปที่นี่ก็ไม่เลวนัก อาจจะดูโหวงเหวงเพราะความใหญ่โต แต่หากมองแล้วก็สวยงามโอ่อ่าแค่นี้ก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิตแล้ว ผมปิดไฟตั้งแต่สี่ทุ่มจนขณะนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่กระนั้นผมก็ยังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง คงเป็นเพราะแปลกที่แปลกทางถึงมีที่นอนที่นุ่มสบายแค่ไหนก็ไม่อบอุ่นเท่าเตียงที่บ้านผม และที่สำคัญไฟจากโถงทางเดินก็ส่องผ่านกระจกเหนือประตูเข้ามา ผมนึกชั่งใจอยู่นานจะตัดสินใจที่จะเดินไปปิด เมื่อมือกำลังจะสัมผัสลูกบิดผมได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทั้งที่ก็ไม่คิดทำอะไรผิดแต่กลับไม่ขยับตัวไปไหน
“ฮั่นค่ะ---ฮั่น----ฮั่นค่ะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องเรียกนายผีดิบกลางดึก ผมหัวเราะออกมาอย่างสมเพชที่แท้ก็เล่นกันเองในบ้านสินะ... อยากรู้จริงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มาหาผู้ชายถึงที่น่าเกลียดที่สุด!!!
“นี่คุณ---ผม---------ก่อน” เหมือนเจ้าของห้องจะระวังมากขึ้น มันจึงกลายเป็นเสียงกระซิบที่ฟังจับใจความไม่ได้ ทั้งที่พยายามแล้วแท้ๆ ผมจึงเลือกจะถอยห่างออกมานั่งบนเตียงนุ่มๆ หมดกันกับการนอนคืนนี้ ไหนจะแปลกที่ ไหนจะแสงไฟ และไหนจะเหตุการณ์เร้นลับน่าตื่นเต้นนี่อีก!!!
สุดท้ายผมก็ตื่นสายจนได้ เป็นเพราะเมื่อคืนกว่าจะข่มตาให้หลับก็เกือบตีสี่ ผมรีบวิ่งลงมาในใจนึกภาวนาให้มีอาหารเหลืออย่างน้อยก็ขนมปังสักแผ่นก็ยังดี แต่บนโต๊ะอาหารว่างเปล่า ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเวลาแปดโมงกว่าๆแล้ว
“ชั้นบอกนายแล้วไง...ว่าอาหารเช้าตอนเจ็ดโมง” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลัง ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนความตกใจจะแปรเปลี่ยนเป็นความโมโห (หิว)
“ก็คนมันตื่นสายจะให้ทำยังไง... เรื่องอาหารผมก็จัดการเองได้ หาอะไรแถวนี้ก็ได้ ไม่ต้องมาห่วงผมหรอก” ผมกระแทกเสียงใส่ร่างสูงด้วยความหงุดหงิด หิวก็หิวยังมาชวนทะเลาะอีก
“มันไม่ใช่เรื่องอาหาร...แต่มันเป็นเรื่องความรับผิดชอบและจารีตที่ควรจะทำ ไม่ใช่ว่าจะอยากจะนอนอุตุเท่าไหร่ก็ได้ตามใจตัวเอง... ที่นี่ไม่ใช่บ้านนาย”
“พูดสั่งสอนยังกะตัวเองดีนักหนานั่นแหละ อย่านึกว่าทำอะไรไม่ดีไว้แล้วค่อยอื่นจะไม่รู้ไม่เห็นนะ” ผมชักอารมณ์เสียที่ถูกนายผีดิบสั่งสอน ทั้งที่เมื่อคืนตัวเองก็ทำเรื่องน่ารังเกียจแท้ๆ
“พูดบ้าอะไรกัน!!!” นายผีดิบถามผมเสียงเฉียบพร้อมก้าวเข้ามาประชิดตัว
“ก็เรื่องนายกับผู้หญิงเมื่อคืนไง!!!” ผมเหลืออดจึงพูดออกไปค่อนข้างดัง ใบหน้าเรียบนั้นกระตุกเล็กน้อยอย่างมีพิรุธ ผมยิ้มเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นต่อ
“พี่ฮั่นค่ะ....สมายล์ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ” แต่เสียงใสที่แฝงความโกรธกร้าวนั่น...ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดเอาไว้ นายผีดิบถอนหายใจก่อนเดินไปโดยไม่เหลือบมามองหน้าผมสักนิด เหมือนผมกำลังก่อปัญหาใหญ่ให้กับบ้านหลังนี้ซะแล้ว....
หลังจากหนีเข้าไปกลบดานในห้องค่อนวัน ผมคิดเอาเองว่าเหตุการณ์สงบสุขดีเพราะไม่มีไซเรนหรืออะไรที่แจ้งว่าเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายขึ้น ผมเดินลัดเลาะเพื่อหลบโจทก์เข้าไปในห้องครัวเพื่อหาน้ำทานสักแก้ว แต่กลับพบว่ามีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นมาจากห้องครัว
“ไม่เป็นไรจ๊ะป้า....นึกไว้แล้วว่ามันต้องมีวันนี้” ผมมองเห็นอร สาวใช้หน้าตาน่ารักนั้นร้องไห้โดยมีแม่ครัวขาใหญ่ยืนปลอบ
“ไอ่เด็กบ้านั่นก็ร้ายจริงๆ มาวันเดียวก็ก่อเรื่องจนแกต้องโดนไล่ออกแบบนี้” เหมือนว่าผมจะเป็นผู้ที่ถูกพาดพิง ทำเอากระดูกสันหลังของผมเสียววาบ
“ไม่เกี่ยวกับคุณครูหรอกป้า... ชั้นเองก็ขวางทางเค้าหลายครั้งแล้ว มันเป็นกรรมของชั้นเอง”
“แล้วคุณฮั่นว่ายังไง”
“คุณฮั่นเองจะทำอะไรได้ ป้าก็รู้ว่าเค้า------” ไม่ทันจะพูดจบผมก็ถูกร่างสูงดึงแขนไปอย่างรวดเร็วและค่อนข้างรุนแรง เมื่อถึงซอกหลับตาคน ผมจึงสะบัดมือหลุดออกจากข้อมือนั้น
“นายรู้ตัวมั้ย???....ว่าทำคนอื่นเค้าเดือดร้อน เพราะความคิดโง่ๆของนาย” นายผีดิบใส่อารมณ์กับผมทันที
“ผมทำอะไรผิด เท่าที่รู้ก็แค่พูดความจริง” ถึงแม้จะรู้สึกผิดแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่ใช่แค่ผมสักหน่อยที่ผิด ถ้าเค้าไม่ทำผมก็ไม่มีกล่าวหาลอยๆหรอก
“นายแส่เรื่องคนอื่นไง ถ้าอยากอยู่แบบสงบๆ อย่าได้ริยุ่งเรื่องของคนอื่นอีก” ฟังแล้วมันเหมือนคำข่มขู่
“ผมจำเป็นต้องทำตามด้วยเหรอ???” ผมท้าทายของไป ร่างสูงนั้นดูเหมือนพายุเพลิงที่ทั้งรุ่มร้อนและรุนแรง
“มันเป็นกฎข้อแรกที่นายต้องจำใส่ใจ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ใช้ชีวิตตัวเองให้รอดก็พอ!!!” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินออกไปทันที นี่มันข่มขู่กันชัดๆ บ้าไปแล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไร... ลึกลับซับซ้อนเกินไปแล้ว หรือว่าผมกำลังเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์พิศวาสฆาตกรรมเนี่ย???
ปล. เม้นหน่อย เพื่อกำลังใจที่ดีของไรต์นะจ๊ะ.... ต่อไปเรื่องนี้จะอัพเร็วแล้วนะจ๊ะ ^^ ฝากติดตามกันด้วยจ้า
ความคิดเห็น