คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : Chapter 20: เริ่มต้นหรือสิ้นสุด
ผมเดินทางมาถึงหอพักของพี่แคน ในมือมีเย็นตาโฟที่พี่แคนที่ชอบมาฝาก ผมเองพยายามเรียบเรียงคำพูดที่จะบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้กับพี่ฮั่นพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าพี่ฮั่นจะโกรธผมมั้ย???...ที่วันนี้ทำตัวเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ แค่คืนเดียวคงไม่ทำให้อะไรๆ เปลี่ยนไปหรอกนะ พรุ่งนี้แล้วดอกรักจะบานในใจเราสองคน ฮิ้ววววว.... เสี่ยวไปไหนเนี่ยแกงส้ม ผมไขกุญแจเข้าไปในห้อง แต่ในห้องไม่ได้มีแค่พี่แคนเท่านั้น
“พี่ฮัท.... มาทำไมตั้งดึกตั้งดื่น” ผมวางกระเป๋าลงที่โต๊ะแต่ไม่ละสายตาออกจากพี่ฮัท
“แกงส้ม ทำไมไม่รับโทรศัพท์ว้า” พี่แคนถามผมอย่างร้อนใจ
“ลืมเปิดเสียง” ผมตอบสั้นๆ เพราะดูจากสีหน้าของสองคนนี้ ผมมีลางสังหรณ์ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ค่อยดีนักแน่นอน พี่ฮัทกับพี่แคนมองหน้ากันอย่างลำบากใจ....
เมื่อพยางค์สุดท้ายหลุดออกจากพี่ฮัทแล้ว ภาพในหัวผมดับวูบ “พี่ฮั่นรถคว่ำ ตอนนี้อยู่ที่ห้องผ่าตัด” ประโยคนี้ดังก้องในโสตประสาท ความรักของเราทำไมมันช่างยากเย็นแบบนี้ เมื่อทุกอย่างกำลังจะลงทำมันต้องลงเอยแบบนี้!!!
“แกงส้ม...หมอสมัยนี้เก่งจะตาย ปลุกคนตายให้ฟื้นก็ยังได้ ยังไงพี่ฮั่นของแกงส้มก็ต้องปลอดภัย” พี่แคนเข้ามาตบบ่าผมเบาๆ
“พี่ฮัทพาผมไปหาพี่ฮั่นหน่อย” ผมเงยหน้าพูดขึ้นหลังจากที่นิ่งเงียบไปสักพัก พี่ฮัทพยักหน้า ผมคว้ากระเป๋าเดินออกไปพร้อมพี่ฮัททันที ตลอดทางผม....นิ่งเงียบ ถ้าผมไม่ทำพิษแสนงอนแบบนั้น พี่ฮั่นก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปผมจะไม่โกรธพี่เลยสักนิด ผมรู้แล้วว่าผมรักพี่หมดหัวใจ.......
เมื่อไปถึงหน้าห้องผ่าตัด เฟรมกำลังนั่งน้ำตาไหลพรากอยู่คนเดียว พี่ฮัทเดินแซงผมตรงไปหาคนรักทันที เฟรมมองหน้าพี่ฮัทแล้วปล่อยโฮออกมา ดูจากรอยช้ำที่ตาแล้ว เธอคงร้องไห้ออกมาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแน่ๆ มันเป็นความผิดของผมคนเดียว เพราะผมคนเดียวที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายแบบนี้ ถ้าผมไม่คิดเล่นสนุกอะไรแบบนั้น พี่ฮั่นก็คงไม่......
“เฟรม เราขอโทษจริงๆนะ” ผมเดินไปขอโทษเฟรมอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษเรื่องอะไรกัน แกงส้ม” เรื่องเช็ดน้ำตาก่อนจะถามผม
“เราเองเป็นคนไล่พี่ฮั่นออกไป ถ้า... ถ้าเราพูดดีกับพี่ฮั่นเรื่องมันคง...” ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ เฟรมลุกมาแตะบ่าผมเบาๆ
“แกงส้ม มันไม่ผิดเลยนะที่แกงส้มจะโกรธพี่ฮั่น ทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ อย่าโทษตัวเองเลย” เฟรมปลอบใจผมทั้งที่น้ำตายังไม่แห้งไปจากแก้มใสๆ
“คุณหมอครับ...” พี่ฮัทร้องขึ้นเมื่อเห็นคุณหมออกมาจากห้องที่ผ่าตัดพี่ฮั่น
“พี่ชายหนูเป็นยังไงคะ...” เฟรมกับผมก็ปรี่ไปหาหมอพร้อมกันทันที
“อาการโดยทั่วไปก็เป็นที่น่าพอใจนะครับหลังจากที่หมอผ่าตัดเอาเลือดคั่งในสมองออก แต่ต้องรอดูอาการสักหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้รอให้คนไข้ฟื้นก่อนถึงจะบอกได้อย่างละเอียด” หมออธิบายซึ่งทำให้ผมสบายใจไปเปาะหนึ่ง
“แล้วเมื่อไหร่คนไข้ถึงจะฟื้นละครับ” ผมถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“อันนี้หมอก็ตอบไม่ได้นะครับ แต่ไม่น่าจะเกินสามวัน” สามวันเลยเหรอ???... พี่ฮั่นพี่รีบๆตื่นขึ้นมานะ ผมจะรอพี่อยู่ตรงนี้ ผมจะเป็นคนแรกที่พี่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอหน้า ไม่มีอีกแล้ว...ความพลัดพรากระหว่างสองเรา ผมจะทิ้งเรื่องเลวร้ายทุกอย่างไว้ตรงนี้แล้วเราจะเริ่มต้นกันใหม่นะ...
ใบหน้าซีดเซียวของร่างสูงที่นอนเหยียดยาวบนเตียงผู้ป่วย ทำให้ผมแทบอย่างจะร้องไห้ เข้าใจแล้วคำว่า “เจ็บแทนได้ขอเจ็บแทนยังจะดีซะกว่า” ร่างนั้นอาจจะเจ็บกาย แต่ผมนั้นทรมานใจ คิดถึงสายตาคมกริบที่มองมาด้วยความรัก คิดถึงเสียงที่คอยบอกรักมาตลอด พี่ฮั่นตื่นขึ้นมาที...ผมเหงา มันเป็นความเหงาที่ใครก็ทำให้มันหายไปไม่ได้ มีเพียงพี่เท่านั้นที่จะเติมเต็มอารมณ์รักของผมให้เต็ม ผมเอื้อมไปไปซับเหงื่อบนหน้าของพี่ฮั่นเบาๆ แล้วยกมือเรียวนั้นมาแนบไว้ที่แก้ม ผมอยู่ตรงนี้นะ...พี่ฮั่น
“แกงส้ม... เราซื้อของกินมาให้ด้วยนะ” เฟรมพูดขึ้นทันทีที่เปิดประตู ผมค่อยวางมือที่ฮั่นบนเตียงอย่างเบามือ ผมหันไปยิ้มให้เฟรมก่อนจะลุกขึ้นไปหา แต่ทุกอย่างก็มืดดับลงฉับพลัน...
“ฟื้นแล้วเหรอ???” เสียงพี่แคนดังขึ้น ผมกลายสภาพมาจากคนเฝ้าไข้มาเป็นคนไข้ซะเอง
“พี่ฮั่นเป็นยังไงบ้าง” ผมเรียกหาพี่ฮั่นทันที ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน
“โห... เฝ้าเค้าสามวันสามคืนไม่หลับไม่นอนจนเป็นลม ตื่นมายังถามหาเค้าเป็นคนแรกอีก แกงส้มเอ๊ยยยย...บอกว่าไม่รักให้ตายยังไงพี่ก็ไม่เชื่อ” พี่แคนร่ายซะยาวเหยียด
“ผมถามถึงพี่ฮั่น ไม่ได้ถามความคิดเห็นพี่ซะหน่อย” ผมบอกอย่างงอนๆ เพิ่งฟื้นขึ้นมาก็แซวก่อนเลยนะพี่แคน
“พี่ฮั่นของเราฟื้นขึ้นมาแล้วเมื่อคืนนี้ แต่หมอให้ยานอนหลับแกงส้มทุกคนเลยปล่อยให้แกงส้มพักผ่อนก่อน แต่พี่ก็ไม่รู้อาการหรอกนะ” พี่แคนเห็นผมบ่นเลยเล่าให้ฟัง... พี่ฮั่นฟื้นแล้วเหรอ เจ็บใจตัวเองชะมัดอุตส่าห์นอนเฝ้ามาตั้งหลายวัน ไม่น่าใจเสาะเป็นลมเป็นแล้งไปเลย พี่ฮั่นฟื้นขึ้นมาเลยไม่ได้เห็นเราเป็นคนแรกเลย ผมเลยรีบลงจากเตียงลากขวดน้ำเกลือไปที่ห้องของพี่ฮั่นทันที
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าพี่เอและพี่บีเป็นคนเฝ้า ซึ่งสองคนก็ดูตกใจไม่น้อยๆที่จู่ๆ ผมก็โผล่มาให้สภาพมีสายน้ำเกลือระโยงแบบนี้ พี่ฮั่นยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ผมแอบคิดในใจหรือว่าพี่ฮั่นไม่อยากคุยกับเรา...ถึงได้หลับทุกครั้งที่ผมมา พี่ฮั่นถ้าพี่ไม่ตื่นก่อนที่ผมจะถูกไล่กลับห้อง ผมจะงอนจริงๆนะ เอาสิ!!!
“แกงส้มเป็นไงบ้าง....โทรมเลยทีเดียว” พี่เอเดินเข้ากดผมให้นั่งลงที่โซฟา
“ก็ดีขึ้นมาแล้วครับ” ผมตอบแต่สายตาก็ยังคงร่ายมนตร์ไปที่ร่างสูงที่นอนหลับใหล
“คราวหน้าทำอะไรก็อย่าหักโหมนะ ถ้าเป็นอะไรไปอีกคนจะแย่ไปกันใหญ่” พี่บีเสริม ผมหันไปยิ้มแทนคำตอบ ผมเหมือนจะเห็นพี่ฮั่นขยับ ผมจึงรีบลุกเดินไปที่ข้างๆ เตียงพอดี เปลือกตาพี่ฮั่นค่อยๆ ขยับก่อนจะลืมตาขึ้นมาเต็มที่มองมาที่หน้าผมอย่างสงสัย...
“คุณเป็นใคร” มันคือคำถามที่ทำเอาผมหัวใจหล่น นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย??? ผมหันไปมองหน้าพี่เอพี่บีอย่างตกใจ
“หมอบอกว่ามันเป็นอาการข้างเคียงมาจากการผ่าตัด ทำให้สมองช้ำ” พี่บีตอบผมอย่างอ่อนโยน
“แต่เดี๋ยวความทรงจำก็กลับมาแล้วนะแกงส้ม ไม่ต้องห่วงหรอก อาจจะนานหน่อยแต่หมอก็บอกว่าโอกาสกลับมาจำได้สูงกว่า...” พี่เอรีบเข้ามาปลอบใจผม ผมก้มลงมองพี่ฮั่นที่ส่งสายไร้เดียงสาที่สุดมาที่ที่ผมเคยเห็น
“พี่ฮั่นไม่เป็นไรนะ...ผมจะเป็นดูแลพี่เอง” ผมบอกพี่ฮั่น มันเป็นคำสัญญาจากผม ไม่ว่าพี่จะจำผมได้หรือไม่ก็ตาม ยังไงพี่ก็เป็นคนที่ผมรัก ผมไม่มีวันปล่อยมือจากพี่ไปเป็นอันขาด ผมจะพาพี่กลับไปยังที่ของเรา.....ที่ไร่องุ่น เราสองคนจะมีคืนวันดีๆที่นั่น จนกว่าพี่จะจำผมได้นะ.....
หลังจากที่คุณหมอได้ตรวจร่างกายของผมเรียบร้อยแล้ว ก็อนุญาตให้ถอดสายน้ำเกลือ ผมก็ตรงดิ่งไปที่ห้องพี่ฮั่นทันที พี่เอพี่บีที่ดูเหมือนจะเฝ้าพี่ฮั่นทั้งคืนดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
“พี่เอกับพี่บีไปพักผ่อนก็ได้นะ ผมจะดูแลพี่ฮั่นเอง” ผมหันหน้าไปบอกสองแฝดรูปหล่อ
“ก็ดีเหมือนกันนะ บางทีความรักมันอาจจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นก็ได้” พี่เอพูดกับผมเป็นนัย
“พี่ฮั่นครับผมกลับแล้วนะครับ...” พี่บีบอกลาพี่ฮั่น ซึ่งนึกไม่ถึงว่าพี่ฮั่นจะยกมือรับไหว้ ทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้... ความจำเสื่อมแล้วน่ารักเป็นเหมือนนะเนี่ย พี่เอกับพี่บีถึงขั้นทำหน้าเหวอไปไม่ถูกเลย พออยู่กันสองต่อสองผมกับพี่ฮั่นก็มีปราการที่เรียกว่า “เคอะเขิน” พี่ฮั่นก้มหน้างุดเม้มปาก เมื่อบวกกับผมม้าที่ปรกหน้าแล้ว ดูน่ารักชะมัด ผมเลยเดินไปหยิบจานผลไม้ที่ปอกไว้แล้วมานั่งข้างๆเตียงของพี่ฮั่น
“กินสิครับ” ผมยื่นจานไปใกล้ๆ พี่ฮั่นส่ายหน้าอย่างเกรงใจ
“ทำไมละ” ผมเบิกตากว้างถาม พี่ฮั่นหันมาสบตาก่อนจะขยับแขนที่ถูกพัน
“ อยากจะกินนะ แต่ผมเจ็บแขนไม่อยากจะยกแขน” พี่ฮั่นตอบอย่างเกรงอกเกรงใจ ให้ตายเหอะทำหน้าแบบนี้ พี่ฮั่นพี่ฆ่าผมให้ตายซะดีกว่า....
“งั้น...เดี๋ยวผมจะป้อนเอง” ทำไมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว แววตาของพี่ฮั่นมีประกายขึ้นมา
“ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องก็ได้นะ” พี่ฮั่นบอกผม
“ไม่เป็นไรหรอกสำหรับพี่แล้ว ผมเต็มใจ” อ๊ากกกกกก!!! ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย พี่ฮั่นเบิกตากว้างมีรอยยิ้มที่มุมปากนิด แสดงความประหลาดใจและดีใจในเวลาเดียวกัน ผมจิ้มผลไม้ป้อนพี่ฮั่นโดยที่เราไม่ได้มีการสนทนาใดๆกันอีก จนพี่ฮั่นบอกว่าอิ่มแล้ว ผมเลยจะลุกขึ้นเอาจานผลไม้ไปเก็บ
“เดี๋ยวก่อน....โอ๊ยยย!!!” พี่ฮั่นร้องเรียกผมไว้ อาจจะเป็นเพราะการยกแขนมารั้งมือผมไว้จึงทำให้เจ็บ
“เจ็บมากมั้ย???” ผมรีบวางจานไว้ที่โต๊ะด้านข้างก่อนหันมามองอาการคนป่วย
“คือผม...” พี่ฮั่นเริ่มต้นประโยคอย่างงๆ
“ก่อนอื่นนะ พี่ชื่อ... พี่ฮั่น เวลาเรียกแทนตัวเองกับผม ใช้คำว่า “พี่”ส่วนผมชื่อแกงส้มจะเรียกว่าแกงเฉยๆก็ได้ ” ผมฮธิบายสรรพนามระหว่างเรา พี่ฮั่นพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“แล้วเมื่อตะกี้มีอะไรเหรอครับ” ผมถามออกไป พี่ฮั่นมองหน้าผมเหมือนลังเลว่าจะพูดออกมาดีมั้ย
“คือ...พี่คิดว่าพี่จำแกงส้มได้ ความรู้สึกที่พี่มีต่อแกงส้มมันชัดเจนมาก เหมือนแกงส้มเป็นคนพิเศษของพี่” สายตาจริงจังนั้นทำให้ผมหัวใจสั่นไหวอีกครั้ง... พี่ฮั่น น้ำตาของผมไหลออกมาทั้งที่ใบหน้ามีรอยยิ้ม ขอบคุณนะพี่ฮั่นที่จำผมได้ ขอบคุณที่ยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆต่อกัน
“ร้องไห้ทำไม....พี่ทำอะไรผิดไปเหรอ” พี่ฮั่นถามอย่างร้อนรนเมื่อเห็นน้ำตาของผมไหลออกมา
“ไม่หรอกพี่ฮั่น ไม่ผิดเลย ผมขอบคุณมากนะที่อย่างน้อยพี่ยังจำความรู้สึกระหว่างเราได้บ้าง” ผมบอกทุกสิ่งในใจที่ผมคิด ไม่อีกแล้ว....ผมจะไม่ปิดบังความรู้สึกอะไรทั้งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้ว่าเวลาช่างใจร้ายนัก หากปล่อยทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปโดยที่ไม่ทำตามเสียงหัวใจ วันหนึ่ง...ความเสียใจจะเข้ามาเกาะกินในใจตลอดชีวิต
“พี่ต้องขอบคุณแกงส้มต่างหาก เพราะตอนที่พี่สลบไป เสียงแกงส้มพี่จำได้ที่คอยเรียกพี่ไว้ ขอบคุณนะที่อยู่เคียงข้างกัน ถ้าไม่มีเสียงของแกงส้มบางทีพี่อาจ.....” ผมทนฟังคำต่อไปไม่ได้เลยตัดสินใจปิดปากพี่ฮั่นด้วยริมฝีปากของตัวเอง ก่อนที่จะถอนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พี่ฮั่นมองผมตาค้างก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย
“เราทำแบบนี้บ่อยรึเปล่า???” สายตากรุ่มกริ่มแบบนี้ทำไมไม่ลืมไปด้วยบ้างนะ ผมหลบสายตาแล้วเดินเอาจานไปเก็บเงียบๆ ก่อนปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อาจจะนอนหลับลงไปได้ ผมยกมือมาแตะริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มออกมาด้วยความสุข ความมืดบดบังรอยยิ้มนี้เสียสนิท แกงส้ม...นายมันก็ไม่เบาเหมือนกันนะ!!!
HUNZ talk
เมื่อเช้าคุณหมอมาบอกกำหนดว่าผมจะออกโรงพยาบาลได้ในตอนเย็นวันนี้ แกงส้มเลยกลับไปเตรียมของเพื่อที่จะย้ายไปอยู่ที่ไร่กับผม ส่วนสองแฝดก็มาเฝ้าผมแทนระหว่างที่แกงส้มไม่อยู่
“พี่ฮั่น...พี่น่าจะไปเป็นดารานะ ตีบทแตกกระจุยขนาดนี้” ไอ่บีพูดขึ้นมาหลังจากที่ไอ่เอกลับมาจากส่งแกงส้มขึ้นรถด้านล่าง
“ผมที่รู้ๆยังแอบเชื่อแอบอินไปด้วยเลยนะเนี่ย” ไอ่เอเดินมานั่งข้างๆผม ยกมือคารวะในฝีมือ
“ชั้นเองก็ไม่อยากจะหลอกแกงส้มหรอกนะ แต่เห็นแกงส้มน่ารักแบบนี้แล้วไม่เสียใจเลยที่ทำ” ผมพูดออกไปนึกถึงใบหน้าหลังจากที่ก้มลงมาจูบผมแล้ว ยิ่งทำให้ผมรักแกงส้มมากขึ้นไปอีก แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องจริงคือเสียงของแกงส้มที่ดังขึ้นมาในโลกที่มืดมนของผม ช่วงเวลานั้นมันเลวร้าย ผมนึกว่าตัวเองจะต้องตาย... แต่เมื่อได้ยินเสียงของแกงส้ม คนที่ผมรักและพร้อมที่จะถวายชีวิต ลมหายใจนั้นก็กลับมาอีกครั้ง การเฉียดเป็นเฉียดตายครั้งนี่ทำให้ผมรู้ว่า ผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อใคร....
“พี่ฮั่นแล้วถ้าแกงมันรู้ความจริงละ...พี่ว่าแกงส้มจะโกรธพี่มั้ย???” ไอ่เอถามขึ้นมาทำให้ผมย้อนคิด แต่คงไม่หรอกเพราะตอนนี้ผมรู้ว่าแกงส้มเองก็ไม่ได้รักผมน้อยกว่าที่ผมรักเค้าเลย ความรักชนะทุกสิ่ง.... แต่เพื่อความไม่ประมาทผมจะต้องทำทุกอย่างให้แนบเนียนที่สุด
ผมเป็นคนขับรถพาผู้ป่วยความจำเสื่อมมายังที่ไร่ของเรา พี่ฮั่นที่ดูอ่อนล้าหลับมาตลอดทาง ผมพยายามขับรถให้นิ่มที่สุด เพื่อที่จะให้ร่างสูงที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นได้หลับสบาย พอถึงบ้านซึ่งก็เป็นเวลาหัวค่ำผมสะกิดพี่ฮั่นที่แขนเบาเพื่อเป็นการปลุก พี่ฮั่นงัวเงียขึ้นมามองบ้านเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
“ที่นี่เหรอ???” พี่ฮั่นชี้ ผมพยักหน้ายิ้มให้ พี่ฮั่นค่อยๆเปิดประตูก้าวลงไปอย่างระวัง ผมเดินอ้อมรถอย่างรวดเร็วเพื่อไปประคอง
“แกงส้ม...พี่ชอบกลิ่นของแกงส้มจัง” พี่ฮั่นเรียกให้ผมเงยหน้ามองก่อนพูดคำหวานออกมาอย่างไม่อายปาก ถ้าไม่เจ็บแบบนี้นะ ผมจะปล่อยทิ้งให้จมกองน้ำตาลตายมันตรงนี้แหละ!!! คนอะไรความเจ้าเสื่อมแท้ๆ แต่ยังอุตส่าห์พกพาทั้งสายตา คำหวาน ความเสี่ยว มาเต็มๆ คนมันเจ้าชู้ไก่แจ้ตัวพ่อยังไงก็คงสลัดลายออกไม่ได้สินะ
“แค่เดินยังต้องให้คนประคอง ชื่อจริงยังจำไม่ได้ มีหน้ามาปากหวานอีกนะ” ผมแกล้งบ่นอุบพึมพำ แต่ใบหน้าที่แดงไปถึงใบหูก็ฟ้องว่าคำพูดนั้นมีผลต่อหัวใจไม่น้อย
“มันมาจากหัวใจ ไม่ได้มาจากสมอง” พี่ฮั่นพูดขึ้น ผมเบือนสายตาไปทางอื่นแต่ก็รับรู้ได้ว่าสายตาแรงกล้าคมกริบนั้นจ้องมองมา บางทีก็อยากจะเอาสองนิ้วจิ้มตาเอาให้บอดไปเลยนะ พอลากกันมาถึงบนบ้าน ผมทิ้งพี่ฮั่นไว้ที่โซฟาแล้วเอาสัมภาระที่มีแค่กระเป๋าใบเล็กเข้าไปในห้อง ผมเห็นห้องนอนแล้วรู้สึกซึ้งใจ ทุกอย่างไม่เปลี่ยนเลย หนังสือเล่มโปรดยังวางไว้ที่เก่า แต่ผมก็มีเวลารำลึกความคิดถึงได้ไม่นานนักจึงหมุนตัวกลับเพื่อไปส่งพี่ฮั่นที่ห้อง แต่...ปรากฏว่าพี่ฮั่นยืนห่างจากผมเพียงศอก เมื่อผมหมุนตัวกลับร่างเราสองเกือบชนกัน
“เดินมาได้ไง เมื่อกี้ยังให้ผมประคองอยู่เลย” ผมหรี่ตามองพี่ฮั่นด้วยสายตาเฉียบ
“พี่อยากให้แกงส้มประคอง อยากได้กลิ่นหอมๆ พี่ขอโทษนะ” พี่ฮั่นเอ่ยคำขอโทษแต่แววตานั้นมันช่างสื่ออารมณ์ความโหยหา ไม่ได้....เราต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป พี่ฮั่นเองก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น ขืนรีบร้อนมันอาจจะไม่ใช่ความรัก
“ผมว่าพี่ไปที่ห้องของพี่ก่อนดีกว่า ผมจะไปส่ง” ผมดันอกพี่ฮั่นให้ออกจากห้อง แต่แขนแข็งแรงนั้นกลับรวบมือผมไว้ทั้งสองข้าง
“แกงส้มรู้มั้ย???...ว่าทุกๆคืนพี่ฝันร้าย แต่พี่ไม่เคยกลัวเพราะพี่รู้ว่ามีแกงส้มอยู่ข้างๆ พี่ไม่หวังจะได้นอนร่วมเตียงกับแกงหรอกนะ ขอแค่พื้นข้างล้างพี่ก็พอใจแล้ว ดีกว่าต้องตื่นจากฝันร้ายแล้วไม่เห็นหน้าแกงส้ม” ให้ตายสิ ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่เว้าวอนนั้น ผมจะปฏิเสธไปได้อย่างไรกัน แล้วใครเค้าจะให้คนป่วยนอนข้างล่าง แกงส้ม...หัวใจของเราคุมมันไว้ให้ดีๆนะ นี่มันสถานการณ์ฉุกเฉินต้องใช้มาตรการเฝ้าระวังความหวั่นไหวขั้นสูงสุด!!!
ผมเลือกที่จะนอนตะแคงหันหลังให้พี่ฮั่นที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จ เตียงที่ยุบตัวลงไปเบาๆ ทำให้ผมรู้ว่าพี่ฮั่นได้มาถึงเตียงแล้ว ทำไมนะ... หัวใจผมถึงเต้นตึกตักไม่ยอมหยุดสักที นอกจากจะห้ามพี่ฮั่นแล้วผมก็ยังทุลักทุเลกับการห้ามใจตัวเองอีก
“ทำไมแกงส้มนอนตัวแข็งแบบนั้นละ...ไม่ปวดหลังแย่เหรอ???” โอ๊ยยยย...ต่างคนต่างนอนได้มั้ย???
“ไม่ครับ ผมชอบนอนแบบนี้” ผมตอบพร้อมข่มตาให้หลับ ชิงหลับก่อนเป็นดีที่สุด แต่ก็นั่นแหละนะ สติของผมกระเจิงเมื่อมีมือหนึ่งเลื้อยมาโอบรอบเอวใต้ผ้าห่ม
“พี่ฮั่น” ผมทำเสียงกึ่งอ่อนใจกึ่งขอร้อง แต่ร่างนั้นไม่ถอยหนีกลับเบียดตัวเข้ามาชิดเอาคางเกยที่ไหล่อย่างแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“พี่ชอบนอนแบบนี้” พี่ฮั่นกระซิบขางหูย้อนรอยผมด้วยประโยคเดียวกันยิ่งบวกลมหายใจร้อนผ่าวรดต้นคอผมนั้น หัวใจที่เต้นตึกตักนั้นก็เต้นไม่เป็นจังหวะ
“ทำไมพี่ไม่กอดหมอนข้างละครับ” ผมอุทธรณ์ขอความเห็นใจด้วยเสียงหวานซึ่งลืมคิดไปว่ามันคงไม่เป็นผลสักเท่าไหร่นัก แถมยังเป็นการเร่งจังหวะรักของอีกฝั่งด้วยซ้ำ
“ก็หมอนข้างมันไม่มีกลิ่นหอม ไม่มีเสียงทุ้มๆหวานๆ ไม่มีความอบอุ่น และที่สำคัญ...พี่ไม่ได้รักหมอนข้าง” ไม่มีแค่คำพูดเท่านั้น พี่ฮั่นยังจูบเบาๆลงที่หัวไหล่ซึ่งร้อนแรงหากแต่รัญจวนใจยิ่งนัก บทรักเริ่มเร่งเร้าความเร้าร้อนเมื่อริมฝีปากนั้นเลื่อมจากหัวไหล่จากสู่ลำคอโดยไม่ปล่อยให้พื้นที่ที่ผ่านไร้รอยจูบ ตอนนี้มือทั้งสองข้างประสานกันอย่างแนบแน่น ผมหงายตัวขึ้นซึ่งพี่ฮั่นก็ดันตัวขึ้นมาโถมทับอย่างช่ำชอง รสหวานของริมฝีปากพี่ฮั่นทำให้ความคิดต่อต้านนั้นเลือนหายไปพร้อมๆกับความเจ็บปวดทางร่างกายของพี่ฮั่น อาจะเป็นเพราะเราสองคนร้างห่างจากบทรักมานาน ทุกครั้งที่ริมฝีปากพี่ฮั่นบดบี้มาที่ริมฝีปากผมมันแฝงด้วยอารมณ์รักที่กระหายหิวอย่างเร้าร้อนราวกับสัมผัสรักในครั้งแรก ความรักของเรามันเดินทางกลับมาที่เดิมอีกครั้ง มันเป็นการเริ่มต้นของรักครั้งใหม่รักระหว่างหรือการสิ้นสุดลงของความไม่เข้าใจ...ผมเองก็ตอบไม่ได้ ความรักมันไม่ได้เดินต่อไปข้างหน้า หากแต่วนเวียนอยู่ในวงกลมแห่งความรักที่ปราศจากจุดสิ้นสุด.....
ปล. ขอโทษรีดเดอร์จริงๆนะ รู้สึกว่าเขียนได้ไม่ค่อยดีเลย (อาจจะเกิดจากอาการหมดมุข) แต่แอบเขินตัวเองตอน “หมอนข้าง” เหมือนกันนะเนี่ย คิดได้ไง ไม่ได้รักหมอนข้าง จิกหมอนเองด้วยนะ กว่าจะตั้งสติเขียนต่อจนจบได้5555
ยังไงก็ช่วยกันเม้นติชมกันนะ ติมาก็ได้ ไรเตอร์รู้สึกว่าตัวเองเริ่มหมดมุขอ่ะ มันเป็นคำเดิมไม่มีอะไรใหม่ๆ ส่วนใครที่ไม่ค่อยโดนกับตอนจบเรื่องนี้ ก็ให้โอกาสเรื่องหน้าหน่อยนะจ๊ะ เพราะเรื่องนี้จะลองเปลี่ยนๆแนวบ้าง เขียนดราม่าแล้วปวดหัวจัด เรื่องหน้าคิดว่าฮานะจ๊ะ
ความคิดเห็น