คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Chapter 19: ขอคืนดี
ผมลากแขนที่แคนเข้ามาในหอพัก คนอะไร....พูดออกมาได้ว่า “อุตส่าห์” ฟังแล้วมันหงุดหงิดใจชะมัด มาง้อก็มาช้า ยังจะพูดจาไม่เข้าหูอีก ไหนจะไปกะหนุงกะหนิงกับแม่สาวจ๊อกกิ้งนั่นอีก ใครเค้าจะให้อภัยกัน พูดแล้วก็โมโหๆ
“เมื่อกี้ใครเหรอแกงส้ม” พี่แคนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันทีที่ลับตาพี่ฮั่น
“ก็คนนั้นแหละ” ผมก็เลี่ยงที่จะพูดชื่อที่ทำให้หัวใจขุ่นเคืองอยู่
“หล่อชะมัด เท่อีกต่างหาก เค้ากินยาลืมเขย่าขวดรึไงถึงได้มาชอบแกงส้มเนี่ย” พี่แคนก็พ่นถ้อยคำออกมาไม่ได้จรรโลงใจเลยนะ ถ้าไม่ติดว่าอาศัยห้องเค้าอยู่มีหวังได้กำเนิดจา พนม เวอร์ชั่นสองแน่ๆ
“แล้วพี่แคนลงมาทำไมเนี่ย???” ผมเลยถามเปลี่ยนเรื่องเมื่อตะกี้ยังใช้ผมลงมาทิ้งขยะหยกๆ
“ที่นี่เวลาจะขึ้นมันต้องใช้คีย์การ์ดไง แล้วแกงส้มไม่ได้เอามาด้วยพี่เลยลงมารับไง” พี่แคนชี้ไปที่แถบเครื่องที่ติดประตูกระจกอีกชั้นก่อนจะเข้าไปภายในหอพักได้ แต่ที่พี่แคนว่ามาผมไม่เห็นพี่แคนถืออะไรมาสักอย่าง
“แล้วไหนคีย์การ์ด???” ผมเอียงคอถาม พี่แคนเบิกตากว้างตบไปทั่วร่างกายทั้งที่ชุดนอนไม่มีกระเป๋า ว่าแล้วไง.... ผมมองหน้าพี่แคนอย่างหมดหวังได้เพียงรอยยิ้มใสซื่อจากใบหน้าหล่อน่ารักนั้น
“พี่ลืมไว้บนห้อง” น้ำเสียงแหยๆ นั้นทำเอาผมบ่นไม่ออก ได้แต่หลับตาแล้วเป่าลมออกจากปาก
“แล้วจะทำยังไง” ผมถามอย่างหมดอาลัยในชีวิต ความจริงพี่แคนไม่ต้องหวังดีกับผมจนร้อนรนวิ่งลงมาโดยไม่เอาคีย์การ์ดลงมาก็ได้นะครับ!!!
“รอ...รอ คนมาเปิดไง หรือว่าเราจะไปวิ่งออกกำลังกายดีเช้าๆ อากาศเย็นสบาย” พี่แคนพูดกลบเกลื่อนความผิด ผมก้มมองดูเสื้อผ้าเราสองคนที่อยู่ในชุดนอนทั้งคู่พี่แคนก้มมองตาม
“มันอาจจะเป็นมิติใหม่ของการออกกำลังกายก็ได้นะแกงส้ม ออกกำลังกายในชุดนอน” ผมส่ายหน้ากับการแถไปเรื่อยของพี่แคนแล้วนั่งลงรอความหวังของผู้ตื่นเช้าในหอนี้ เจ็ดโมงเช้า....ใครก็ได้มาเปิดประตูให้ผมที
ในที่สุดผมกับพี่รหัสตัวป่วนก็สามารถเข้าในห้อง ผมเห็นคีย์การ์ดวางบนโต๊ะอ่านหนังสือแล้วแค้นใจยิ่งนัก ครึ่งชั่วโมง ผมต้องนั่งรอความหวังลมๆแล้งๆครึ่งชั่วโมง พี่แคนนะพี่แคน...
“แกงส้ม...วันนี้จะไปไหนรึเปล่า” พี่แคนหันมาถามผม
“อาจจะไปเอาของใช้ที่บ้าน” ผมตอบโดยรอฟังว่าอีกคนจะพูดอะไรต่อ
“งั้นเอาเงินนี่ไปก่อน พี่รู้ว่ายังไม่มีเงินใช้” พี่แคนหยิบเงินแบงค์พันมาให้ผมสองใบ
“ไม่เป็นไรพี่แคน...ผมเกรงใจ” ผมผลักมือพี่แคนอย่างเกรงใจ แค่ให้ผมมาอยู่ที่นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว
“พี่ให้ยืมไม่ได้ให้เลย.....อีกอย่างที่ให้ไปก็รู้ว่าเงินแค่นี้เราก็มีปัญญาหามาคืนพี่ เราสองคนรู้จักกันมาเท่าไหร่แล้ว แกงเองก็ช่วยเหลือพี่บ่อยๆ อย่ามาทำมารยาทดีเกรงอกเกรงใจกันหน่อยเลย” พี่แคนยัดเงินใส่มือผม ผมยิ้มแทนคำขอบคุณ
“เออ...วันนี้หาข้าวเย็นกินเองเลยนะ พี่ไปสัมมนาเตรียมตัวทำโปรเจคจบอาจจะมาค่ำๆหน่อย” พี่แคนหันมาบอกก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมถอนหายใจเมื่อได้อยู่คนเดียว เมื่อกี้ยังไม่ได้มองหน้าพี่ฮั่นเต็มตาเลย เราไม่อยู่ตั้งนานใครจะหาข้าวหาปลาให้กิน เผลอๆจะลืมข้าวเที่ยงเอาบ่อยๆ...... แกงส้ม จะเป็นห่วงเค้าทำไมกัน รวยขนาดนั้นจะโง่ปล่อยตัวเองให้มันอดตายก็ให้มันรู้ไป เป็นห่วงคนโกหกแบบนั้นไปก็เสียเวลาเปล่า!!!!
นี่ก็สามทุ่มแล้วพี่แคนก็ยังกลับเลย ผมโทรหาตั้งหลายครั้งก็ไม่รับ ไปไหนของเค้านะปกติพี่รหัสของผมก็ไม่ได้ชอบเที่ยวอะไรนักหนา แต่ไอ่ครั้น...จะไปห่วงมากมายก็คงไม่ค่อยเข้าที ผมเลยอาบน้ำแล้วเข้าห้องแต่หัววัน และ...ผมก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กเหมือนเสียงกุญแจไขประตู ผมหันไปมองนาฬิกาที่สะท้อนแสงท่ามกลางความมืดบอกเวลาเที่ยงคืนเล็กน้อย ผมจึงเอื้อมมือไปเปิดไฟเป็นจังหวะเดียวกันที่พี่แคนต่อสู้กับลูกบิดจนได้รับชัยชนะ แต่สภาพพี่แคนที่หัวยุ่งเหยิง เสื้อผ้าดูหลุดลุ่ยทำให้ผมตื่นเต็มตา
“พี่แคน...ไปทำอะไรมาสภาพเหมือนไปฟัดกับ...” ผมหยุดพูดเพราะอดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ชะงักทันทีเมื่อเห็นรอบจ้ำแดงๆทั่วตัวคล้ายรอยยุง ยิ่งที่แขนยิ่งเต็มไปหมด
“พี่แคนไปทำอะไรมาเนี่ย .....เอ้ยยยยย!!! ทำไมมันเหนียวหนึบแบบนี้” ผมยื่นมือไปจับแขนแต่แขนพี่แขนก็เหนียวเหมือนมีกาวติดยังไงยังงั้น
“เทปกาวล้วนๆ” พี่แคนตอบอย่างเซ็งๆ ผมหัวเราะออกมา ไปทำอะไรมาถึงได้ไปเปรอะเปื้อนเทปกาวขนาดนั้นนะ
“แกงส้ม...ถ้ารู้ว่าพี่โดนอะไรมาแกงส้มจะขำไม่ออก” พี่แคนพูดตัดพ้อตัวผมด้วยสายตาน่าสงสาร ผมเบิกตากว้าง.... นี่มันเรื่องอะไรกัน!!!
ตอนนี้ผมอยู่หน้าผับของพี่ฮั่นตัวแสบ กล้าดียังไงถึงจับพี่แคนมัดกับเสาคณะด้วยเทปกาวอยู่เกือบสี่ชั่วโมงถ้าลุงยามไม่เจอมีหวังพี่แคนตอนอยู่สภาพนั้นจนเช้าถ้าไม่ช็อคตายไปก่อนอ่ะนะ ความร้ายกาจแบบนี้ไปเลียนแบบที่ไหนมากัน ผมโกรธจนควันออกหูเมื่อรู้ว่าคนที่ทำเป็นฝาแฝดรูปหล่อ ไม่สืบก็รู้ว่าเป็นคำสั่งของใคร ถ้าพี่แคนเป็นอะไรจะรับผิดชอบกันยังไง....โมโห โมโห!!!
“พี่ฮั่น!!!” ผมตะโกนเสียงดุทันทีที่เปิดประตู แต่ใบหน้าที่ตอบรับกลับเป็นยิ้มกว้างของพี่ฮั่นซะงั้น
“มาเร็วกว่าที่คิดไว้นะเนี่ย แต่ดีแล้วคิดถึงใจแทบขาด” ดูคำพูดสิ...มันน่าโดกัดหูให้ขาดนัก
“ทำไมไปทำกับพี่แคนแบบนั้น” ผมวีนทันที พี่ฮั่นทิ้งตัวไปกับพนักพิงของเก้าอี้ตัวโตอย่างสบายใจ
“คนบางคนก็ต้องได้รับการสั่งสอนบ้าง” พี่ฮั่นพูดอย่างไม่ยี่หระ นี่มัน...นายฮั่นที่ชอบวางโตชัดๆ
“คนที่สมควรถูกสั่งสอนคือพี่มากกกว่านะ” ผมสาวก้าวไปหาอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
“แกงส้ม!!!” พี่ฮั่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที คงเป็นเพราะประโยคล่าสุดของผมที่ไหกวนให้พี่ฮั่นอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมา
“พี่ไม่รู้หรอกว่าพี่แคนเค้าลำบากแค่ไหน คนไม่ได้เกิดมาบนเงินกองทองอย่าพี่ ชีวิตเค้าน่านับถือแค่ไหน มันก็คงมีแค่พวกไม่เห็นค่าของคนอื่นเท่านั้นแหละที่ทำกับคนน่านับถือแบบนั้น” ผมเองก็เลือกที่จะไม่หยุด สิ่งที่พี่ฮั่นทำมันมากเกินไป...พี่แคนไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย
“นี่แกง...ต่อว่าพี่เพราะมันงั้นเหรอ???” พี่ฮั่นก้าวมาประชิดตัวผม แต่ด้วยความโกรธนั้นทำให้ผมเติมเชื้อไฟด้วยการเชิดหน้าท้าทาย โดยไม่ทันคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น พี่ฮั่นรวบตัวผมแล้วเหวี่ยงให้ไปนั่งที่เก้าอี้ของพี่ฮั่น ก่อนรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้ในมือแข็งแรงนั่นเพียงข้างเดียว อีกมือที่ว่างของพี่ฮั่นก็เชยคางผมขึ้นมาอย่างย่ามใจ
“พี่บอกตรงๆนะ พี่ไม่ชอบให้แกงส้มเห็นใครดีกว่าพี่” พี่ฮั่นกระซิบพร้อมแววตาวาวด้วยความโกรธก่อนจะจูบอย่างหนักหน่วงที่ซอกคอ ผมเองก็แทบจะขยับตัวไม่ได้เพราะพื้นที่จำกัดและร่างสูงหนานั้นโถมทับแบบนี้ พี่ฮั่นจูบผมตามรอยกรามมาหยุดที่ปลายคาง จังหวะที่ร้อนแรงนั้นกลายเป็นสัมผัสที่ละมุนละไมขึ้นด้วยการขบเบาๆที่ริมฝีปากล่างของผม นิ้วยาวนั้นเลื่อนไปที่ปลายท้ายทอยเพื่อควบคุมไม่ให้ผมสะบัดหน้าหนีไปได้ พี่ฮั่นจูบประพรมเลื่อนขึ้นจากปลายคางจนมาจบที่หน้าผาก มันเป็นสัมผัสที่ผมเองก็ไม่ได้พยายามต้านทานอีกแล้ว
“บอกพี่มาสิ....ว่าไม่ได้มีอะไรกับไอ่หน้าหล่อนั่น” พี่ฮั่นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานหากแต่ทรงพลัง
“ผมกับพี่แคนไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว เราเป็นพี่น้องกันจริงๆนะ” ผมเองก็ตอบไปโดยไม่ทันตั้งตัว พี่ฮั่นยิ้มพอใจกับคำตอบก่อนจะเบียดร่างให้แนบชิดกับผมมากขึ้น ริมฝีปากเย้ายวนนั้นประกบที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง เริ่มด้วยจังหวะร้อนแรงแล้วค่อยๆช้าลงอย่างมีชั้นเชิงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรัญจวนใจที่ทำให้หัวใจของผมสั่นไหวน้อยลงไปเลย ร่างกายผมร้อนผ่าวราวกับจะละลายไปกับบทรักของผู้ชายคนนี้ แต่...เสียงโทรศัพท์ของผมที่เพิ่งซื้อมาใหม่ก็มีสายเรียกเข้าสายแรกที่ดูเหมือนจะผิดจังหวะไปหน่อย
“ครับ...พี่แคน” สายนั้นก็ไม่ใช่ใครคือพี่แคนนั่นเองงงงงง....
“แกงส้มเป็นอะไรมั้ย...กลับมาเหอะพี่ไม่โกรธพวกเค้าหรอก” เสียงพี่แคนร้อนรนเมื่อเห็นผมออกจาหอมาด้วยความโมโหกลางดึก ผมลอบมองเจ้าของผับที่กำลังสะบัดหน้าอย่างเสียอารมณ์
“ผมจะกลับแล้ว” ผมบอกพี่ฮั่นสั้นๆ พี่ฮั่นมองหน้าผมด้วยสายตาเว้าวอน
“แกงส้ม....” พี่ฮั่นเหมือนจะนึกคำพูดไว้รั้งผมไม่ออก ท่าทางดูเหมือนจะหัวเสียน่าดู
“ผมยังไม่ได้หายโกรธพี่นะ...” ผมจึงรีบชิงจังหวะเพื่อบอกว่าตัวเองยังคงไม่เชื่อใจพี่ฮั่น พี่ฮั่นนิ่งมองหน้าผมเหมือนจะพูดอะไรออกมาสักอย่างแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา....
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่ฮั่นเตรียมตัวคว้ากุญแจอย่างเสียไม่ได้
“ไม่ต้องหรอกผมจะกลับเอง...” พอพูดจบก็รรีบเดินออกมาจากห้องนั้นทันที จะให้พี่ฮั่นไปส่งได้อย่างไร ในเมื่อฉากเก้าอี้ขยี้ใจยังคงวนเวียนอยู่ในหัว วันนี้ที่ผมมา....มันทำให้รู้ว่าผมเองยังคงอ่อนระทวยกับสัมผัสรักบทร้อนของพี่ฮั่นอยู่ดี ถ้าขืนปล่อยให้ตัวเองมีโอกาสแบบนี้...ผมคงไม่รอดเงื้อมมือซาตานทรงเสน่ห์คนนี้แน่นอน
การไปฝ่าดงมาเฟียเมื่อคืนทำเอาผมเองนอนไม่หลับเอาซะเลย พี่ฮั่น.....ทำไมถึงทำให้หัวใจเราสั่นไหวได้ขนาดนี้ ต้องท่องบอกตัวเองอยู่บ่อยๆ ซะแล้วว่าคนๆนี้หลอกลวงเรามากแค่ไหน จะให้อภัยง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน พี่ฮั่นต้องการบทเรียนสั่งสอนว่าการที่เอาตัวเองเป็นใหญ่มันทำให้คนอื่นเจ็บปวดแค่ไหน จะได้เลิกนิสัยที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลสักที เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาทำให้ความคิดในหัวผมแตกกระเจิง
“ฮัลโหลครับ” ผมรับโทรศัพท์เสียงเรียบเพราะเบอร์ที่โชว์เป็นเอบร์แปลกหน้า
“แกงส้มนี่พี่เองนะ” เสียงพี่โตโน่ดังขึ้นมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
“พี่เองแล้วน้องมันจะรู้ได้ยังไงเล่าพี่โน่” เสียงพี่ริทดังขึ้นมาแต่ไม่ใช่คำทักทาย
“จำได้ครับ รู้ครับพี่โน่พี่ริท ทำไมผมจะจำไม่ได้” ผมกรอกเสียงไปตามสายกลั้นหัวเราะแทบแย่กลัวหลุดขำ
“เห็นมั้ย??? ว่าแกงส้มมันจำได้ มันฉลาดจะตาย ทำไมริทชอบคิดว่าแกงมันโง่ห๊ะ” พี่โตโน่ได้ทีทับถมแต่ประโยคมันไม่ค่อยส่งเสริมผมในด้านดีสักเท่าไหร่นัก
“ผมไม่ได้คิดว่าแกงมันโง่สักหน่อย...ที่ผมคิดว่าโง่มีแค่พี่นั่นแหละ!!!” พี่ริทตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน
“พวกพี่โทรหาผมมีอะไรเหรอครับ???” ผมรีบชิงพูดก่อนที่จะต้องฟังสองคนนี้ทะเลาะกันยาว
“อ่อ....คือพี่คิดถึง” พี่ริทพูดแต่ฟังจากน้ำเสียงมันดูเหมือนมีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่แน่ๆ
“เอาความจริง” ผมแกล้งทำเสียงดุเพื่อข่มขวัญ
“เห็นมั้ย??? บอกแล้วว่าแกงมันไม่ได้โง่สักหน่อย คืองี้ที่ร้านมีงานด่วนเข้ามา ลูกค้าจ่ายไม่อั้นเลย ทีนี้มันต้องมีคนมาร้องเพลงแบบรักๆใคร่ๆอะไรประมาณนี้ ความจริงพี่ก็ร้องได้นะแต่พี่ม้าไม่ไว้ใจ” พี่โตโน่พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้ออย่างน่าสงสาร
“ก็แต่ละเพลงที่เลือกมา....โชคดีนะที่ไม่เอาจังซี้มันต้องถอนมาด้วย” พี่ริทขัดคอพี่โน่อีกตามเคย
“วันไหนครับพี่” ผมเลยถามรายละเอียดเพื่อที่จะได้เตรียมตัวเตรียมเพลง
“เย็นนี้เลย” พี่ริทตอบด้วยน้ำเสียงที่นึกถึงหน้าแป้นแปล้นจิ้มลิ้มไปด้ทันที
“โห.... มันกะทันหันไปมั้ย???” ผมร้องอุทานด้วยความตกใจ
“เอาน่าแกงส้ม....พี่เชื่อว่าแกงส้มไม่เตรียมตัวก็ยังดีกว่าพี่โน่ซ้อมมาเป็นเดือน” พี่ริทพยายามหว่านล้อมผมเต็มที่
“ถ้าผมไม่ไปร้องให้จะได้มั้ยพี่...มันเร็วไปเหอะ” ผมอิดออดนิดหน่อย....คือถ้ามันมีทางเลือกอื่นผมก็คงแนะนำให้ไปทางนั้นดีกว่า
“แกงส้มทิปบานเลยนะงานนี้ ค่าเทอมหมอมันก็แพงอยู่.... พี่จะไม่มีอะไรกินอยู่แล้วเนี่ย หรือแกงอยากจะเห็นเจ้าริทมันลาออกมาขายหมูปิ้งแกงถึงจะสาแก่ใจ!!!” คำพูดของพี่โน่เอาผมหัวเราะพรืดออกมา อะไรชีวิตมันจะรัดทนกันขนาดนั้น
“โอเคครับ...เดี๋ยวผมไปตอนนี้เลยนะ” ผมรับปากไปเพราะเห็นแก่การศึกษาของพี่ริทนะเนี่ย!!!
ผมรู้สึกดีมาก...แค่ได้เห็นป้ายร้าน นี่คือ...โลกแห่งความเป็นจริงของผม ไม่ใช่ไร่องุ่นนั่น ที่ที่พี่ฮั่นพยายามสร้างผมให้เป็นคนใหม่.... ผมยอมรับครับว่าผมแคลงใจในความรักที่พี่ฮั่นมีว่าตัวตนที่แท้จริงของผมคือคนรักของพี่ฮั่นจริงมั้ย???.... หรือพี่ฮั่นจะรักเพียงแกงส้มผู้ว่านอนสอนง่ายเท่านั้น ผมเองยังมีความฝันอีกมากมายต้องทำ ความรักสำหรับผมแล้วสำคัญ แต่มันไม่ใช่ทุกสิ่ง!!! ผมไม่สามารถทิ้งความเป็นตัวตนของตัวเองเพื่อใครได้จริงๆ
“แกงส้มมมมม” พี่โตโน่และพี่ริทโบกมือให้ผมอย่างร่าเริง ผมวิ่งเข้าไปกอดพี่สองคนด้วยความคิดถึง
“ดูซีดเซียวไปเหมือนกันนะเนี่ย” พี่ริทจับแขนผมแล้วสำรวจอย่างละเอียด ก่อนดึงแขนผมเข้าไปด้านในซึ่งตอนนี้ตกแต่งร้านได้สวยกว่าที่ผมเคยเห็น ทั้งร้านปูโต๊ะด้วยผ้าสีโอรส แก้วทรงสูงใส่ดอกกุหลาบดอกสวยชูเด่น และที่ตื่นตาตื่นใจมากที่สุดคือ บนเพดานประดับด้วยหลอดไฟสีนวลเป็นร้อยๆหลอด ผมหลับตานึกภาพเมื่อเปิดแล้วคงจะสวยงามไม่น้อย เพราะคงจะเหมือนหิ่งห้อยที่เคยนั่งดูกับพี่ฮั่น เอ๊ะ!!! หรือว่านี่จะเป็นแผนของพี่ฮั่นอีกแล้ว....มันน่าสงสัยจริงๆ นี่ผมคงไม่หลงตัวเองมากไปใช่มั้ย???
“พี่โตโน่ นี่เป็นความคิดใครกัน” ผมหันไปถามคนที่โกหกไม่เก่งที่สุด
“ความคิดพี่เอ๊งงงงงง....” เสียงสูงพร้อมกับแววตาหลุกหลิกนั้นไม่อาจจะรอดพ้นสายตาผมได้
“พี่ได้แรงบันดาลจากหนังเรื่อง....กระสือ พี่เลยคิดว่าถ้าเรามีกระสือเป็นร้อยๆตัวมาติดบนเพดานมันคงจะดูโรแมนซ์มากนะยิ่งเปิดสลับกันเนี่ยนะยิ่งไม่อยากจะโม้ เป็นไง... มันคูลมาก!!! จริงๆ” ชัดเลย.....พี่โน่เนี่ยโกหกไม่เนียนเลยนะให้ตาย ผมแอบยิ้มโดยไม่พูดอะไร ผมรอเวลาที่จะมาถึง ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านายมาเฟียคนนั้นมาจากไหน ผมนั่งถือกีต้าร์บนเวทีเพื่อทำให้ทุกคนตายใจ.... และแล้วก็มีร่างหนึ่งผลักประตูเข้ามา แต่กลับกลายเป็นหญิงสาวสวยคนหนึ่ง ผมเองก็งง....นี่มันอะไรกัน พี่ม้าที่เข้ามาต้อนรับหญิงสาวก็ส่งสัญญาณให้ผมเริ่มร้องเพลงได้ นี่เราคิดไปเองเหรอเนี่ย???
“ในโลกที่มีความวกวน ในโลกที่ทุกคนต้องดิ้นร ที่สับสน ร้อนรนจนใจนั้นแสนเหนื่อย ในโลกที่ความทุกข์ท้อใจ ได้เดินผ่านเข้ามาเรื่อยๆ จนบางครั้งไม่รู้จะข้ามไปเช่นไร แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ กลับทำให้ฉันยิ่งคิดในใจ ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบอะไร และฉันรู้และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้” ผมร้องเพลงไปเรื่อยๆ และผู้หญิงคนนั้นก็ลุกจากโต๊ะเดินตรงมาหาผม แล้วยื่นกระดาษโน้ตมาให้ ผมก้มอ่านด้วยอาการงง
“แกงส้ม... พี่รักแกงส้มนะ
แต่พี่จะไม่มีวันบังคับหรือก้าวก่ายชีวิตของแกงส้มอีกเป็นครั้งที่สอง
มันเป็นคำสัญญาจากใจที่เต็มไปด้วยรัก
จาก......พี่ฮั่น”
ผมเงยหน้าจากแผ่นกระดาษ ก็พบว่าพี่ฮั่นยืนอยู่ตรงหน้า ในมือพี่ฮั่นถืออาหารที่หน้าตาดูเลอะเทอะแปลกๆ ผมก็รู้ได้ว่านี่เป็นฝีมือของพี่ฮั่น
“มันอาจจะไม่อร่อยเหมือนฝีมือแกงส้มนะ....แต่พี่ก็ตั้งใจทำมันมาให้ เกิดมาพี่ไม่เคยทำอาหารให้ใครมาก่อน พี่ขอให้เป็นคนที่พี่รักที่สุดเป็นคนแรกที่จะได้รับความตั้งใจจริงพวกนี้” พี่ฮั่นพูดออกมาอย่างเคอะเขิน ผมกำลังต่อสู้กับตัวเองว่าจะทำยังไงกับคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ใจหนึ่งก็อยากจะใจอ่อนเต็มทีแล้ว ผมอยากจะเข้าไปกอดพี่ฮั่นแน่นสักครั้งให้สมกับความทรมานจากความคิดถึง แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อาจจะลืมกับความเห็นแก่ตัวนั้นได้ ถ้าเราจะกลับมาคบกันอีกครั้งมันจะต้องไม่เป็นแบบนั้นอีก
“ไข่ทอดชุ่มอมน้ำมันขนาดนี้เรียกว่าตั้งใจงั้นเหรอ” ผมตัดสินใจจะขอลองใจพี่ฮั่นอีกสักครั้ง โดยการใช้ส้อมมาเขี่ยอาหารในจาน พี่ฮั่นหน้าเสียทันที
“ดูสิ...แค่ผัดผักก็ยังไหม้ ไหนจะไอ่น้ำส้มปั่นนี่อีกลอยแยกชั้นขนาดนี้ ถ้าแบบนี้เรียกว่าตั้งใจทำมันคงจะเชื่อยากแล้วแหละ ถ้าทำอาหารแค่นี้ให้มันดีไม่ได้ก็ต้องมาให้เห็นหน้าเลยนะ” ผมสาดคำพูดที่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจมากที่สุด... ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะลองใจพี่แบบนี้อีก ถ้าพี่ทนกับผมได้รักของเรามันจะผลิดอกออกช่อนี้อีกครั้ง...
“แกงส้ม” คำนั้นเต็มเป็นด้วยสำเนียงร้องขอความเห็นใจ
“บอกให้ไปไง” ผมพูดเสียงเข้มเพื่อให้รู้ว่าตัวผมนี้จริงจัง พี่ฮั่นวางถาดอาหารลงที่โต๊ะข้างๆก่อนเดินออกไปเงียบๆ พี่ม้าเดินเข้ามาหาผมทันที
“แกงส้ม....แกทำอะไรเนี่ย” พี่ม้าพูดด้วยความไม่พอใจ พี่ริทกับพี่โตโน่ก็ออกมาจากที่ซุ่มสังเกตการณ์ทันที
“ผมก็แค่อยากให้เค้าได้รับบทเรียนสั่งสอนซะบ้าง ไม่ใช่แค่ว่าจะเอาเงินมาบันดาลความประทับใจแล้วจะไดรับความรักกลับคืนไป” ผมพูดพลางเก็บกีต้าร์เพื่อหลบเลี่ยงสายตาพิฆาตสามคู่
“แกงส้มคิดว่าเงินเหรอที่ทำให้ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้ แกงส้มคิดผิดรู้มั้ย ผู้ชายคนนั้นเค้าโทรหาพี่ม้าตั้งแต่เมื่อคืนเล่าทุกอย่างให้ฟัง แล้วก็ขับรถมาที่นี่หลังจากที่แกงส้มกลับเพื่อมาสร้างทุกอย่างเพื่อแกงส้มด้วยมือของเค้าเอง...คนเดียว ย้ำ แค่คนเดียว” พี่ริทพูดออกมาหมดเปลือก ผมมองไปรอบๆ อย่างเหลือเชื่อนี่คือฝีมือพี่ฮั่นจริงๆเหรอ... ผมเม้มปากเพื่อเก็บอารมณ์
“แต่สิ่งที่เค้าทำมันก็ร้ายแรงเหมือนกันนะครับ สมควรแล้วที่ต้องโดนแบบนี้บ้าง” ผมเองก็พยายามดันทุรังทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ดี!!! ปากแข็งเข้าไป แล้วอย่ามาร้องไห้ร้องห่มกับชั้นนะ ชีวิตนี้จะมีสักกี่คนที่จะรักและทุ่มเททุกอย่างให้แบบนี้ ถ้าวันหนึ่งต้องเสียเค้าไปขึ้นมาคนที่จะปวดที่สุดจะเป็นใครถ้าไม่ใช่แก” พี่ม้าพูดอย่างหมดความอดทนกับความดื้อรั้นของผมก่อนเดินตึงๆออกไป ผมเบือนหน้าออกไปทางหน้าต่าง พรุ่งนี้คงไม่สายไปใช่มั้ย....ที่ผมจะไปหาพี่เพื่อพูดคำว่า “รัก” ชดใช้การกระทำแย่ๆในวันนี้
HUNZ talk
สิ่งที่ผมคิดไว้มันไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย ผมหวังว่าจะได้รับรอยยิ้มและหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันเป็นรางวัลตอบแทน ทำไมแกงส้มถึงใจแข็งแบบนี้...แต่ยังไงก็ช่างความผิดมันเป็นของผม แกงส้มมีสิทธิ์ที่จะโกรธจะเกลียดผมเต็มที่ การที่แกงส้มไล่ผมไปทำอาหารมาใหม่นั้น ผมถือว่ามันคือการให้โอกาส... อย่างน้อยๆ แกงส้มก้ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาไล่ผมให้ไปพ้นๆจากชีวิตของเค้า ผมอมยิ้มกับความคิดในแง่บวกของตัวเอง แต่ไฟหน้าสว่างจ้าจากรถที่แซงสวนมานั้นก็ทำให้รถยิ้มหายไปจากไปหน้าทันที ผมหักพวงมาลัยหลบ แต่มันทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ ร่างกายผมที่ถูกยึดรั้งไว้ด้วยเข็มขัดนิรภัยกระแทกกับตัวรถอย่างรุนแรง จากความตกใจมึนชาไปทั่วร่างกลับกลายเป็นความเจ็บปวดราวกับกระดูกทั้งร่างกายแหลกละเอียด เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือ เสียงโหวกเหวกที่ดังออกไปไกลทุกทีๆ ทุกอย่างพร่ามัวก่อนมืดดับลงสนิท....
ปล. ตอนนี้มีอุปสรรคเยอะมากมาย ที่ทำให้อัพช้ามากๆ ขอแจกแจงเป็นข้อๆ นะคะ
1. ไรเตอร์ไม่สบาย
2. ไรเตอร์ติดซีรี่ส์เรื่อง bones อย่างงอมแงม
3. นอกจากนั้นแล้วยังติดละคร รักนี้หัวใจมีครีบอีก...
เห็นว่าช่วงนี้หลายๆคนกำลังสอบ ขอให้สอบได้คะแนนเยอะๆนะคะ อนุญาตให้แปะไว้ก่อนได้ สอบเสร็จแล้วค่อยมาอ่านฟิคแล้วชดใช้ด้วยการเม้นกันนะ อิอิ ยังไงการเรียนก็ต้องมาก่อนนะ เพราะไรเตอร์เจอกับความเจ็บปวดที่ว่า อีก 0.01 จะได้เกียรตินิยมอยู่แล้วเชียว อยากกลับไปทำอะไรที่ดีกว่านี้ก็ไม่ได้แล้ว ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ตั้งใจเรียนกันนะคะ (เหมือนคนแก่กำลังให้พรกันเลยทีเดียว)
ความคิดเห็น