ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TS8 (HKS) รักร้าว ในเงามาร

    ลำดับตอนที่ #1 : Intro

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 55




    การเดินในตรอกเปลี่ยวเวลาโพล้เพล้แบบนี้ มันช่างเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก ผมไม่น่าเห็นแก่ทางลัดมากกว่าความปลอดภัยในชีวิตตัวเองเลย กลุ่มคนน่ากลัวมองผมราวกับเป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่า ผมรีบสาวก้าวเดินอย่างรวดเร็ว มือกระชับกระเป๋านักเรียนไว้แน่น

    “ไอ่อ้วน....หยุดคุยกันก่อนดิ” ร่างสูงผอมเกร็งเข้ามาขวางผมเมื่ออยู่ในจุดเปลี่ยว ผมถอยหลังหวังจะวิ่งหนีกลับทางเดิมแต่ร่างผมก็ถูกผลักกลับมาจากด้านหน้า ร่างผอมเกร็งกระชากกระเป๋าออกมามือผมแต่ผมไม่ยอมเพราะการบ้านที่ผมเพิ่งทำอยู่ในนั้น

    “ปล่อย กูบอกให้มึงปล่อย มึงอยากตายรึไงว่ะ” ร่างล้ำที่เป็นคนผลักผมเข้ามายื้อแย่งช่วยเพื่อน

    “พลั่ก!!!” ร่างล่ำต่อยเข้าที่ท้องผมซึ่งมันทำให้มันจุกจนตัวงอ ผมทรุดตัวลงมือปล่อยจากกระเป๋า แต่เหมือนการขัดขืนเพียงเล็กน้อยของผมจะเป็นการเพิ่มแรงเดือดนั้น มันลากคอเสื้อนักเรียนขึ้นผมมาก่อนเอามือหยาบฟาดลงที่หน้าผมอย่างแรง ส่วนร่างผอมเกร็งก็รื้อกระเป๋าผม จนได้กระเป๋าสตางค์ของผม แต่วินาทีนี้ผมคิดว่าแค่ไม่เจ็บตัวไปกว่านี้มันก็ดีแล้ว

    “พวกมึงหยุดเลยนะ...กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามทำแบบนี้” เสียงทุ้มตะคอกทำให้สองคนนั้นชะงักก่อนมองไปที่ร่างสูงขาวนั้นอย่างหวาดๆ ผมค่อยๆยันกายหันไปมองคนที่มาช่วยอย่างเต็มตา

    “แล้วมึงมายุ่งอะไรกับพวกกู” คนล่ำกว่าร้องบอกออกไปถึงแม้ว่าจะดูกลัวร่างสูงนั้นไม่น้อย

    “มึงจะเอาใช่มั้ย???” ร่างสูงที่มีใบหน้าหล่อใสตะคอก พร้อมปรี่เข้าชกที่ร่างล่ำนั้นคว่ำไปนอนกับพื้น แล้วแย่งกระเป๋าสตางค์ผมมาจากคนร่างผอมที่ดูเหมือนจะตระหนกมากเลยวิ่งหนีโดยไม่รอเพื่อน ซึ่งเมื่อชายที่นอนคว่ำกับพื้นยันกายขึ้นมาได้ก็วิ่งตามเพื่อนไปโดยพลัน

    “เป็นอะไรมั้ย???” น้ำเสียงแข็งกระด้างถามมาที่ผม ผมยกมือลูบริมฝีปากที่แตกเล็กน้อย

    “คราวหน้าก็อย่ามาเดินแถวนี้ละกัน ไป--เดี๋ยวชั้นไปส่งขึ้นรถเมล์” ร่างสูงพูดพร้อมเก็บของที่ถูกรื้อค้นลงกระเป๋าอย่างลวกๆ แล้วยื่นกระเป๋าพร้อมของทุกอย่างมาให้ผม

    “ขอบคุณครับ...ถ้าไม่มีพี่ผมต้องแย่ๆแน่ๆเลย” ผมพนมมือไหว้เด็กหนุ่มวัยรุ่นนั้น

    “ดีนะที่มันยังไม่ทันเอาเงินไป”

    “ผมหมายถึงการบ้านต่างหากที่ผมจะแย่ถ้าไม่มีมัน” ผมตอบตามความจริงแต่ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะร่วน

    “จะบ้าตาย...ที่สู้มันเพราะการบ้านเหรอ???” ใบหน้าหล่อเลิกคิ้วถาม ผมพยักหน้าอย่างอายๆ

    “นายนี่มันเด็กดีจริงๆ เรียนอยู่มอ.อะไรแล้วละ” ระหว่างที่เดินไปที่ป้ายรถเมล์ฮีโร่ของผมถาม

    “มอ.3 ครับ จะได้ขึ้นมอ.สี่แล้ว” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม เป็นจังหวะที่ถึงจุดหมาย ผมตัดสินใจถอดสร้อยพระที่คุณย่าเอาให้ผมมาตั้งแต่เด็กๆ ยื่นให้ร่างสูงนั้น

    “นายเอามาให้ชั้นทำไม ไม่เอา...”

    “ผมไม่ได้ให้ผมฝากไว้ วันไหนที่เราเจอกันอีกครั้งพี่ค่อยเอามาคืนผม” บอกไม่ถูกว่าอะไรดลใจให้ผมทำไปอย่างนั้น แต่สักวันเราต้องพบกัน ผมเชื่อแบบนั้น....

    “เข้าใจแล้ว” รอยยิ้มจริงใจพร้อมยื่นมือเรียวมารับสร้อย นั่น...คือความทรงจำสุดท้ายที่ผมเก็บไว้เพื่อรอคอยการพบกันอีกครั้งของเรา

     

    6 ปีผ่านไป.....

    ผมยกแก้วน้ำใบโตมาดื่มระหว่างนั่งทำงานแต่ก็พบว่าไม่เหลือของเหลวอยู่เลยสักนิด ผมตัดใจเดินลงมาเพื่อหยิบมาน้ำมาดื่มเนื่องจากงานนี้เป็นโปรเจ็คสุดท้ายของเทอมผมต้องรีบปั่นให้เสร็จทันส่งในอีกสามวัน

    “พ่อขอโทษ...ไม่นึกว่ามันจะกล้าทำกับพ่อแบบนี้” น้ำเสียงของพ่อฟังดูไม่ค่อยดีนัก ถึงแม้เตือนตัวเองว่าไม่ควรแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน แต่ร่างกายผมก็ไม่ขยับไปไหน

    “ช่างมันเถอะพ่อ...อย่าโทษตัวเองเลย ตอนนี้มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำยังไง” เสียงแม่ปลอบประโลมให้กำลังใจ

    “พ่อว่าพ่อจะเอาที่บ้านเราไปจำนอง ไม่อย่างนั้นค่าเทอมของเจ้าสามตัวนั่นคงไม่พอแน่ๆ ไหนจะค่ากินค่าอยู่อีก อีกอย่างเราจะบอกให้ลูกๆรู้ไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นมันต้องแย่งกันออกมาทำงานแน่ๆ”

    “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ” ผมเดินออกจากมุมบันได้ไปเผชิญหน้ากับบุพการี พ่อกับแม่ตกใจที่ผมได้ยินเรื่องทั้งหมด สายตาผมคาดคั้นเอาความจริงจากปากท่านทั้งสอง สรุปว่าตอนนี้บ้านเราติดหนี้นอกระบบอยู่สองล้านบาท เพราะเพื่อนพอแอบเอาหลักฐานของพ่อไปเซ็นค้ำประกันและหนีไปต่างประเทศเรียบร้อย มันจึงทำให้การเงินบ้านผมเข้าขั้นวิกฤติ ผมนั่งนิ่งเมื่อรับฟังทุกอย่าง หากทุกอย่างมันแย่แบบนี้ กิจการโรงพิมพ์ของพ่อต้องแย่แน่ๆ เพราะเพิ่งลงทุนใหม่ คนงานก็ต้องตกงาน พี่สาวที่อยู่ต่างประเทศถ้าได้เงินน้อยกว่าเดิม ผมแน่ใจว่าจะต้องลำบาก... คนที่อยู่ในจุดที่เสียสละได้ก็คือผม

    “ผมจะดรอปเรียน...ถ้าผมหาเงินเองได้แล้วดรอปเรียน ปีหน้าเจ้เรียนจบทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ” ผมบอกในสิ่งที่ผมตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำ แค่หนึ่งปีเท่านั้น...ผมทนไหว

    “ไม่ได้นะลูก....นี่มันเรื่องของพ่อแม่ที่จะต้องแก้ไขปัญหา แม่ไม่ยอมให้ลูกต้องมาลำบาก” แม่ค้านผมทันที พ่อเองก็มีความเห็นไม่ต่างกัน

    “ผมไม่ยอมให้บ้านเราต้องถูกเอาไปจำนองหรอกนะแม่... เราเป็นครอบครัวมีอะไรก็ต้องช่วยแก้ไข ถ้าพ่อกับแม่ไม่ยอมผมจะหนีไป...คอยดูสิ จะติดยาด้วย” เนื่องจากคำขู่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของผม พ่อกับแม่รู้ดีว่าไม่อาจจะเปลี่ยนใจของผมได้

    ในวันรุ่งขึ้นผมเอารถคู่ใจที่พ่อกับแม่ซื้อให้ไปทำสัญญาเป็นรถเช่าที่ร้านเช่ารถของครอบครัวเพื่อนผม อย่างน้อยๆก็ได้วันละ 800 บาทก็ยังดี จากนั้นแวะไปหาครูโรสที่เป็นครูสอนเปียโนมาตั้งแต่เด็กเพื่อลาจากการเรียน ผมต้องประหยัดทุกๆทาง พ่อแม่เองก็ลำบาก ผมยอมที่จะเหนื่อยเพื่อให้ท่านได้พักบ้าง

    “นี่แกงแน่ใจจริงเหรอ???” ครูโรสเอ่ยปากถามผมด้วยความเอ็นดู

    “ครับ...วินาทีนี้แกงส้มคนนี้ขอลาครูไปหาเงินก่อน เมื่อไหร่ท้องฟ้าสดใสผมจะกลับมาเรียนกับครูอีกครั้ง” ผมพูดจริงแกมหยอกแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของคุณครูคนสวยมีรอยยิ้ม

    “ถ้ามีอะไรให้ครูช่วยไม่ต้องเกรงใจนะ..บอกได้ทันที”

    “ถ้าครูมีงานไหนให้ผมทำ ครูก็บอกผมเลยนะครับ เหนื่อยแค่ไหนผมยอม”

     

    HUNZ talk

    ผมมองตัวเองในกระจก ชายหนุ่มเต็มวัยในชุดสูทหรู นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้ส่งยิ้มให้ตัวเอง ผมไม่รู้ว่าผมกลายเป็นคนเย็นชาไปตั้งแต่เมื่อไหร่.... สิ่งที่รู้ตอนนี้คือผมไม่รู้จักความสุขหรือความทุกข์ใดๆ.. ผมลูบสร้อยพระที่ห้อยติดคอมาตลอดหกปี นึกถึงเด็กร่างตุ้ยนุ้ยที่ถูกอันธพาลทำร้ายในตรอกเปลี่ยวที่เคยเป็น “บ้าน” ของผม นับจากนั้นผมก็ไม่ได้โอกาสได้พบเจอเด็กคนนั้นอีกเลย เพราะหลักจากนั้นไม่นานคุณท่านก็มารับผมไปชุบเลี้ยงหวังจะให้เป็นที่พึ่งแก่บุตรสาวคนเดียว จากนั้นเป็นต้นมาผมใช้ชีวิตตามแบบที่ผู้มีบุญคุณล้นพ้นกำหนด นั่น...คือการดูแลลูกสาวของท่าน และคำสัญญานั้นก็เหมือนเงื่อนไขผูกมัดว่าชีวิตของผมต้องเป็นของเด็กสาวสวยเอาแต่ใจ ที่มีชื่อว่า สมายล์..หลังจากท่านกับภรรยาเสียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์

    “ฮั่นค่ะ เรียบร้อยรึยัง???” เสียงหวานเรียกผมที่หน้าห้อง ผมเดินอาดๆไปเปิดประตูร่างสวยบางในชุดสีฟ้าพริ้มยืนโปรยยิ้มรอ ผมปิดประตูห้องพร้อมที่จะออกเดินไปข้างล่างแต่ร่างสวยนั้นก็รั้งผมพร้อมจัดหูกระต่าย

    “ยังเหมือนเดิมเลยนะ นิสัยส่องกระจกปราดเดียวแล้วออกจากห้องเนี่ย” เจนพูดด้วยถ้อยเสียงหวาน ผมขยับตัวออกห่างอย่างสุภาพแต่มือบางนั้นก็ยังเกาะอยู่บนแผงอกของผม

    “ทำอะไรกัน!!!” เสียงร้องที่ดังในระดับหนึ่ง ทำให้ร่างสวยนั้นผละออกห่างจากผมทันที สาวน้อยในชุดสีทองฟูฟ่องสวยงาม แต่ใบหน้าออกจะแต่งเข้มเกินวัยไปซะหน่อย แต่เรื่องนี้มีนอกเหนือความรับผิดชอบของผม

    “คุณฮั่นสิคะ แต่งตัวไม่เรียบร้อย เจนก็เลยช่วย แต่คุณสมายล์น่ารักมากเลยนะคะ” เจนจิราหันไปชมร่างที่ยิ้มหน้าบึ้งอยู่ ผมเดินหลีกมาเพื่อเตรียมรถสำหรับส่งคุณหนูไปงานสำหรับชนชั้นสูง ไม่นานหญิงสาวทั้งสองก็มานั่งอยู่บนรถ ผมขับรถออกไปโดยมีเจนจิรานั่งคู่ผมด้านหน้า

    ผมมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยทุกอย่าง รวมทั้งการรักษาผลประโยชน์ด้านธุรกิจของคุณหนู แต่ทุกครั้งที่มีงานสังคมผมก็ต้องไปตามความต้องการของเจ้านายสาวทั้งที่รู้ว่าในแวดวงสังคมมองผมในแง่ชู้สาวกับคุณหนู แต่นั่นก็เป็นเพราะการกระทำของคุณหนูสมายล์เอง

    “ขอโทษนะคะ...คุณบอดี้การ์ด” เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวทำให้ผมหันไปมองต้นเสียง

    “ครับ” ผมรับคำเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกับคุณหนูในชุดสีหวาน

    “แซนดี้ค่ะ เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกับสมายล์” เธอแนะนำตัวอย่างฉะฉานบ่งบอกถึงความเจนสังคม

    “เธอเรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนชั้นงั้นเหรอ??? ไม่ยักกะรู้ถึงความสัมพันธ์นั้น” คุณหนูสมายล์โพล่งขึ้นมาจากด้านหลังแต่คำพูดนั้นก็ไม่ทำให้แซนดี้หุบยิ้มได้

    “เพื่อนที่โรงเรียนจ๊ะ...ชั้นรู้ว่าคุณหนูสมายล์ไม่ได้คบชั้นเป็นเพื่อน เพราะนึกๆดูคุณหนูก็ไม่ได้คบใครเป็นเพื่อนเลยสักคน” น้ำเสียงถากถางนั้น ทำให้ผมกลัวเพศหญิงไปทุกๆที นี่แหละที่เค้าเรียกว่า...น้ำผึ้งอาบยาพิษ

    “นี่เธอ...” คุณหนูสมายล์เม้มปากด้วยความเจ็บใจ

    “แล้วงานการกุศลสามเดือนข้างหน้า สมายล์ทำอะไรบ้างจ๊ะ???” แซนดี้รุกหนัก

    “ชั้นแค่บริจาคมากกว่าคนอื่น ขี้คร้านว่าแสงแฟลชระรัวจนชั้นแสบตา”  คุณหนูดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆเช่นกัน

    “เหรอ??? ชั้นคงไม่มีเวลาถ่ายรูปหรอกเพราะเวลานั้นชั้นต้องเตรียมตัวเดี่ยวเปียโน อิจฉาพวกทำอะไรไม่เป็นอย่างเธอจริงๆ มีเวลาเดินสวยๆถ่ายรูปได้ ว้า....ชั้นคงต้องขอตัวแล้ว ไปนะคะคุณบอดี้การ์ด” แซนดี้ทิ้งระเบิดลูกโตทำให้คุณหนูสมายล์โกรธจนตัวสั่น

    “คุณเจน... ช่วยไปติดต่อคณะกรรมการว่าสมายล์จะบริจาคเพิ่มสองเท่า แต่สมายล์จะเป็นคนเดี่ยวเปียโนแค่คนเดียวเท่านั้น” คำสั่งเฉียบพร้อมรอยยิ้มหวานตอบรับของเจนจิราทำเอาผมสะอึก

    “คุณหนูเล่นเปียโนไม่เป็นนี่ครับ แล้วจะ----” ผมถามไปทันทีด้วยความเป็นห่วง

    “พี่ฮั่นช่วยติดต่อหาเปียโนดีๆสักหลังและครูมาสอนเปียโนสมายล์ แค่เพลงดีๆเพลงเดียว มีเวลาสามเดือน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องมาอยู่ที่บ้านสมายล์เท่านั้น เพราะสมายล์ไม่ชอบไปเพ่นพ่านที่อื่น งานนี้สมายล์จ่ายไม่อั้น” ผมถอนหายใจยาวกับความเอาแต่ใจของคุณหนู แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการทำตามคำสั่งเท่านั้น!!!

     

    ผมนั่งมองหนังสือหางานจนปวดตา ยังไม่มีงานดีๆที่คุ้มค่าเลยสักงาน เพราะจากการคำนวณดูแล้วบางงานแค่ค่าเดินทางก็แทบจะไม่พอ แต่จะว่าอะไรได้ที่ผมจะใช้สมัครงานมันก็แค่วุฒิม.6 เท่านั้น เสียงมือถือข้างกายดังขึ้น ผมยกขึ้นมาพบว่าเป็นครูโรส

    “สวัสดีครับครู...” ผมกรอกเสียงสดใสตามสายไป

    “เป็นไงบ้าง มีงานทำรึยัง???” ครูเองก็เหมือนจะห่วงใยในตัวผมไม่น้อย

    “ยังเลยครับ กำลังหาอยู่เลย ครูมีอะไรรึเปล่าครับ” ผมตอบไปตามความจริง

    “คือ...ครูมีงานให้แกงส้มทำเงินดีมากแต่ดูท่าทางงานจะเหนื่อยเหมือนกันนะ”

    “นาทีนี้รับจ้างเก็บไข่ไดโนเสาร์ผมก็เอาครับครู งานอะไรหรือครับ” ผมถามอย่างกระตือรือร้น

    “สอนเปียโนจ๊ะ รู้จักไฮโซมั้ย???... เด็กผู้หญิงที่ชื่อสมายล์หน่ะ คนนั้นแหละเค้าจ้างเดือนละสามหมื่นแต่ต้องไปอยู่ไปกินกับเค้านะ” ครูอธิบายงานอย่างลำบากใจ... ไฮโซอะไรผมไม่รู้ แต่หูอื้อตั้งแต่ได้ยินคำว่าสามหมื่นแล้วครับ

    “เอาครับเอา...งานนี้ผมทำแน่ครับครู”

     

    ปล. เรื่องนี้โครงเรื่องดราม่ามาก....ฝากติดตามกันหน่อยนะจ๊ะ จะอัพสลับกับอีกเรื่องจ้า ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×