ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TS8 (HKS) รักละมุน คุณพ่อน้องผี

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 8 : จูบแบบเจ้านายลูกน้อง

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 55


    CAN talk

    ใครไม่เป็นผมไม่รู้หรอก ว่าการทำดีกับคนที่เราคิดว่า “รัก” แต่มันไม่มีทางที่เค้าจะรับรู้ได้นั้นมันทรมานแค่ไหน ยิ่งการต้องทำเป็นรักคนอื่นเพื่อให้ได้มีโอกาสใกล้ชิดเค้านั้น มันทำให้ผมยิ่งสมเพชตัวเองมากไปกว่าเดิม สต๊อป....เสียงเรียกในหัวใจพี่ตอนนี้มันมีแค่ชื่อเธอเท่านั้นนะ

    “พี่แคน” เสียงหวานแต่ดูเข้มแข็งดังมาจากด้านหลัง ผมหันไปส่งยิ้มให้

    “สต๊อปเอาน้ำเต้าหู้ที่ชมรมแม่บ้านเค้าสอนทำมาให้ ดูสิทำเองกับมือเลยนะเนี่ย” สต๊อปยื่นแก้วนำเต้าหู้มาให้ผม ผมรับมาอย่างระมัดระวังโดยที่ไม่ให้มือไปสัมผัสถูกสต๊อป

    “พี่แคนชอบทะเลเหรอคะ” สต๊อปทิ้งตัวนั่ลงมองทะเลในยามค่ำเป็นเพื่อนผม

    “ก็ชอบนะ เพราะที่สุโขทัยไม่มี” ผมตอบออกไปตามความรู้สึก แต่ทำเอาสาวเจ้าหัวเราะออกมา

    “ขำอะไรเหรอ???” ผมหันไปถามสาวสวยคมที่ตอนนี้ใบหน้ากลับดูนวลอ่อนหวานด้วยแสงไฟจากตะเกียงตกแต่งริมหาด

    “พี่แคนนี่ซื่อจริงๆเลย ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเค้าคงตอบประมาณว่ารักในสายลม แสงแดด อะไรทำนองนี้ แต่พี่แคนกลับตอบหน้าตายๆว่าชอบเพราะที่บ้านไม่มีนี่นะ น่ารักดี” ถึงแม้มันจะเป็นคำพูดกลั้วเสียงหัวเราะแต่คำว่า “น่ารัก” มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

    “งั้นพี่เอาใหม่ได้มั้ย???... มะ ถามพี่ใหม่” ผมยื่นข้อเสนอพร้อมหันหน้าไปรอฟังคำถาม

    “ไม่เอาหรอก...พี่แคนเป็นแบบนี้ก็น่ารักจะตายไป อย่าไปเป็นเหมือนพวกผู้ชายชีกอ ชอบป้อผู้หญิง พูดจาเชื่อถือไม่ได้เลยนะ” สต๊อปพูดถึงผู้ชายประเภทหลังด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ

    “ทำไมเหรอ???...ไปโดนใครเค้าหลอกมา ถึงได้ฝังใจอะไรขนาดนั้น” ผมปรับเสียงให้ราบเรียบเหมือนกำลังถามว่า หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับเท่าไหร่ ทั้งอยากรู้แทบแย่

    “ไม่หรอก---มันแค่ไม่ชอบเท่านั้นแหละ โลกใบนี้ต้องการความจริงใจ คนที่พูดกันด้วยหัวใจ” สต๊อปมองหน้าผมราวกับผมจะเป็นความหวังของโลกในอุดมคติของเธอ ทั้งที่ผมเองที่กำลังจะวางแผนหลอกลวงเธอ... เอาไงเอากัน บอกเป็นบอก!!!

    “สต๊อป...พี่--” ยังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวมาจากโรงอาหารของหมู่บ้าน ผมมองหน้าสต๊อปที่ตอนนี้หน้าซีด ผมคว้าแขนบางนั้นแล้วออกวิ่งไปที่ต้นเสียง เมื่อไปถึงก็เห็นน้องผู้หญิงหนึ่งคนตัวสั่น ตาขวางอย่างบ้าคลั่ง ผมเอาตัวบังสต๊อปก่อนจะสะกิดไอ่โดมที่มาถึงก่อนผม

    “น้องนิ่มเป็นอะไรเนี่ย???” ผมถามด้วยความสงสัย ดูเหมือนทุกคนที่ได้แค่มองร่างที่ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนโต๊ะอาหาร ทั้งที่ปกติน้องนิ่มเค้านิ่มนวลสมชื่อ ผมยังเคยแอบนินทาน้องเค้าเลยว่าขนาดเข้าห้องน้ำน้องยังนั่งพับเพียบเลยด้วยซ้ำ

    “อาการนี้ชั้นว่าผีเข้าวะ” ไอ่โดมหันมาตอบด้วยสีหน้าตื่นๆ ผมทิ้งให้สต๊อปอยู่ข้างหลังไอ่โดมเพราะคิดว่ายากที่ผีตนไหนจะทะลุผ่านชั้นไขมันของไอ่โดมไปหาสต๊อปได้ แล้วออกเดินไปหารุ่นน้องผู้ชายเพื่อวางแผนจะจับน้องนิ่มให้อยู่นิ่งๆ ก่อนที่คนที่ได้รับหน้าที่ไปตามผู้ใหญ่บ้านจะพาชาวบ้านมาช่วย

    “กูรู้ว่ามึงกำลังคิดจะทำอะไร ไอ่เตี้ย!!!” อยู่ๆน้องนิ่มก็ตวาดเสียงดัง ผมเองก็สะดุ้งเฮือก น้องเค้าด่าใครวะ!!! แต่ทำไมทุกคนหันมามองหน้าผมทุกคน ไอ่โดมหัวเราะคิดคักออกหน้าออกตา

    “ด่าใครว่าเตี้ยห๊ะ!!!” บอกตรงๆ มาด่าผมว่าอะไรก็ช่างไม่เจ็บ แต่ด่าว่า “เตี้ย!!!” เจ็บถึงไขกระดูกสันหลัง ผีก็ผีเถอะวะขอแลกสักตั้ง!!!

    สิบนาทีต่อมา

    “โอยยยยย... เบาๆ” ผมร้องโอดโอยเมื่อไอ่โดมรับหน้าที่ทำแผลที่เกิดจากรอยกัด รอยข่วน

    “สมน้ำหน้า... ขนาดทะเลาะกับหมาพุดเดิ้ลแกยังร่อแร่ นี่ริทะเลาะกับผีเลย ไม่เจียมสังขาร” ไอ่โดมที่เกิดมาพร้อมตำแหน่งตัวตอกย้ำระดับชาติ ไม่ปล่อยให้นาทีทองที่จะย่ำยีจิตใจผมผ่านเลยไป

    “ก็มันโกรธนี่หว่า เรียกชั้นว่าไอ่เตี้ย เออ...ที่สำคัญที่ชั้นทะเลาะด้วยตอนนั้นมันชิวาว่าเว้ย” ผมแย้งเพื่อที่สต๊อปจะได้รับข้อมูลที่แท้จริงๆ

    “ถ้าสต๊อปไม่เข้าไปช่วยเนี่ย...แกคงถูกน้องนิ่มข่วนลายเป็นตารางหมากรุกแน่ๆ” ไอ่โดมไม่จบครับ ชี้ช่องให้ผมดูอ่อนแอลงทันที ไหนรับปากว่าจะช่วยหว่า.....

    “เป็นไรหรอกคะ พี่แคนเค้าคงไม่อยากทำร้ายผู้หญิงมากกว่า” นี่ไง...นางฟ้าของผม ออกรับผมด้วยเหตุผลที่แสนจะดูดี แต่อันที่จริงแล้วผมก็สู้ไม่ได้อย่างที่ไอ่โดมว่าจริงแหละ แหม...ก็ผมมันเป็นพวกปัญญาชนนี่ครับ

    “อย่าเลยสต๊อป ตอนที่ทะเลาะกับชิวาว่าจนโดนงับเข้าที่ขา  รู้มั้ยว่ามันร้องว่ายังไง” ไอ่โดมเริ่มปฏิบัติการเผาระยะเผาขน ไอ่คุณโดมครับ ฝ่าเท้ากระผมห่างจากร่างกลมๆของคุณเมิงในระยะประชิดเลยนะคร้าบบบบบ

    “ร้องว่าไงคะ” สต๊อปตอบรับมุขไอ่โดมเป็นอย่างดี ผมได้แต่นั่งหดหู่

    “มันแหกปากว่า “ขาขาด ขาขาด” พี่นี่นะรีบกดมือถือใหญ่เลย” เอาให้เต็มที่เลยนะ..อย่าได้นึกเลยว่าไอ่คนที่พูดถึงอยู่นั่งหัวโด่งทนโท่ตรงนี้

    “เรียกรถพยาบาลเหรอคะ”

    “เปล๊า....เรียกเพื่อนมาเล่นไพ่!!!” เสียงหัวเราะระเบิดจากร่างแบบบางที่แสนน่ารัก และร่างกลมที่แสนน่าถีบเป็นอย่างยิ่ง ไอ่แคนถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเองแล้วแหละที่ดันมาคบกับเพื่อนช่างเม้าท์แบบนี้!!!

     

    ผมปาดน้ำตาก่อนเข้ามาบ้าน ผมเองก็เริ่มสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และที่สำคัญผมสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง แววตาเหมือนลูกกวางบาดเจ็บของพี่ฮั่นมันทำให้ผมรู้สึกเสียใจที่บุ่มบ่ามทำอะไรแบบนั้น แต่ยังไง...พี่ฮั่นก็เป็นคนที่ทำร้ายครอบครัวหนึ่งจนแตกสลาย ใช่แล้ว..เราจะไปสงสารเค้าทำมั้ย??? นึกถึงบัลเล่ต์ไว้สิ  ผมมองหน้าตัวเองในกระจกที่ตอนนี้มีเพียงรอยแดงจางๆเท่านั้นก่อนที่จะเข้าบ้าน

    “อ้าว...วันนี้กลับมานอนที่บ้านเหรอ???” ทันทีที่แม่เห็นหน้าผมก็ร้องทักขึ้น ผมยกมือไหว้ก่อนที่จะเข้าไปกอดด้วยความคิดถึง

    “ดีแล้ว...แม่เองก็คิดถึง วันนี้จะทานอะไรเดี๋ยวแม่ทำให้หมดเลย” ด้วยความที่ผมนานๆกลับมานอนค้างที่บ้านหลังจากที่ได้ย้ายไปอยู่หอ ผมก็เลยกลายเป็นลูกคนโปรดไปโดยปริยาย

    “แล้วไปไหนกันหมดละแม่...” ผมชะเง้อมองหาคนอื่นในบ้านซึ่งตอนนี้เงียบเชียบผิดปกติ

    “สามคนเค้าออกไปทานข้าวนอกบ้านกัน แต่แม่ไม่อยากไปก็เลยอาสาเฝ้าบ้าน ดีนะ...ที่แกงกลับบ้านมาทานข้าวกับแม่” แม่พูดพลางเดินนำผมเข้าไปในครัว ผมเยี่ยมหน้าเข้าไปในครัว

    “แล้วเป็นอะไรทำหน้าหมองๆ” แม่ถามผมแต่มือก็ง่วนกับการเตรียมอาหาร

    “แม่... แม่เคยนึกสงสารคนเลวๆมั้ย???” ผมถามออกไป แม่ชะงักมือหันหน้ามามองผมเต็มตา

    “แล้วแกงรู้ได้ยังไงว่าเค้าเลว” แม่ถามผมกลับมา ผมก็นิ่งไปอึดใจ

    “ก็รู้แล้วละกัน” ผมไม่ตอบตรงๆ

    “แกง... เค้าเลวเพราะ แกงสัมผัสได้ หรือว่าเค้าเลวเพราะแกงฟังจากคนอื่นมาแล้วคิดเอาเอง...ถ้าเป็นอย่างหลังแกงไม่มีสิทธิไปว่าเค้าเลวนะลูก” แม่กล่าวเตือนผมเบาๆ ผมนิ่งคิด นั่นสินะ...เรื่องราวทั้งหมดก็ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร เราเองก็มัวแต่คิดว่าพี่ฮั่นเป็นชู้คนอื่น จนลืมไปว่าสิ่งของชิ้นเดียว...ถ้ามองต่างมุมต่างองศามุมมองก็เปลี่ยน แต่นี่...มนุษย์ มีจิตใจที่หลากหลายเหตุผล เราเองจะตัดสินคนแค่มิติเดียวมันก็ใจแคบเกินไป และบวกกับความปวดร้าวที่ปรากฏในแววตาคู่คมกล้านั้น มันทำให้เห็นได้ชัด ว่าผมก็คือคนที่ผิดเช่นกัน

     

    ผมค่อยๆเลี้ยวรถเข้ามาในร้านตอนเช้าตรู่หวังว่าอย่างน้อยก็คงจะได้ช่วยจัดร้านก่อนที่จะถูกนายจ้างไล่ตะเพิดออกมา แต่เมื่อเอารถเข้าไปจอดก็เห็นจักรยานของเจ้าของร้านจอดอยู่ มาแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย???...สงสัยพี่ฮั่นนึกว่าตัวเองจะได้มาเตรียมร้านก่อนเปิดคนเดียวแน่ๆ เอาไงดีแกงส้ม จะกลับไปตั้งหลักหรือว่า...เข้าไปลองดูสถานการณ์ก่อนดีนะ ไหนๆก็มาแล้ว!!! ผมสาวก้าวเข้าไปทางหลังร้าน ทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อวาน ผมค่อยไขกุญแจเข้าไปเพื่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุด แต่เมื่อเปิดประตูออกก็พบร่างของพี่ฮั่นนอนยาวไปกับม้านั่งในครัว และเสื้อผ้าก็เหมือนจะเป็นชุดเดิมของเมื่อวาน ผมเดินย่องเบาๆยื่นหน้าไปมองใบหน้านั้น...ที่หลับไม่รู้เรื่อง ขนาดหลับยังหล่อเลยนะเนี่ย???... ถามจริงๆเหอะชาติที่แล้วทำบุญมาด้วยอะไรกัน ผมกำลังสำรวจร่างที่นอนหลับพริ้มอยู่เพลินๆ จู่ๆตาคมก็ลืมขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์

    “ผมเห็นว่าทำงานคนเดียวเลยจะมาช่วยเป็นวันสุดท้าย” ผมรีบบอกจุดประสงค์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว ร่างสูงแข็งแรงค่อยดันตัวขึ้นขมวดคิ้วมองหน้าผม

    “วันสุดท้าย---นายจะไปไหน” เหมือนจะเป็นประโยคคำถามแต่ฟังจากน้ำเสียงเหมือนเป็นคำต่อว่าเสียมากกว่า ก็ตัวเองไล่เค้าไปเมื่อวานยังมีหน้ามาถามอีก!!!

    “ก็ผมถูกไล่ออกแล้วไม่ใช่เหรอครับ” ผมตอบกลับไป

    “บ้าละ!!!... ชั้นแค่ไล่นายให้ไปพ้นๆหน้าตอนที่ชั้นกำลังโมโห ไม่ได้คิดจะไล่ให้นายไปที่ไหนซักหน่อย” พี่ฮั่นพูดท่อนแรกของประโยคด้วยเสียงดุดัน แต่ท้ายประโยคน้ำเสียงนั้นกลับแผ่วลงและฟังดูอ่อนหวานอย่างน่าประหลาด ซึ่งก็ทำให้ใบหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

    “งั้นผมก็ทำงานที่นี่ได้ต่อไป” ผมเอียงคอถามอย่างมีความหวัง พี่ฮั่นพยักหน้าน้อยๆ ผมยิ้มกว้างตอบแทนคำตอบนั้น

    “แกงส้ม...คือเมื่อวานชั้นขอโทษนะที่รุนแรงกับนาย” พี่ฮั่นพูดขึ้นมาเบาๆ พอให้ผมได้ยิน

    “ไม่เป็นไรครับ” ผมหลบสายตาที่ส่งมา มันทำให้หัวใจเต้นเป็นจังหวะแปลกยังไงก็ไม่รู้

    “ชั้นเลยทำเค้กเพื่อที่จะขอโทษนาย เมื่อคืนชั้นนั่งคิดสูตรแล้วก็ทำ...เพิ่งเสร็จตอนตีสี่กว่าๆ” พี่ฮั่นเดินเลยผมไปเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ แล้วค่อยๆประคองเค้กสีส้มสวยประดับไปด้วยส้มชนิดต่างๆ มาวางที่โต๊ะทำเค้กที่พี่ฮั่นหวงนักหวงหนา ก่อนจะค่อยเงยหน้ามามองผมอย่างมีความหวัง

    “คือในเนื้อแป้งชั้นใส่ส้มชิ้นเล็กๆไปด้วย ส่วนหน้าเค้กเป็นแยมผิวส้มห้าชนิด ไม่รู้ว่านายจะชอบรึเปล่า” เป็นครั้งแรกที่พี่ฮั่นทำท่าทางเคอะเขินให้ผมได้เห็น ผมหลุบตามองเค้กที่คนตรงหน้าตั้งใจทำมาเพื่อผม พี่ฮั่นกุลีกุจอหยิบจานและมีดมาตัดแบ่งเค้กให้ผมได้ชิม และรสชาติมันก็ไม่ได้ดูดีน้อยไปกว่าหน้าตาของมันเลย

    “อร่อยแบบนี้...ผมว่าเราทำขายหน้าร้านเลยดีกว่า” ทันทีทีกลืนเค้กคำแรกลงคอผมรีบบอกเจ้านายทันที เพราะเค้กชิ้นนี้ต้องเป็นเค้กที่ขายดีได้ไม่ยาก แต่ร่างสูงกลับส่ายหน้าเบาๆ

    “มันเป็นรสชาติของนายสำหรับนายคนเดียว...มันไม่ได้มีไว้ขาย” สายตาคมที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา มันกระตุ้นใบหน้าและร่างกายของผมให้ร้อนผ่าว คำพูดสั้นๆ นั้นทำให้หัวใจของผมพองโตอย่างควบคุมไม่ได้ แค่คำไม่กี่คำทำไมมันช่างมีอิทธิพลก็หัวใจดวงนี้เหลือเกิน....

    “ผมไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ” ไม่ไหวแล้วขืนยืนอยู่ตรงนี้นานไปกว่านี้ ผมต้องหน้าแดงจนทำให้อีกฝ่ายเห็นแน่ๆ ผมรีบยัดเค้กชิ้นใหญ่ที่เหลือในมือเข้าปากก่อนจะวางจานอย่างเคอะเขินแล้วเดินผ่านร่างนั้นไป

    “แกงส้ม---” พี่ฮั่นร้องเรียกผมไว้ ผมหันกลับไปตามต้นเสียงเลิกคิ้วสูงแทนคำถาม

    “เค้กติดที่ปากนาย” พี่ฮั่นมองต่ำมาที่ปากของผม ผมเองก็ยกมือขึ้นมาจะปาดทำความสะอาด แต่ไวกว่ามือผมนั้นก็คือมือของพี่ชายบอสที่คว้าหมับเข้าที่แขนข้างที่ยกขึ้น โน้มตัวมาเลียที่ริมฝีปากผมอย่างช้าๆ ก่อนจะถอนใบหน้าให้ออกห่างแล้วไล่นิ้วเรียวยาวไปตามริมฝีปากอย่างอ่อนโยน ทุกอย่างของผมหยุดนิ่งทันทีราวกับโลกทั้งใบถูกสต๊าฟเอาไว้ ผมก้าวถอยหลังเพื่อให้ตัวเองอยู่ห่างจากร่างนั้น แต่พี่ฮั่นกลับดึงร่างของผมไปปะทะกับร่างแข็งแรงนั้น เอวของผมถูกแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตวัดให้สองร่างกระชับแนบชิด ก่อนใบหน้าหล่อใสนั้นก็ค่อยๆก้มลงมาอย่างช้าๆ บอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร แต่หัวใจของผมกลับเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก ผมหลับตาช้าๆโดยไม่มีเหตุผลว่าทำไม แต่ก็สัมผัสถึงริมฝีปากร้อนผ่าวของพี่ฮั่นที่ประทับลงบนเรียวปากที่เย็นชืดของตัวเอง รสจูบที่แผ่วเบาในตอนแรกค่อยๆรุกล้ำมากขึ้นราวกับต้องลิ้มรสริมฝีปากของผมอย่างลึกซึ้ง ผมปิดริมฝีปากแน่นไม่ยอมในพี่ฮั่นรุกเร้าเข้าไปในริมฝีปากตัวเอง จนทำให้อีกฝ่ายอ่อนใจค่อยๆถอนริมฝีปากของไปจากใบหน้าผม

    “ลืมตาได้แล้ว...” เสียงอ่อนหวานกระซิบเบาๆที่ข้างใบหู ลมหายใจร้อนปะทะที่ลำคอผมอย่างจงใจ ผมค่อยๆลืมตาขึ้น ทันทีที่ลืมตาก็พบว่าสายตาหวานคมนั้นรอคอยอยู่ ผมขยับร่างเพื่อขืนออกจากอ้อมกอดนั้น แต่ไม่คิดว่าร่างสูงนั้นจะยอมปล่อยอย่างโดยดี

    “พี่จูบผมทำไม” ผมร้องอุทธรณ์ด้วยเสียงแหบพร่า แววตาอ่อนโยนในใบหน้าหล่อใสนั้นหายไปกลายเป็นแววตากรุ่มกริ่มกวนประสาทคุ้นตาอย่างรวดเร็ว

    “ชั้นเอาเค้กที่ติดที่ปากนายออกให้ต่างหาก” คำตอบมันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ใบหน้านั้นก็ไม่ได้สะทกสะท้านใดๆ ผมเม้มปากเพื่อจะเอาเรื่อง

    “เอามือปาดออกก็ได้นิ” ผมโวยวายเสียงดัง

    “อ้าว....เหรอ –เอ้อ..ชั้นลืมนึกไป คราวหน้าชั้นจะจำไว้นะ” ดูความหน้าเป็นของคนๆนี้สิครับ

    “นี่..คิดไงมาจูบผมเนี่ย???” ผมเองก็ยังคงความสติแตกโวยวายเช่นเดิม ยิ่งให้อีกฝ่ายทำเหมือนมันเป็นอะไรที่ธรรมดายิ่งทำให้ผมโมโห... ก็มัน จูบแรกของผมเลยนะ!!! ทำไมต้องเป็นจูบแรกที่บ้าบอไร้เหตุผลแบบนี้ด้วย

    “แล้วโวยวายทำไม ก็จูบกันแบบ..แบบเจ้านายลูกน้องไง รึว่านายคิดอะไรมากกว่านั้น อ่อ...ที่โวยวายเนี่ยเพราะนายหัวใจเต้นแรงแอบหวั่นไหวกับชั้นละสิ” ประโยคนั้นทำเอาผมอึ้งไปเลยทันที รู้ได้ไง!!! เอ๊ยยยย....ไม่ใช่ๆ คิดได้ไง!!! ต่างหาก

    “นี่...นี่...โอ๊ยยยยย!!! เออ—จูบแบบเจ้านายลูกน้อง เข้าใจแล้ว ผมไม่ได้คิดอะไรนอกเหนือจากนี้สักหน่อย หวั่นไหวอะไรไม่มี เจ้านายลูกน้อง โอเค!!!” ผมวีนด้วยความสติแตก ส่วนพี่ฮั่นหัวเราะอย่างผู้มีชัย ผมคว้ากระเป๋าเป้เพื่อเดินเข้าไปห้องแต่งตัวทันที เมื่อปิดประตู ผมก็อดคิดถึงเหตุการณ์นั้นอีกครั้งไม่ได้...ถ้าจะบอกว่า ผมไม่ได้รู้สึกแย่เลยสักนิด มันจะแปลกมั้ย??? เมื่อนึกถึงรสชาติของรอยจูบครั้งแรก รอยยิ้มก็ปรากฏอย่างไม่อาจควบคุม นิ้วที่ไล้ไปตามริมฝีปากก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกล่องลอยอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น มันเกิดอะไรกับหัวใจของเราเนี่ย... มันก็แค่การจูบแบบ “เจ้านายและลูกน้อง”  แต่แกงส้ม...นั่นมันพ่อของบัลเล่ต์นะ เมื่อความคิดนั้นผ่านเข้ามาในหัว รอยยิ้มของผมก็ค่อยๆ จางหายไป “เค้า” ไม่ใช่คนที่เราสมควรจะเผลอใจแบบนี้....อย่ารู้สึกแบบนี้อีก ได้โปรด!!!

     

    ปล. เม้นให้กำลังใจและติชม... เป็นแรงผลักดันที่ดีที่สุดนะจ๊ะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×