คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : อดีตของฮั่น
ผมนิ่งไปกับคำหนึ่งคำของบัลเล่ต์ สรุปว่าพี่ต้นเป็นคุณพ่อของบัลเล่ต์ ผมหันไปมองหน้าผีน้อยที่ชื่นชมพ่อของตัวเองในจอทีวีอย่างปลาบปลื้ม บัลเล่ต์...นี่มันเป็นเคราะห์กรรมอะไรของหนูนักหนานะ เรื่องราวที่มันซับซ้อนและเลวร้ายถึงต้องเป็นของเด็กไร้เดียงสาคนนี้ด้วย
“บัลเล่ต์...แม่ของหนูชื่ออะไรจ๊ะ???” ผมกลั้นใจถามออกไป...หวังว่าจะไม่ใช่ชื่อนั้น ขอร้องเถอะนะ
“แม่แพรวค่ะ” บัลเล่ต์หันมาตอบอย่างเต็มใจ คำตอบนั้นฉีกใจผมเป็นชิ้นๆ ผมปกป้องคนพรรค์นั้นไปได้อย่างไร สุดท้ายแล้ว...ก็เป็นแค่ชู้ของชาวบ้านนี่เอง เสียแรงที่อุตส่าห์รู้สึกดีด้วย!!!
“บัลเล่ต์ พี่ว่าตัวบัลเล่ตืดูจางๆไปนะ” ผมหันไปทักบัลเล่ต์ บัลเล่ต์ก้มลงมองแขนตัวเอง
“นั่นสิ...สงสัยบัลเล่ต์หายตัวไปหายตัวมาบ่อยไปแน่ๆเลย” บัลเล่ต์ขมวดคิ้วเป็นปม ตีหน้าเครียด
“พี่แกงว่าบัลเล่ต์ไปรอรับบุญที่วัดดีกว่ามั้ย???...พรุ่งนี้ก็วันพระแล้ว” ผมออกอุบายให้บัลเล่ต์ไปค้างที่วัดก่อนวันพระ เพราะไม่อยากให้บัลเล่ต์ต้องมารับรู้เรื่องเสื่อมทรามของคนรุ่นพ่อแม่
“อื้ม...ก็ดีเหมือนกันเนาะพี่แกง” ว่าแล้วผีน้อยก็หายตัวแวบไปเลย ผมถอนหายใจอย่างหนักใจก่อนจะล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างหมดแรง
HUNZ talk
โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดา ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นัก การอยู่ร้านคนเดียวจึงไม่ลำบาก แต่กระนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองหารถสีขาวมุกของร่างสูงโปร่งนั้นอยู่บ่อยๆ ลูกค้าที่เป็นสาวชาวต่างชาติที่มานั่งชิมกาแฟได้ออกไปทำให้ร้านว่างเปล่า ผมนึกถึงใบหน้าหวานไร้เดียงสาที่หลับใหลบนเตียงทำให้หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นผมมองผ่านกระจกใสหน้าร้านเห็นรถเก๋งสีขาวมุกเลี้ยวเข้า ผมกะเวลาที่แกงส้มจะเดินเข้ามาหลังร้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแกล้งเกินไปหลังร้าน ผมทำท่าทางเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อไม่ให้ร่างสูงนั้นสังเกตเห็นว่าตัวผมนั้นรอคอยการมาของเค้า แกงส้มเดินผ่านผมไปโดยไม่นึกจะทักผมเลย สงสัยยังไม่สร่างเมาแหงๆ ผมรอจนกว่าแกงส้มจะปรากฏตัวหลังจากเปลี่ยนใสเสื้อเชิ้ตสีชมพูที่เป็นเครื่องแบบของร้าน
“หูกระต่ายเบี้ยว...” ผมเอื้อมมือเพื่อจะไปจัดหูกระต่ายที่คอเสื้อแต่แกงส้มก็ปัดมือผมออกห่างทันที
“นายเป็นอะไรรึเปล่า” ผมเอ่ยถามออกไป แกงส้มหันหลังให้ผมทำท่าจะเดินออกไปหน้าร้าน ผมคว้าแขนนั้นไว้ก่อนที่จะได้ทำอย่างที่เจ้าของร่างตั้งใจ แกงส้มพยายามบิดข้อมือให้หลุดพ้น แต่ผมก็ไม่คิดจะปล่อย
“ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ” แกงส้มสั่งผมเสียงเฉียบและเย็นชา มันทำให้ผมชะงักแต่ก็ไม่ปล่อยข้อมือนั้นให้เป็นอิสระ ใบหน้าที่ปกติจะฉายความไร้เดียงสาแต่บัดนี้กลับกลายเป็นใบหน้าที่โกรธเกรี้ยว
“เป็นอะไร—บอกชั้นมาก่อน ไม่งั้นชั้นจะไม่ปล่อย” ผมเองก็ไม่ยอม แกงส้มตวัดสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผมให้ได้ ก่อนที่จะเม้มริมฝีปากจนเสียบางเฉียบ
“อย่าทำให้ชั้นต้องหมดความอดทนนะ” ผมกึ่งเตือนกึ่งขู่ แต่ร่างบางนั้นกลับเชิดหน้าไม่หวั่นกลัว
“คนเราทำอะไรไว้ก็จะละอายใจบ้าง....ต้องให้คนอื่นบอกด้วยเหรอว่าตัวเองไปทำชั่วอะไร” แกงส้มพูดสะบัดเสียง คำว่า “ชั่ว” มันกระแทกหูผมจนทะลายความอดทนเสียแทบหมดสิ้น
“มีอะไรก็ว่ามา อย่ามาพูดประชดประชันชั้นไม่ชอบ” ผมกระชากแขนแกงส้มอีกข้างก่อนที่จะดึงร่างสูงนั้นเข้ามาหาตัว แกงส้มส่งสายตากร้าวมา ทำให้ผมหัวใจแทบหยุดเต้น
“อย่ามองชั้นด้วยสายตาแบบนี้” ผมกัดฟันกรอด... มันช่างเป็นสายตาที่กรีดแทงเหลือเกิน
“ทำไม... สายตาแบบนี้มันเทียบไม่ได้หรอก กับสิ่งที่ผมอุตส่าห์ปกป้องแต่สุดท้ายก็กลายเป็นเข้าข้างคนผิด” แกงส้มกระแทกเสียงเป็นจังหวะที่บาดลึกเข้าไปในใจผม
“มันเรื่องอะไร...พูดมาตรงๆ” ผมข่มเสียงให้เรียบ แต่ก็เป็นสัญญาณว่านี่คือการพูดดีๆครั้งสุดท้าย
“ต้องให้ผมพูดตรงๆ ใช่มั้ย???....ต้องให้ผมย้ำใช่มั้ย???... ว่าพี่เป็นชู้กับคุณแพรว ภรรยาพี่ต้น เสียแรงที่อุตส่าห์ปกป้อง ที่แท้ก็เป็นพวกลักกินขโมยกิน...” แกงส้มตะโกนออกมาอย่างเหลืออด แต่มันกลับทำให้ผมเดือดดาลยิ่งขึ้น ผมบีบข้อมือทั้งสองนั้นแน่น
“หยุดเดี๋ยวนี้!!!” ผมตะคอกใส่ใบหน้านั้น แต่ก็ไม่อาจทำให้แววตาแรงกล้าของแกงส้มหวั่นไหว
“ทำไม—ฟังความเลวของตัวเองไม่ได้เลยรึไง มันสมควรแล้วที่ถูกเค้าดูถูก ทำตัวเลวแต่รับไม่ได้กับความเลวตัวเอง รู้มั้ย???....ว่าสิ่งที่ทำมันทำให้ครอบครัวคนอื่นเค้าแตกแยก มันทำให้คนอื่นเค้าเจ็บปวดแค่ไหน!!!” แกงส้มตะคอกกลับอย่างไม่อ่อนข้อ ผมกระชากร่างสูงโปร่งจนใบหน้านวลใสของแกงส้มเกือบมาชิดใบหน้าผม ความน้อยใจมันแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ผมต่างหากที่เป็นคนเจ็บปวด...
“ไม่รู้เรื่องอะไร อย่ามาทำแบบนี้กับชั้น นายรู้มั้ย???...ว่าชั้นต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ไอ่ต้นมันเอาทุกอย่างในชีวิตของชั้นไป ทั้งความฝันและผู้หญิงที่ชั้นรักสุดหัวใจ ความสูญเสียของชั้นมันเกินกว่าที่นายจะจิตนาการถึง นายไม่มีวันรู้ ไม่วันเข้าใจ” ผมตะคอกพร้อมเขย่าร่างของแกงส้มด้วยแรงแค้นที่มี น้ำตาที่ไหลออกมาจากแววตาอ่อนใสนั้น ทำให้ผมชะงักมือแต่ไม่อาจจะทนมองหน้าคนที่มาสะกิดแผลเรื้อรังในหัวใจผมได้ ทำไมต้องเป็นนาย ทำไมต้องเป็นคนๆนี้ที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้มันกลับมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง!!!
“ผม...” แกงส้มปาดน้ำตาก่อนจะพูดออกมาอย่างยากลำบาก แต่ผมก็ผลักร่างนั้นออกไปไกลตัว
“ไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับไปซะ...” ผมได้แต่บอกเสียงเรียบ ผมผิดหวัง...ที่แกงส้มทำแบบนี้ ถึงผมไม่มองหน้าใบหน้านั้น แต่กระนั้นผมก็รับรู้ได้ว่าใบหน้านั้นคงมีหยาดน้ำตาหลั่งริน ผมรู้สึกผิดที่ต้องทำให้ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอยู่เสมอต้องมีร่องรอยของน้ำตา แต่ผมเองก็มีหัวใจ มีอารมณ์ มีความรู้สึก แกงส้มทำร้ายผมเหลือเกิน
“พี่ฮั่น...” เสียงสั่นนั้นเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“แล้วถ้ารักที่จะอยู่ด้วยกัน ก็อย่าพูดเรื่องนี้กับชั้นอีก” ผมสำทับด้วยเสียงนิ่งก่อนที่จะเดินออกไปด้านนอกร้านเพื่อสงบสติอารมณ์ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถเก๋งสีขาวนั้นแล่นออกไป ทิ้งไว้เพียงผมกับความโหดร้ายของอดีตที่แกงส้มรื้อฟื้นมันขึ้นมาอย่างเลือดเย็น...
6 ปีก่อน “อดีตของฮั่น”
ในโรงเรียนสอนเต้นชื่อดังระดับประเทศ ผมในวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความฝัน ความฝันที่ร่างกายแข็งแรงจะพาไปถึงจุดสูงสุด ตำแหน่งนักเต้นดาวรุ่งที่โชนไฟแห่งความโด่งดัง มันทำให้ผมลำพองในความเป็นตัวเอง ยิ่งบวกกับการเป็นเจ้าของหัวใจนางแบบวัยรุ่นที่มาแรง “แพรว” สาวสวยสูงชะลูด ทุกสัดส่วนช่างกลมกลึง น่ามอง ตาโตกรอบเฉียงดูเฉี่ยวคม จมูกโด่งรั้นๆนิด ริมฝีปากบางแบบเย้ายวน ผมไม่คิดว่าจะมีใครบนโลกใบนี้ที่โชคดีมากไปกว่าผม
“แพรว...ตื่นได้แล้วที่รัก” ผมกระซิบข้างใบหูของสาวสวยที่เปลือยเปล่าบนเตียงนุ่มของผม
“แพรวยังไม่อยากลุกเลย” เสียงหวานแม้จะงัวเงีย ร้องออกมาเบาๆ พร้อมตวัดแขนมารัดรอบต้นคอผม แววตาสวยเฉี่ยวสื่อสายตาออกมาอย่างเย้ายวน ทำให้ความเป็นหนุ่มร้อนในตัวผมถูกปลุกขึ้นมา
“อย่างมองผมแบบนี้สิ...วันนี้ผมจะต้องไปแข่งแล้วนะ อย่ามาตัดกำลังกันหน่อยดีกว่า” ถึงกระนั้น ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะแทะโลมเนินอกอิ่มที่ถูกปิดไว้ด้วยผ้าห่มอย่างหมิ่นเหม่ด้วยสายตา แต่ผ้าห่มนั้นก็ค่อยเลื่อนออกไปอย่างช้า ผมหันไปมองหน้าสวยเจ้าของมือที่ทำให้อกงามคู่นั้นไร้สิ่งปิดบัง สายตาเย้ายวนนั้นทำให้ผมอดที่จะก้มตัวไปลิ้มรสเผ็ดร้อนของแพรวไม่ได้ เสียงลมหายใจหอบถี่ของแพรวทำให้ผมรู้ตัวว่าต้องสนองอารมณ์ที่ร้อนแรงของหญิงสาวจนอิ่มเอมเสียก่อน ซึ่งรสร้อนของบทรักของแพรวนั้นทั้งเย้ายวน ร้อนแรง และแสดงความต้องการอย่างตรงไปตรงมาซึ่งก็ทำให้ผมลุ่มหลงเสียใจโงหัวไม่ขึ้น ไม่เคยปฏิเสธได้เลยสักครั้ง...
เสียงปรบมือ เป่าปากเกรียวกราว หลังจากที่ผมแสดงเสร็จ ความจริงแล้วผมเองมีท่า “ไม้ตาย” ซึ่งตอนนี้สภาพข้อเท้ามันไม่เอื้ออำนวยนัก แต่พอดูจากคู่แข่งซึ่งตอนนี้มีเพียงเพื่อนรักของผม “ต้น” ที่เป็นผู้เข้าประกวดเป็นคนสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไร รางวัลชนะเลิศ ก็คงไม่ไกลห่างจากผมเป็นแน่ ผมในสภาพเหงื่อท่วมวิ่งลงเวทีอย่างร่าเริง
“พี่ฮั่นสุดยอดเลยนะเนี่ย” เสียงรุ่นน้องคู่แฝด เอ และ บี ทักผมด้วยน้ำเสียงยินดี
“เสียดายไม่น่าเจ็บเลย” ผมก้มไปมองข้อเท้าตัวเอง ที่ตอนนี้เริ่มออกอาการขึ้นมา
“ผมว่าพี่รีบไปพันข้อเท้าเถอะ เดี๋ยวพี่ต้นแสดงเสร็จพี่จะได้ขึ้นรับรางวัล” ไอ่เอแนะนำผมจึงเดินเข้าไปในห้องเตรียมตัวผู้เข้าแข่งขัน ระหว่างนั้นก็มีเสียงฮือฮาที่คงมาจากการแสดงของต้น แต่ถ้าพูดกันตามตรง ต้นเองยังไม่มีไม้เด็ดพอที่จะโค่นผมได้ถึงแม้ผมยังไม่ได้ใช้ ท่า H-fin ก็ตามพอพันข้อเท้าเสร็จก็เดินมาหาสองแฝดทันที แต่ครั้งนี้สองแฝดกลับปั้นหน้าแปลกๆ
“พี่ฮั่นนอกจากพวกผมแล้วพี่เต้น H-finให้ใครดูบ้าง” ไอ่บีถามออกมาอย่างเคร่งเครียด
“ก็มีแพรวไง ทำไมเหรอ???” ผมถามกลับ แต่สองแฝดกลับหันมองหน้ากัน
“เราจะประกาศผู้ที่เข้ารอบสามอันดับสุดท้ายนะครับ... โดยไม่เรียงตามคะแนน คนแรก ดีแปด ฮั่น อิสริยะ” เสียงประกาศขัดบทสนทนา และเมื่อประกาศชื่อผม ผมก็วิ่งขึ้นไปบนเวทีทันที หลังจากนั้นก็ประกาศอีกชื่อหนึ่งจากต่างสถาบัน และคนที่สามก็คือต้น เพื่อนรักของผมเอง ซึ่งอาจเป็นเพราะความตื่นเต้น ที่ทำให้ต้นไม่แม้แต่จะหันมองมาสบตาผม รอยยิ้มในใบหน้าสื่อถึงความพอใจในตัวเองอย่างมาก
“และผู้ที่ชนะเลิศของเราได้แก่....ได้แก่....ดีเก้า ต้น ต้นตระการครับ....ผู้มาพร้อมท่าเต้นลีลายอดในตอนจบ” ผมยอมรับว่าเมื่อสิ้นเสียงประกาศผมตกใจไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างในหัวหายไปคือภาพรีรันท่าเต้นนั้นคือท่าที่ผมเฝ้าเพียรคิดขึ้นมาตลอดสองเดือน เพื่อหาความลงตัวและใส่ความเป็นตัวเอง แต่มันกลับกลายเป็นบันไดก้าวสำคัญแห่งความสำเร็จของคนที่ผมเรียกว่า “เพื่อนรัก” แสงเฟลชจากกล้องฉายสลับกันแต่ทุกโฟกัสไม่ได้จับจ้องมาที่ผม ผมลงมาจากเวทีอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะมีคนสังเกตเห็น
ผมหลบไปนั่งนิ่งๆ เพื่อทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ต้นเต้นท่า “H-fin” ได้อย่างไร ในเมื่อมีเพียงผม สองแฝดและแพรวซึ่งทุกคนผมก็เชื่อใจที่สุด นึกไม่ออกว่าคนพวกนี้จะทรยศผมได้อย่างไร เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนผมลืมไปว่าทิ้งแพรวไว้เพียงลำพัง ผมวิ่งไปที่ลานประกวดซึ่งต้นนี้คนซาลงไปมาก แพรวนั่งที่ที่นั่งข้างเวทีเพียงคนเดียว เห็นดังนั้นผมจึงสาวก้าวเพื่อเข้าไปหาคนรักที่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจที่สุดในชีวิต แต่เพียงไม่ถึงสิบก้าวก็มีร่างสูงใบหน้าคมเข้มที่ผมคุ้นเคยตัดหน้าย่างก้าวเข้าไปหาคนรักของผมอย่างสนิทสนมเกินไป ซึ่งมันทำให้โทสะของผมไร้พันธนาการใดๆยึดเหนี่ยว
“ไอ่เพื่อนทรยศ” ผมก้าวไปหาร่างนั้นก่อนซัดหมัดเข้าที่ริมฝีปากของไอ่ต้นทันทีที่ก้าวไปถึงตัว ทำให้ร่างสูงนั้นถลาลงไปกองกับพื้น พร้อมเดินเข้าไปเพื่อซ้ำร่างนั้นให้สมกับความแค้นที่สุมในอก
“ฮั่น!!!” แพรวสอดตัวเข้ามาแทรกกลาง แววตาของแพรวฉายแววโกรธมาที่ผม ซึ่งนั้นทำให้ผมชะงัก การคาดเดาในด้านร้ายๆวิ่งเข้ามาจู่โจม แต่ไม่หรอก...ไม่จริง เมื่อเช้าเราสองยังกอดก่ายกันอย่างมีความสุข เสียงครางในบทรักของแพรวยังก้องอยู่ในโสตประสาท ฮั่น...แกมองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้ว
“แพรว...เรากลับกันเถอะ” ผมคว้ามือบอบบางของแพรวมาประคองก่อนจะดึงร่างนั้น แต่แพรวกลับแข็งขืน จังหวะที่ผมหันหน้ามาเพื่อมองว่าทำไมคนรักจึงไม่ขยับร่างตามมา ผมก็ถูกกระแทกที่ใบหน้าอย่างจัง จนสายตาพร่ามัว ผมกระพริบตาถี่เพื่อปรับให้มองเห็นทุกอย่างให้ชัดเจน ซึ่งมันเป็นภาพที่สุดแสนจะบาดตา เมื่อร่างของแพรวอยู่ในอ้อมกอดของไอ่ต้นโดยที่แพรวไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆ
“หยุดบ้าได้แล้ว...ไอ่ขี้แพ้” ไอ่ต้นชี้หน้าผม ส่วนแพรวทอดสายตามองผมอย่างเย็นชา ผมปาดเอาเลือดกำเดาที่ไหลออกมาอย่างเจ็บแค้น น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาช้าๆต่อหน้าศัตรู!!!
“แพรวทำแบบนี้กับผมได้ยังไง” ผมมองหน้าสวยนั้นอย่างเว้าวอน หวังเพียงร่างนั้นจะมีคำตอบที่ดีเพื่อต่อลมหายใจของคนๆนี้
“ฮั่น...แพรวทำในสิ่งที่แพรวคิดว่ามันดีที่สุด สำหรับแพรว” เสียงหวานหูชวนฝันในยานเช้ากลายเป็นน้ำเสียงกระด้างถึงแม้ว่าคำพูดนั้นจะดูดีสักเพียงไหน
“แพรวเอาท่าเต้นของฮั่นไปให้มัน...แพรวขโมย H-fin ไปให้มันใช่มั้ย???” ผมถามด้วยจิตใจที่แตกสลาย รอยยิ้มเหยียดบนใบหน้าของไอ่ต้น กับใบหน้าเรียบเฉยของแพรวทำให้ผมรู้คำตอบโดยทันที
“ท่านั่น...ยังไงแกก็ไม่มีปัญญาเต้น” ไอ่ต้นเอ่ยออกมาอย่างสะใจ
“แต่มันเป็นท่าของชั้น ชั้นคิดมันขึ้นมา!!!” ผมตวาดอย่างก้าวร้าว ผมไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว....
“ไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนคิด แต่มันอยู่ที่ว่าใครเต้นได้ดีกว่ากัน และคนๆนั้นมันคือชั้นไม่ใช่แก!!!” ไอ่ต้นตวาดกลับ สายตาของผมปะทะกับสายตามัน ไอ่ต้นกระชับร่างของแพรวแน่นขึ้น สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมแทบจะกระอักเลือดออกมา หัวใจผมจะขาดตายตายตรงหน้าร่างของหญิงสาวที่ผมรักยิ่งกว่าหัวใจ
“แพรวเรารักกันมากไม่ใช่เหรอ???... แพรวรักผมไม่ใช่มัน” ผมอ้อนวอนหญิงสาวหวังเพียงว่า แพรวนั้นจะเปลี่ยนใจ น้ำตานั้นไหลออกมาอย่างไม่อาย แต่ก้ไม่อาจเปลี่ยนแววตานั้นได้
“ขอโทษนะฮั่น แพรวคือของขวัญสำหรับคนชนะ ไม่ใช่รางวัลปลอบใจของคนแพ้”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น...ที่เป็นสาเหตุให้ผมตัดสินใจบินไปสิงคโปร์เพื่อไปอยู่กับแม่และสต๊อป ตัดจากกับสังคมเดิมๆทุกๆอย่าง จนเมื่อสามปีก่อนต้องกลับมาอยู่เป็นเพื่อนน้องสาวที่ทะลึ่งอยากกลับมาเรียนที่เมืองไทย โดยมีวิชาทำเค้กติดตัวมาทำมาหากินจนตั้งตัวได้ถึงทุกวันนี้
ผมยอมรับว่ายังไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่เคยนึกยกโทษให้อภัยกับคนทรยศผมเลยสักครั้ง มีเป็นบาดแผลที่ผมพยายามลืม แต่ทำไมนะ แกงส้ม...ทำไมนายต้องมาทำให้ชั้นต้องมาเจ็บปวดกับเรื่องราวเก่าๆนี้ ทั้งที่ชั้นเองก็มีความรู้สึกดีๆกับนายไม่น้อยเลย ผมถอนหายใจก่อนที่จะทิ้งน้ำหนักตัวไปที่พนักเก้าอี้ แล้วก้มลงมองมือที่ทั้งกระชาก ทั้งบีบร่างสูงโปร่งนั้น ด้วยแรงโทสะมันคงไม่ใช่เบาๆ อย่างแน่นอน มิหนำซ้ำยังออกปากไล่เค้าไปอีก... นายจะกลับมาหาชั้นมั้ย???... เด็กบ้า!!! อยู่เฉยๆก็หาเรื่องให้ชั้นต้องโมโหเปิดเผยด้านมืดให้นายเห็น นายจะโกรธชั้นมั้ยเนี่ย???... บอกไว้ก่อนนะ ชั้นไม่ง้อ!!! ผมลุกขึ้นคว้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว แต่ก็ชะงักโดยทันที....
“โธ่เว๊ย!!! ทำไมไม่รู้จักบอกนะว่าหออยู่ไหน”
ปล. กลับมาตามสัญญาแล้วนะ ลืมกันไปรึยังเนี่ย???.... เม้นเป็นกำลังใจให้ไรเตอร์เพื่อการปั่นงานให้รีดเดอร์อ่านด้วยนะจ๊ะ ^^
ความคิดเห็น