คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3: คุณพ่อน้องผี
ตอนนี้ก็ใกล้จะปิดร้านแล้ว แต่เหลือลูกค้าตัวน้อยที่นั่งมองไปมาในร้านเหมือนกำลังรอคอยอะไร สงสัยจะรอพ่อแม่มารับแน่ๆ ผมไม่เข้าใจทำไมพ่อแม่สมัยนี้ถึงกล้าปล่อยเด็กหญิงน่ารักตัวน้อยๆ มานั่งในร้านแบบนี้คนเดียว... อยากเห็นหน้านักว่าหน้าตาพ่อแม่ขาดความรับผิดชอบจะเป็นยังไง
“แกงส้มปิดร้านเหอะ พี่ฮั่นเอาเค้กไปส่งคงไม่กลับมาแล้ว” บอสบอกผมเมื่อเก็บของส่วนของตัวเองเสร็จ ผมหันไปมองลูกค้าตัวน้อยในชุดฟูฟ่อง ตาแป๋วๆนั้นหันสบตากับผมก่อนที่จะยิ้มอย่างดีใจสุดๆ
“คนในร้านไม่มีแล้วใช่มั้ย???” ผมหันไปถามสต๊อปเพื่อความแน่ใจ สต๊อปขมวดคิ้วก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆร้าน
“ไม่มีแล้วนะ... แกงส้มอย่าทำแบบนี้นะเรากลัว” สต๊อปทำหน้าหวาดๆ
“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่ถามเผื่อจะมีลูกค้ามาอีก...คิดมาก” ผมจำเป็นต้องโกหกเพราะไม่อยากทำให้บอสต้องกลัว
“แปบนะ เดี๋ยวเรามา” ผมก็เคยเห็นท่านเจ้าที่ แล้วท่านปล่อยผีเด็กคนนี้เข้ามาได้ยังไง แบบนี้ต้องถามให้รู้เรื่องสักหน่อยแล้ว ผมจึงเดินตรงดิ่งไปที่ศาลพระภูมิ
“ท่านเจ้าที่ อยู่มั้ยครับ???” ผมกระซิบเบาทำตัวเหมือนเดินเล่น ท่านเจ้าที่ก็ปรากฏกายอยู่ตรงหน้า
“ว่าแล้ว... ว่าเจ้าต้องเห็นเรา” ท่านเจ้าที่พูดกับผม ผมยิ้มแห้งๆคืนกลับไป
“คือ...ทำไมท่านถึงปล่อยให้น้องผีเข้าไปในร้านได้ครับ” ผมกัดฟันพูดเพื่อไม่ให้ใครเข้าใจว่าผมพูดคนเดียว ไม่งั้นถูกเด้งออกจากงานข้อหาวิกลจริตแน่ๆ ท่านเจ้าที่หลับตาพริ้มเหมือนกำลังสื่อสารอะไรสักอย่าง
“เรื่องบางเรื่องเราก็บอกเจ้าไม่ได้ แต่เราขอให้เจ้าดูแลผีเด็กตนนี้จนกว่าจะถึงเวลานั้น” ท่านเจ้าที่พูดจบแล้วก็หายตัวไปเลย ปล่อยให้ผมงงกับคำพูดที่ไม่เคลียร์เอาซะเลย
“จ๊ะเอ๋!!!!” เสียงเด็กหญิงตัวน้อยๆ ดังมาจากด้านหลัง ผมสะดุ้งโหยงสุดตัว เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นพี่เด็กน้อยตัวนั้น เล่นซะผมหัวใจจะวาย ผมตบหน้าอกตัวเองเบาๆเพื่อเรียกขวัญที่กระเจิงเมื่อกี้ให้กลับมา
“พี่เห็นหนูใช่มั้ย???....” ผีเด็กหญิงน่ารักกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ
“ขอไปเก็บร้านให้เสร็จก่อนได้มั้ย??? แล้วเราค่อยมาคุยกัน” ผมก้มลงบอกผีเด็กซึ่งก็พยักหน้ารับผมอยากว่าง่าย ผมแปลกใจอยู่อย่างนึงทำไมผีตนนี้ถึงดูคล้ายมนุษย์กว่าตนอื่นๆที่ผมเจอพบเคยเจอ ผมเดินเข้าไปในร้านก็พบว่าสต๊อปกำลังเก็บเก้าอี้ ผมเหลือบไปมองนาฬิกา
“สต๊อปนี่ก็จะสามทุ่มแล้ว เราว่าเธอกลับเถอะนะ... ขี่มอไซค์ดึกมากมันอันตรายที่เหลือเดี๋ยวเราจัดการให้เอง” ผมเสนอตัวช่วยอย่างเต็มที่
“จะใช้งานเธอเกินกว่าค่าจ้างไปรึเปล่าเนี่ย???” สต๊อปบอกกับผมอย่างเกรงใจ แต่เธอก็คว้ากระเป๋ามาสะพายเตรียมตัวกลับอย่างเต็มที่ คำพูดช่างสวนทางกับการกระทำเสียจริงนะบอส
“เราโอเคอยู่แล้ว...” ผมพยักหน้า ก่อนที่จะเดินไปส่งสต๊อปที่ลานจอดรถ โดยมีผีน้อยเดินตามต้อยๆ
“ฝากด้วยนะแกง” สต๊อปโบกมือแล้วก็ขับรถออกไป ผมมองตามบอสจนลับตาแล้วก็เอี้ยวตัวกลับมาหาผีน้อยหน้าใส
“รายงานตัวก่อน” ผมถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เกิดมาไม่เคยจะเลี้ยงเด็กสักที พอได้เลี้ยงครั้งแรกก็ได้เลี้ยงเด็กผีซะงั้น
“หนู ชื่อ บัลเล่ต์ เรียนชั้นอนุบาลสามโรงเรียนอนุบาลลูกหมี ตอนนี้ฟันน้ำนมหลุดไปหนึ่งซี่ เทอมที่แล้วเรียนได้เกรด....” พอเปิดช่องให้เท่านั้นแหละครับ...ยาวววววว
“พอแล้วๆ มีบอกเกรดด้วย” ผมห้ามก่อนที่น้องจะเล่าประวัติจนถึงเช้า
“ทำไมถึงมาที่นี่...แล้วเข้ามาได้ยังไง” ผมนั่งลงให้หน้าอยู่เท่ากับเด็กน้อย คำถามของผมทำเอาหน้าแป้นแล้นนั้นสลดลงไปทันที ผมเองก็สงสารไม่รู้จะช่วยยังไง ยังเด็กอยู่แท้ๆ
“บัลเล่ย์มาตามมหาพ่อแท้ๆของบัลเล่ต์ แต่บัลเล่ต์ถูกรถชนตรงนู้นก่อน เลยยังไม่ได้เจอพ่อ” ผีน้อยก้มหน้าพูดอย่างเศร้าสร้อย ผมเองก็อยากจะดึงร่างเล็กนั้นมากอดเพื่อปลอบใจแต่ร่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับอากาศซึ่งไม่มีตัวตน ไอ่ผู้ชายไม่มีความรับผิดชอบ ป่านนี้จะรู้ตัวรึยังไง ว่าทำให้ลูกที่น่ารักของตัวเองต้องมาตายแบบนี้ แถมยังไม่มีที่ไปอีกต่างหาก
“แล้วหนูจะมาที่นี่ทำไม???” ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบัลเล่ต์ถึงต้องมาอยู่ที่นี่ และท่านเจ้าที่ถึงต้องมอบหมายให้ผมดูแล
“พ่อแท้ๆ ของบัลเล่ต์อยู่ที่นี่ ชื่อพ่อฮั่น” คำตอบไร้เดียงสานั้นทำเอาผมตกใจแทบช็อค... ไอ่คนไม่มีความรับผิดชอบที่ผมเพิ่งด่าในใจ มันคือ พี่ชายบอสนั่นเอง!!!
Ballet talk
“และแล้วเจ้าหญิงก็ได้ครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุข” คุณแม่เล่านิทานให้บัลเล่ต์ฟังทุกๆคืน
“คุณแม่...วันนี้คุณพ่อจะมากู๊ดไนท์บัลเล่ต์รึเปล่าคะ” หลายวันแล้วที่บัลเล่ต์ไม่ได้เจอหน้าคุณพ่อ บัลเล่ต์คิดถึงคุณพ่อ คุณแม่ไม่ตอบแต่ก้มมาหอมแก้มบัลเล่ต์ แล้วปิดไฟเดินออกไป บัลเล่ต์ก็เลยหลับตาเพื่อจะได้นอนแล้วไปเจอคุณพ่อในฝัน...
“กลับบ้านได้แล้วเหรอ... เมื่อไหร่คุณถึงจะมาหย่ากับชั้นสักที” เสียงของคุณแม่ทำให้บัลเล่ต์สะดุ้งตื่น บัลเล่ต์ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูเปิดแย้มออกนิดๆเพื่อจะได้เห็นหน้าคุณพ่อที่บัลเล่ต์คิดถึง
“ผมหย่ากับคุณก็ได้แต่ลูกต้องอยู่กับผม” เสียงคุณพ่อก็ดังไม่แพ้คุณแม่ บัลเล่ต์ไม่อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่หย่ากันเลย บัลเล่ต์ไม่อยากเป็นเด็กมีปัญหา... บัลเล่ต์อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่รักกัน บัลเล่ต์กลัว....คุณพ่อคุณแม่บัลเล่ต์ร้องไห้แล้วนะ อย่าทะเลาะกัน บัลเล่ต์เสียใจ....
“อย่าฝันไปเลย ชั้นไม่ยอมให้อีหนูของคุณมาแตะต้องลูกของชั้นเด็ดขาด”
“แต่บัลเล่ต์ก็ลูกของผมเหมือนกัน”
“คุณแน่ใจเหรอ???...ตอนที่ชั้นท้องบัลเล่ต์คุณก็รู้ว่าชั้นไม่ได้มีแต่คุณ” คำพูดนั้นทำให้บัลเล่ต์ตกใจ เรื่องของผู้ใหญ่ทำไมมันน่ากลัวแบบนี้ หรือว่าบัลเล่ต์จะไม่ใช่ลูกของคุณพ่อ
“ผมไม่เชื่อ...คุณจะบอกว่าบัลเล่ต์เป็นลูกของไอ่ขี้แพ้นั่นเหรอ???”
“ถึงฮั่นจะเป็นคนขี้แพ้ แต่เค้าจะไม่ได้สารเลวเหมือนคุณ วันนั้นชั้นโง่...ที่เลือกคุณเป็นพ่อของลูก แต่ก็นะเลือดเนื้อเชื้อไขยังไงก็ตัดกันไม่ขาด” พอสิ้นเสียงคุณแม่ก็มีเสียงขว้างปาข้าวของแตกกระจายรุนแรง สุดท้ายคุณพ่อก็เดินออกไปปิดประตูเสียงดังสนั่น คุณแม่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้น บัลเล่ต์เดินออกไปหาคุณแม่แล้วเช็ดน้ำตาให้
“บัลเล่ต์แม่ขอโทษ...แม่ขอโทษ” คุณแม่กอดคว้าบัลเล่ต์ไปกอดไว้แน่น
“คุณแม่อย่าร้องไห้นะคะ เดี๋ยวคุณแม่ตาบวมจะไม่สวย” สงสัยคุณไม่จะกลัวไม่สวยจึงรีบปาดน้ำตาแล้วยิ้มให้บัลเลต์
“แม่ไม่ร้องแล้ว...แม่จะไม่ร้องไห้แล้วทูนหัวของแม่”
เมื่อได้ยินเรื่องราวของเด็กน้อยคนนี้ทำเอาผมน้ำตารื้น... ทำไมเด็กตัวเล็กๆต้องมารับเคราะห์จากการเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ ผมมองหน้าบัลลต์เด็กน้อยที่ผ่านเรื่องราวใหญ่โตเกินกว่าที่หลายๆคนที่นึกฝันถึง
“บัลเล่ต์สิงสิ่งของเป็นมั้ย???” ผมถามผีน้อย บัลเล่ต์พยักหน้าอย่างงงๆ ผมเดินนำบัลเล่ต์เข้าไปในร้านหยิบตุ๊กตาที่วางประดับอยู่ยื่นไปให้บัลเล่ต์
“สิงตุ๊กตาซะ... มีอะไรจะให้” ผมบอกกับบัลเล่ย์ บัลเล่ต์ตั้งสมาธิก่อนจะหายแวบเข้าไปในตุ๊กตา
“บัลเล่ย์อยู่ในน้องหมีแล้ว” เสียงใสดังออกมาจากตุ๊กตาหมีในมือ ผมจึงเอาตุ๊กตาตัวนั้นมากอดไว้แนบอกอย่างอบอุ่น หวังว่าอ้อมกอดนี้จะช่วยบรรเทาความอ้างว้างในใจดวงน้อยๆดวงนั้นบ้าง
“พี่รู้นะ ว่าเรื่องราวมันหนักเกินกว่าที่เด็กตัวเท่านี้มันจะรับได้ พี่ให้ได้แค่กอดถึงแม้มันจะไม่ได้มีความหมายเหมือนอ้อมกอดของพ่อแม่ แต่อย่างน้อยต่อไปนี้บัลเล่ต์ก็จะมีพี่แกงส้มคนนี้เป็นกำลังใจให้นะ” ผมบอกเล่าสิ่งที่อยู่ในใจให้กับตุ๊กตาหมีน้อยฟัง
“พี่แกงส้ม บัลเล่ต์ไม่เป็นไร บัลเล่ต์ขอแค่กอดพ่อฮั่นเท่านั้น” บัลเล่ต์คงสัมผัสความเศร้าสร้อยที่มาจากการสงสารตัวเองได้
“พี่สัญญานะบัลเล่ต์ว่าพี่จะทำให้พี่ชายบอสเชื่อพี่และไปหาบัลเล่ต์ให้ได้” ผมสัญญากับผีน้อย
จากนั้นผมก็พาบัลลต์ไปที่ห้องของผม โดยผมจัดเจนให้บัลเล่ต์สิงตุ๊กตาหมีที่พี่สาวซื้อให้เป็นของขวัญเมื่อหลายปีก่อน แล้วหาตะกร้าผ้าใส่ผ้าห่มทำเป็นเตียงนอนน่ารักสำหรับน้องผี
“ขอบคุณพี่แกงส้มมากนะคะ...” บัลเล่ต์ยิ้มมองที่นอนใหม่อย่างตื่นเต้น
“แล้วพรุ่งนี้ระหว่างที่พี่ไปเรียนจะไปรอพี่ที่ร้านเลยก็ได้” ผมบอกก่อนที่บัลเล่ต์จะเข้าไปสิง
“ไม่ได้หรอก..พรุ่งนี้บัลเล่ต์ต้องไปวัด เพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระ ท่านเจ้าที่บอกให้บัลเล่ต์ไปสะสมผลบุญ” บัลเล่ต์เอียงคอบอกผมอย่างน่ารัก ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย... ผีเข้าวัด เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินเนี่ยแหละ แต่ก็นะ...ผมเองก็ไม่เคยคลุกคลีกับผีที่ไหนอย่างจริงจัง มันอาจจะเป็นความเข้าใจผิดก็ได้ว่าผีเข้าวัดไม่ได้
“งั้นก็นอนหลับฝันดีนะ พี่ไปอาบน้ำก่อน” ผมกล่าวคำราตรีสวัสดิ์ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ แล้วจะได้เข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้ปฏิบัติภารกิจสำคัญ.... พี่ชายบอส จากนี้ผมจะทำให้พี่ได้รู้ว่า มีเด็กคนหนึ่งรอคอยความรักจากพี่มากแค่ไหน....เด็กที่มีชีวิตมาหกปีและจากไปโดยที่พ่อแท้ๆไม่เคยรับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่าเรื่องใดๆ ที่ผมเคยได้ยินมา
HUNZ talk
ผมมองหลอดไฟที่บัดนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือการแก้แค้นของผม เรื่องอะไรผมจะปล่อยให้เด็กที่ขับรถแย่ๆ จนผมแทบจะพิการลอยนวลไปง่ายๆ ที่ผมเงียบก็เพราะจะรอให้แกงส้มตายใจ และวันนี้แหละจะเป็นวันที่ผมจะได้เอาคืนอย่างสาสม หลอดไฟที่ถูกดัดแปลงเล็กน้อย...พร้อมจะระเบิดเบาๆพอให้ตกใจเมื่อเปิดสวิสซ์
“แกงส้ม...เอาบันไดมาดูหลอดไฟตรงนี้หน่อยสิ” ผมแกล้งร้องบอกแกงส้มที่เพิ่งเก็บร้านเสร็จ วันนี้แกงส้มดูแปลกมองหน้าผมทั้งวัน แต่พอผมพูดด้วยกลับเดินหนีซะงั้น สักพักแกงส้มก็เดินอาดหน้านิ่งๆพร้อมบันได พอตั้งบันได้ให้ผมเสร็จก็ทำท่าจะเดินไป
“ดูให้หน่อยได้มั้ย???” ผมแกล้งทำเสียงดุ แกงส้มหันมามองหน้าผมเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เบือนหน้าหนีปีนบันไดโดยไม่ต่อล้อต่อเถียง ให้ตายเหอะ...พอกลายเป็นเด็กว่าง่ายแบบนี้แล้วผมไม่ชอบจริงๆ ผมรอจังหวะเหมาะๆให้แกงส้มปีนไปใกล้ๆ ผมจึงกดสวิสซ์ ไส้หลอดไฟที่ถูกพันด้วยดาษทิชชูก็มีประกายวาบขึ้นมา
“เฮ้ยยยย!!!” แกงส้มร้องด้วยความตกใจ... นั่นผมคิดเอาไว้ แต่แกงส้มกลับเสียหลักหงายหลังตกลงมาจากบันไดที่สูงพอสมควรผมไม่คิดไว้ ผมรีบวิ่งไปดูอย่างรวดเร็ว
“เล่นบ้าอะไรเนี่ย...โตจนจะเป็นพ่อคนได้อยู่แล้ว” แกงส้มกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว ด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงวีนที่มันกลายเป็นเอกลักษณ์ของหนุ่มน้อยหน้าตาไร้เดียงสาไปแล้ว
“ขอโทษ...ไม่คิดว่านายจะตกใจขนาดนี้ เป็นยังไงบ้าง” ผมเอ่ยคำขอโทษ
“โอ๊ย....เหมือนขาจะแพลง” แกงส้มพยายามลุกขึ้น มองหน้าผมเหมือนมันเป็นความผิดของผม แต่ก็นั่นแหละมันเป็นความผิดของผมจริงๆ
“จริงเหรอ???....งั้นเดี๋ยวชั้นไปส่งที่รถแล้วกัน” แล้วหันหลังให้แกงส้มขึ้นขี่หลัง
“วันนี้น้ำมันรถหมด พรุ่งนี้จะเอามาเติม” แกงส้มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเซ็ง ไอ่ผมก็มีแต่จักรยานด้วยสิ... หรือว่าต้องแบกเด็กบ้านี่ขึ้นหลัง ไปส่งที่หอจริงๆ
“หอนายไกลมั้ย???” ผมหันหน้าไปถาม แกงส้มทำหน้าประหลาดใจ ตาที่เบิกกว้างนั้นมันทำให้ใบหน้าที่ไร้เดียงสาอยู่แล้วดูน่าเอ็นดูขึ้นไปอีก
เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับแกงส้ม.... แบกให้หลังหักไปเลยนะ....พี่ชายบอส ไอ่เราอุตส่าห์ไม่มองหน้าเพราะขี้เกียจทะเลาะด้วย ผมกำลังคิดหาทางบอกเรื่องของบัลเล่ต์โดยที่ตาคนนี้ไม่หาว่าผมบ้าบอไปซะก่อน แต่ดูสิ...ถ้าผมตกลงมาหัวฟาดพื้นตายไปอีกคนจะทำยังไง มันต้องเอาคืนกันซะบ้าง...น้ำมันรถก็ไม่ได้หมดหรอกครับและขาผมก็ปกติดีที่ทำไปเพราะความสะใจล้วนๆ
“แกงส้ม...ตัวนายหนักมากเลยนะเนี่ย” พี่ชายบอสเริ่มบ่นออกมาอีกครั้งเมื่อมาถึงครึ่งทาง
“ช่วยไม่ได้ใครอยากให้พี่ชายบอสเล่นอะไรเหมือนเด็กสามขวบแบบนั้น ดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ไปร้องเรียนกระทรวงแรงงาน” ผมเถียงไปโดยทันที
“เออ...ขอโทษ แล้วทำไมนายไม่โทรให้แฟนนายมารับ” แฟนผม???....ผมไปมีแฟนตอนไหนกัน
“แฟนที่ไหน...ผมไม่มีแฟนสักหน่อย” ผมตอบออกไปโดยทันที
“เหรอ???...ไม่มีจริงเหรอ???” น้ำเสียงนั้นเหมือนตั้งใจถามเอาความจริง มันเป็นน้ำเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกถามว่า “มีแฟนรึยัง” จากคนที่สนใจเราอยู่ยังไงยังงั้น...
“ก็ไม่มีนะสิ จะโกหกทำไม” ผมก็ตอบไปแต่ทำไมถึงรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าก็ไม่รู้ แกงส้ม...นายเป็นอะไรของนายเนี่ย??? ทำไมต้องรู้สึกแปลกใจเต้นแรงด้วย และแล้วความเงียบก็เข้ามาปกคลุม ทั้งที่ผมขี่หลังพี่ชายบอสมาตั้งนานทำไมผมถึงเพิ่งมารู้สึกเขินแบบนี้ด้วยนะ แล้วตานั่นอยู่ๆนึกอยากจะเงียบก็เงียบดื้อๆไปซะอย่างนั้น
“ชั้นชอบกลิ่นน้ำหอมของนายนะ...” และประโยคที่พูดออกมาก็ทำเอาผมไปไม่เป็น... แกงส้ม เค้าแกล้งเราต่างหาก โอ๊ยยยยย!!! หัวใจผมเต้นแรงแล้วแบบนี้หน้าอกเราที่ชิดกับแผ่นหลังเค้าจะรับรู้ได้รีเปล่านะ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าการที่ผมแกล้งให้พี่ชายบอสแบกตัวเองมาส่งมันจะทำให้ตัวเองรู้สึกสะใจ เมื่อนึกได้ว่าสองมือโอบรอบคอเค้า ร่างกายแนบกันแบบนี้... แถมหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะกับคำพูดเรียบๆประโยคเดียวเท่านั้น
“เงียบไปทำไมเขินรึไง” แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกหมั่นไส้พี่ชายบอสขึ้นมาอีกครั้ง
“เขินบ้าอะไร...แค่นึกอยู่ว่าคนอะไรชอบดมเหมือน....คิดเอาเองนะ” ผมเถียง
“ปากดีนักนะ...ลงไปเลยไป” ทันทีที่พูดพี่ชายบอสทำท่าเหมือนจะปล่อยให้ผมร่วงลงไป ผมจึงรีบโอบรอบคอนั้นไว้แน่นที่สุด และเป็นจังหวะเดียวกับพี่ชายหันมามองทางด้านหลัง ทำให้ริมฝีปากของผมประทับไปที่แก้มใสของพี่ชายบอสเข้าโดยบังเอิญ ผมเบิกตากว้างแล้วรีบกระโดดลงจากหลังพี่ชายบอสทันที ไม่ดี..ไม่ดีแน่ๆ ขืนยังอยู่แบบนี้ พี่ชายบอสก้มมามองขาผมที่ทรงตัวอย่างไร้ที่ติ ก่อนที่จะคลี่ปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“อยากหอมแก้มชั้น...ลงทุนแกล้งเจ็บขาเลยเหรอ” คำพูดที่ดูกรุ่มกริ่มกับสายตาเจ้าเล่ห์นั้นทำให้ผมอยากจะเอานิ้วทิ่มตาให้รู้แล้วรู้รอด
“มัน....ไม่ได้ตั้งใจ” ผมพูดออกไปมือก็ถูปากออกอย่างรังเกียจ แต่สิ่งที่นึกไม่ถึงคือร่างสูงนั้นเข้ามาโอบผมพร้อมประทับริมฝีปากลงที่แก้มผมอย่างหนักหน่วง คงเป็นเพราะความช่ำชองของพี่ชายบอส การโอบรักนั้นทำให้ผมขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย จึงได้แต่หลับตาปี๋รอจนกว่าร่างนั้นจะถอนริมฝีปากออก เมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนที่คลายลงผมจึงรีบดีดตัวออกจากวงแขนนั้นทันที
“ชั้นไม่ได้อยากทำหรอกแต่เป็นคนไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบเพราะฉะนั้น....หายกันแล้วนะ” ใบหน้าที่ดูอารมณ์ดีนั้นมันขัดตาชะมัด.... ผมเอากระเป๋าฟาดไปที่ร่างสูงนั้นก่อนที่จะเดินสาวก้าวออกมาจากที่ตรงนั้นทันที ไอ่ที่เค้าทำกับเราก็ว่าเจ็บใจแล้ว แต่ที่ใจเราเต้นแรงแบบนี้มันน่าเจ็บใจยิ่งกว่า!!!!
ปล. ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ... เม้นน้อยๆ ให้พอเป็นแรงใจให้ไรเตอร์ต่อไปนะจ๊ะ^^
ความคิดเห็น