ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TS8 (HKS) รัก- ลืม -ร้าย หัวใจพ่ายเธอ

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : คู่ปรับ

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 55



    HUNZ talk

    ผมยืนกระวนกระวายอยู่หน้าบ้าน เฟรม...หายไปไหนนะ ที่ผับเสี่ยอิทธิพลผมส่งคนไปดูก็ไม่มี มือถือก็ปิด ผมกับเฟรมมีกันสองพี่น้องเท่านั้น...ชีวิตนี้ผมทุ่มเททำทุกอย่างเพราะน้องสาวคนนี้ แต่เมื่อฮัททิ้งเฟรมพร้อมๆกับการย้ายไปทำงานให้เสี่ยอิทธิพลทั้งที่ก็รู้ว่ามีธุรกิจมืดมากมาย ผมคงต้องทำใจว่าฮัทไม่ใช่คนเดิมที่ผมรู้จักต่อไป และแล้วรถคันเล็กของเฟรมก็วิ่งเข้ามาในบ้าน ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงเวลาที่ผมต้องพูดคุยจริงจังกับเฟรมสักที....

    “เฟรม เรามีเรื่องต้องคุยกัน....” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทันทีที่เฟรมเปิดประตูรถลงมา

    “พี่ฮั่น!!!!” เฟรมเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แล้ววิ่งเข้ามากอดผมอย่างขวัญเสีย ผมลูบผมน้องสาวอย่างทะนุถนอม เฟรมร้องไห้อย่างหนักทำให้ผมใจคอไม่ดีเลย

    “ไม่เป็นไร....ร้องออกมาเลย” ผมปลอบน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน การจะบอกให้ใครสักคนหยุดร้องไห้ในเวลาเสียใจ ผมไม่เห็นว่าจะเคยได้ผล... เฟรมร้องไห้ออกมาพี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน

    “เค้าไม่รักเฟรมแล้วจริงๆ พี่ฮัทเค้าไม่รักเฟรมแล้ว....” เรื่องนี้นี่เอง....ผมกอดกระชับน้องสาวเพื่อหวังให้ความอบอุ่นส่งผ่านไปที่หัวใจบอบช้ำนั้น

    “เฟรม...” ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่งถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ

    “เค้าทำร้ายเฟรมได้ เค้าไม่แคร์ความรู้สึกเฟรมเลย” เฟรมตัดพ้อทั้งน้ำตา คำนี้ทำให้ผมสะอึก ฮัททำร้ายเฟรมได้...ทั้งที่เมื่อก่อนเฟรมเปรียบเสมือนดวงใจ เพราะไอ่เด็กแกงส้มใช่มั้ย???....ที่ทำทุกเรื่องในมันเลวร้ายแบบนี้ ผมไม่ปล่อยให้คนที่เป็นต้นเหตุความเสียใจของเฟรมมีความสุขบนความทุกข์ของน้องสาวผมหรอก!!!

    “พี่จะไปลากตัวไอ่ฮัทมาคุยกันให้รู้เรื่อง....พี่อดทนมามากพอแล้ว” ผมกัดฟันบอกน้องสาว

    “ไม่ต้องหรอกพี่ฮั่น....ทุกอย่างมันจบแล้ว เฟรมจะไม่คิดถึงเค้าอีกแล้ว เฟรมขอโทษที่ทำให้พี่ฮั่นเป็นห่วงมาตลอด เฟรมจะกลับไปเป็นน้องสาวที่ดีของพี่ฮั่นเหมือนเดิม สัญญา....” เฟรมยกนิ้วก้อยขึ้นมาให้ผมทั้งที่น้ำตายังไหลอาบแก้ม ผมเกี่ยวก้อยกับน้องสาวคนเดียวก่อนจะดึงมากอดอีกครั้ง อยากให้น้องสาวคนนี้รู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พี่ชายคนนี้จะอยู่เคียงข้างและทำทุกอย่างให้เฟรมมีความสุขที่สุด

    “เฟรมไปนอนก่อนนะพี่ฮั่น” เฟรมผละออกจากผมก่อนเดินขึ้นไปบนห้อง ผมมองตามน้องสาวที่ใจสลายเพราะความรัก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อทำบางอย่าง.....ชั้นไม่มีวันปล่อยนายไปง่ายๆ แกงส้ม นายต้องได้รับผลจากการที่นายทำไว้กับน้องสาวชั้น!!!

     

    วันนี้ผมต้องออกไปที่ร้านก่อนเวลาเพราะพี่ม้าเรียกประชุม ผมจึงออกไปซื้อน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋เจ้าอร่อยหน้าคอนโดมาทาน และเผื่อพี่ฮัทกลับมาทาน พี่ฮัทหายไปทั้งคืนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะบางที่ผับต้องเคลียร์ปัญหาอะไรสักอย่างที่ผมไม่เคยเข้าใจ เสียงไขประตูทำให้ผมรู้ว่าเจ้าของห้องได้มาถึงแล้ววววววว

    “พี่ฮัทน้ำเต้าหู้คร้าบบบบบ!!!” ผมส่งเสียงใสทักทายด้วยถุงเต้าหู้ที่เป็นอาหารเช้าพี่ฮัทเปิดประตูเข้ามาเดินเลยผมไปโดยไม่หันมามองผมสักนิด

    “ปัง!!!!!....................อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!” เสียงปิดประตูดังราวกับเสียงปืนใหญ่และตามด้วยเสียงกรีดร้องนั้น ทำเอาผมหันมามองถุงเต้าหู้ในมืออย่างงุนงง

    “หรือว่าพี่ฮัทไม่ชอบน้ำเต้าหู้......” ผมบ่นคนเดียวด้วยความสงสัย...หรือผมพลาดอะไรไปเนี่ย!!!

    ผมปั่นจักรยานคู่ใจไปที่ร้านและอีกครั้งกับการมาเป็นคนแรกของร้าน แต่ผมยังไม่ทันจะเปิดประตูพี่ม้าเจ้าของร้านก็ขับรถมาจอดก่อนเดินนวยนาดมาที่ร้านตามผมมาอย่างติดๆ

    “สรุปชั้นต้องรอสองตัวนั่นอีกแล้วใช่มั้ย???” พี่ม้าบ่นเบาๆกับผม ผมยิ้มรับไม่ตอบอะไร

    “รอดูนะแกงส้มว่ามาแล้วมันจะทะเลาะกันเรื่องอะไร” พี่ม้าพูดกับผมที่กำลังจัดโต๊ะเก้าอี้เพื่อรอเปิดร้าน แต่รอไม่นานเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็มาจอดที่ลานจอดรถของร้าน

    “มากันแล้วครับ” ผมหันไปชะเง้อมองดูคู่กัดคู่เอกของร้าน แต่วันนี้มาแปลกพี่ริทเดินถือของทั้งหมดคนเดียวจ่ำอ้าวอย่างไม่สนใจพี่โตโน่ที่ร้องเรียกเสียงดัง

    “หวัดดีครับพี่ม้า แกงส้ม” พี่ริททักทายผมกับพี่ม้าอย่างลวกๆเดินเลยเข้าไปหลังร้านเพื่อเอาของไปเก็บที่ครัว

    “ไอ่ริทนี่แกงอนชั้นจริงเหรอเนี่ย???” พี่โตโน่โวยวายทันทีที่เปิดประตูเข้ามา

    “ไอ่โตโน่...แกมองเห็นหัวชั้นมั้ย” พี่ม้าถามเสียงเหี้ยมมือคลี่พัดลายลูกไม้ราวกับนางพญา พี่โตโน่ยิ้มแก้เขินก่อนยกมือไหว้ท่วมหัว

    “แกงส้มไปตามริทมาก่อน...ชั้นจะคุยเรื่องงาน พวกแกเนี่ยวุ่นวายกันจริงๆเชียว” พี่ม้าบอกผมให้ไปตามพี่ริทบวกกับการบ่นตามสไตล์พี่ม้า ผมลุกตามพี่ริทในครัว

    “พี่ริททททท!!!” ผมร้องเรียกพี่ริทที่กำลังนั่งหน้างอในครัวอยู่คนเดียว

    “เป็นอะไรเนี่ย...ทะเลาะกับพี่โน่เหรอ” ผมเดินไปใกล้คุยกับพี่ริท

    “ใช่!!!....ก็ไอ่พี่โน่มัวแต่จีบสาวอยู่นั้นแหละ พี่ละหมั่นไส้มันจริงๆมาสายเพราะมันเลย” พี่ริทพูดด้วยอารมณ์หมั่นไส้มากกว่าโกรธ ผมแอบยิ้มกับบางอย่างที่ทำให้รู้สึกได้ว่าสองคนนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ

    “โอ๋ๆๆๆ อย่าเครียดๆ พี่ม้าเรียกแล้วไปเหอะ” ผมบีบนวดไหล่ให้พี่ริทก่อนเรียกไปประชุม พี่ริทหันหน้ามายิ้มให้ผมก่อนกอดคอผมเดินออกไปนั่งที่โต๊ะที่พี่ม้าและพี่โตโน่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

    “กว่าจะได้พูด....คือว่าที่ชั้นเรียกมาเนี่ย อีกสามวันเพื่อนชั้นจะเปิดตัวรีสอร์ตใหม่ที่ชะอำ เค้าเลยอยากขอให้โตโน่กับแกงส้มเป็นเล่นดนตรีในงาน ส่วนเจ้าริทเพื่อนชั้นเค้าชอบขนมลูกชุบแฟนซีเค้าอยากให้มีในงาน” ขณะที่พี่ม้าชี้แจงรายละเอียด พี่โตโน่ที่นั่งติดกันก็เอาขามาสะกิดผม

    “แกงส้ม!!!” พี่โตโน่เรียกผมเสียงเบาก่อนยื่นกระดาษที่เขียนว่า “เลิกงานขอคุยด้วยหน่อย” ผมยกนิ้วชี้หน้าตัวเอง พี่โตโน่ยักคิ้วรับ

    “มีอะไร” ผมกระซิบตอบ แต่พี่โตโน่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร พัดที่เคยอยู่ในมือของพี่ม้าก็ลอยหวืดแทรกกลางระหว่างหัวผมกับพี่โตโน่ เจ้าของพัดบินได้นั้นยืนเท้าเอวจังก้าอย่างเอาเรื่อง

    “เมื่อไหร่แกสองคนจะตั้งใจฟังชั้นย่ะ!!!” อำนาจเด็ดขาดทำให้ผมกับพี่โตโน่ขยับออกห่างจากกันโดยทันที...

    ผมคุยกับลูกค้าคนสุดท้ายเสร็จก็เดินไปที่ด้านหลังร้านเพื่อเตรียมของกลับบ้าน พอเห็นหน้าพี่โตโน่ก็ทำให้นึกได้ว่าผมมีนัดคุยกับพี่โตโน่ พี่ริทกำลังเก็บกวาดครัวเสร็จเดินออกมาพร้อมเป้ใบใหญ่ที่ติดตัวตลอด

    “กลับยัง???” พี่ริทถามพี่โตโน่เพราะทุกวันสองคนนี้ต้องกลับบ้านด้วยกันทุกวัน

    “ออกไปรอข้างนอกไป...มีเรื่องจะคุยกับแกงส้มก่อน” พี่โตโน่บอกพี่ริทเสียงห้วนตามเคย ผมยิ้มแห้งๆให้พี่ริท พี่ริทยิ้มตอบด้วยความสงสัย ก่อนจะเดินออกไปรอข้างนอกตามที่พี่โตโน่บอก

    “มีอะไรพี่...วันนี้ผมมีจ๊อบต่อนะเนี่ย” ผมนั่งลงที่เก้าอี้ พี่โตโน่นั่งลงข้างๆสูดหายใจยาวๆ

    “แกงส้ม พี่ชอบไอ่ริทมันว่ะ” พี่โตโน่บอกผมเสียงเครียด ว่าแล้ว......นั่นไงผิดซะที่ไหน!!! แต่ว่า

    “แล้วพี่มาบอกผมทำไม...ไปบอกพี่ริทดิ” ผมยุพี่โตโน่ทันที พี่โตโน่ถอนหายใจยาว

    “พี่กับมันคุยดีๆกันได้ซะที่ไหน ดูวันนี้ดิ...แกงส้มช่วยพี่นะ” พี่โตโน่ขอร้องผมให้ใจอ่อน

    “แล้วพี่ไปจีบแม่ค้าขายโจ๊กจริงๆรึเปล่า???” ผมยื่นหน้าไปใกล้พี่โตโน่ถามอย่างจริงจัง

    “ไม่เลย!!! เพื่อนพี่บอกว่าถ้าไปคุยด้วยบ่อยๆ เวลาซื้อจะได้เยอะ” พี่โตโน่ปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมอธิบายเหตุผลที่ผมกลั้นหัวเราะไว้แทบไม่ทัน ผมจะเอายังไงกับคนๆนี้ดีเนี่ย.....เฮ้ออออออ!!!

    “ก่อนอื่นพี่ต้องทำให้พี่ริทรู้ว่าพี่ไม่ได้จีบแม่ค้าขายโจ๊ก....นี่คือภารกิจแรก” ผมบอกทางที่จะเดินทางไปสู่ห้องหอของพี่โตโน่ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าตั้งใจฟังเหมือนเด็กอนุบาลที่คุณครูสอนท่าเต้นเพลงใหม่

    “แล้วถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ละ...ทำยังไงต่อคือเอาแบบว่าคุยกันดีๆต้องทำแบบไหน” พี่โตโน่ถามอย่างกระตือรือร้น ผมสงสัยจริงๆว่าตอนเรียนหนังสือพี่เค้าจะตั้งใจฟังตาแป๋วแบบนี้รึเปล่า???

    “พี่ต้องหัดพูดดีๆกับพี่ริท เลิกปากหมา” ผมแนะนำ แต่พี่โตโน่มองหน้าผมด้วยสายตาจิก

    “ตรงไปเหรอพี่โน่” ผมพูดเสียงอ่อยยิ้มเหยๆให้สายตานั้น...ผมผิดไปแล้วคร้าบบบบบบ

    “ตรงเกินไป” พี่โต่โน่ตอบอย่างหนักแน่นพร้อมสายตาขู่ประมาณว่า “อย่ามีอีกนะไอ่แกง!!

    “พี่ต้องหัดชมบ้างอะไรบ้าง ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ห่ามอะไรก็ห่าม” ผมพูดพร้อมชี้หน้าพี่โตโน่

    “พี่ชมใครไม่เป็นนี่หว่า สอนหน่อยดิ” พี่โตโน่เซ้าซี้เหมือนเด็กอยากกินขนม ผมมองนาฬิกาข้อมือก่อนพอมีเวลาอีกเล็กน้อย เพื่อพี่ชายคนนี้ผมทำให้ได้!!!

    “พี่ลองชมผมสิ ว่าผมตาสวย ลองดู” ผมตั้งโจทย์ให้นักเรียนการแสดงออกทางความรักลองทำ

    “แกงส้มตาสวยมาก” พี่โตโน่พูดออกมาประมาณว่าท่อนไม้ในงานแสดงโรงเรียนผมตอนประถมยังเล่นได้ดีและเป็นธรรมชาติกว่านี้อีก  ผมตบหน้าผากตัวเองอย่างหนักใจกับลูกศิษย์

    “โหยยยย อินเนอร์ไม่มาเลย แล้วอะไรเนี่ยแกงส้มตาสวยมาก เค้าคงจะหวั่นไหวกับพี่หรอก เคยฟังเพลงรักมั้ย??? ให้มันดูหวานหยดย้อยกว่านี้หน่อยสิมีลูกเล่นนิดนึงสิพี่” ผมสาธยาย พี่โตโน่พยักหน้ารับทำหน้ามุ่งมั่น

    “ใจเย็นๆ พี่โน่ สูดหายใจเข้าลึกๆ” ผมบิ้วต์อารมณ์พี่โตโน่ก่อนให้ทดลองจริงๆ ทุกอย่างเงียบไปเกือยยี่สิบวินาทีเพื่อให้พี่โตโน่ทำสมาธิ ผมนั่งมองหน้าพี่โตโน่อย่างลุ้นระทึก

    “แกงส้มรู้มั้ยที่พี่เห็นสายตาของแกงส้ม ทำให้พี่รู้ว่าดวงดาวบนฟ้าไม่ใช่สิ่งที่สวยงามที่สุด” พี่โตโน่พูดเสียงหวานพร้อมสายตาเปล่งประตาที่มองหน้าผม....ผ่าน!!!!! สุดยอดดดดดดด

    “เกร๊งงงง!!!” เสียงอะไรบางอย่างร่วงลงกับพื้น ผมหันไปมองเห็นพี่ริทก้มเก็บกุญแจในมือ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันยากกว่าเดิมไปทุกที ตอนนี้ปัญหามันไม่ใช่แม่ค้าขายโจ๊กแล้วครับ มันย้ายทะเบียนบ้านมาที่ผมอย่างเต็มๆ....พี่ริทอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ

    “แกงส้ม...พี่ไม่ได้จีบแม่ค้าขายโจ๊กนะ เชื่อพี่!!! พี่โตโน่อีกครั้งกับการผิดคิวครั้งสำคัญ มันใช่เวลามั้ย???  พี่ริทเองเม้มปากจนปากเฉียบ

    “ผมไม่รอแล้วนะ สงสัยจะคุยกันยาว” พี่ริทพูดแล้วไม่รอคำตอบ เดินออกไปทันที

    “กลับเองได้นะ” พี่โตโน่ยังมีหน้าตะโกนบอกพี่ริท ผมกุมขมับทันที

    “เป็นไงแกงส้ม ภารกิจแรกผ่านฉลุย พี่บอกไปแล้วว่าพี่ไม่ได้จีบแม่ค้าขายโจ๊ก” พี่โตโน่พูดอย่างภาคภูมิใจ ผมว่าผมต้องไปดูดวงซะแล้ว ไหนจะเรื่องเดิมที่นายเจ้าพ่อนั่นหาว่าผมเป็นแฟนกับพี่ฮัทยังเคลียร์ไม่เสร็จ ยังจะมาเรื่องนี้อีก ประเด็นคือพี่โตโน่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าพี่ริทเค้าเข้าใจผิดไปไหนต่อไหนแล้ว... เฮียแกยังยิ้มหน้าระรื่นอย่างมีความสุขแล้วผมจะไปทำลายวินาทีนั้นได้ยังไงนะ โอ๊ยยยยย!!!....จะบ้าตาย

    ในที่สุดทุกอย่างก็สิ้นสุดลงสักที ผมเดินลงจากเวทีผับหรูย่านเดียวกับพี่ฮัทที่ลูกค้าติดต่อให้ผมมาร้องแทนนักร้องที่วันนี้มาไม่ได้ แถมค่าเหนื่อยก็จ่ายหนักไม่ใช่น้อย ไม่น่าเชื่อว่านักร้องกลางคืนจะได้เงินขนาดนี้ ผมไปร้องพี่ผับที่พี่ฮัททำงานอยู่ได้น้อยกว่านี้เป็นครึ่ง

    “แกงส้ม....เจ้านายพี่เค้าอยากคุยด้วยหน่อย” พี่ที่เป็นคนไปติดต่อผมที่ร้านอาหารเรียกผม

    “ได้ครับ” ผมตอบสั้นๆ แหมก็ให้เงินเยอะขนาดนี้ ถ้าเค้าติดใจอยากให้ผมเล่นให้อาทิตย์ละสองวันนะ รับรองผมเก็บเงินทะลุเป้าที่วางไว้เร็วขึ้นเป็นเดือนเชียวนะ ต้องเอาใจหน่อยละงานนี้ ผมเดินตามไปจนถึงหน้าห้องที่แค่ทางเดินก็ปูพรมสีแดงเพลิงดูหรูหราประดับประดาด้วยภาพวาดนับสิบชิ้นที่ดูจากเนื้องานแล้วไม่ต่ำกว่าหกหลักทุกภาพ ธุรกิจที่หากินกับความเหลวแหลกของจิตใจมนุษย์นี้ช่างสร้างเม็ดเงินได้มหาศาลจริงๆ

    “เข้าไปข้างในเลย พี่ส่งแค่นี้แหละ” พี่เค้าเปิดประตูให้ผม ผมก้าวเดินเข้าไปในห้องนั้นดูตระการตากว่าด้านนอกมาก รสนิยมของเจ้าของห้องดีเหลือเกิน พรมสีเบจดูเข้ากับกับชุดเครื่องนี่เป็นไม้อย่างลงตัว ต้นไม้พุ่มที่ได้รับการตกแต่งอย่างดีส่งเสริมให้ภาพศิลปะราคาแพงนั้นเด่นสง่าขึ้นไปอีก แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกตะลึงเป็นที่สุดคือร่างชายสองคนที่มองมาที่ผมอย่างกำชัยชนะ นั่น...มันลูกน้องฝาแฝดไอ่เจ้าพ่อหน้าใสนี่หว่า!!!

    “ตามสบายนะ...คุณแขก” ชายคนที่นั่งพิงโต๊ะทำงานต้อนรับผมด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยกว่านั้นคือเสียงเปิดประตูของชายที่ผมเกลียดขี้หน้ายิ่งนักแม้จะเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง

    “พี่ฮั่นครับ รายงายบัญชีทั้งหมดผมลงให้หมดแล้วนะครับ” หนึ่งในฝาแฝดรายงานเจ้านายรูปงาม

    “ขอบใจมาก” นายฮั่นขอบคุณลูกน้อง แต่สายตากลับไม่ละไปจากร่างกายของผม ยิ่งในมือมีแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสองข้างแล้ว ทำให้ผมนึกไม่ออกว่าจะมาไม้ไหน ทั้งที่การอยู่เพียงลำพังหนึ่งต่อหนึ่งควรจะทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจกว่า แต่ทำไมเมื่อลูกน้องฝาแฝดสองคนออกไปมันถึงทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะ ผมไม่ชอบสายตาของนายฮั่นที่มองผมเลย มันมีทั้งสายตากรุ่มกริ่ม เกลียดชังและต้องการเล่นสนุกกับชีวิตของผมเปล่งประกายออกมาจากดวงตาคมกริบนั้น

    “รู้มั้ย??? กว่าจะได้นายมานั่งคุยกันเนี่ยมันลำบากจริงๆนะ” นายฮั่นเริ่มพูดกับผม มือวางแก้วเครื่องดื่มไว้ที่โต๊ะก่อนจะเอื้อมมือไปล็อคประตู ผมทำตาโตแสดงความตกใจออกมาทำให้ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างผู้เหนือกว่า

    “มันมีอะไรจำเป็นต้องคุยขนาดนั้นเลยเหรอ??? ผมไม่เห็นว่าผมกับคุณมีความจำเป็นใดๆที่ต้องมาร่วมบทสนทนาใดๆกันเลย” ทั้งที่ใจรู้สึกกลัว แต่คนอย่างแกงส้มจะไม่มีวันก้มหัวให้ใครอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้...

    “ใช่ เราสองคนไม่จำเป็นต้องมีบทสนทนาอะไร แต่นายเป็นเหมือนเครื่องบันเทิงใจชั้นมากกว่า ยิ่งเห็นแววตาตอนนี้ ชั้นยิ่งรู้สึกว่านายเกิดมาเพื่อเป็นของเล่นชั้นเยี่ยมของชั้น” แม้ใบหน้านั้นหล่อเหลาสมบูรณ์แบบแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้ความรังเกียจของผมที่มีต่อคนๆนี้ลดลงเลยแม้แต่น้อย

    “ผมจะกลับแล้ว” ผมคว้ากระเป๋าคู่ใจเพื่อจะรีบออกไปจากตรงนี้ ไม่อยากพูดคุยกับคนเอาแต่ใจใช้เงินรังแกคนอื่น แต่ร่างสูงแข็งแรงนั้นก็คว้าตัวผมแล้วดันไปติดกำแพงอย่างง่ายดาย

    “ปล่อย” ผมพูดด้วยความเฉียบขาดพยายามซ่อนความหวาดกลัวในลึกที่สุด นายฮั่นยิ้มอย่างสะใจก่อนก้มลงมาหาใบหน้าผมอย่างรวดเร็ว ผมเบี่ยงตัวออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมหลับตาไม่อยากรับรู้อะไร มีเพียงสัมผัสของริมฝีปากร้อนผ่าวที่ประทับที่ซอกคอของผมอย่างรุนแรงเท่านั้นที่บอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมพยายามสะบัดร่างตัวเองให้พ้นจากวงแขนที่กำยำของหนุ่มรูปงามนิสัยแย่คนนี้ แต่ความพยายามก็ไม่มีผลอะไรเมื่อท่อนขาแข็งแรงนั้นเบียดท่อนล่างผมให้ติดกับผนังจนไม่สามารถขยับได้

    “ปล่อยนะเว้ย!!!” ผมเริ่มโมโห ทำไมต้องมารังแกกันขนาดนี้ด้วยนะ พ่อแม่เลี้ยงผมมาอย่างดีไม่น้อยหน้าใคร แล้วคนๆนี้เป็นใครถึงกล้าดีมาทำกับคนอย่างผมแบบนี้ ในขณะที่ผมกำลังเจ็บใจตัวเองอยู่ๆ นายฮั่นก็ปล่อยผมให้เป็นอิสระ

    “ตัวหอมแบบนี้นี่เอง ไอ่ฮัทมันถึงหลง จะว่าไปแล้วชั้นก็ชักจะติดใจแล้วสิ” ทั้งแววตาและน้ำเสียงมันช่างยั่วโทสะผมเหลือเกิน แต่คนอย่างผมจะทำอะไรได้แค่สู้กันตัวต่อตัวผมเองก็ไม่มีทางจะขัดขืนได้ ยังไม่นับลูกน้องนับสิบที่รอคำสั่งของเจ้านายนิสัยเลวคนนั้น

    “ชั้นจะกลับบ้าน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน ผมอยากจะฉีกร่างที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นชิ้นๆ

    “เอาแบบนี้ นายดื่มกับชั้นก่อนหนึ่งแก้ว แล้วนายจะไปไหนก็ไป” น้ำเสียงที่มีความสุขกับการเล่นเกมส์ที่ผมเองไม่มีวันจะสนุกด้วย

    “ชั้นไม่ดื่ม ชั้นไม่ไว้ใจนาย” ผมมองไปที่แก้วเครื่องดื่มสองแก้วนั้น มันไม่มีอะไรจะรับรองได้ว่าผมดื่มแล้วปลอดภัยเลย ผมนึกถึงยานอนหลับเลยเถิดไปถึงยาพิษด้วยซ้ำ

    “ก็ตามใจนะ ชั้นก็จะขวางประตูแบบนี้จนกว่านายจะดื่ม” นายฮั่นยืนพิงประตูอย่างสบายอารมณ์ผมเบือนหน้าหนีไม่อยากมองหน้านั้นสักวินาที และความคิดดีๆอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว อย่าหวังว่าคนอย่างแกงส้มจะเป็นเป้านิ่งๆให้ใครทำร้ายก็ได้ นายเองก็จะได้เรียนรู้ในวันนี้ ผมเดินไปหยิบเครื่องดื่มมาสองแก้ว

    “ขอสองได้มั้ย???” ผมหันไปถามเจ้าของอย่างมีมารยาท นายฮั่นพยักหน้าแต่เลิกคิ้วสูงมองอย่างสงสัย ผมเดินไปที่โต๊ะทำงานที่มีโน๊ตบุ๊คราคาแพงที่เพิ่งได้รับการลงรายงานบัญชีไว้ ก่อนจะที่ปล่อยให้ของเหลวในแก้วตกกระทบต่อหน้าเจ้าของที่ยืนพิงประตู

    “นายรู้ตัวมั้ยว่านายทำอะไร” นายฮั่นรีบสาวก้าวมาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ซ่อนในสูทหรูมาซับโน๊คบุ๊คอย่างร้อนรน ผมได้ทีรีบเดินออกจากห้องโดยทันที รู้ว่าที่ทำไปมันเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ แต่คนอย่างแกงส้มไม่เคยถอยกับสิ่งใดๆ ทั้งนั้น ผมไม่ใช่คนที่เข็มแข็งกว่าใครแต่ผมก็ไม่ใช่คนอ่อนแอที่ปล่อยให้คนอื่นมาทำร้ายแต่ฝ่ายเดียว ถ้านายยังไม่หยุดที่จะรุกรานชีวิตชั้นแบบนี้ ชั้นเองก็จะสู้ให้นายรู้จักคำว่า “สาสม” เหมือนกัน

     

    ปล. ขอบคุณที่อ่านกันนะคะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยเม้นติชมเพื่อกำลังใจและการพัฒนาของไรเตอร์ต่อไปนะคะ ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×