คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1: วันซวย
ผมมองรถบัสคันโตแล่นจากไปช้าๆ... โลกนี้มันไม่ยุติธรรมกับผมจริงๆ ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ ผมถูกถีบลงจากรถที่ไปเที่ยวชลบุรีกลางทางด้วยเหตุเล็กน้อย แถมยังประณามผมด้วยฉายาที่แสนจะเจ็บปวด
สิบนาทีที่แล้ว
เสียงเฮฮาของหนุ่มสาวทำให้บรรยากาศบนรถบัสครื้นเครงดูสงบเรียบร้อยดี แต่เรื่องมันดันไม่สงบเมื่อรถมาจอดที่หน้าห้องน้ำของปั้มเก่าๆแห่งหนึ่ง กว่าครึ่งบนรถพากันลงไปเข้าห้องน้ำ บ้างก็ไปซื้อเสบียงมาเพิ่ม ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น.... แต่สิ่งที่ผมไม่เหมือนคนอื่น คือการที่เห็นผู้หญิงผมยาวในชุดสีขาวรุ่มร่ามเดินตามยัยจี๊ด... สาวสวยประจำภาคไปบนรถ ผมรีบวิ่งไปที่รถทันที ยัยจี๊ดนั่งลงบนที่นั่งไขว่อย่างสวยสง่า ผมมองไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว
“แกงส้ม....แกทิ้งชั้นมาทำไมวะ” ไอ่นัทบ่นกระปอดประแปดทิ้งตัวลงข้างผมอย่างไม่พอใจ
“เมื่อกี้ชั้นเห็นคนตามยัยจี๊ดมา เลยรีบวิ่งมาดู” ผมกระซิบข้างหูเพื่อนรัก
“คนเนี่ย...ใช่คนมั้ยวะ” ไอ่นัทรู้เรื่องความพิเศษของผมรีบเอ่ยถามอย่างหวาดกลัว
“ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว....ชั้นอาจจะตาฝาดก็ได้” ผมกระซิบตอบ ถึงผมจะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้บ้าและเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองมีอยู่จริง แต่ผมก็เข้าใจว่ามีคนอีกไม่น้อยพร้อมจะตราหน้าว่าผมเพี้ยน
“ดีแล้วแหละ...ชั้นเองก็ไม่ค่อยถูกกับผีสางเท่าไหร่” ไอ่นัทพูดอย่างโล่งอก จากนั้นไม่นานรถก็แล่นไปเรื่อย คณะทัวร์ของผมก็เริ่มเปิดร้องเพลง ผมนั่งคุยกับไอ่นัทกันสองคนไปเรื่อยๆ
“ไม่เอาแล้ว อยากฟังเพลงเพราะๆบ้าง ทนไม่ไหวแล้วกับเสียงหอน” เสียงคนเพื่อที่นั่งข้างหน้าตะโกนขึ้นมา หลายๆคนในรถปรบมือชอบใจกัน ผมไม่กล้าหันไปมองว่ายัยจี๊ดสาวสวยพ่วงด้วยขวัญใจประธานรุ่นที่เป็นถือไมค์มานานจะทำหน้าเง้างอนไม่พอใจแค่ไหนที่ถูกเปรียบเหมือนน้องหมา
“แกงส้ม.. แกงส้ม... แกงส้ม” เสียงจากด้านหน้าเรียกชื่อผม จนคล้ายการประท้วงกลายๆ ไอ่นัทก็เลยดึงผมให้ลุกขึ้น บอกตามตรงว่าร้องเพลงมันไม่ยาก แต่การไปแย่งไมค์จากเจ้าแม่จี๊ดมันทำให้ผมหนักใจนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจ... คือมือขาวซีดที่ห้อยมาจับไหล่ยัยจี๊ดที่ยืนอยู่กลางรถ ผมไหล่มองตามมือขาวซีดไร้สีเลือด ร่างหญิงสาวคนนั้นอยู่ที่ช่องเก็บของด้านบนในท่านอนคว่ำ ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษโดดเด่นออกมาจากมุมมืด ผมดำที่จับตัวกับเป็นซังปิดบังใบหน้านั้นที่ตอนนี้จ้องมองมาที่ผมราวกับรู้ว่าผมเห็นเข้าอย่างที่เค้าเห็นผม ตัวผมแข็งนิ่ง และ...ร่างขาวซีดนั้นกระโดดมาทางผม!! ทำให้ผมหลับตาสะดุ้งสุดตัวจนลงไปกระแทกก้นจ้ำเบ้าที่พื้นรถ
“นายเป็นบ้าอะไรของนายห๊ะ!!!”เสียงกรี๊ดร้องของจี๊ดทำให้ผมลืมตา ภาพที่น่ากลัวกว่านั้นคือผีสาวตัวนั้นเอาคางเกยที่ไหล่ของยัยจี๊ด ยิ้มแสยะกว้างเกินมนุษย์เห็นฟันแหลมสีดำแทบทั้งปาก ตาสองข้างนั้นไร้ซึ่งตาดำ!!!
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ...แล้วชั้นจะทำบุญไปให้” ผมจับพระที่ห้อยที่คอยื่นไปทางยัยจี๊ด ร่างผมถูกกระชากขึ้นทันทีก่อนที่จะถูกผลักไปที่เบาะนั่งอย่างแรง
“เป็นประสาทอะไรของนาย....ลืมกินยามารึไง” ไฟ ประธานรุ่นที่รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางนักเลงตะคอกใส่ผม ไอ่นัทแทรกตัวมากั้นระหว่างผมกับไฟเพราะกลัวผมจะถูกไฟทำร้าย
“แกงส้มเป็นไงบ้าง...ไฟ นายทำเกินไปนะ” เพื่อนบางคนเข้ามาถามผมก่อนจะหันไปต่อว่าไฟ
“ไม่เห็นที่มันทำกับจี๊ดรึไง!!!” ไฟพูดด้วยเสียงอันดัง...
“จี๊ด...เธอเรียกเพื่อนขึ้นมาแล้วไม่ได้เรียกชื่อใช่มั้ย???” ผมไม่สนใจความเกรี้ยวกราดของไฟ หันไปถามสาวสวยที่กอดอกมองผมอย่างหยามเหยียด
“นายจะหาว่าผีตามชั้นมางั้นสิ....เพ้อเจ้อไร้สาระ” จี๊ดตัดบทผมอย่างไม่ไยดี
“แต่จี๊ดเธอก็ชวนพวกเราขึ้นมาแบบไม่เรียกชื่ออย่างที่แกงส้มว่าจริงๆนะ” เพื่อนสนิทที่คอยเป็นลูกไล่ให้จี๊ดเอ่ยขึ้นมาอย่างหวาดกลัว จี๊ดตวัดสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจให้เพื่อนสาวของตัวเองทันที
“แล้วจะให้ทำยังไง...จอดรถให้ชั้นลงตรงเลยมั้ย???” จี๊ดพูดประชดออกมา....ผมเลยรู้ว่าตัวเองคงไปไม่ถึงจุดหมายเช่นเคย เพราะสาวสวยคนนี้เป็นถึงหวานใจประธานรุ่นที่ได้ชื่อว่านักเลงเก่าอยู่แล้ว
“คนไหนมีปัญหาก็ให้ไปสิ... จี๊ดไม่ได้เป็นคนโวยวายสักหน่อย” เพื่อนๆอีกฝั่งก็ร้องขึ้นมา
“ขอโทษนะแกงส้มชั้นไม่ได้เป็นคนเสนอนะ” จี๊ดพูดกับผมด้วยน้ำเสียงน่าหมั่นไส้ ให้ตายเถอะผมไม่น่าจะไปเตือนยัยนี้เลยจริง ทำดีไม่ได้
“ถ้าแกงส้มลง ชั้นก็จะลงไปด้วย” ไอ่นัทประกาศ...นั่นทำให้บรรยากาศเงียบเพราะนัทซึ่งเป็นรองประธานรุ่นแต่ทำงานตัวเป็นเกลียว งานนี้คงไม่รอดถ้าไม่ได้นัท...
“นัทไม่ต้องหรอกชั้นชินแล้ว” ผมบอกกับนัท ไอ่การถูกเตะโด่งออกจากสังคมเพราะดันเห็นผีไม่เป็นเวลามันเป็นเรื่องประจำของผมอยู่แล้ว... ถ้าสุขภาพจิตไม่ดีแบบผมมีหวังได้ไปนั่งเก้าอี้ซ๊อตไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว แค่คนรอบข้างที่มีไม่กี่คนเข้าใจผม...ผมก็โอเคแล้ว
“ไหนๆชั้นก็จะต้องลาออกไปเรียนที่อื่นแล้ว....ชั้นไม่แคร์” ไอ่นัทมองหน้าไฟอย่างท้าทาย
“แบบนั้นแหละ แกถึงต้องไป ชั้นขอร้อง” ผมแค่อยากให้เพื่อนรักมีความทรงจำดีๆก่อนที่จะย้ายตามพ่อกับแม่เพื่อไปเรียนต่อที่อื่น นัทพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ ในที่สุดรถบัสก็จอดตรงศาลาพักริมทาง
“นี่แหละน่า...เค้าถึงได้เรียกว่า “แกงส้ม ล่มทุกงาน” ” ยัยจี๊ดทำเอาผมจี๊ดหัวใจสมกับชื่อดี คราวหน้านะ...ถ้ามีผีสักตัวขึ้นไปแทงโก้บนหัวยัยนี่ นอกจากจะไม่ห้ามไม่ไล่ไม่เตือนผมจะปรบมือแถมให้ด้วย!!! รถบัสแล่นออกไปอย่างช้าโดยมีร่างหญิงสาวในชุดสีขาวเกาะอยู่บนหลังรถบัส ถ้าทุกคนเห็นอย่างที่ผมเห็นละก็ผมคงมีเพื่อนตีรถกลับกันเป็นแถวเลยทีเดียว!!!!
ผมโทรเรียกพี่รหัสตัวเองทันที เพราะผมฝากทั้งรถทั้งกุญแจไว้เผื่อจะมีเหตุจำเป็นต้องมารับผมเฉกเช่นงานนี้ ผมนั่งรอโดยฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อย... รถสีขาวคุ้นตาก็วิ่งแหวกถนนที่เงียบเหงามาจอดที่ศาลานี้ ร่างกลมๆ ที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับลงมาช่วยผมขนสัมภาระเก็บท้ายรถ
“ขอบคุณครับพี่โดม โทษทีนะพี่ก่อเรื่องไกลไปหน่อย” ผมพูดติดตลก พี่โดมเป็นเพื่อสนิทของพี่รหัสของผมตบบ่าผมเบาๆ ผมเปิดประตูหลังเข้าไปนั่งทันที พี่แคนผู้เป็นพี่รหัสหันมามองหน้าผม
“ทำไมต้องใส่แว่นดำด้วยพี่...นึกเท่อะไรขึ้นมา” ผมทักทายด้วยความสงสัย เพราะร้อยวันพันปีไม่เห็นจะชอบใส่อะไรปิดบังสายตาหวานอ่อนโยนที่เจ้าตัวภูมิใจนักหนา
“หมีแพนด้า หมีแพนด้า หมี หมีแพนด้า” พี่โดมร้องเพลงออกมา พี่แคนหันขวับมองต้นเสียงอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะถอดแว่นออกมา ผมสังเกตเห็นรอยแดงที่รอบดวงตาสวยของพี่แคน...
“พี่.... พี่ไปทำอะไรมาเนี่ย???” ผมอดหัวเราะไม่ได้จริงๆ ให้ตายสิ.... พี่โดมเองก็หัวเราะผสมโรงด้วยทำเอาการหัวเราะหยุดยากไปกันใหญ่
“ตัดเสียงหัวเราะออก...ยังพอหลอกตัวเองได้บ้างว่าน้องเป็นห่วง” พี่แคนพูดจาประชดด้วยความน้อยใจ ผมยกมือขอโทษ....แต่ก็ยังคงหัวเราะอยู่
“พี่ถามอะไรหน่อยเหอะ ถ้ามือถือแกงส้มตก แกงส้มจะเก็บมั้ย???” พี่แคนพูดด้วยความแค้นอย่างขมขื่น ผมหายใจเข้าลึกเพื่อกลั้นหัวเราะ
“เก็บสิ” ผมตอบสั้นๆ และก็พ่นหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่ได้
“บิดเบือนความจริงมาก เก็บมือถืออ่ะใช่....แต่ตรงข้ามมีสาวนุ่งกระโปรงสั้นมาก มากๆ ย้ำ!!! มากๆ แล้วแกยกมือถือขึ้นด้วยท่าพร้อมถ่ายใต้กระโปรงแบบนี้ บุญเท่าไหร่แล้วที่เค้าไม่แจ้งตำรวจ ดีนะที่แฟนเค้าต่อยมาแค่เปรี้ยงเดียว ไม่กระทืบซ้ำ” พี่โดมเล่าเสริมโดยทำท่ายกมือถือประกอบ เข้าใจแล้ว....ถ้าผมเป็นแฟนเค้าผมก็คงเอาสักเปรี้ยงเหมือนกัน.... พี่แคนมองพี่โดมด้วยความหงุดหงิดใจก่อนจะออกรถไปในทันที
“วันนี้ไหนๆก็เป็นวันซวยของเราแล้ว...ไปกินเหล้ากันเถอะ!!!” พี่แคนประกาศก้อง ผมกับพี่โดมมองหน้ากันอย่างงงๆ สงสัยวันนี้พี่แคนคงจะน้อยใจชีวิต เลยอยากทำอะไรหลุดๆจากวงจรชีวิตแบบเดิมบ้าง ผมเลยไม่ได้แย้งอะไรออกไป แต่ทำไมนะ...ถึงรู้สึกว่าเรื่องราวความซวยมันไม่จบแค่เพียงเท่านี้
พี่แคนพาผมมาที่ซุ้มเหล้าปั่น เป็นร้านที่มุงด้วยหญ้าคาเป็นทางยาว มีบาร์ และโต๊ะไม้เรียงรายอยู่ แต่ดูท่าทางจะขายดีไม่น้อยเพราะเห็นหนุ่มสาวนั่งดื่มกินอย่างสนุกสนาน ผม พี่แคน พี่โดม ยืนเก้กังมองซ้ายขวาเพราะไม่เคยมาที่แบบนี้มาก่อน
“เราต้องเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ” พี่แคนพูดกับผมและพี่โดมอย่างหนักแน่น ก่อนที่จะเดินไปนั่งที่บาร์ใกล้คนขาย คนขายส่งเมนูมาให้ด้วยการโยนมาซึ่งเกือบจะโดนหน้าผมเฉียดไปเพียงนิดเดียว
“ดงพญาไฟ 3” พี่แคนร้องสั่งเสียงดัง ทั้งที่ผมกับพี่โดมยังไม่ได้จับเมนูด้วยซ้ำ แล้วที่สำคัญ “ดงพญาไฟ” มันจะออกมาหน้าตาแบบไหน และแล้วคำตอบก็ไม่ปล่อยให้ผมรอนาน แก้วเหล้าเล็กที่ติดไฟก็มาตั้งตรงหน้าผม.... ย้ำอีกทีนะครับ “ติดไฟ”
“แกงส้ม...ติดไฟขนาดนี้ เราจะมีชีวิตรอดเหรอ???” พี่โดมหันมากระซิบกับผม ผมเองก็พยักหน้ารัวเห็นด้วยกับคำพูดพี่โดมอย่างแรง
“พี่แคนเราเปลี่ยนเป็นเหล้าปั่นหรือไม่ก็เหล้าป๊อกกันมั้ย...ผมว่าไอ่นี่มันเหล้าเถื่อนชัดๆเลยนะพี่” ผมหันไปกระซิบพี่แคนต่อ พี่แคนหันมามองหน้าผม
“แกงส้ม...ถ้าเราสั่งไอ่พวกนั้น คนก็หาว่าเราอ่อนหน่ะสิ นี่แหละ...พิสูจน์ความแมน” พี่แคนพูดเหมือนจะไปออกรบที่ไหน เอาสักครั้งวะ...ผมยกแก้วเหล้าขึ้นมา หลับตาทำสมาธิก่อนที่จะยกซดไอ่ดงพญาไฟอะไรนี่.... พอลืมตาเท่านั้นแหละครับ จังๆ ผมแทบเสียสติเมื่อสายตาปะทะกับผู้ชายแก่ห้อยหัวลงมา สายตาแข็งทื่อ เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไฟด้วยเลือดและโคลนที่สำคัญหน้าผมกับหน้าคุณตาผีห่างกันแค่ไม่กี่นิ้ว!!!
“อ๊ากกกกกกก!!!!” ตกใจสุดตัวครับ ผมไม่เอาอะไรทั้งสิ้น ถลาลงจากเก้าอี้ เสียงกรีดร้องดังขึ้น หรือว่าคนในร้านจะเห็นอย่างที่ผมเห็น....
“ไฟไหม้!!!!” ชัดเจนเลยครับ ตอนนี้อานุภาพของดงพญาไฟแก้วนั้นของผมไปสำแดงฤทธิ์บนหลังคาที่มุงด้วยหญ้าครับ ลุกลามกันอย่างใหญ่โต....ความจริงความซวยของผมมันน่าจะหยุดไปตั้งแต่โดนไล่ลงจากรถบัสแล้วนะ!!!
ผม พี่โดม และพี่แคน มานั่งที่ตรงฟุตบาทข้างทาง เนื้อตัวเต็มไปด้วยเถ้าละอองถ่าน มอมแมมกันถ้วนหน้า ค่าเสียหายทั้งหมดอยู่ที่ หนึ่งหมื่นบาท.... ถ้าเป็นสองอาทิตย์แล้วผมจะไม่กลุ้มใจเลย เพราะเงินเก็บยังอยู่ที่ผม แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมโอนให้พ่อฝากเข้าบัญชีที่ดอกเบี้ยมากกว่า ตอนนี้ผมมีแค่เงินใช้ไปเป็นเดือนเท่านั้น
“แกงส้มไปขอพ่อคืนก็ได้นิ” พี่โดมเสนอทางออก
“ไอ่ขอคืนมันได้ แต่จะบอกว่ายังไง...ผมไปเผาร้านเหล้ามางั้นเหรอ??? มีหวังต้องโดนสั่งเด้งจากหอกลับไปอยู่บ้านแน่ๆ” ผมบ่นออกมาเบาๆ
“เอาเงินพวกพี่สองคนก่อนมั้ย??? เทอมหน้าถึงต้องใช้” พี่แคนเสนอเงินที่เก็บไว้ทำโปรเจ็คจบ พี่โดมพยักหน้าเห็นด้วย แต่ผมไม่กล้าเอาหรอกครับ เงินจำนวนนั้นมันสำคัญมากกว่าเรื่องพรรค์นี้
“ผมว่า...ผมจะหางานพิเศษทำ เจ้าของร้านเค้าให้ผ่อนจ่ายได้....เอาแบบนี้ดีกว่าเพราะเทอมนี้ผมเรียนเลิกก่อนสี่โมงเย็นทุกวันเลย” ผมหาทางออกที่คิดว่าดีที่สุด
“แล้วแกงส้มจะไปหางานที่ไหน...พูดเหมือนหาง่ายๆ” พี่แคนแย้งขึ้นมา
“มีสิ...รุ่นน้องที่ชมรมร้องเพลงของพี่กำลังหาเด็กไปช่วยร้านพี่เค้าพอดี ไปหาพรุ่งนี้เลยนะ เดี๋ยวพี่โทรบอกให้.... ร้านฮันนี่เค้ก ” พี่โดมนึกออก... ในที่สุดทางออกก็วิ่งเข้ามาหาผมจนได้!!!
และเช้าวันรุ่งขึ้นผมในชุดเรียบร้อยก้าวเข้ามาในร้านที่ชื่อว่าฮันนี่เค้ก ตามที่พี่โดมแนะนำมา บรรยากาศร้านดูน่านั่งเพราะตกแต่งด้วยสีครีม สลับสีน้ำตาล แต่แอบหวานด้วยผ้าคาดผ้าปูโต๊ะสีชมพูตัดกับสีครีมอย่างลงตัว สาวน้อยสวยคมโผล่หน้ามาจากครัวด้านใน เคียงคอมองผมอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“นี่...แกงส้มรึเปล่าคะ” สาวสวยถามผมพร้อมรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร
“ครับ...ที่จะมาสมัครงาน” ผมตอบอย่างเขินๆ เพราะดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นกำลังมองผมแล้วคิดอะไรอยู่ในหัวแน่ๆ รอยยิ้มที่ดูดีอกดีใจนั้นทำให้ผมคิดแบบนี้
“รับค่ะ” คำตอบรับอย่างรวดเร็วนั้นทำเอาผมตกใจ
“แล้วเจ้าของร้าน....” ผมไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นเจ้าของร้าน เพราะอายุไม่น่าจะห่างกับผมเท่าไหร่นัก
“เจ้าของร้านเป็นพี่ชายเราเอง... เราชื่อสต๊อปนะ อีกอย่างหนึ่งเราเองก็มีหุ้นครึ่งหนึ่งอยู่ที่นี่ มีสิทธิ์ที่จะรับพนักงานได้เหมือนกัน” สต๊อปอธิบายให้ผมยืดยาว ผมพยักหน้าเขาใจ
“แต่จะไม่ทดสอบหรือว่าสัมภาษณ์หน่อยเหรอ???” ผมถามอย่างสงสัย
“ไม่หรอก แค่เป็นผู้ชาย ร่างบาง ผิวขาว เราโอเคแล้วแหละ” ถึงจะเป็นเหตุผลที่แปลกๆในการรับเข้าทำงาน แต่มันเป็นผลดีกับผมผมก็โอเค.... หลังจากนั้นสต๊อป บอสสาวของผมก็เล่ารายละเอียดงานเวลาเข้างาน หน้าที่ และงานสำคัญของการจำเมนูและเค้กที่เป็นสูตรเฉพาะของร้านให้ได้ทั้งหมด ซึ่งก็เป็นความโชคดีของผมที่เกิดมาหัวไว... เรื่องจำๆอะไรแบบนี้ผ่านฉลุยครับ
หลังจากการทำงานวันแรก ผมช่วยสต๊อปปิดร้านตามเวลานั่นคือสามทุ่ม ดูเหมือนงานนี้จะเหมาะกับผมจริงๆ เพราะสต๊อปบอกว่าลูกค้าชมว่าผมน่ารักน่าเอ็นดูไม่เพียงพี่ชายเค้าเลย ผมเองก็เริ่มเชื่อแล้วว่านอกจากฝีมือทำเค้กที่อร่อยไม่แพ้ใคร พี่ชายของบอสคงจะหล่อไม่หยอกดูจากที่ลูกค้าสาวๆติดร้านนี้กันแน่น แต่ก็นะตอนนี้มีผมมาเป็นดาวรุ่งไฟแรงแบบนี้ บางทีพี่ชายบอสอาจจะเรตติ้งตกในเร็ววันก็ได้ 5555
“แกงส้ม... เราต้องไปเอาของที่เพื่อนก่อนแปบนึง แกงส้มเก็บหน้าร้านเสร็จแล้วปิดไฟแล้วไปรอเราที่หลังร้านนะ” สต๊อปพูดจบก็ร้อนรนออกไป ผมจึงก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ลูกจ้างที่ดีด้วยการเดินไปล็อคประตูปิดไฟตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และไปนั่งรอในครัวทำหรับอบขนมอย่างสบายใจ รอไปได้สักพักผมก็ได้ยินเสียงที่ไม่น่าไว้ใจมาจากประตูด้านหน้าเหมือนมีคนกำลังจะพยายามงัดเข้ามา ผมจึงคว้ากระป๋องวิปครีมไปเป็นอาวุธคู่กาย แต่กระป๋องวิปครีมนั้นคงไร้ประโยชน์ เมื่อสิ่งที่ผมเห็นในความมืดนั้นเป็นร่างสูงเสื้อสีขาวเปื้อนเลือด.... ให้ตายเหอะมันจะบ่อยไปมั้ยช่วงนี้ ร้านเค้กยังไม่เว้นเหรอนี่......
“ออกไปก่อนนะ....เดี๋ยวจะเอาขนมเค้กทำบุญไปให้” ผมจับที่สร้อยพระนึกถึงพระศรีรัตนตรัย แต่ร่างนั้นกลับย่างก้าวเข้ามาน่ากลัว นี่ขนาดพระยังไม่กลัวเหรอเนี่ย???.... ผมจึงขว้างกระป๋องวิปครีมที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายไป หวังว่าจะช่วยสกัดผีร้ายนั้นได้บ้าง!!!
“โอ๊ยยยยยย!!!!” สำเร็จ... แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน จู่ๆไฟก็สว่างขึ้นมาสต๊อปวิ่งมาพร้อมไม้กวาด
“พี่ฮั่น!!!!” สต๊อปเรียกผีหน้าหล่อว่า “พี่ฮั่น” แล้วเข้าไปประคอง ซวยแล้วไง....วันแรกก็ปาหัวเจ้าของร้านซะแล้ว สายตาของพี่ชายบอสที่ส่งมามันช่างเต็มไปด้วยแรงแค้น....ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ
HUNZ talk
หัวของผมจะแตกมั้ยเนี่ย???..... ผมตวัดสายตาไปมองที่มาของกระป๋องวิปครีม ที่นั่งบนเก้าอี้ทำหน้าตาเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างแรง ว่าจะรีบมาอาบน้ำล้างคราบเลือดที่ติดมาจากการเข้าไปช่วยเด็กถูกรถชน แต่ดันมาเจอเด็กบ้าโวยวายหาว่าเป็นผีอีก.... วันนี้มันวันซวยแท้ๆ
“หน้าตาชั้นเหมือนผีมากนักรึไง” ผมถามเสียงเข้มเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้
“หน้าตามองไม่เห็นมันมืด แต่ที่เห็นเลือดสาดเต็มตัวขนาดนั้น...ผมว่ามันก็น่าสงสัยอยู่” ทั้งที่ทำหน้าเหมือนกับยอมรับผิด แต่คำพูดทำไมมันยียวนกวนใจแปลกๆ นะ
“จริงของแกงส้มเค้านะ” น้องสาวตัวดีของผมดันไปเข้าข้างซะงั้น
“พี่ว่าไอ่เด็กคนนี้ไม่เหมาะกับร้านเรา” ผมเหลืออดจึงพูดออกไปตรงๆ
“ทำไมละครับ....คุณยังไม่เห็นผมทำงานด้วยซ้ำ” แกงส้มเถียงออกมาอย่างไม่กลัวเกรง
“ใช่...ถูกต้องตามคำทำนายเป๊ะ” สต๊อปพูดออกมาอย่างหนักแน่น.... ผมว่าแล้วไง
“สต๊อปจะเอาเรื่องพรรค์นั้นมาเป็นเกณฑ์อะไรไม่ได้นะ พี่ขอใช้สิทธิ์ของพี่ไม่รับ” ผมพูดเสียงเฉียบ
“แต่สต๊อปจะเอาหุ้นครึ่งหนึ่งของสต๊อปรับ...แกงส้มถือว่าเป็นคนของสต๊อป” น้องสาวผมออกโรงปกป้องจนผมอดโมโหไม่ได้
“เอาแบบนี้มั้ยครับ....ทำไมไม่เปิดดูกล่องความคิดเห็นนี่ละครับพี่ชายบอส” แกงส้มชี้ไปที่กล่องรับความคิดเห็นลูกค้าของทุกวัน ผมพยักหน้ารับ...ใครทำงานวันแรกแล้วมันจะดีเลยห๊ะ เด็กนี่มันซื่อจริงๆ ลูกค้าก็ต้องบ่นบ้างอยู่แล้ว....แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นการไล่ออกอย่างยุติธรรม ผมโอเค!!!
“เด็กใหม่น่ารักจัง พูดเพราะมาก”
“น่ารักแบบนี้ทำให้ร้านสดใสดีนะ”
“ยิ้มหวานๆ เสียงหวานๆ ทำให้เค้กอร่อยขึ้นไปอีก”
“แบบนี้ถ้าเจ้าของร้านไม่อยู่... เราก็ไม่ห่อเหี่ยวอีกแล้ว”
“พอเหอะสต๊อป...” ผมยอมแพ้แล้วจริงๆครับ ทำไมลูกค้าที่รักทำกับผมแบบนี้ ผมไม่อยู่แค่วันเดียวนี่นะ ผมหันไปมองเจ้าตัวปัญหาที่ยิ้มและยักคิ้วให้ผมอย่างไม่กลัวเกรง นี่มันเป็นการประกาศสงครามกลางร้านชัดๆ
“พี่ชายบอสตกลงรับผมแล้วนะครับ” เด็กกวนประสาทนั่นถามผมอย่างมีชัย
“เออ...รับ แล้วนายก็เรียกชั้นว่าพี่ฮั่น เรียกพี่ชายบงพี่ชายบอสอะไรรำคาญหู” ผมแอบเหวี่ยงระบายอารมณ์
“เรียกพี่ชายบอสนี่แหละครับ...ห่างเหินดี ไม่ค่อยอยากจะสนิทด้วย” คำตอบทำเอาผมแทบอยากจะจับร่างสูงบางนั้นโบกปูนให้เป็นผีเฝ้าร้าน พอพูดจบก็โบกมือลาน้องสาวผมกลับออกไปทันที ร้ายกาจมาก....เด็กคนนี้มันต้องถูกกำราบเอาไว้บ้าง
“เอาน่าพี่ฮั่น...นี่อาจจะเป็นคนที่พ่อหมอทำนาย เค้าจะทำให้ชีวิตพี่ดีขึ้น” สต๊อปปรี่เข้ามาปลอบ
“วันแรกก็หัวโนต้อนรับกันขนาดนี้ ทำให้พี่แย่ลงสิไม่ว่า” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมน้องสาวผมต้องยึดคำทำนายมารับเด็กบ้าคนนี้ด้วย ผมมองหน้าแล้วรู้สึกว่าเรื่องวุ่นวายจะตามมาเพราะเด็กบ้าคนนี้นี่แหละ!!!
ปล. เริ่มเรื่องอาจจะเนือยๆ นิดนึงนะจ๊ะ หวังว่าจะให้โอกาส ติดตามกันต่อไปนะ ^^
ความคิดเห็น