ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TS8 (HKS) รัก- ลืม -ร้าย หัวใจพ่ายเธอ

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1: Begining

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 55



                  ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปลุกที่ดังมาจากโทรศัพท์ ตอนนี้เวลาเจ็ดโมงเช้า เป็นเวลาเพียงสี่ชั่วโมงที่ผมได้นอนหลับพักผ่อนหลังจากตรากตรำทำงานอย่างมาราธอน ผมเข้าไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำอย่างสบายใจเพราะผมต้องเข้างานเก้าโมงเช้า ยังมีเวลาทำอาหารเช้าทิ้งไว้ให้พี่ฮัทเพื่อเป็นค่าที่ซุกหัวนอนนี้ ผมเดินออกจากห้องนอน ก็พบพี่ฮัทกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟา

    “พี่ฮัทตื่นเช้าเชียว....อ้าว!!! ผมชะงักเมื่อเห็นว่าพี่ฮัทยังอยู่ในชุดเมื่อคืน

    “พี่ยังไม่ได้นอนเลยแกง” พี่ฮัทพูดหน้านิ่งๆ มองตรงไปข้างหน้า ผมตัดสินใจนั่งลงข้างๆ เพราะคิดว่าตอนนี้พี่ฮัทคงต้องการเพื่อนคุยมากกว่าอาหารเช้า

    “เพราะผู้หญิงคนเมื่อคืนเหรอที่ทำให้พี่คิดมาก” ผมจ้องหน้าพี่ฮัท แววตาเย็นชาไหวระริกเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นคือ....แฟนเก่าของพี่ฮัทนั่นเอง

    “แกงส้มเคยรักใครมั้ย???” พี่ฮัทถามผมด้วยประโยคกว้างๆ

    “ไม่อ่ะ” ผมรีบตอบ ไอ่แอบปลื้มแอบชอบก็มีบ้างนะ แต่ถ้าจะเรียกว่ารักสุดใจอะไรแบบนั้นมันยังไม่มี...บางทีผมก็แอบคิดว่ามันไร้สาระด้วยซ้ำ มีแต่ในนิยายรักใสๆหรือการ์ตูนตาหวานเท่านั้นแหละ

    “ถ้าอย่างนั้นแกงส้มคงไม่เข้าใจหรอก” พี่ฮัทหันมาบอกผมก่อนจะลุกเปิดประตูเข้าห้อง เฮ้!!! พี่ฮัททำแบบนี้ผมค้างคาอยากรู้นะเนี่ย!!! แล้วผมยังไม่ได้เล่าเรื่องที่ไอ่นายอะไรนะ...เมื่อคืนง่วงๆเลยจำชื่อไม่ได้ มาขู่ผมให้พี่ฮัทฟังเลย คิดแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ คิดยังไงว่าเรากับพี่ฮัทเป็นแฟนกัน... บ้าไปแล้ว!!!

    ผมปั่นจักรยานคู่ใจมาถึงร้านที่อยู่ไม่ห่างจากคอนโดของพี่ฮัทนัก และก็เป็นเช่นเคยที่ผมมาเป็นคนแรกของร้าน ผมไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในร้าน ร้านนี้เป็นร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์นของพี่ม้า เจ้าของร้านสุดแซ่บที่แสนจะปากร้ายแต่ใจดีเป็นที่สุด ผมทำงานสองกะคือ ช่วงกลางวันผมทำหน้าที่บริกร หรือเรียกง่ายๆว่าเด็กเสิร์ฟ และเมื่อตกเย็นผมก็จะกลายร่างเป็นนักร้องของร้าน

    “โอ๊ยยย!!! อะไรมันจะร้อนปานนี้” เสียงเจ้าของร้านดังมาตั้งแต่ประตู ผมที่กำลังเอาเก้าอี้ลงหันไปยกมือไหว้ทีนึง พี่ม้าโบกมือรับก่อนเดินผ่านผมไปที่โต๊ะแคชเชียร์

    “พี่ม้าเดินมาเหรอครับถึงได้ร้อนขนาดนั้น” ผมถามออกไป พี่ม้าตบโต๊ะบนเบามองผมตาจิก

    “อย่างชั้นเนี่ยนะเดินมา ชั้นก็ขับรถมาสิยะ ซื้อรถมาขับไม่ได้ซื้อมาจอดไว้ให้นกมันขี้ใส่ถามอะไรแปลกๆ” พี่ม้าพูดก่อนจะเดินมายกเก้าอี้ช่วยผม คือ...พี่ม้าครับที่จอดรถกับร้านห่างกันนิดเดียวเดินเพลินหน่อยไม่ดูสักหน่อยหัวก็ชนประตูแตกแล้ว เอาเซลล์ผิวหนังส่วนไหนไปร้อนเนี่ย.....ผมส่ายหน้าเบาๆคนเดียวเพื่อไว้อาลัยให้กับความเว่อร์ของพี่ม้า

    “แล้วไอ่โตโน่มันไปไหน ไอ่นี่นะชอบมาช้าอยู่เรื่อย เดี๋ยวชั้นจะตัดเงินมันมาให้แกแกงส้ม!!” มหากาพย์การบ่นได้เริ่มต้นขึ้นแล้วครับ รายแรกคือพี่โตโน่ ที่มีหน้าที่เหมือนผมและตกเย็นก็กลายร่างเป็นมือกีต้าร์อะคูสติกร่วมกับผม

    “พี่โตโน่คงแวะไปจ่ายตลาดกับพี่ริทมั้งครับ” ผมตอบไปสั้นๆ เพราะทุกๆวันก็เป็นแบบนี้มาตลอด

    “ชั้นละไม่เข้าใจมันสองตัวจริงๆ ทะเลาะกันได้ทุกวี่วัน แต่เช่าหอข้างกันซ้อนมอไซค์มาด้วยกันอีก ประหลาดจริงเชียว” พี่ม้าบ่นจัดแจกันไป ผมเดินไปเช็ดกระจกหน้าร้าน และเสียงกระหึ่มของรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็มาจอด ไม่ต้องหันไปมองก็รู้แล้วว่าใครมา พี่โตโน่ที่มาในชุดเสื้อหนังดูเท่แบบนักเลงๆ แต่มือขนผักมาพะรุงพะรัง ส่วนพี่ริทสวมเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ดูน่ารักเดินตัวปลิวแบบไม่มีอะไรถือติดมือ

    “หวัดดีครับพี่ม้า” พี่ริทเปิดประตูเข้ามาทักทายเสียงใส พี่ม้ายกมือรับไหว้

    “ไอ่โน่...นี่ชั้นเพิ่งรู้นะว่าแกทำหน้าที่ขนผักด้วย” พี่ม้าทักพี่โตโน่น้ำเสียงเย้ยหยัน

    “ก็ไอ่กุ๊กนี่สิพี่ม้า มันหาว่าผมชักช้ามันเลยให้ผมถือคนมาหมดนี่คนเดียว” พี่โน่รีบโวยวายฟ้องพี่ม้าก่อน

    “ก็ใครมัวแต่ยืนจีบแม่ค้าขายโจ๊ก...ซื้อของเสร็จตั้งนานยังต้องมานั่งรอมันหม้อแม่ค้าอีก” พี่ริทตอบโต้อย่างทันควัน ผมแอบหัวเราะกับหน้าตาเหรอหราของพี่โตโน่ที่พี่ริทมาเหนือชั้นกว่า

    “มันไม่ใช่เว้ยไอ่เตี้ย!! ชั้นเห็นว่าร้านเค้าขายดีก็เลยอยากมาลองปรับใช้กับร้านเราบ้างเท่านั้นเอง”พี่โต่โน่แก้ตัวอย่างน้ำขุ่นๆ สำหรับผม...มันไปไม่รอดครับพี่!!!

    “นี่หาว่าร้านพี่ม้าขายดีไม่เท่าร้านโจ๊กเหรอ!?” พี่ริทเล่นอีกดอก...

    “ไอ่โน่...เอาของไปเก็บหลังร้านก่อนที่ชั้นจะไล่แกไปขายโจ๊ก” พี่ม้าสั่งเสียงเหี้ยมเป็นอันว่าทุกอย่างจบ พี่โตโน่รีบเดินเอาของไปเก็บในครัวทันที พี่ริทตามหลังไปอย่างรวดเร็ว

    “ชั้นบ้าจะตาย!!!” พี่ม้าบ่นเบาๆ คนเดียว นี่คือบรรยากาศทุกวันของที่นี่ ถึงแม้ว่าผมจะไม่สนิทกับใครเป็นพิเศษแต่ทุกคนก็อบอุ่นกับผมเสมอ พี่โตโน่ชอบช่วยเหลือผมทุกครั้งที่มีปัญหา ส่วนพี่ริทผู้ช่วยเชฟก็ชอบเอาของอร่อยๆที่หัดทำมาแบ่งผมเป็นประจำ สำหรับความสัมพันธ์ของสองคนนี้ผมว่ามันยังไงแปลกอยู่นะ....ไม่รู้สิผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก

     หลังจากที่ทำงานมาทั้งวัน ผมกับพี่โตโน่ก็เริ่มจะเล่นดนตรีสดในตอนเย็นๆ ตามปกติ ซึ่งวันนี้ร้านก็เต็มตามปกติ เพราะด้วยบรรยากาศสบายๆ ราคาอาหารไม่แพงนัก บวกกับดนตรีสดที่นักร้องและมือกีต้าร์ก็หน้าตาดีไม่หยอก... ทำให้ร้านนี้ทุกวันจบลงที่ผมกำไรไม่น้อย

    “ในคืนที่ฟ้านั้นเต็มไปด้วยแสงไฟ เราโอบกอดกันและมองไปบนฟ้าไกล สุดหัวใจ สุดสายตา มีแต่เรา ดวงจันทร์ล่องลอยและมอบความรักให้กัน ขอบคุณวันนี้ที่คอยดูแลรักฉัน จากหัวใจ จากนี้ไปมีแต่เธอ....” ผมร้องเพลงอย่างมีความสุขโดยมีเสียงกีต้าร์ของหนุ่มสุดหล่อเคล้าคลอไปด้วย ทุกคนในร้านนั่งฟังอย่างสบายดู แต่ทุกคนก็หันไปมองที่ประตูเป็นตาเดียว ผมเลยมองตามบ้าง..... นี่ผมฝันไปเหรอเนี่ย????.....นายคนนั้นมาที่นี่ได้ยังไง นี่มันความตั้งใจหรือว่าเรื่องบังเอิญกันแน่!!!  ร่างสูงสมส่วนในชุดสูทดูทันสมัยส่งให้คนใส่ดูดีมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น ใบหน้าดูเจ้าเล่ห์ที่ทอดสายตามายังผม ทำให้ผมกล้าฟันธงได้เลยว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ...ผู้ชายคนนั้นจะมาก้าวก่ายในชีวิของผมอย่างแน่แท้ นี่มันเวรหรือกรรมของผมกันนี่!!!!

     

    HUNZ talk

    คนอย่างผม...มีที่ไหนที่จะยอมให้ไอ่เด็กหน้าหวานนั่นมาลูบคมผม ตอนนี้ประวัติทุกอย่างของเด็กแกงส้มอยู่ในมือผมเรียบร้อย ทั้งชื่อทุกคนในครอบครัว ฐานะทางการเงิน การศึกษา ประวัติส่วนตัว จนผมสามารถมานั่งในร้านนี้ได้ มองเด็กบ้านั่นร้องเพลงได้น่าหลงใหลอย่างไม่น่าเชื่อ!!!

    “เสียงเพราะนะเนี่ย” ไอ่บีเริ่มพูดขึ้นมาขณะนั่งลง ไอ่เอพยักหน้ารับ ผมยิ้มน้อยๆ ไปทางร่างนั้นที่ส่งสายตาไม่พอใจมาทางผมอย่างชัดเจน

    “พี่ฮั่นสั่งอาหารก่อนครับ” ไอ่เอเลื่อนเมนูมาทางผม ผมผลักไปทางไอ่บี

    “สั่งเลย...ชั้นกินได้หมด” ผมบอกเสียงเรียบ ไอ่เอกับไอ่บีเปิดเมนูอาหารสั่งไปพอสมควร เมื่อเด็กเสิร์ฟทวนรายการอาหารเสร็จ

    “น้อง...ถ้านักร้องนั่นร้องเสร็จเรียกมานั่งกับพี่หน่อยนะ” ผมบอกเด็กเสิร์ฟไป ทำเอาลูกน้องสองตัวผมตาค้าง

    “คือ...ที่นี่มันร้านอาหารนะครับไม่มีนโยบายให้นักร้องมานั่งกับแขก” เด็กเสิร์ฟตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ

    “ใช่พี่...ไม่ใช่คาเฟ่นะ” ไอ่เอกระซิบบอกผมเบาๆ ผมล้วงกระเป๋าเงินหยิบใบพันหลายใบวางไปบนโต๊ะ ก่อนมองหน้าเด็กเสิร์ฟอย่างข่มขวัญ

    “คือพี่....” เด็กเสิร์ฟพยายามอธิบาย ผมคว้าเงินยัดใส่มือ

    “ครั้งนี้ยังเป็นเงิน แต่ถ้ายังบอกว่าไม่ได้อีก....แกไม่โชคดีแน่” ผมพูดเสียงลอดไรฟัน เด็กเสิร์ฟรีบออกไปพ้นหน้าผมทันที ก่อนจะเดินส่งกระดาษแผ่นเล็กๆให้แกงส้ม พอเจ้าตัวอ่านโน๊ตจากรอยยิ้มที่ส่งให้แขกก็กลายเป็นสายตาข้องใจแล้วมองมาที่ผม ผมเอามือลูบคางเอนตัวพิงพนักอย่างไม่รู้ร้อนกับความเคืองขุ่นใจในตัวนักร้องหนุ่มหน้าหวานคนนั้น แกงส้มขยับตัวก่อนจะคว้าไมค์มาด้วยรอยยิ้ม

    “ครับ...เมื่อกี้ผมได้มีโอกาสอ่านโน๊ตที่หลายคนได้ขอเพลง มีหนึ่งโต๊ะครับที่พิเศษเพราะเค้าอยากมาพูดคุยกับผม ขอเชิญคุณผู้ชายโต๊ะสองสูทสีเทามาบนเวทีหน่อยครับ ปรบมือครับ!!!” ไอ่เด็กนั่นลองของผมเป็นครั้งที่สอง คนทั้งร้านปรบมือเกรียวกราว อย่านึกว่าผมจะกลัว...ผมผ่านร้อนผ่านหนาวมาเท่าไหร่ เรื่องการแก้เผ็ดฉบับเด็กน้อยแบบนี้...ไม่คณามือผมหรอก!!! ผมจึงลุกเดินตรงไปบนเวทีสบตากับคนที่เรียกร้องให้ผมไป แกงส้มยื่นไมค์ให้ผมอย่างท้าทาย ผมรวบทั้งมือทั้งไมค์อย่างรวดเร็ว จนเจ้าตัวตกใจรีบกระชากมือออกมองผมอย่างแทบกินเลือดกินเนื้อ

    “ที่ผมอยากพูดกับนักร้องคนนี้คือ...ร้องเพลงเพราะจริงๆ มีเสน่ห์ น่ามองไปหมด ถ้าเป็นไปได้อยากจะเก็บไว้ไปร้องที่บ้านคนเดียว ทุกคนคิดแบบผมมั้ยครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงถ่อมตัว สายตาของนักร้องที่ผมพูดถึงหากสามารถระเบิดผมได้ คงทำไปนานแล้ว  ทุกคนในร้านเป่าปาก ปรบมือชอบใจกัน ผมยื่นไมค์ส่งให้แกงส้ม เจ้าตัวรับไปอย่างไม่เต็มใจนัก

    “อย่าคิดว่าจะหนีชั้นพ้น...การท้าทายชั้นมันไม่ใช่เรื่องฉลาด” ผมกระซิบข้างหูแกงส้มอย่างท้าทาย

    “เรื่องของคุณมันคงวัดความฉลาดไม่ได้หรอกครับ...มันไร้สาระเกินไป” แกงส้มตอบกลับมาอย่างอวดดี

    “ปากดีนัก...ชั้นจะคอยดูว่าจะเก่งไปถึงไหน” ผมพูดเสียงนิ่งก่อนจะเดินออกมาจากร้านโดยทันที เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ถ้าหากไม่ใช่คนที่ทำให้น้องสาวของผมต้องเสียใจ ผมคงชอบใจในตัวเด็กคนนี้ไม่น้อย แต่ทุกอย่างทำให้เรายืนตรงกันข้ามกัน ระหว่างผมกับเด็กคนนั้นมันคือเกมส์ที่ต้องแข่งขัน และคำว่า “พ่ายแพ้” ผมเองก็ไม่เคยรู้จักมัน!!!

     

    Frame talk

    เสียงเพลงเร้าใจนั้น มันอาจจะทำให้คนอย่างชั้นยักย้ายร่างกายตามจังหวะ แต่ไม่ได้ทำให้ชั้นเลิกมองหาร่างสูงของอดีตคนรักได้เลย รู้นะ...ว่าสิ่งที่ทำมันอันตรายและสามารถทำให้พี่ฮั่นคลั่งได้ แต่ในเมื่อทุกอย่างมันยังค้างคาในใจแบบนี้ ชั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุผลของการเลิกกันคืออะไร ชั้นคงต้องหาทางคุยกับพี่ฮัทให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้วิธีเรียกร้องความสนใจแบบงี่เง่าอย่างนี้ก็ตาม!!!

    “มาคนเดียวเหรอครับ” เสียงทุ้มจากด้านหลังดังขึ้น ชั้นหันไปมองพบชายหนุ่มหน้าตาดีส่งยิ้มให้

    “ใช่” ชั้นตอบไปสั้นๆ ก่อนจะเดินไปนั่งอย่างหมดอารมณ์ แต่ชายหนุ่มคนนั้นยังเดินตามมา

    “ให้ผมเลี้ยงเหล้าสักแก้วนะครับ” ผู้ชายคนนั้นถือวิสาสะนั่งลงที่โต๊ะอย่างไม่เอ่ยถาม

    “ขอโทษนะ...อย่างชั้นดูเหมือนไม่มีปัญญาซื้อเหล้าดื่มเองรึไง ดูจากการแต่งตัวของคุณละราคาทั้งเนื้อทั้งตัวของคุณยังซื้อรองเท้าชั้นคู่เดียวไม่ได้เลย คิดผิดคิดใหม่นะ” ชั้นพูดดูแคลนอย่างไม่ไว้หน้า อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือความรำคาญแต่ชั้นก็ไม่เสียใจที่ทำลงไป ผู้ชายคนนั้นมองหน้าชั้นด้วยความโกรธก่อนจะลุกกลับออกไป ชั้นไม่มีวันมองใครทั้งนั้น...ถ้ายังไม่รู้ว่าพี่ฮัทหมดรักชั้นเพราะอะไร หลังจากอยู่ในผับมานานจนรู้สึกตัวว่าต้องกลับ ชั้นจึงค่อยๆ ประคองร่างตัวเองที่เดินไม่ค่อยตรงนักมาที่รถคันเล็กน่ารักที่ลานจอดรถ แต่ยังไม่ทันจะไอ้เปิดประตูร่างของชั้นก็ถูกกระชากอย่างแรง

    “นี่ไง....นังไฮโซที่ชั้นเล่าให้ฟัง” นั่นมันไอ่คนที่เค้ามาคุยกับชั้นเมื่อกี้ซึ่งตอนนี้มันมากับเพื่อนอีกสองคน

    “สวยดีนี่หว่า....” เพื่อนของมันเดินจับคางชั้น ชั้นถีบมันไปกองลงกับพื้นก่อนจะใช้ความวุ่นวายสะบัดมือออกจากแขนของมันแล้วออกวิ่ง

    “นังตัวดี” พวกมันวิ่งมาจิกหัวชั้นจากด้านหลัง ก่อนจะเหวี่ยงชั้นไปชนกับรถอย่างแรงทำให้สัญญาณกันขโมยดังขึ้น ส่วนชั้นลงไปกองกับพื้นด้วยความเจ็บ

    “ซวยแล้วไง....รีบๆลากมันขึ้นรถ” เสียงพวกมันพูด ก่อนจะมาจับตัวชั้นซึ่งตอนนี้ไม่มีแรงจะขัดขืน

    “วันนี้นี่แหละ...จะพานังปากดีนี่ขึ้นสวรรค์” ไอ่คนที่เข้ามาคุยกับชั้นพูดก่อนหัวเราะอย่างน่ารังเกียจ ชั้นกัดมือคนที่ลากชั้น มันสะบัดอย่างแรงก่อนจะตบชั้นด้วยความโกรธและชกท้องชั้นอย่างแรง โลกทั้งโลกก็ค่อยๆเลือนหายและมืดลงสนิท

    นี่จะเกิดอะไรกับชีวิตชั้นนะ....ชั้นไม่อยากลืมตามาพบกับสภาพของตัวเองเลย รู้สึกเจ็บเนื้อตัวไปหมด อย่าบอกว่า......ไม่จริง!!!  ชั้นค่อยๆแข็งใจลืมตามอง ตอนนี้ชั้นอยู่ในรถมีเสื้อคลุมตัวชั้นไว้ เมื่อเปิดออกเสื้อผ้าก็ยังอยู่ครบ ชั้นตั้งสติมอง นี่มันรถพี่ฮัทนี่เอง!!!  ชั้นรีบสอดส่ายสายตามองเห็นพี่ฮัทยืนอยู่ข้างนอกรถมองวิวแม่น้ำเพียงลำพัง ด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่บอกไม่ถูกชั้นเดินลงรถไปหาร่างสูงนั้นทันที

    “พี่ฮัท....”  ชั้นเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่ใบหน้าที่หันมานั้นช่างดูไม่ยินดียินร้ายกับชั้นเลย....

    “ฟื้นแล้วเหรอ???” น้ำเสีงเย็นชานั้น ทำให้ชั้นเชิดคางขึ้นโดยทันที

    “ช่วยเฟรมไว้ทำไม???” ชั้นถามไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดื้อรั้น หากแต่หัวใจต้องการคำตอบที่ปลอบประโลมยิ่งนัก

    “เห็นว่าเป็นคนเคยรักกัน....ที่ทำอะไรโง่ๆไม่รู้จักคิด” พี่ฮัท....ใจร้ายเกินไปแล้ว พี่กำลังบอกว่าพี่ไม่รักเฟรมแล้วใช่มั้ย???

    “ขอบคุณนะ....แต่ไม่นึกว่าเป็นความสนุกของเฟรมเหรอ??? บางทีก็อาจจะเป็นการขัดจังหวะก็ได้” ชั้นพูดออกไปอย่างท้าทาย พี่ฮัทตาลุกวาวเดินก้าวเข้ามา ชั้นถอยกรูออกไป

    “เก่งจริงถอยหนีทำไม รักพี่ก็พูดมาเถอะอย่ามาทำเหมือนเข้มแข็งแบบนี้” พี่ฮัทพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยชั้น มันจะมากไปแล้วนะ!!!

    “ชั้นไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่แล้ว พี่มายุ่งกับชั้นทำไมถ้าไม่รักกัน” ชั้นพูดเสียงดัง พี่ฮัทคว้าชั้นไปจูบอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย รอยจูบนั้นที่เคยแสนหวาน....ชั้นยกมือกอดพี่ฮัทอย่างแผ่วเบา แต่พี่ฮัทก็ผลักชั้นออก

    “เห็นมั้ย....ไม่รู้สึกอะไรก็ยุ่งได้” พี่ฮัทยิ้มอย่างดูแคลน ชั้นพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล

    “ชั้นเกลียดพี่!!!!” สิ่งที่ทำได้คือสิ่งนี้ พี่ฮัทพี่ใจร้ายเกินไปแล้ว พี่ทำร้ายกันมากไปจริงๆ ใจดวงนี้มันแหลกสลายอย่างที่พี่ต้องการแล้ว ชั้นร้องไห้ออกมาต่อหน้าเค้า ครั้งสุดท้ายแล้วที่หัวใจชั้นจะเป็นของพี่ ชั้นมองผู้ชายคนนั้นเต็มตาอีกครั้งก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีผู้ชายคนนี้หายใจใกล้ๆกัน......

     

    ปล. แอบรู้สึกเองว่าตอนนี้คู่เอกถูกแย่งซีน....เรื่องมันเพิ่งเริ่มต้น รับรองว่าฮั่นแกงก็แซ่บไม่แพ้ใครเหมือนกัน  ฝากเรื่องที่สามนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะจ๊ะ เรื่องนี้ยังเน้น...ครบรสเหมือนเดิม เพราะเราทิ้งความฮาไม่ได้จริงๆ อยากรู้ว่ามันจะฮาได้ยังไงก็ติดตามกันนะจ๊ะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×