คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 10: แกงเห็นผี (1)
ผมหอบร่างกายตัวเอง มาเรียนแต่เช้าไหวได้ยังไงก็ไม่รู้ ช่วงนี้มีแต่เรื่องราวมากมาย อาจารย์ก็สั่งงานราวกับสั่งเผื่อไว้ทำชาติหน้า เรื่องบัลเล่ต์ก็ยังค้างๆคาๆ อยู่ในหัว แถมเมื่อคืน พี่ฮั่นก็โทรมาพูดจาอะไรไม่รู้...ไอ่เราก็กลัวว่าผีน้อยตัวยุ่งจะมาได้ยิน เลยออกไปพูดที่ระเบียง รายนั้นก็คิดแต่จะจับผิดอยู่ได้ ขืนบัลเล่ต์ได้ยินที่ผมบอกรักพ่อเค้าเพื่อพิสูจน์บ้าบออะไรนั่นนะเรื่อง นี้....แซวยาวแน่ๆ ไม่นับกับที่จะเอาไปเม้าท์กับท่านเจ้าที่อีกนะ วันๆ เรื่องมนุษย์ก็ปวดหัวจะตายชักอยู่แล้ว ยังมีเรื่องผีๆ ให้ระวังหน้าระวังหลังอีก!!!
“แกงส้มมมม” เสียงเพื่อนในกลุ่มเรียกผมเสียงดัง ผมหันหลังก็เห็นเพื่อนสนิทอีกคนวิ่งตัวกลมเข้ามา ผมยกมือเชิงทักทายพร้อมหยุดรอเพื่อเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องพร้อมกัน
“หน้าโทรมเชียวนะแก” เพื่อนผมทักคำแรกก็ทักซะหมดความมั่นใจ
“เออดิ... ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง แกงส้มเหมาหมด” ผมพูดอย่างเซ็งๆ เพราะรู้สึกว่าเวลาพักผ่อนน้อยเต็มที่
“นึกว่าคุยกับคนไกล ดึกๆดื่นๆซะอีก” ผมรู้ครับว่า ยัยเพื่อนตัวแสบหมายถึงใคร ถึงผมจะดูโง่ๆซื่อๆ แต่ผมก็รู้ว่านัทคิดกับผมไกลกว่าคำว่า “เพื่อน” ซึ่งผมเลือกที่จะไม่รับรู้และแกล้งไม่เข้าใจในแววตาห่วงใยที่ส่งมา นัทเกิดมาเพื่อเป็น “เพื่อนรัก” ผมรักมันมาก....แต่ไม่ใช่แบบที่นัทต้องการ ผมเองก็เคยคิดว่า นัท “อาจจะ” เป็นคนที่ดูแลและทำให้ผมมีความสุขได้ดีที่สุดแต่....สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ให้กับ “ปฏิกิริยาของความรัก” ผม ไม่เคยรู้สึกหัวใจสั่นไหวทุกครั้งที่นัทยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ไม่ได้รู้สึกปั่นป่วนข้างในท้องเมื่อนัทหันมาสบตา ไม่เคยรู้สึกอ่อนไหวเลยสักครั้ง... แต่กับคนๆนั้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นทุกๆวัน เคยคิดว่ามันคงจะชินชาและหายไป...แต่กลับกันทุกวันนี้แค่นึกถึงหน้า...หัวใจ ก็พองโตและเผลอยิ้มออกมาซะอย่างอย่างนั้น แต่ก็นะ...ถึงแม้จะไม่นับที่เค้าเป็นพ่อของบัลเล่ต์ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่เค้า กลายเป็นบุคคลต้องห้ามของหัวใจอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไอ่ท่าทีที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ทีเล่นทีจริง มันก็ “เบรก” หัวใจผมอยู่ คนแบบนี้เค้าไม่มาสนใจคนธรรมดา ซื่อๆ เรียบๆ แบบเราหรอก มีแต่จะเห็นเป็นของเล่นแกล้งเพื่อความสนุกไปวันๆ ขืนไม่ “เบรก” หัวใจตัวเองไว้ก็คงต้องน้ำตาตกในเข้าสักวัน!!!
“หึหึ...เงียบ--ทำเงียบ” เพื่อนสนิทออกอาการกับท่าทีที่นิ่งไปของผม
“นี่...มัวแต่ยุ่ง เรื่องของชั้น งานแกทำไปถึงไหนแล้ว แปบทวิต แปบๆทวิตนะ” ผมแกล้งหาเรื่องเพื่อให้เพื่อนผมลืมๆเรื่องที่กำลังพูดซึ่งมันก็ได้ผล ยัยเพื่อนรักทำหน้าหงิกขึ้นมา
“เบื่อจริงๆไอ่พวก เด็กเรียนเนี่ย??? ไอ่งานร้านกาแฟนั่นชั้นยังนึกงานไม่ออกเลย แล้วแกเป็นไงล่ะ” เพื่อนผมบ่นยาวๆก่อนถอนหายใจพรืดยาว แล้วหันมาถามผล
“ก็เริ่มเขียนแบบแล้ว งานนี้ชั้นปิ๊งไอเดียมาจาก---บัลเล่ต์!!!”
“บัลเล่ต์---งานแกไม่ฟูฟ่องพลิ้วเลยเหรอ???” ที่ผมตะโกน “บัลเล่ต์” ออกมาเพราะผมเห็นผีน้อยนั่งที่ขึ้นบันไดร้องไห้เอาเป็นเอาตาย แต่เพื่อนผมที่ไม่เห็นบัลเล่ต์จึงตกใจว่างานของผมออกแนวหลุดโลกไปหน่อย
“เอ่อ...ชั้นจะไป เข้าห้องน้ำชั้นสามนะ เลี้ยวซ้าย แกเข้าห้องไปก่อนเลย” ผมบอกเพื่อนแต่แฝงเป็นนัยๆ ให้บัลลต์ไปรอที่ห้องน้ำชั้นสามซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยมีคนไปเข้านัก ยิ่งเช้าๆแบบนี้ยิ่งเงียบนัก ผมรีบกระชับเป้แล้ววิ่งขึ้นบันไดไปที่นัดอย่างร้อนใจ โดยทิ้งในเพื่อนยืนงงอยู่คนเดียว
“พี่แกง.....” บัลเล่ต์ที่บัดนี้ทิ้งความทะเล้นสดใส... ใบหน้ามีประกายวิบวับที่มองออกว่าเป็นน้ำตา
“ร้องไห้ทำไม...มีอะไร” ผมนั่งลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับผีน้อย
“บัลเล่ต์น่ากลัว เหมือนน้องมั้ย???... บัลเล่ต์ผิวสีเทา ตาโบ๋เหมือนน้องรึเปล่า บัลเล่ต์จะเป็นแบบนั้นมั้ย???” บัลเล่ต์ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
“ไม่เลย....บัลเล่ต์ ของพี่แกงน่ารัก ตาใสแป๋วเลย ยิ่งไปรับบุญมายิ่งน่ารักตัวส่องแสงสวยเชียว” ผมบอกเสียงอ่อนโยนในสิ่งที่ผมเห็นให้กับผีน้อยที่หวาดกลัว บัลเล่ต์มองตาผมเหมือนต้องการถามว่า “จริงเหรอ???” ผมส่งยิ้มเสริมความมั่นใจ บัลเล่ต์เช็ดน้ำตาก่อนจะส่งยิ้มมาแม้จะไม่สดชื่นนักแต่ก็ทำให้ผมใจชื้น
“แล้วไปเจออะไรมาทำไมร้องไห้แบบนั้น” ผมถามออกไป
“บัลเล่ต์จะไปรอพี่แกง...แต่พอเข้าไปก็มีน้องเกาะอยู่ที่หลังเพื่อนพี่แกงในห้อง น้องน่ากลัวมากๆ บัลเล่ต์เลยตกใจ” พอได้ยินเท่านั้นแหละผมตาเหลือกวิ่งลงมาเพราะความเป็นห่วงเพื่อน บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองเป็น "หมอผีประจำรุ่น” ซะอย่างนั้น ผมเปิดประตูเข้าไปอย่างตื่นๆ กวาดสายตามอง เด็กที่บัลเล่ต์ว่าเป็นเด็กทารกตัวน้อยๆ ผิวสีเทาซีดเซียว ลูกตาดำไม่มีแต่กระนั้นผมก็สัมผัสถึงแรงแค้นและความทรมานของเด็กคนนี้ได้โดยง่าย ประเด็นคือคนที่เด็กคนนั้นเกาอยู่คือ “ไฟ” ประธานรุ่นที่โยนผมลงจากรถทัวร์ด้วยข้อหาเห็นผีนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาแค้นเคืองอะไร เพราะผมรู้ว่าเด็กน้อยคนนั้นมีแรงอาฆาตต่อนายไฟอย่างแน่นอน เมื่อผมก้าวขาไปหาไฟ เด็กผีชะโงกหน้ามาพร้อมแยกเขี้ยว... ผมเองก็กลัวไม่น้อย เข้าใจบัลเล่ต์แล้วสิ!!
“นายไปทำอะไรมา ถึงมีผีเด็กเกาะนายมาแบบนี้” ผมรู้ว่าป่วยการกับการพูดอ้อมค้อม เอามันตรงๆ แบบนี้แหละ จะโดนอะไรก็ให้มันโดนครั้งเดียว
“ไอ่บ้า...แกนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆนะแกงส้ม ไปไกลๆดีกว่าก่อนที่ชั้นจะอารมณ์เสีย” นี่ขนาดยังไม่อารมณ์เสียนะ เสียงนั้นตะคอกอย่างเหลืออดเสียแล้ว
“ถึงนายจะไม่ยอมรับ อย่างน้อยนายก็ทำบุญให้เค้าบ้างนะ----” แต่ผมยังพูดไม่จบแก้วกาแฟเย็นก็ถูกสาดมาที่แผงอกของผมเต็มๆ ทำเอาคนแถวนั้นร้องอุทานกัน... แววตาที่เกี้ยวกราดทำให้ผมยอมเดินออกมาโดยดี ในเมื่อคุยกับนายไฟไม่ได้ ขอลองอีกทีกับยัยจี๊ดละกัน!!!
ผมต้องทนนั่งทั้งที่เสื้อเต็มไปด้วยคราบกาแฟเกือบสามชั่วโมง พอเลิกเรียนนายไฟต้องไปเก็บตกอีกวิชา ดังนั้นยัยจี๊ดจึงอยู่กับเพื่อนๆ ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นโชคของผม
“จี๊ด...เรามีเรื่องจะคุยกับเธอ” ผมเดินเข้าไปในกลุ่มสาวสวยประจำคณะ
“มีอะไรก็คุยตรงนี้” ยัยจี๊ดบอก ผมหันไปมองหน้าเพื่อนๆเธอที่จ้องมาที่ผมราวกับเป็นตัวอันตราย
“แน่ใจเหรอ???” ผมถามอีกครั้ง...เรื่องมันส่วนตัวมากนะ!!! ยัยจี๊ดไม่ตอบแต่ส่งสายตาคมมาแทน
“เธอทำแบบนั้น...เธอ ต้องทำบุญให้เด็กบ้างนะ ตอนนี้เด็กคนนั้นมันไปเกาะที่นายไฟทั้งแค้นทั้งอาฆาต เธอ...” ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดยาวขนาดนี้ ส่วนยัยจี๊ดทำหน้าตกใจแต่ไม่ได้มีแววตาเคืองขุ่นใดๆ
“สรุป...ยัยนั่นมันท้องจริงๆ” เพื่อนอีกคนพูดกับยัยจี๊ด ผมเองก็งงไปหมดแล้ว...เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกยัยจี๊ดกับนายไฟหรอกเหรอ???
“ไม่ใช่ลูกของเธอ เหรอ???” ผมถามออกไป ยัยจี๊ดส่ายหน้าเบาๆ แววตาตกใจเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง ผมเองก็เห็นใจเธอไม่น้อย แสดงว่านายไฟนอกใจเธอจนผู้หญิงอีกคนท้อง...มันเป็นเรื่องหนักหนาเอาการเลยที เดียว
“เธอเชื่อชั้นเหรอ???” ผมถามออกไปอย่างแผ่วเบา
“ตั้งแต่วันนั้นที่นายทัก...ชั้นฝันร้ายทุกวัน” ไม่แปลกหรอกนะ... ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเพราะร่างหญิงสาวที่ผมเห็นบนรถทัวร์ตอนนี้นอน เลื้อยผ่านโต๊ะม้าหินอ่อนเข้ามาหาผมพร้อมตวัดลิ้นเรียวแหลมผิดมนุษย์สีแดงสด ที่ยาวมากกว่าสองคืบไปมา แยกเขี้ยวเห็นฟันแหลมสีดำ!!!
หลังจากเลิกเรียนผม ก็ขับรถตรงไปที่ร้าน เมื่อเข้าไปในร้านก็เห็นเจ้าของร้านกำลังวุ่นเพราะลูกค้าสาวๆเข้ามาเยี่ยม เยียนในช่วงพักเที่ยง ผมจึงรีบไปเปลี่ยนเสื้อก่อนก่อนที่เจ้านายจะเป็นลมไปเสียก่อน
“น้องแกงส้ม....” เสียงหวานร้องขึ้นมาผมเยี่ยมหน้าออกไปบริการ ร่างสูงที่กำลังเสิร์ฟกาแฟหันหน้ามาตามเสียงพร้อมแววตาเคร่งขรึม ผมส่งยิ้มหวานไปให้ลูกค้าสาวๆก่อนจะเดินไปเช็คบิลอีกโต๊ะ
“นึกว่าจะไม่เห็นหน้าซะแล้ว” สาวออฟฟิคคนสวยแย้มยิ้มอวดฟันสวยทักทาย
“เพิ่งเลิกเรียนครับ...ทั้งหมด สามร้อยสี่สิบครับ” ผมบอกราคาพร้อมยื่นบิลให้
“พี่ดูดวงให้นะ” สาวสวยดึงมือผมไปดื้อๆ ซึ่งทำเอาผมตกใจอยู่เหมือนกัน
“แหม...มือนิ่มจัง” ว่าแล้วก็หันมาส่งรอยยิ้มหวานให้ ไอ่ผมก็ได้แต่ส่งรอยยิ้มแห้งๆกลับไป จะชักมือกลับก็กลัวจะเสียมารยาททำอะไรไม่ได้ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า ถูกลวนลาม
“ดูให้ผมบ้างได้มั้ยครับ...ดูให้แต่แกงส้มผมเองก็น้อยใจนะครับ” อยู่มือผมก็ถูกดึงกลับโดยร่างสูง แล้วก็ส่งมือตัวเองลงไปแทน มันน่าหมั่นไส้นักดูสายตาที่ส่งไปให้ท่าลูกค้าสิ....แหมๆๆ ส่งมือไปให้จับเองด้วยนะ ลูกค้าก็อีกคนเค้าส่งให้จับเข้าหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะ ผมเลยเลี่ยงไปรับออเดอร์จากโต๊ะ พยายามข่มความไม่สบอารมณ์ไว้ในใจ
“นี่...เอาลาเต้ร้อน และก็คาปูปั่น” พี่ฮั่นเดินมาส่งออเดอร์ผมที่กำลังชงกาแฟ ผมรับออเดอร์มาก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาชงกาแฟ...โดยไม่มองหน้าพี่ฮั่น
“แกงส้ม วันนี้ยัยสต๊อปมากี่โมงรู้มั้ย???” ขณะที่รอกาแฟพี่ฮั่นก็ชวนผมคุยเรื่อยเปื่อย...ไม่รู้รึไงว่าคนเค้ากำลังเคืองมาชวนคุยอยู่ได้
“ไม่รู้...ทำไมไม่ถามหมอดูล่ะ” ผมตอบเสียงเรียบแต่ก็สื่อออกมาว่าไม่พอใจอยู่ไม่น้อย
“อ้าว....ถามดีๆนะ เนี่ย มาเหวี่ยงชั้นทำไม.... นี่นายโกรธที่ชั้นขโมยซีนเหรอ???” พี่ฮั่นยังกวนผมไม่เลิก ผมชะงักมือเม้มปากมองหน้าคนทะเล้นก่อนที่จะถอนหายใจแสดงความรำคาญแล้วกลับมาชงกาแฟต่อ
“อ่อ....รู้แล้ว”
“รู้อะไร” ผมถามเสียงห้วน
“ที่นายโมโหเนี่ย...เพราะหึงชั้นใช่มั้ยล่ะ” ทั้งน้ำเสียง ทั้งหน้าตามันช่างยียวนกวนใจสุดๆ
“คิดได้ไง---จะบ้าเหรอ” ผมหันไปวีนเล็กๆ มองหน้าเอาเรื่อง แต่พี่ฮั่นกลับลอยหน้าไม่รับรู้อารมณ์ของผม
“เอาน่า...เดี๋ยวสองโต๊ะนี้กลับ เราค่อยไปเคลียร์กันหลังร้านนะจ๊ะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินไปโดยที่เปิดโอกาสให้ผมแก้ตัวสักคำ... หึงเหรอ??? หรือว่าเราหึงจริงๆ เฮ้ยยย!!! ไม่หรอกๆๆๆๆ จะไปเคลิ้มตามทำไมเนี่ย....
พอลูกค้าคนสุดท้ายออกไป พี่ฮั่นก็เดินทำหน้าแป้นแล้นมาหาผม ผมก็แกล้งเช็ดนู่นถูนี่ ไม่สนใจร่างสูงที่ขยับเข้ามาใกล้ๆ พี่ฮั่นคงหมั่นไส้เลยดึงผ้าออกจากมือผม ผมมองหน้าหล่อได้รูปนั้นอย่างขุ่นเคือง
“ขมวดคิ้วก็ยังน่ารัก” ดูสิครับ สะทกสะท้านที่ไหน ผมไม่ตอบพยายามแย่งผ้าเช็ดโต๊ะผืนนั้นคืนมา
“อะไรๆๆ” พี่ฮั่นโยกตัวหนีพร้อมยิ้มกวนประสาท ผมกดไหล่กว้างของอีกฝ่ายเพื่อจะกระโดดเอาผ้าที่ร่างสูงนั้นชูไว้บนหัว มันคงเป็นจังหวะที่ร่างนั้นขยับและผมทิ้งตัวลงพื้นทำให้ร่างของผมกระแทกร่าง สูงนั้นในจังหวะที่เสียสมดุล ผลเหรอครับ.... ผมกับร่างนั้นลงไปกองกับพื้นพร้อมกันโดยที่ผมทับร่างสูงนั้น ผมหัวผมลงไปซบกับอกกว้างนั้นอย่างพอดิบพอดี ผมเงยหน้าขึ้นมาสายตาก็ปะทะกับแววตาคมกล้าที่ทอดมองมาอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงดันตัวขึ้นขึ้นเพื่อจะลุกแต่ร่างนั้นกลับฉวยโอกาสที่ผมไม่ทันระวังพลิกตัวทับผมไว้ ตอนแรกผมก็จะโวยวายแต่เมื่อเห็นแววตานั้น...ความโหยหารึเปล่านะที่ซ่อนในตาคู่นั้น ผมเอามือดันให้อกกว้างนั้นให้ห่างตัวหากแต่ประโยชน์เมื่อใบหน้าได้รูปของอีก ฝ่ายโน้มเอามาใกล้ หัวใจผมเต้นแรง...กลิ่นลมหายใจหอมๆของพี่ฮั่นปะทะกับใบหน้าผมจนรู้สึกร้อนผ่าว พี่ฮั่นกดจมูกโด่งๆลงที่แก้มของผมอย่างแผ่วเบา ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ผลักร่างนั้นออกห่าง...มือทั้งสองข้างได้แต่แตะที่อกกว้างนั้นอย่างเขินอาย พี่ฮั่นถอนใบหน้าขึ้นมาให้ผมเห็นอีกครั้ง แววตานั้นช่างร้อนแรงราวเปลวไฟโลมเลียเสียจนหัวใจอ่อนไหวของผมแทบจะมอดไหม้ ใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้ง และก็เป็นอีกครั้ง...ที่ผมหลับตาเพื่อรอคอยสัมผัสนั้น เรียวปากนั้นบดลงที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา แต่ครั้งนี้พี่ฮั่นได้ขบริมฝีปากล่างของผมจนเจ็บทำให้ผมร้องออกมาเบาๆในลำคอ และนั่นผมก็รู้ว่าทำไม...ลิ้นบางนั้นฉกฉวยเข้าไปในปากผมอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดความรัญจวนใจจากบทบรรเลงที่อ่อนหวาน ร่างกายของผมเบาหวิวไปกับรสจูบ...ที่แตกต่างกับครั้งนั้นเหลือเกิน----
“กลับมาแล้วค่า!!!” เสียงระฆังดังขึ้น... พี่ฮั่นพลิกตัวลุกจากผมทันที ส่วนผมเองก็ดันตัวอย่างช้าๆเพราะยังมึนกับเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้านี้ มันเป็นโชคดีที่บาร์นี้ทึบเกือบทั้งสี่ด้าน มีเพียงทางเข้าออกเล็กๆ...จึงทำให้ “ฉากนั้น” ยังคงเป็นเรื่องลับระหว่างเรา....
“มะ..มาแล้วเหรอตัวแสบ” พี่ฮั่นส่งเสียงทักทายน้องสาวไป ใบหน้านั้นแดงไปถึงกกหู
“แล้วพี่ฮั่นกับแกงส้มลงไปทำอะไรตรงนั้น” พี่โดมผู้ช่างสังเกตเอ่ยถามขึ้น
“คือ...แกงส้มลงไป....ผูกเชือกรองเท้า” พี่ฮั่นแก้ตัวแทนผมโดยไม่หันมามองหาผมสักนิด
“แล้วพี่ฮั่นล่ะ” สต๊อปถามออกมา พี่แคน พี่โดมเองก็ตั้งใจฟังเสียเหลือเกิน
“พี่----นี่ไง เช็ดโต๊ะ” พี่ฮั่นยกผ้าผืนนั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผมรีบเดินออกมาจากบาร์ด้วยสติที่ยังไม่เข้าที่นัก แต่ก็พอสังเกตเห็นได้ว่าที่ข้อเท้าบางๆ ของสต๊อปมีผ้าพันแผลไว้
“ไปโดนอะไรมา” ผมชี้ไปที่ข้อเท้าแล้วเอ่ยถามขึ้น
“งูกัด....แต่ไม่ใช่งูมีพิษอะไรหรอก” พี่แคนตอบแทน พี่ฮั่นเดินมาโน้มตัวดูที่ข้อเท้าน้องสาวตัวเอง
“แบบนี้...ครั้งหน้าพี่ไม่ให้ไปแล้วนะ” พี่ฮั่นพูดเสียงเข้ม ทำเอาสามคนที่เพิ่งกลับมาหน้าจ๋อยไปตามๆกัน
“ที่ไม่อยากให้ไปเนี่ยเพราะห่วงน้องหรือว่าไม่อยากทำงานอยู่กันสองคนกันแน่” สต๊อปบ่นอุบตัดพ้อ พอได้ยินคำว่าอยู่ร้านกับผมสองคน...ก็เอี้ยวตัวมามองหน้าผมอย่างแปลกๆ
“ทำงานกับแกงส้มสองคนก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นิ...พี่เป็นห่วงเราต่างหาก” พี่ฮั่นหันไปตอบน้องสาว
“ตอนแรกผมคิดว่าจะกัดกันตายซะแล้ว...” คำพูดพี่โดมทำเอาผมความคิดเตลิด ไอ่เรื่องกัด...ก็กัดจริงๆแหละ แต่เป็นกัดปากกัน อ๊ากกกกก!!! อย่าปล่อยให้มีช่วงเวลาแบบนี้อีกนะ ครั้งนี้ผมหลอกตัวเองว่ามันเป็นแบบ “เจ้านายลูกน้อง” ไม่ไหวแล้ว ผมกำลังถูกคุกคาม!!!
“พอได้แล้ว ป่ะ...เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน” พี่ฮั่นตัดบท
“ไปได้ยังไง...แกงส้มก็ต้องอยู่ร้านคนเดียวหน่ะสิ” สต๊อปแย้ง.... ไม่เป็นไรตอนนี้เราอยู่ด้ายยยยย!!!
“แล้วจะเอายังไง เราขี่มอ’ไซค์กลับเองไม่ได้นะ” พี่ฮั่นเถียง
“ก็เดี๋ยวให้พี่แคน หรือพี่โดมไปส่งดีกว่า พี่สองคนจะทำงานอยู่ที่นี่แหละ” สต๊อปออกความเห็นซึ่งมันไม่ได้ดีต่อผมเลยนะ... อยู่กับพี่ฮั่น “สองคน” เนี่ย!!!
“พี่ไปส่งก็ได้” พี่แคนรับหน้าที่อย่างรู้งาน
“งั้นพี่โดมอยู่กินกาแฟก่อนนะ” ผมรีบชวนให้มีบุคคลที่สาม พี่ฮั่นหันมามองผมอย่างรู้ทัน
“ไม่เอาหรอก ง่วงจะแย่อยู่แล้ว ไปกันเหอะ ป่ะ เดี๋ยวพี่ช่วยยกของ” ว่าแล้วทุกคนก็ทยอยออกจากกันหมด เหลือผมทิ้งไว้กับพี่ฮั่น พร้อมกับบรรยากาศน่าอึดอัด ผมรู้สึกถึงแววตาคู่นั้นที่มองทอดมา แต่ใครมันจะกล้าหันไปสบตา....
“แกงส้ม...อยากคุยเรื่องเมื่อกี้มั้ย--”
“ไม่..ไม่ครับ ..ไม่เลย” ผมรีบตอบทันควัน เหลือบตาไปมองคนถามที่พยักหน้าหงึกหงักอย่างเขินอาย ไม่เข้าใจว่าพี่จะอายทำไม??? ผมเริ่มก่อนรึ...ก็ไม่ใช่ ตัวเองล้วนๆ มาทำหน้าดงหน้าแดงแข่งกับผมอีก
“งั้นพี่ไปหลังร้านก่อนนะ มีอะไรก็เรียกได้นะ” ว่าแล้วพี่ฮั่นก็เดินไปหลังร้าน นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย???....ไอ่ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มัน มัน โอ๊ยยยยยย!!! มันอะไรไม่รู้แหละ ผมเองก็หัวใจเต้นแรงยังไม่หาย แกงส้ม เอ๊ยยยยย!!! ไหวอ่ะเปล่าเนี่ย พี่ฮั่นเค้าคิดอะไรของเค้านะ...คือมันจัดหนักจัดเต็มมากเลย คือถ้าสามคนนั้นไม่โผล่มามันจะมากกว่านี้มั้ย หรือว่าข้ามไปถึงจุดไหน แล้วผมเองเคลิ้มไปได้ยังไง อ๊ากกกกกกกก!!! หัวใจผมกำลังตกอยู่ภาวะวิกฤติแล้ว....
ปล. ตอนนี้เป็นตอนที่มันเกิดการไม่คาดคิดขึ้นคือ มันต้องจบก่อน (ความจริงเนื้อเรื่องตอนนี้มันต้องไปไกลกว่านี้) เพราะมันยาวไปแล้ว มีทางเลือกอยู่สองทาง คือตัดเลิฟซีนกับตัดตอนท้าย ไรเตอร์จึงเลือกตัดตอนท้ายแล้วค่อยไปสร้างเรื่องให้กลมกล่อมในตอนหน้าให้ได้ ตอนนี้เลยไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ารีดเดอร์จะชอบกันรึเปล่า??? ตอนหน้าเนี่ย...วัดความสามารถของไรเตอร์เลยนะว่าจะ “เอาอยู่มั้ย???”
ที่ตัดตอนท้ายไปไว้ตอนหน้าเนี่ย เอาใจขาหื่นเลยนะ555555
เม้นกันคนละนิดเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่นะจ๊ะ ^^
ความคิดเห็น