คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SF] Doushite Kimi o Suki ni Natte Shimattandarou 2011
Doushite Kimi o Suki ni Natte Shimattandarou 2011
Flashback~
ปลายฤดูใบไม้ผลิ ปี 2009 ญี่ปุ่น
ซิงเกิ้ล “Doushite Kimi o Suki ni Natte Shimattandarou” หรือ “Why did I fall for you” ซิงเกิ้ลญี่ปุ่นลำดับที่ 23 ของดงบังชินกิได้ออกวางตลาดส่งผลให้ดงบังชินกิเป็นศิลปินเอเซียวงแรกที่มีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 Oricon Chart ถึง 3 ซิงเกิ้ลและทำยอดขายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในสัปดาห์ที่วางจำหน่ายอีกด้วย..........
“ยุนโฮ”
“หืม?”
เสียงหวานเรียกให้หนุ่มร่างสูงที่นั่งอ่านนิตยสารญี่ปุ่นเพื่อฝึกภาษาอยู่ข้าง ๆ บนโซฟาตัวเดียวกันหันมาหาเจ้าของเสียงหวาน
“เพลงนี้เศร้าจังเลยนะ”
ดวงหน้างามยังคงจดจ่ออยู่กับ PV (Promotional Video) ที่กำลังฉายอยู่บนทีวีตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มผู้เป็นลีดเดอร์ของวงดงบังชินกิต้องหันไปมองตาม มันคือ PV ตัวใหม่ของวงพวกเขาที่มาออนแอร์เอาตอนนี้พอดี
“อืม... นั่นสินะ แต่ปกติเราก็ได้ร้องเพลงช้าเยอะอยู่แล้วนี่นะ” ลีดเดอร์หนุ่มให้ความเห็น ด้วยความที่ถูกฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง การร้องเพลง acapella ช้า ๆ เพราะ ๆ น่าจะเป็นสิ่งที่ได้โชว์ถึงลิมิตความสามารถในการร้องเพลงของวงที่ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินนักร้องจริง ๆ
“...........ฉันคิดตั้งแต่ตอนที่เห็น PV นี้ครั้งแรกแล้วล่ะ”
นักร้องนำคนสวยเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปพักนึง
“ ถ้าเป็นฉันนะ..... ถ้ามีคนที่เราชอบอยู่แล้ว และเขาก็ชอบเรา.... ฉันจะไม่มีวันแต่งงานกับคนอื่นไปเด็ดขาด ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะดีแค่ไหนก็ตาม”
“แล้วก็จะไม่ยอมให้เขาแต่งงานไปกับคนอื่นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้สารภาพรักด้วยเด็ดขาด”
คิมแจจุงกำลังพูดถึงเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดใน PV นี้ ที่คนสองคนที่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนและต่างก็รู้ตัวว่ามีความรู้สึกดี ๆ ให้กับอีกคนเกินกว่าคำว่าเพื่อนแต่กลับไม่ยอมเปิดเผยต่อกัน จนกระทั่งฝ่ายหญิงมาบอกว่ากำลังจะแต่งงาน........ แล้วก็ยังไม่พูด ไม่รั้งอะไรทั้งสิ้น แสร้งแสดงความยินดีให้กับเขาเพราะคิดไปเองว่าเพื่อความสุขของคนที่เรารัก.......
คนเราจะต้องฝืนความรู้สึกตัวเองเอาไว้ขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?
ดวงตากลมโตหันมามองคนข้าง ๆ แววตาจริงจังนั่น.....ขอความเห็น?
“แล้วนายล่ะ?”
นั่นไง ชองยุนโฮเคยเดาผิดซะที่ไหน
“ถ้าเป็นนาย... จะยอมปล่อยให้คนที่นายรักไปแต่งงานกับคนอื่นทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างก็รู้ว่ารู้สึกเหมือนกันรึเปล่า......”
ดวงตากลมสุกใสจ้องมาทางเขา มันมีแววหม่นหมองเจืออยู่... อะไรจะอินกับเพลงขนาดนั้น
“ถ้าเป็นฉันงั้นเหรอ......” ชายหนุ่มวางหนังสือในมือลงข้าง ๆ
เพื่อที่มือจะได้ว่าง.... มาจับมือคนข้าง ๆ ยังไงล่ะ
“ถ้าคนที่ฉันรักเขายืนยันว่าจะทำอย่างนั้น ฉันก็จะปล่อยเขาไป เพราะนั่นคือความสุขของเขา”
น้ำเสียงอ่อนโยนตอบกลับมา แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของคิ้วบางที่ขมวดน้อย ๆ นั่นจะเอ่ยปากทักท้วง ชองยุนโฮก็รีบพูดต่อ
“แต่ถ้าฉันมั่นใจว่าเขาเองก็รู้สึกเหมือนกับฉัน ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยเขาไปเด็ดขาด เพราะความสุขของคนๆ นึงก็คือการที่ได้อยู่กับคนที่เรารัก ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม........”
“ถ้าเรามีความรู้สึกตรงกัน เราก็น่าจะคิดเหมือนกัน...... ถ้าคนที่เขารักเป็นฉัน ฉันจะไม่มีวันพลักไสเขาไปให้คนอื่นแล้วมาหลอกตัวเองว่าทำเพื่อความสุขของเขา”
ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มเม้มเข้าหากันพร้อม ๆ กับมืออุ่นที่กระชับมือเขาเอาไว้แน่นขึ้น
“จะไม่ปล่อยมือจากเขาเด็ดขาด จะปกป้อง และฟันฝ่าทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.....”
ชายหนุ่มสบตากลมโตคู่นั้นนิ่งราวกับยืนยันสิ่งที่พูด ต่างคนต่างไม่รู้ตัวว่าขยับเข้ามาใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่.....
มือขาวเนียนกระชับตอบมืออุ่นที่คอยกุมมือเขาเอาไว้ในยามที่เขาเหนื่อยล้า อ่อนแอ มืออุ่นของลีดเดอร์ที่เขารู้สึกได้ถึงกำลังใจที่ส่งผ่านมายังเขาตลอดมา
ไม่เคยปล่อยมือทิ้งกัน คอยฉุดรั้งให้เดินไปด้วยกัน
“เพราะฉะนั้นนะแจจุง.... ขอแค่เรายังมีความรู้สึกเดียวกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่ปล่อยมือจากนายเด็ดขาด”
ยุนโฮรู้ตั้งแต่ตอนที่แจจุงหันมาสบตาแล้วว่า แจจุงไม่ได้แค่ถามความเห็นจากเขา แต่กำลังถามตัวเขาอยู่ต่างหาก.....
แก้มขาวเนียนขึ้นสีระเรื่อพร้อม ๆ กับเสียงในอกที่มันเต้นดังขึ้น ชายหนุ่มยิ้มจนตาหยีด้วยทั้งชอบใจทั้งเอ็นดู
รอยยิ้มใจดีที่เขาหลงรักมาตลอด
“ขอบคุณนะ” เสียงหวานเอ่ยพลางหลบตาด้วยความเขินที่ปรอทพุ่งขึ้นมา ก็เล่นตอบได้ตรงประเด็นที่แอบ ๆ สื่อซะขนาดนี้
แต่ก็หลบตาได้ไม่นานเมื่อริมฝีปากอุ่นสัมผัสเข้ากับริมฝีปากอวบอิ่ม แจจุงหลับตาลงปล่อยให้ริมฝีปากอุ่น ๆ จูบเม้มเบา ๆ ดูอ่อนหวานในคราแรกก่อนจะค่อย ๆ ตอบสนองกันมากขึ้น
มือขาวบางยกขึ้นแตะแก้มอีกฝ่ายก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนไปโอบรอบคอ รู้สึกว่าตัวเองแนบชิดไปกับโซฟามากขึ้น..........
......................................................................
Flashback ..
“ ...... พี่แจจุง”
“อืม.......”
“พี่แจจุงตื่น ๆ เครื่องใกล้ลงจอดแล้วครับ”
“หืม....?”
เปลือกตาบางค่อย ๆ กระพริบ ปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ เขาอยู่บนเครื่องบิน ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของจุนซูที่เมื่อกี้คงจะเป็นคนปลุกเขา
นั่นสินะ เขากับจุนซูและยูชอนเพิ่งกลับจากแสดงคอนเสริต์ที่เมืองไทยนี่นะ คงเพราะเหนื่อยมากเลยหลับมาตลอดทางเลย จะถึงเกาหลีแล้วเหรอเนี่ย เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มมีแสงรำไรอยู่ที่ขอบฟ้า ออกจากสนามบินที่เมืองไทยเมื่อคืนถึงเกาหลีก็เช้าพอดี
“เหนื่อยมากมั้ยแจจุง เครื่องจะแตะถึงพื้นอยู่แล้วเนี่ยนายยังไม่รู้สึกตัวเลย”
คราวนี้เป็นยูชอนที่โผล่หน้ามาแซวผมจากเบาะด้านข้างถัดจากจุนซูไปอีก
“ไม่หรอก” แจจุงตอบ
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ก็เหนื่อยเพราะศิลปินอย่างเขากลับต้องรับหน้าที่เป็นผู้กำกับการแสดงทุกอย่างในคอนเสริต์ทั้งสองวันที่ 2-3 เมษาที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว คนอื่น ๆ ก็เหนื่อยเหมือนกันเพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้น่ะเล็กน้อย
แจจุงรีบคาดเข็มขัดที่นั่งที่แอร์โฮสเตสคนสวยย้ำนักหนาก่อนที่เครื่องจะร่อนลงแตะพื้นที่สนามบินอินชอน
เปลือกตาบางหลับลงอย่างพักสายตาเล็กน้อย... กลับมาถึงบ้านแล้วสินะ แต่ก็คงจะไม่ได้พักนานนัก ยังมีตารางงานอื่น ๆ รอเขาอยู่อีก
“ปี๊บ ๆ”
โทรศัพท์มือถือของแจจุงส่งสัญญาณเตือนทันทีที่เครื่องแตะพื้น.... ข้อความ?
แต่แล้วเมื่อเปิดออกอ่านดู..... ดวงหน้างาม ๆ นั่นก็ต้องยิ้มหวานออกมา ริมฝีปากยิ้มกว้างอยู่นานสองนาน ดวงตากลมโตทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่สื่อออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“แจจุง ไปกันเหอะ” เป็นเสียงยูชอนเรียกเตือนสติเขาให้วิญญาณกลับมาเข้าร่างอยู่ ณ ปัจจุบัน
“แล้วเมื่อกี้นี้ยิ้มอะไรนักหนา แอบเห็นนะ ๆ” ไม่แซวก็ไม่ใช่ปาร์คยูชอนสิครับ
“อยากดูมั้ยล่า?” ท้ากันเห็น ๆ แต่ยูชอนรีบส่ายหัวดิก
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวระดับน้ำตาลในเลือดขึ้น”
ยูชอนบอกปัดแทบไม่ทัน ลงเจ้าตัวเต็มใจนำเสนอยังงี้ก็ไม่สนุกน่ะเส่ะ ดีไม่ดี จะเป็นเขาเองที่โดนรังสีบางอย่างอาบร่างให้เกิดอาการกระอักกระอ่วนเหมือนคนกินของหวานมากเกินไปหรือเรียกว่าเลี่ยนนั่นเองก็เป็นได้
เรียกเสียงหัวเราะใสจากคนงามขณะที่พวกเขาเดินมาด้วยกันตามทางในอาคารรับผู้โดยสารขาเข้าของสนามบิน
แจจุงแทบอยากจะรีบ ๆ คว้ากระเป๋ารีบ ๆ เชคเอ้าท์ออกจากสนามบินให้ได้เร็วที่สุดขนาดช่องวีไอพีมีให้ก็แลดูยังไม่ทันใจ เพราะอะไรน่ะเหรอ.........
แจจุงไม่วายจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง แล้วก็ยิ้มมมมมมมมมมมมม
“พี่แจจุง ๆ ยิ้มจนตีนกาขึ้นที่หางตาซ้ายแล้วครับ” จุนซูน้องน้อยเป็นต้องแซวอย่างอดไม่ได้
“เกินไป เจ้าเด็กบ้า” วาจาด่าเขาแต่ทั้งตาทั้งปากก็ยังยิ้มอยู่เหมือนเดิมนะคิมแจจุง
โลกของคิมแจจุงสดใสขึ้นมาได้ในพริบตาความเหนื่อยล้าจากการทำงานในต่างแดนเป็นอาทิตย์ ๆ แทบจะมลายหายไปสิ้น
เพราะบางสิ่งที่ช่วยเติมเต็มเขา บรรเทาความเหนื่อยกายและใจของเขามาตลอด
......ขอบคุณนะ......
แจจุงเอ่ยเบา ๆ ในใจ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มหวานประดับอยู่ คำขอบคุณที่เขาเอ่ยถึงใครบางคนที่ถึงจะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ กันตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ยิ่งพวกเขาห่างกันมากขึ้นเท่าไหร่ ความห่วงหาอาทรมันก็ยิ่งมีให้กันมากขึ้นเท่านั้น
แล้วก็ความรัก.... ที่ไม่เคยลดน้อยลงเลย
..................................................................
................ไปแอบดูข้อความที่ถูกส่งมาหาแจจุงเมื่อตะกี้นี้กันหน่อยดีกว่า
‘กลับมารึยัง เหนื่อยมั้ย จะรอที่บ้านนะ.....’
Never End ..
ความคิดเห็น