ตอนที่ 27 : Kaiser Lazalus
ห้องสีขาวสะอาดขนาดใหญ่ราวเจ็ดตารางเมตร ครึ่งหนึ่งถูกกั้นด้วยม่านสีขาวสาวสะอาด เพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่อยู่หลังม่านนั้น ได้เห็นว่าด้านหลังม่านนั้นมีอะไรซ่อนไว้กันแน่
ครืด...
“คุณลาซาลัสครับ ผมมิคเค่น”
ประตูบานเลื่อนอัตโนมัติเปิดออก ชายร่างสูงในชุดเกราะแบบเบาอย่างที่พวกเรนเจอร์ใช้กันเดินเข้ามา เขาแนะนำตัวเองเบื้องหน้าม่านนั้น โดยไม่ได้คิดสงสัยว่าจะมีใครตอบเขากลับมาหรือไม่
“อ้อ ผมอ่านรายงานของคุณแล้วนะ มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
เสียงจากเบื้องหลังม่านตอบกลับมา มิคเค่นขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงของชายเบื้องหลังม่านนั้น
“จากรายงานเบื้องต้นที่คุณส่งมา พบว่ามีการทำงานของระบบรีเซ็ปชั่นในฐานลับที่ร้างไปแล้วยี่สิบกว่าปี และจากการตรวจสอบเซ็นเซอร์ต่างๆ กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เลย มันจะเป็นไปได้ยังไง ขนาดที่ระบบรีเซ็ปชั่นทำงานนี่ จะต้องมีสิ่งผิดปกติขึ้นแน่”
น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจทำให้มิคเค่นเป็นกังวล
“นั่นเป็นรายงานการตรวจสอบเบื้องต้นครับ ตอนนี้ผมมาเพื่อขอให้คุณลาซาลัสอนุมัติการเข้าตรวจสอบพื้นที่ เพื่อหาว่าระบบรีเซ็ปชั่นเปิดการทำงานตัวเองขึ้นมาได้อย่างไร”
“หึ นั่นผมเองก็คิดอยู่เหมือนกัน”
น้ำเสียงอ่อนลงของลาซาลัส ทำให้มิคเค่นรู้สึกเบาใจขึ้นมาก อย่างน้อยเขาก็ยังไม่มีความผิดอะไรในเวลานี้
“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเตรียมทีมเพื่อรอคำสั่ง”
“ได้สิ คุณจะได้รับอนุมัติให้เดินทาง เมื่อพบกับกรั้นจ์และทีมของเขา”
“ก...กรั้นจ์!”
“ตอนนี้ไปได้”
สีหน้าของมิคเค่นยังคงขมวดมุ่นขณะเดินออกไป เขารู้จักคนที่ลาซาลัสเอ่ยชื่อเมื่อครู่ กรั้นจ์ไม่ใช่ทั้งทหารหรือเรนเจอร์ รวมถึงทีมของเขาด้วย กรั้นจ์ขึ้นตรงกับลาซาลัส และไม่ฟังคำสั่งของใครนอกจากลาซาลัสเท่านั้น ทีมของกรั้นจ์มีแต่คนเก่งเกินธรรมดาที่ออกจะโรคจิต สนุกกับการฆ่าฟันและชื่นชอบการแข่งขันโดยมีเดิมพัน เชื่อเถอะว่าไม่มีใครอยากเข้าร่วมการแข่งขันแบบนั้นกับทีมของกรั้นจ์แน่
ครืดด
ม่านสีขาวถูกรูดเปิดออกเมื่อในห้องไม่มีใครอยู่อีกแล้ว ชายเบื้องหลังม่านนั้นดูอ่อนเยาว์ ทว่ากลับมีสายระโยงระยางตามร่างกาย และมีสิ่งที่ดูคล้ายเครื่องกรองอากาศสีใสจนแทบมองไม่เห็นครอบปากกับจมูกเอาไว้ แต่ไม่มีสายใดๆ โยงไปยังถังออกซิเจน สีหน้าของเขาดูเหนื่อยอ่อน ร่างสูงๆ นั้นดูผอมแห้งไปสักหน่อยแต่ก็ยังมีกล้ามเนื้อให้ได้เห็น มีสีผิวและผมอย่างคนเผือก เขาเดินไปยืนริมหน้าต่างกระจก สายตามองออกไปยังเบื้องนอกที่ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้น จากยอดตึกสูงตระหง่านที่เขาอยู่นั้น ทำให้มองเห็นทัศนีย์ภาพของเมืองเวิลด์แลนด์ซิตี้ได้เกือบทั้งหมด
“นานเกินไปแล้วนะ สิ่งที่คุณซ่อนจากผม ไม่นานหรอก ผมต้องหาเจอแน่”
เขาพูด สีหน้าดูเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่ยังไม่อาจหาสิ่งล้ำค่าที่ถูกซ่อนเอาไว้เจอเสียที
ครืด...
ประตูห้องเลื่อนเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้คนที่ก้าวเข้ามาเป็นชายร่างสูงใหญ่ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มมัดรวบไว้อย่างลวกๆ กับสาวสวยร่างเล็กอีกคนหนึ่ง เมื่อเห็นชายเจ้าของห้องทั้งสองก็โค้งทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“เจ้านาย เรียกหาผมหรือครับ”
ชายผู้มาใหม่ถามขึ้น
“กรั้นจ์ ฉันต้องการให้แกรวมทีมแล้วออกไปสำรวจฐานวิจัยลับที่ถูกปิดตายใกล้กับโบนส์ฟอเรสต์นั่นภายในหนึ่งชั่วโมง เมื่อรวมทีมได้แล้วก็ไปหามิคเค่น หัวหน้าหน่วยที่ 11 ของเรนเจอร์ พาพวกนั้นไปด้วย”
ชายเผือกพูดโดยไม่หันมามอง
“ทำไมต้องเอาเจ้าพวกนั้นไปด้วยล่ะครับ ทั้งที่มีแค่ทีมของผมก็เหลือเฟืออยู่แล้ว”
กรั้นจ์ถาม
สาวสวยที่อยู่ข้างเขาเองก็สนใจ เพราะเมื่อก่อนเวลาลาซาลัสสั่งงานพวกเธอ จะไม่ให้ไปรวมกับทีมอื่นเลย งานทั้งหมดที่ลาซาลัสมอบให้ล้วนเป็นความลับสุดยอด แทบทุกครั้งจะไม่มีการรายงาน หรือร่วมมือกับหน่วยงานอื่นเลย
“คราวนี้พวกนั้นเป็นคนตรวจจับความผิดปกติของที่นั่นได้ แถมยังทำรายงานส่งไปให้ทุกหน่วยงานเรียบร้อย ยังไงก็ต้องให้พวกนั้นไปด้วย พวกนายมีหน้าที่ตรวจหาความจริงมา และกันไม่ให้ทีมของมิคเค่นรู้เห็นอะไรเกินจำเป็น ในส่วนที่ลึกที่สุดของที่นั่น สิ่งที่ถูกเก็บซ่อนไว้จะต้องไม่มีใครได้เห็น เข้าใจไหม?”
ชายเผือกหรือก็คือไกเซอร์ ลาซาลัสหันมาสบตากับกรั้นจ์
“อีกอย่าง ดาวนิคม G0005 ที่ไปสำรวจมานั่น เป็นยังไงบ้างล่ะ เจอ...ไหม?”
กรั้นจ์สบตากับลาซาลัสนิ่งราวชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบออกมา
“ไม่ครับ ไม่เจออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแค่เบาะแสจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้น เป็นไปได้ว่าอาจเป็นการปล่อยข่าวเพื่อทำให้เราเขวออกนอกทาง”
“งั้นรึ พวกนั้นฉลาด หลบซ่อนมาได้ตั้งนาน แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องหาให้เจอ สมบัติล้ำค่าที่พวกเขาแอบซ่อนเอาไว้ ไปได้แล้วกรั้นจ์ ฉันอยากให้ออกเดินทางเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“ครับเจ้านาย”
ชายร่างสูงรับคำแล้วเดินออกมาจากห้อง ลาซาลัสกัดฟันกรอด สีหน้าออกอาการเจ็บปวด มือข้างซ้ายของเขากำลังเกร็งอย่างรุนแรง สัญญาณการเต้นผิดปกติของหัวใจเขา กระตุ้นการทำงานของโรบอทสาวที่ยืนนิ่งอยู่มุมหนึ่งด้านหลังผ้าม่าน เธอขยับตัวเดินไปหยิบเข็มฉีดยาที่มีของเหลวสีแดงใส ที่เก็บอยู่ในตู้นิรภัยออกมาแล้วเดินตรงมายังลาซาลัส
เขามองโรบอทสาวนิ่ง ก่อนที่เธอจะแทงเข็มฉีดยาทะลุหัวใจ และฉีดของเหลวสีแดงใสนั้นเข้าไปจนหมดหลอด อาการเกร็งของลาซาลัสรุนแรงขึ้น กล้ามเนื้อทั่วตัวของเขากระตุก ก่อนจะเริ่มคลายตัวในเวลาไม่นาน เขาหอบหายใจอย่างรุนแรง เนื้อตัวสั่นเทาจากความเจ็บปวด เขากุมหน้าอกตัวเอง รอยที่ถูกเข็มฉีดยาแทงนับครั้งไม่ถ้วน
“ทำไม...ฉันฉีดไอ้ยานี่มาเป็นสิบๆ ปี แต่กลับไม่ดีขึ้นไปกว่านี้เลย ทำไมเธอต้องมาหักหลังฉัน เอาสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉันไปซ่อน!!”
ลาซาลัสคำรามด้วยความแค้น ในขณะที่โรบอทพยาบาลตนนั้นเดินกลับเข้ามุมของมันตามเดิม สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธขณะที่มองออกไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า ราวกับว่ามีใครสักคนยืนอยู่ตรงนั้น และกำลังหัวเราะให้กับความทุกข์ทรมานที่เขาต้องเผชิญอยู่
นอกเมือง
“นี่เซวิล นายคิดอยากจะเข้าเรนเจอร์จริงๆ เหรอ?”
ทเวนถามขึ้น ในขณะที่เรากำลังเดินทางไปยังป่าสนวินเทล่า
“ใช่”
“ทำไมล่ะ นายไม่อยากเป็นทหารเหรอ พวกนั้นเท่จะตาย ทั้งอาวุธ เกราะ ยานพาหนะ โดยเฉพาะไซเคิลนั่นน่ะ”
“นายสนใจแต่ไซเคิลละสิไม่ว่า”
ผมรู้ว่าที่ติดตราตรึงใจเขาไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากไซเคิลคันงาม พาหนะประจำตำแหน่งของหน่วยจู่โจมแนวหน้าของกองทัพ เขาพร่ำพูดถึงมันในช่วงแรกๆ และมีเป็นพักๆ หลังจากนั้นจะมีอะไรสุดแสนจะเท่และงดงามเท่าสวิฟท์บีทกับไซเคิลนั้นไม่มี ผมนี่ฟังจนท่องตามได้แล้ว
“ฮ่ะๆๆๆ แน่นอน รถประจำตำแหน่งเชียวนะ ซื้อเองจะเก็บเงินประกอบได้เป็นคันตอนไหนก็ไม่รู้”
“มันก็จริงนะ แต่ผมได้ยินมาว่า รถประจำตำแหน่งนี่มันเอามาตกแต่งโมดิฟายอะไรไม่ได้เลยนี่นา เพราะไม่ใช่รถของเราเอง ถ้านายพอใจแบบนั้นมันก็ดีไป แต่ผมว่าพอนายได้ไซเคิลมาจริงๆ ต้องคันไม้คันมืออยากปรับแต่งนู่นนี่แน่ๆ ใช่ไหมล่ะ?”
ผมพูดอย่างรู้ทัน ทเวนชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าเหมือนจะพึ่งนึกได้ว่ามันจริงอย่างที่ผมพูดไม่มีผิด ยังไงซะรถประจำตำแหน่ง พอปลดประจำการหรือย้ายหน่วยงานก็ต้องคืนเขาไป ไม่ใช่อะไรที่เป็นสมบัติของเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“มันก็จริงน่ะนะ แต่ยังไงซะก็ยังได้มาขับอยู่ดีละน่า”
“ฮ่ะๆๆๆ”
ผมรู้ว่าหมอนี่รู้อยู่แล้ว แต่ไม่เข้าใจไอ้ท่าทางงอนแก้มป่องนั่นแหละ ทำอย่างกับเด็กไม่มีผิด
“โอ๊ะ ที่นี่เหรอป่าสนวินเทล่าที่นายบอก”
ทเวนถาม เมื่อเรามายืนอยู่หน้าป่าสนต้นสูงใหญ่หลายสิบเมตร
“ใช่ ที่นี่แหละมีอาหารที่พวกมันชอบ ก็เลยเจอตัวได้ง่ายกว่าที่อื่น”
“นายรู้ได้ไงอะ?”
“ก็ผมมีคอมเจ็น”
คำตอบสั้นๆ แต่ทำเอาคนฟังยิ้มกระตุก ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในเขตป่าสนวินเทล่าที่ค่อนข้างจะเงียบสงบ ไม่รู้ว่าเพราะไม่มีใครมาล่าไวด์เดอร์ทีนี่ หรือเพราะพวกเขาทำมิชชั่นนี้สำเร็จเรียบร้อยไปกันหมดแล้วกันแน่
“ที่นี่บรรยากาศดีแฮะ ป่าโปร่ง อากาศเย็นสบาย เหมือนเดินอยู่ในโลกนิทานเลย”
ทเวนมองออกไปรอบๆ ด้วยความชอบใจ
“คนอย่างนายเคยอ่านนิทานอะไรพวกนั้นด้วยเหรอเนี่ย?”
ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย แต่ทเวนเหล่มองผมด้วยหางตา
“หาเรื่องเรอะ ถึงฉันจะโตมาหล่อเท่ขนาดนี้ แต่คนอย่างทเวนคนนี้ก็เคยมีวัยเด็กมาก่อนนะเฟ้ย!”
“ฮ่ะ...”
ผมสะอึกหัวเราะออกมาทีหนึ่ง ออกจะอึ้งเล็กน้อยกับประโยคคำพูดนั้น
“ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่า...
ตึงง!
เสียงของหนักตกกระทบพื้นดังมาจากข้างหลังเรา ทำเอาทเวนที่กำลังจะหาเรื่องผมหยุดชะงัก เรามองหน้าอย่างรู้กันว่าไอ้เสียงตึงที่ได้ยินเมื่อครู่มันเกิดจากอะไร ไม่นานนักเสียงคำรามก็ตามหลังมา
“ไฮ-ไวด์เดอร์...”
ผมพูดก่อนจะดีดเท้ากระโดดลอยตัวไปคนละด้านพร้อมกันกับทเวน เพราะไฮ-ไวด์เดอร์ตัวนั้นพุ่งเข้าใส่เราจากด้านหลัง ทเวนลงพื้นได้สวยกว่าผมมาก เขาดึงสวิฟท์บีทออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็ว และรัวยิงใส่ไฮ-ไวด์เดอร์ ที่กำลังชะงักจากการพุ่งเข้าชนพวกเราเมื่อครู่
กระสุนของทเวนเข้าเป้าทุกนัด ไฮ-ไวด์เดอร์ร้องคำรามเสียงดังด้วยความเจ็บปวด มันวิ่งเข้าใส่ทเวนด้วยความโกรธ หมอนั่นหน้าซีดด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าไฮ-ไวด์เดอร์จะมาถึงตัวได้เร็วขนาดนั้น เขาสบถแล้ววิ่งหลบไปหลังสนวินเทล่าต้นใกล้ๆ
ตูมมม!
แรกกระแทกทำให้เปลือกของสนวินเทล่ากะเทาะ ลำต้นตรงที่ถูกไฮ-ไวด์เดอร์พุ่งชนยุบและแตกเป็นรอยใหญ่ ผมดึงเชนกันออกมาจากข้างเอวแล้วรัวยิงใส่ไฮ-ไวด์เดอร์ตัวนั้น มันจึงเบนความสนใจจากทเวนมาที่ผมแทน มันคำรามแล้ววิ่งมาทางผม ก้มหัวต่ำพร้อมจะขวิดผมกระเด็น
ตูมม!!
ทเวนยิงบอมเบอร์บูลเล็ตใส่ไฮ-ไวด์เดอร์ เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมัน ก่อนจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ผม
“ยิ้มอะไรของนาย เจ้านั่นยังไม่ตายเลยนะ”
ผมว่า แม้การโจมตีของทเวนจะสร้างบาดแผลขนาดใหญ่บนสีข้างของไฮ-ไวด์เดอร์ได้ จนทำให้มันบาดเจ็บสาหัสจากบาดแผลและการเสียเลือด ร่างที่ล้มลงพร้อมแผลเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด กำลังพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากมาก เมื่อเนื้อตรงสีข้างมันหายไปก้อนใหญ่ขนาดนั้น
“ไม่คิดว่าครั้งนี้จะจัดการได้ง่ายๆ เลยนะ”
ทเวนหัวเราะชอบใจที่ได้แก้แค้นที่ครั้งก่อนถูกฆ่าตายอนาถ
“ไม่นะ เท่าที่เห็นไฮ-ไวด์เดอร์จะอยู่เป็นคู่ แล้วคู่ของเจ้าตัวนี้ล่ะ?”
ผมพูดขึ้นอย่างไม่ไว้วางใจ พร้อมกวาดสายตามองออกไปรอบตัว
“แย่แล้ว หลบเร็วทเวน!!”
ผมรีบร้องเตือนด้วยความตกใจ เพราะไฮ-ไวด์เดอร์อีกตัวที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน พุ่งโจมตีใส่เขาอย่างรวดเร็ว พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นร่างทเวนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ มีเลือดกระเซ็นออกมาจากปาก
“ทเวน!!”
ผมรัวกระสุนใส่ไฮ-ไวด์เดอร์ตัวนั้นไม่ยั้ง เพราะมันกำลังจะโจมตีใส่ทเวนอีกครั้ง ทั้งที่เขายังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ การโจมตีของผมทำให้มันเสียจังหวะ มันหันมามองผม คำรามเสียงต่ำ พร้อมทั้งพ่นลมออกทางจมูกจนเห็นเป็นไอ และวิ่งเข้าใส่ผมอย่างรวดเร็ว
ผมรัวยิงไปที่ใบหน้าและดวงตาที่ไร้สิ่งใดป้องกันของมัน หน้าของไฮ-ไวด์เดอร์สะบัดรัวเมื่อถูกกระหน่ำยิงด้วยกระสุน ซึ่งเจาะทะลุผิวหนังที่มีขนเรียงเส้นหนานุ่มนั้นเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ไม่นานใบหน้าของมันก็มีแต่เลือด ดวงตาข้างหนึ่งถูกกระสุนทะลวงจนบอดสนิท เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดของมันทำให้เหล่านกที่เกาะอยู่บนต้นสนบินหนีไปด้วยความตกใจ
“ทเวน!”
ร่างของไฮ-ไวด์เดอร์ตัวที่สองล้มลงกระแทกพื้น เลือดอาบเปื้อนใบหน้าจนมันมองด้วยตาข้างเดียวที่เหลือได้ไม่ถนัดอีกต่อไป ผมรีบวิ่งไปดูทเวนนอนนิ่งอยู่บนพื้น เขย่าตัวเขาอย่างแรงจนเขารู้สึกตัวขึ้นมา
“อ...โอ๊ย! เจ็บชะมัด”
ทเวนร้องเสียงหลง ส่วนผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
“ไม่ใช่เวลามาร้องโอดโอยนะ เจ้าสองตัวนั้นมันยังไม่ตาย”
ผมเตือน ทเวนหันไปมองไฮ-ไวด์เดอร์สองตัวที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้น ไม่ห่างจากกันมากนัก ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเช็ดเลือดออกจากมุมปาก
ทเวนบ่นพร้อมทั้งสไลด์ลำกล้องสวิฟท์บีท ปรับเป็นโหมดกระสุนธรรมดา
“ฉันจะยิงแกให้พรุนไปทั้งร่างเพื่อเป็นการแก้แค้นก็แล้วกัน”
พูดจบทเวนก็สาดกระสุนใส่ไฮ-ไวด์เดอร์ตัวที่เขาเปิดแผลขนาดใหญ่ตรงสีข้างของมันไว้ เลือดที่ไหลทะลักออกมา ทำให้มันเกือบจะเสียเลือดตายอยู่แล้ว มันร้องลั่นขณะที่ร่างถูกกระสุนขนาดใหญ่ (ลำกล้องสวิฟท์บีทมีขนาดใหญ่กว่าปืนของเซวิล) ยิงกราดไปทั่วทั้งตัว โดยไม่อาจลุกหนีหรือตอบโต้ได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ยอมตายง่ายๆ
“ชิ ทำไมมันตายยากอย่างนี้นะ!”
ทเวนบ่นอย่างหัวเสีย ดูท่าว่าการเป็นมอนสเตอร์คลาส C จะทำให้มันตายยากกว่ามอนสเตอร์คลาสต่ำกว่าด้วยแน่ๆ
“กระสุนอาจทะลวงไปไม่ถึงจุดตายของมันก็ได้นะ ตรงอกของมัน แผงอกที่ดูคล้ายกับเกราะกระดูก ช่วยปกป้องหัวใจไม่ให้ถูกทำลายได้ง่ายๆ สินะ”
ผมตั้งข้อสังเกต
“ชิ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องใช้บอมเบอร์บูลเล็ตอีกแล้วสินะ”
ทเวนทำท่าจะเปลี่ยนโหมดสวิฟท์บีทอีกครั้ง เพื่อระเบิดแผงอกที่ดูคล้ายเกราะของมันออก
“เดี๋ยว เจ้าตัวนั้นมันขยับแทบไม่ได้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องใช้กระสุนแพงๆ นั่นให้เปลืองหรอก”
“แล้วนายจะให้ทำยังไง เกราะแข็งๆ แบบนั้น ให้ใช้มีดแซะเอารึไงล่ะ?”
“ช่างประชดนะนาย จุดตายน่ะมันไม่ได้มีแค่หัวใจที่เดียวสักหน่อยนี่ หลบเร็ว!”
เราต้องหยุดคุยเล่นกันกะทันหัน เมื่อไฮ-ไวด์เดอร์ตัวที่ผมยิงตาบอดไปข้างหนึ่งลุกขึ้นมาโจมตีใส่อีกครั้ง เมื่อมันโจมตีพลาด ก็ร้องคำรามออกมาเสียงดังลั่นด้วยความแค้น
“คงต้องจัดการเจ้านี่ก่อน”
ผมพูดกับทเวน เขาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ก่อนที่เราสองคนจะรัวกระสุนใส่ไฮ-ไวด์เดอร์ตาบอดตัวนั้นที่หัว และลำตัวส่วนที่ไร้เกราะแข็งป้องกัน จนมันล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง คราวนี้ผมกับทเวนรีบเข้าไปประชิดร่างของไฮ-ไวด์เดอร์ทั้งสองตัว จ่อปืนไปที่ลำคอด้านหลังของมันแล้วรัวกระสุนอย่างไม่รีรอ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

476 ความคิดเห็น
-
#315 ฝนธารา (จากตอนที่ 27)วันที่ 24 กันยายน 2558 / 18:09สนุกดีจ้า#3150
-
#240 เนย (จากตอนที่ 27)วันที่ 16 พฤษภาคม 2558 / 23:36ตายยากแหะ อยากอ่านต่ออะ มาต่อเร็วๆนะคะ#2400
-
#239 K.A.I.M.A (จากตอนที่ 27)วันที่ 13 พฤษภาคม 2558 / 21:22สนุกมากคนับ#2390
-
#238 Biscuit-big (จากตอนที่ 27)วันที่ 13 พฤษภาคม 2558 / 20:41ค้างสุดๆกำลังลุ้นเลย มาต่อไวๆนะไรเตอร์#2380
-
#237 นายตัวร้าย (จากตอนที่ 27)วันที่ 13 พฤษภาคม 2558 / 20:03ตายยากจริงๆเลย#2370
-
#235 shinamon69 (จากตอนที่ 27)วันที่ 13 พฤษภาคม 2558 / 18:22ยิงกันสนั่นจอเรย#2350
-
#234 kimurakung (จากตอนที่ 27)วันที่ 13 พฤษภาคม 2558 / 17:18ไรท์มาอัพให้อีกสักตอนเป็นรางวัลวันพืชมงคลหน่อยจิคร้าบบบ#2340
-
#230 21633 (จากตอนที่ 27)วันที่ 13 พฤษภาคม 2558 / 01:42หนังเหนียวจริง#2300
-
#229 tweeny (จากตอนที่ 27)วันที่ 12 พฤษภาคม 2558 / 22:55ทำค้างอีกละ555555#2290