คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทนำ พลานุภาพ3 : สงครามแห่งการรวมเกาะ
บทที่ 3 สงครามแห่งการรวมเกาะ
ท้องฟ้าสีครามกับลมทะเลแผ่วๆ หามีอาการใดบ่งบอกวี่แววของพายุแม้แต่น้อย กองเรือนักรบขององค์รัชทายาทคาเมฮาเมฮาเคลื่อนตัวไปเหนือแผ่นน้ำสงบเงียบ มุ่งหน้าสู่เกาะคาอูไอ เกาะจากกำเนิดของเถ้าลาวาสีดำอันเป็นที่ตั้งของพวกกองทัพฝ่ายต่อต้านที่ไม่ยินยอมให้พระอำนาจของพระองค์ได้ปกครอง ในใจขององค์คาเมฮาเมฮาที่หวังจะรวมแผ่นดินย่อยกลางมหาสมุทรแห่งนี้เข้าด้วยกันนั้นร้อนรนยิ่งนัก พระองค์ประสงค์อย่างยิ่งที่จะสืบทอดเจตนาขององค์กษัตริย์เคโออัว คาลานิคูปูอาปาอิคาลานินูอี อาฮิลาปาลาแห่งคาฮูลุย ผู้เป็นบิดาของพระองค์
สิบกว่าปีที่พระองค์และพระบิดากำชัยชนะต่อหมู่เกาะทั้งร้อยยี่สิบเกาะโดยยินยอมสยบ ทั้งที่เอาชนะในการรบระหว่างชนเผ่าอย่างง่ายดาย และที่ยุ่งยากบ้างก็ไม่ได้เกินกำลังและยุทโธปกรณ์ของพระองค์ จะมีก็แต่เผ่าชนพื้นถิ่นและผู้อพยพบนเกาะนั่นที่ไม่เห็นพ้องด้วยกับการรวมเกาะทั้งหมดเข้าด้วยกัน สำคัญเกาะนั่นดูเต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับเกิดเข้าใจเพราะทุกครั้งที่พระองค์ส่งกองทหารหมายรุกคืบขึ้นไปเก็บชัยชนะบนเกาะนั้น มันต้องมีเหตุการณ์ประหลาดอันเกินหาเหตุผลเกิดขึ้นกับกองทหารของพระองค์ทุกทีไป
เพิงที่พักของพระองค์บนเนินปลายแหลมมากัวบนเกาะมูอูอานูถูกตั้งขึ้นอย่างเร่งด่วน มันอยู่สูงพอจะมองเห็นความเป็นไปของสภาพอากาศเหนือเกาะคาอูไอได้ระดับหนึ่ง
ท้องฟ้าท่าทางเป็นใจ—องค์คาเมฮาเมฮาคิด หากเป็นเช่นนี้ไม่แน่ว่าการส่งกองทัพขึ้นเกาะของเจ้าพวกที่แสนดื้อด้านนั่นอาจจะเป็นผลสำเร็จในคราวนี้ก็ได้
“เอากล้องทางไกลของพวกยุโรปมาให้เรา” องค์รัชทายาทสั่งทหารรับใช้
เจ้านั่นรีบรื้ออุปกรณ์ในลังไม้หาสิ่งที่พระองค์ประสงค์ เมื่อเจอก็รีบส่งให้กับพระหัตถ์ทันที
พระองค์คาเมฮาเมฮาทอดพระเนตรผ่านกระบอกส่องทางไกล กองเรือของพระองค์เห็นเพียงเงาเล็กๆ เหนือผิวคลื่น สภาพปลอดโปร่งบนเกาะแห่งลาวาทำให้พระองค์ยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ ทว่าเพียงครู่เดียวทุกอย่างก็ตาลปัตร เงาเงื้อมภูเขาบนเกาะคาอูไอกลายเป็นหมอกมัว เมฆสีดำก้อนใหญ่แผ่ตัวคลุมเหนือยอดเขาไวอะเลอะเล สีคล้ำดำของสันภูเขาที่เว้าแหว่งกลืนหายไปในเมฆอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามครืนดังลั่น บัดนี้กองเรือของพระองค์กำลังเผชิญกับธรรมชาติอันแปรปรวนอีกแล้ว เฉกเช่นกว่าสามสิบครั้งที่ผ่านมา
เรือลำเล็กๆ ถูกตีกลับโดยคลื่นที่ส่งแรงออกมาจากฝั่ง มันกวาดต้อนกองเรือขององค์คาเมฮาเมฮาให้พลิกหงาย นายเรือทั้งหลายต้องตะเกียกตะกายเกาะลำเรือเอาชีวิตรอด ลมฝนเม็ดแรงและหนาหนักทำพวกนั้นลืมตาแถบไม่ขึ้น ทำได้เพียงเกาะเรือไว้แน่นเท่าที่ทำได้ กระแสลมพัดกลุ่มผู้บุกรุกให้ล่าถอยออกไปห่างเกาะคาอูไอมากขึ้น และเข้าใกล้เกาะมูอูอานูที่พระองค์สั่งตั้งกองทัพไว้เข้าไปทุกที
....................
บนเกาะคาอูไอที่ปลอดโปร่ง เว้นแต่บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปเหนือศีรษะและยอดเขาที่มีเมฆฝนคลุมอยู่ ชาวเผ่าคานูไอและเผ่าอื่นๆ ยังคงใช้ชิวิตไปตามปกติ แม้จะมีความกังวลในเหตุการณ์ที่กองทัพเรือของเจ้าชายแห่งเกาะใต้ยกพลมาอยู่บ้าง แต่ความอยู่รอดปลอดภัยมาตลอดสิบกว่าปีเพราะอิทธิฤทธิ์เทพเจ้าแห่งเกาะคุ้มครองทำให้ทุกชีวิตเบาใจ
....................
ในกระท่อมสร้างจากหินภูเขาไฟสลักเสลาเป็นก้อนสี่เหลี่ยมและเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ มันตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าเชิงภูเขาใกล้กับโอแพก้า เสียงกึกก้องคำรามของน้ำตกโอแพก้าดังสะท้อนอยู่ในโพรงหุบเขา น้ำตกนี้ตกจากช่องเขาสูงหลายร้อยเมตรจนมองเห็นเป็นเส้นลำสีขาว และโอบล้อมไว้ด้วยกำแพงภูเขาสูงจนต้องแหงนคอ ทั้งความสูงและความแรงได้สร้างละอองชื้นๆ ของฝอยน้ำคลุมทุกอณูป่ารอบข้างจนเปียกราวกับเพิ่งมีฝนตกหนักมาหมาดๆ
เด็กน้อยผู้ถูกคัดเลือกจากชาวเผ่าคานูไอให้มารับใช้ผู้สื่อสารข้อความเทพเจ้านอนกระดิกขาอยู่บนผ้าทอมือหยาบ เขากำลังรอน้ำในเตาไฟเดือดเพื่อจะได้ยกไปให้อาจารย์
“เป็นความเชื่ออย่างใหญ่หลวงของชาวเผ่าแถวนี้ที่มีต่อเทพเจ้าทั้งสี่ว่า เทพเจ้าแห่งเกาะคาอูไอที่ชาวเผ่าทั้งหลายเคารพถือกำเนิดจากลมหายใจขององค์เทพไอ—ผู้สร้างสูงสุด องค์เทพไอได้มอบ “มานา” หรือพลังแห่งชีวิตแก่เทพทั้งหลายอย่างเท่าเทียมเพื่อสร้างและดำเนินชีวิต โดยเริ่มแรกทรงส่งมานาผ่านไปใน “โป” อันว่างเปล่าด้วยการกระซิบปลุกอย่างแผ่วเบาว่า “โอลา” แล้วกำเนิดเป็น “คานี” เทพเจ้าแห่งการสร้างชีวิต แล้วคานีก็สร้างมนุษย์ขึ้น” เด็กน้อยพยายามจดจำสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์สอนด้วยการท่องจำ
“จากนั้นคานีก็สร้างนาวาไฮนีขึ้นมาเป็นภรรยาตนและเป็นลูกสาวคนแรกของเทพไอ นาวาไฮนีเป็นตัวแทนของความสงบเงียบและเยือกเย็นดั่งดวงจันทร์” เขายังคงท่องคำต่อไป
“แล้วทั้งสององค์ก็มีบุตรสามองค์ คานาลัว กู กับโลโน คานาลัวเป็นได้เป็นเจ้าผู้ปกครองนรกและความตาย กูเป็นเทพแห่งการดื่มกิน ส่วนโลโนก็เป็นเทพแห่งการเรียนรู้และภูมิปัญญา”
“จากนั้นสององค์ก็มีบุตรีอีกสามองค์ ทาโป ฮินะกับลาก้า ทาโปแต่งงานกับคานาลัว ฮินะแต่งงานกับกู และลาก้าแต่งงานกับโลโน”
“จากนั้น...”
“อูกาตี.. อูกาตี!” เสียงเรียกชื่อเด็กชายดังมาจากกระท่อมอีกหลัง
พ่อเฒ่ามานูอูเดินด้วยไม้เท้าออกมาจากกระท่อม เขาเรียกหาเด็กรับใช้ของตน ชายชราในชุดเสื้อคลุมเต็มตัว มีหมวกถักสานจากหญ้าปิดศีรษะและคลุมเสื้อคลุมทับกันความเปียกชื้น เขาไม่ต้องรอนาน อูกาตีในชุดคล้ายกันกับพ่อเฒ่าก็โผล่หน้ามาจากกระท่อมอีกหลังที่ใช้เป็นห้องครัว
“ข้าอยู่นี่ครับ” เขาขาน
“ท่านอาจารย์มีอะไรเหรอ?” ผู้เยาว์นั้นเอ่ยถาม
“เจ้าแจ้งข่าวลงไปยังหมู่บ้านหรือยังว่าให้หัวหน้านาเอนาอูขึ้นมาพบข้าน่ะ?” เสียงแหบแห้งพูดอย่างยากลำบากเพราะอาการไอที่เป็นมาตลอดช่วงปีหลังๆ
“ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” เด็กชายบอก
อูกาตีหมายถึงการเอาเรือกระดาษที่อาจารย์พับให้ไปปล่อยที่ต้นลำธาร แอ่งน้ำด้านล่างของน้ำตกสูงนั้นเป็นเหมือนจุดปล่อยสารที่ผู้เฒ่าต้องการบอกกล่าวแก่คนในชุมชนข้างล่าง เด็กชายทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ถูกเลือกขึ้นมารับใช้ผู้เฒ่ามานูอู ถึงมันจะน่าเบื่อไปบ้างแต่ผู้เฒ่าก็มีอะไรประหลาดๆ ไว้คอยสอนเขาหลายเรื่องหลายอย่าง เวลาที่ผู้เฒ่าใช้พลังสร้างแสงสว่างขึ้นบนโคมไฟทั้งสี่อันในห้องด้านหลังกระท่อมด้วยแล้วยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ อีกทั้งใครๆ ก็บอกกันว่าใครได้รับเลือกให้ทำงานนี้เป็นคนโชคดีที่สุดแล้ว
ผู้เฒ่ามานูอูกล่าวขอบใจอูกาตี--เด็กรับใช้แล้วผละกลับเข้าไปพักในกระท่อม
....................
ทันทีที่พวกทหารตะเกียกตะกายขึ้นชายหาดได้ องค์รัชทายาททรงกริ้วอย่างหนักเมื่อได้รับรายงานเหตุการณ์ที่เกาะคาอูไอ พระองค์ทรงไม่เข้าใจว่าธรรมชาติอันวิปริตที่เกิดขึ้นเกิดจากเหตุใด
หากนึกย้อนกลับไปดูเหตุการณ์เก่าๆ มีเพียงครั้งเดียวที่กองทัพพระองค์เหยียบย่างขึ้นไปบนเกาะได้ แต่ครั้งนั้นจู่ๆ ภูเขาไฟบนเกาะก็สำแดงอาการพิโรธคล้ายจะระเบิด เกาะทั้งเกาะสั่นสะท้านจนพระองค์ต้องสั่งกองทัพล่าถอย หลังจากนั้นก็ไม่มีสักครั้งที่จะสามารถขึ้นฝั่งไปได้อีก
หลายครั้งที่เรือพายของทหารนักรบของพระองค์คืบใกล้ถึงฝั่งก็ต้องเกิดคลื่นลมหรือไม่ก็พายุฝนอย่างหนักคอยต้าน จนต้องสั่งให้ถอยกลับก่อนจะพากันตายทั้งหมด หรือว่านี่จะเป็นอำนาจของเทพเจ้าอย่างที่พวกทหารฟังชาวบ้านบนเกาะมูอูอานูนี้ว่ากัน
“เอาเถอะ อีกไม่นานเราจะได้กำลังทหารจากกองทัพเรือยุโรปมาช่วย บัดนั้นต่อให้คลื่นลมพายุแรงขนาดไหนก็คงไม่อาจทำให้เราล่าถอยได้อีก”องค์คาเมฮาเมฮาวาดภาพ หลังพระองค์รับสั่งพูดคุยเรื่องว่าจ้างกองทัพเรือชาติโปรตุเกสไว้แล้วเมื่อปลายฤดูร้อนก่อนนี้
หลังจัดเตรียมกำลังทัพได้อีกครั้ง คำสั่งบุกขององค์รัชทายาทส่งผลให้ทหารชุดใหม่ทยอยเอาเรือออกน่านน้ำ ฝีพายอันแข็งแกร่งแบบลูกทะเลจ้วงน้ำไปอย่างรวดเร็ว หัวเรือพุ่งทะยานฝ่าเกลียวคลื่นไปดังลูกกระสุน มันพุ่งเข้าไปใกล้ฝั่งทุกขณะ แต่ขณะเดียวกันลึกลงไปใต้ท้องเรือ ในผืนน้ำลึกจนมองเห็นได้ยากว่ามีเงาขนาดใหญ่ของบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนตัวตามเรือไปด้วย ยิ่งใกล้ยิ่งปรากฏจำนวนมากขึ้นเป็นทวีคูณ
จนเมื่อพวกทหารบนเรือพาเรือเข้าเขตน้ำตื้นตรงลาดชายหาดของเกาะ บางคนจึงทันสังเกตเห็นเงาในน้ำว่าเป็นฝูงปลาฉลามตัวเล็กตัวใหญ่มากมายใกล้เคียงร้อยตัวว่ายเบียดเสียดกันใต้เรือของตน อาการตื่นตระหนกทำให้บรรดาทหารพากันชะงักมือ
ฉลามพวกนั้นพากันว่ายล้ำน้าไปออกันอยู่บริเวณก่อนถึงชายฝั่ง ครีบกระโดงที่โผล่พ้นน้ำว่ายฉวัดเฉวียนไปมาอย่างวุ่นวาย ภาพที่เห็นทำให้ทหารเกือบทั้งหมดขวัญผวา ถึงจะเป็นลูกทะเลที่ไม่กลัวฉลามก็เถอะ ลองมาเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นใครก็ต้องขวัญหนีดีฟ่อ
ท้ายที่สุดพวกทหารก็ต้องหันหัวเรือกลับ
....................
บนเกาะ เด็กน้อยรับใช้ของมานูอูกำลังเดินกลับไปยังกระท่อมหลังผู้เฒ่าสั่งให้เขาเอาเรือกระดาษมาปล่อยเช่นเคย
จนถึงช่วงก่อนค่ำหัวหน้าหมู่บ้านทั้งสามที่ลำธารไหลผ่านก็เดินเท้าขึ้นมาถึงกระท่อม จากหมู่บ้านหนึ่งเป็นลูกหลานชาวทะเลจากหมู่เกาะไกลโพ้นทางใต้ อีกหมู่บ้านหนึ่งสืบเชื้อสายมาจากแผ่นดินอันเป็นเกาะใหญ่ไกลโพ้นทางตะวันตก อีกหนึ่งเป็นหมู่บ้านของคนพื้นถิ่นผิวแดงที่อาศัยตั้งรกรากมานานก่อนการมาของอีกหลายๆ ชนเผ่าบนเกาะแถวนี้
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้เฒ่าเอ่ยถามหลังทุกคนนั่งคุกเข่าลงรอบกองไฟกลางกระท่อม
“พวกทหารขององค์รัชทายาท โดนลมฝนของกูและโลโนที่พัดเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน ทำเอาเรือพลิกล่มและล่าถอยไปเช่นหลายๆ ครั้งแล้ว” หัวหน้าเผ่าหนึ่งตอบ
“ดีแล้วล่ะ” มานูอูกล่าว
“แต่มันจะดีได้อย่างไรผู้เฒ่า เดี๋ยวพวกมันก็ยกทัพมาอีกอยู่ดี” หนึ่งในนั้นทักท้วง
“เจ้ายังเด็กนัก คงไม่รู้หรอกว่าสงครามนั้นโหดร้ายเพียงใด โดยเฉพาะสงครามของชนเผ่าเดียวกัน” ผู้เฒ่าพูดไปก็ไอไป จนอูกาตีต้องขยับกระโถนให้บ้วนเสลด
สามหรือสี่คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นทำสีหน้าฮึดฮัด เพราะพวกเขาสืบเชื้อสายจากผู้มาไกลในถิ่นฐานอื่น หากดูเฉพาะผิวพรรณก็เด่นชัดเมื่อพวกเขาบางคนมีผิวขาวเหลืองและบางคนมีผิวสีเข้มแดง ส่วนชนเผ่าจากตอนใต้และผู้บุกรุกนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งรูปร่าง ผิวพรรณที่คล้ำดำแบบชาวทะเล
“อย่างน้อยๆ พวกนั้นก็เป็นเชื้อสายพี่น้องกันกับพวกเจ้าส่วนหนึ่ง” ผู้เฒ่าว่าพลางมองไปยังคนที่ตนหมายถึง ฝ่ายนั้นได้แต่ก้มหน้านิ่งอย่างรู้สึกผิดในเชื้อชาติของตน
“เอาเถอะนะ เรื่องสำคัญตอนนี้คือ...” มานูอูพูดไม่ทันจบประโยค เขาก็สำลักออกมาเป็นลิ่มเลือด ทุกคนในที่นั้นต่างอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ดีว่าผู้เฒ่ามานูอูนั้นสุขภาพไม่ดีมานานแล้ว แต่ด้วยหน้าที่อันเป็นที่พึ่งพิงฐานะผู้สื่อสารกับเทพเจ้าทั้งสี่ทำให้ผู้เฒ่ายังต้องใช้พลังงานร่างกายอย่างหนัก
ตัวมานูอูเองก็รู้ดีว่าสภาพร่างกายของเขาแย่ขนาดไหน ในฐานะผู้สื่อสารกับเทพกู เทพโลโน เทพคานและเทพคานาลัว เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ผู้ปกป้องคุ้มครองเกาะคาอูไอ เขาคือร่างเคารพและความเชื่อมั่นของชาวเกาะที่จำเป็นยิ่ง โดยเฉพาะกับการต่อต้านกองทัพของราชวงศ์จากเกาะตอนใต้ซึ่งบัดนี้สามารถแผ่อำนาจปกครองได้เกือบหมดแล้ว
สิบปีที่มานูอูได้ใช้ตัวเองต่างองค์เทพเจ้านำทางผู้คนและคุ้มครองทุกชีวิต บัดนี้เขารู้แล้วว่าตนเองคงมาได้เพียงเท่านี้
สีหน้าไม่สู้ดีของผู้เฒ่าทำเอาทุกคนเครียดไปตามๆ กัน นานหลายนาทีที่ต่างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาใดใด เงียบจนเสียงถอนหายใจของบางคนได้ยินกันทั่ว ผู้เฒ่าถึงได้เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“มันอาจจะอึดอัดใจพวกเจ้าอยู่บ้างที่ข้าจะพูดต่อไปนี้”
“อำนาจของเทพเจ้าที่มีอยู่ข้าอาจจะใช้นำพาพวกเจ้าไปอีกไม่นาน” ทุกคนต่างเงียบเพราะคิดเรื่องนี้อยู่แล้วในใจ
“ไม่นะอาจารย์ ข้ายังมีเรื่องต้องให้ท่านสอนอีกเยอะแยะเลย” เด็กรับใช้ของผู้เฒ่าร้องไห้กระซิกๆ
“เจ้าจะได้รับการถ่ายทอดทุกอย่างจากเทพแน่นอน ข้าสัญญา... แต่ตอนนี้เจ้าเด็กเอ๋ย เจ้าออกไปก่อนเถิด” มานูอูปลอบและลูบหัวบ่าวตัวน้อยของเขา เด็กน้อยคำนับแล้วคลานเข่าหลบออกไปนอกกระท่อม
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นกังวล แต่เวลามันคงไม่พอแล้ว ตอนนี้วิญญาณในตัวข้ากำลังจะดับสูญ มันคงเป็นโอกาสรับใช้เทพเจ้าเพื่อพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ข้าจึงมีทางเลือกแก่พวกเจ้าแค่สองทาง...” ผู้เฒ่าแห่งเกาะกล่าวเสียงหนักแน่นจริงจัง
“หนึ่ง เทพเจ้ายินดีกำจัดกองทัพศัตรูของเราให้สิ้น หากเลือกทางนี้ คานาลัวเทพจะบันดาลความตายอย่างเอน็จอนาจแก่พวกมันทั้งหมด พวกทหารและองค์รัชทายาทจะตายลงในลมทะเลและเพลิงไฟจากพิบัติภัยแผ่นดิน แต่หลังจากนั้นข้าคงไม่อาจจะช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเจ้าได้อีก หรือสอง...”
ทุกคนในที่นั้นตั้งใจฟังทางเลือกที่เหลือด้วยใจจดจ่อ
“หรือสองคือผูกมิตร เทพเจ้าจะบันดาลชัยชนะให้แก่รัชทายาทโดยไม่สูญเสียพวกเราบนเกาะแม้แต่ผู้เดียว แลกกับการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ปกครองของราชวงศ์ใหม่”
สิ้นเสียงของผู้เฒ่ามานูอู ต่างฝ่ายต่างหันหน้าไปพูดคุยกันในเผ่าของตนเอง หนทางของชาวคาอูไอขึ้นอยู่กับการตัดสินใจนี้เท่านั้น
....................
กลางคืนที่หมู่บ้านชาวประมงบนชายฝั่งของเกาะมูอูอานูคืนนี้เงียบปิดปกติ คาเมฮาเมฮารัชทายาทใหญ่ผู้เตรียมสืบทอดบัลลังค์ราชาผู้ปกครองหมู่เกาะทะเลไกลแห่งนี้เดินทอดน่องครุ่นคิด หากเพียงแต่ทำให้เกาะคาอูไอยอมสยบ พระองค์ก็จะรวมเกาะนี้ขึ้นเป็นจักรวรรดิเดียวได้แท้ๆ
เสียงเพลงประหลาดดังขึ้นจากที่ใดที่หนึ่ง พระองค์รู้สึกหลงใหลอย่างประหลาดจนต้องเดินตามหาที่มาของเสียง น่าแปลกใจที่ตลอดทางเดินพระองค์ไม่พบใครผู้ใดเลย ไม่แม้แต่ทหารหรือชาวบ้านสักคน
“ช่างเถอะ... ข้าอยากรู้ที่มาของเสียงนี่มากกว่า” คาเมฮาเมฮาบอกตัวเองขณะที่ยังคงก้าวพระบาทไปต่อ
พระองค์เดินไปจนถึงชายหาด เสียงนั่นดังมาจากตรงปลายสะพานท่าเรืออย่างแน่นอน ทั้งยังเห็นเงาของคนเล่นอยู่บนนั้นเสียด้วย
เมื่อรู้ชัดเช่นนั้นพระองค์ก็ก้าวเท้าเร็วขึ้นอีก แต่ยิ่งเดินยิ่งไม่อาจจะไปถึง จนพระองค์ต้องทรงหยุดก้มหน้าหอบ แต่พอเงยหน้าขึ้น ปลายท่าเรือและผู้ที่อยู่ตรงปลายก็ปรากฏห่างไปแค่ไม่ถึงสิบเก้า พอองค์คาเมฮาเมฮาก้าวเท้าออกไปร่างนั้นก็เหมือนถอยห่างไปข้างหลังหนึ่งก้าวเช่นกัน
“หยุดอยู่ตรงนั้นเถิดคาเมฮาเมฮา” เสียงบุคคลผู้นั้นร้องบอก
“ท่านไม่จำเป็นต้องก้าวเข้ามาจนถึงเรา แต่ท่านก็ถึงเราแล้ว” คำพูดชวนงงงวย
“เจ้าเป็นใคร?” องค์รัชทายาทถามด้วยเสียงอันดัง
“เราคือเรา เราคือผู้เป็นเรา เราคือผู้ประกอบจากเรา”
“พูดอะไรข้าไม่เข้าใจ”
“ท่านจักเข้าใจหากท่านอยากเข้าใจ ท่านจักสงสัยหากท่านใคร่สงสัย” ร่างนั้นตอบ
ครั้งแล้วร่างนั้นก็เดินกลับมาทางที่พระองค์คาเมฮาเมฮาทรงยืนอยู่ ความสว่างเพียงเล็กน้อยในเงามืดทำให้พระองค์สังเกตการแต่งกายของอีกฝ่ายได้ไม่ถนัดนัก ดูคล้ายชายร่างกายเตี้ยหลังงุ้มที่คลุมไว้ด้วยผ้าทอหนา แต่ยิ่งเดินชายผู้นั้นค่อยๆ ยืดตัวสูงขึ้นสูงขึ้นจนสูงล้ำพระองค์ แล้วพระองค์ก็ทรงตระหนักว่าที่อยู่ต่อหน้าพระองค์บัดนี้คือยักษ์ตนหนึ่ง แต่ที่ทำให้ตกพระทัยที่สุดคือใบหน้าของยักษ์ตนนี้เป็นใบหน้าพระองค์เอง
“เจ้าจงหยุดอำนาจรบของท่านไว้แต่เท่านี้เถิดคาเมฮาเมฮา” ร่างนั้นเปล่งเสียง
“หยุดอำนาจของเราเพียงเท่านี้ แล้วเราจะเอาความเป็นหนึ่งเดียวมาสู่ชาวเกาะได้อย่างไร?” พระองค์ตะโกนตอบ
“เจ้าพวกบนเกาะนั้นต่อต้านการรวมเป็นหนึ่งของบิดาและของเรามาตลอด หากไม่กำราบให้ราบคาบ เห็นจะเป็นการยากที่เราจะทำให้ชาวเกาะทั้งหลายได้เป็นปึกแผ่น”
“พระองค์จักได้ในสิ่งที่อยากได้ พระองค์จักได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น” เสียงนั้นก้องสะท้านไปทั่ว มันต้องก้องเสียงจนองค์รัชทายาทใจสะท้านสั่น
“ความพ่ายแพ้จักนำทางพระองค์สู่ชัยชนะ ความปราชัยจักเกิดด้วยอาวุธประหัตประหาร”
“ข้าไม่เข้าใจ” คาเมฮาเมฮาตะโกนตอบไปเช่นนั้นสุดเสียง เสียงนั้นทำพระองค์สะดุ้งตื่น
....................
กองเรือโปรตุเกสเดินทางมาถึงหมู่เกาะในสัปดาห์ต่อมา เรือที่จอดเทียบชายฝั่งเกาะโคฮาลาเป็นเรือรบทันสมัยที่พร้อมเอาชนะชนเผ่าทั้งหมดบนเกาะคาอูไอได้ไม่ยากแน่นอน องค์กษัตริย์เคโออัว อาฮิลาปาลาแห่งคาฮูลุยทรงมองกองเรือด้วยความชื่นชม พระองค์สั่งให้แจ้งข่าวการมาถึงของเรือรบโปรตุเกสไปยังองค์ชายคาเมฮาเมฮาโดยด่วน
ด้านรัชทายาทองค์คาเมฮาเมฮาสั่งจัดขบวนทัพใหม่เมื่อกองทัพฟื้นคืนสภาพพร้อม ทหารที่ได้รู้ข่าวว่ากองเรือยุโรปจะมาช่วยในเร็ววันมีกำลังใจขึ้นโขจนจิตใจฮึกเหิม ดังนั้นเรือทั้งหมดจึงเตรียมพร้อมเสร็จอย่างรวดเร็ว
....................
ผู้เฒ่ามานูอูแจ้งเตือนหัวหน้าหมู่บ้านทุกบ้านให้ระมัดระวังลูกบ้านของตนไม่ให้ออกทะเล ไม่ให้ออกนอกพื้นที่ชุมชนตัวเอง
คำเตือนของเทพเจ้าผ่านร่างผู้สื่อสารถูกถ่ายทอดไปยังชุมชนต่างๆ ทุกคนต่างปฏิบัติตามแต่โดยดี ส่วนตัวผู้เฒ่าก็เข้าพิธีภายในกระท่อมอย่างเงียบๆ
เสียงฝนที่ลงเม็ดข้างนอกผสานกับเสียงสวดภาวนาของมานูอูฟังสอดคล้องกันอย่างประหลาด เจ้าเด็กน้อยนั่งฟังจนเคลิ้มหลับไป มานูอูรู้ด้วยตัวเองว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้ว เขาประสานมือที่แห้งแกร็นของตนเข้าด้วยกัน ทั้งสิบนิ้วสอดสานเป็นอุ้งมือ ความอุ่นเกิดขึ้นในอุ้งมือนั้นก่อนที่จะลุกเป็นเปลวไฟ แต่ชายชราดูเหมือนไม่รู้สึกร้อนประการใด เขาผายมือไปยังโคมสกัดจากหินภูเขาไฟทั้งสี่ชิ้นที่ตั้งล้อมตัวอยู่ ไฟในมือค่อยๆ ติดและขยายลามขึ้นห่อคลุมจนทั่วโคม แสงไฟนั้นระริกไว้ราวหับมีชีวิต
ที่ด้านนอกทะเลที่เคยสงบเกิดคลื่นลูกสูงๆ ลมพัดแรงราวกับเกิดพายุใหญ่ขึ้น ฝนตกหนักไปทั่วทุกพื้นที่เกาะและตลอดจนทั้งหมู่เกาะ
เรือของโปรตุเกสต้องรีบชักใบเรือเข้าหาที่หลบบนเกาะ พวกหัวหน้าเรือรู้ดีว่าหากลอยเรือต่อไป ลมที่ทวีความรุนแรงขึ้นจะหอบเอาน้ำทะเลเข้าเรือและถ่วงให้เรือจนในที่สุด ส่วนที่มาอูอานู กองเรือขององค์ชายต้องล่มแผนการเคลื่อนทัพออกไปก่อนอย่างไม่คาดฝัน
รัชทายาทสบถอย่างเสียอารมณ์ พระองค์สุดที่จะอดทนต่อเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
จู่ๆ เสียงดนตรีประหลาดที่องค์ทายาทแห่งคาฮูลุยได้ยินคืนนั้นแว่วดังมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันดังอยู่ในอาคารที่พักของพระองค์เอง เสียงนั้นแผ่วเบาแต่กังวานก้อง
“เจ้าจงหยุดอำนาจรบของท่านไว้แต่เท่านี้เถิดคาเมฮาเมฮา” เสียงนั้นเปล่งข้อความเดิม
“พระองค์จักได้ในสิ่งที่อยากได้ พระองค์จักได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น”
“ความพ่ายแพ้จักนำทางพระองค์สู่ชัยชนะ”
“ความปราชัยจักเกิดด้วยอาวุธประหัตประหาร” เสียงนั้นก้องสะท้อนซ้ายขวาหน้าหลังราวกับผู้พูดอยู่ทุกทิศทุกทาง
“แกเป็นใคร?” องค์ชายลั่นคำถาม
“เราคือเรา เราคือผู้เป็นเรา เราคือผู้ประกอบจากเรา” เสียงนั้นตอบ
“เรามาประกาศแทนผู้เป็นเจ้าคุ้มครองชาวเผ่าเหล่านั้น พระองค์ต้องทรงเลิกความประสงค์เอาชนะของพระองค์เสียแต่ตอนนี้ มิเช่นนั้นความย่อยยับจะตอบแทนคมดาบคมอาวุธของพระองค์”
“เลือดของผู้คนบนเกาะจะล้างด้วยลมหายใจของทหารและตัวพระองค์”
“เรามาเตือนพระองค์” เสียงนั้นเคร่งขรึมคำราม
ยังไม่ทันที่องค์รัชทายาทจะตัดสินพระทัย เกาะมูอูอานูทั้งเกาะก็เกิดสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เมื่อมองออกนอกหน้าต่างไปยังชายฝั่ง คลื่นลูกโตโถมเข้าหาฝั่งโครมคราม บางลูกสูงท่วมหัว บางลูกพัดเรือประมงเอียงกระเท่เร่ ผู้คนแตกตื่นจ้าละหวั่น แม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ในห้องประทับของพระองค์ก็ล้มกลิ้งระเนนระนาด
ยังไม่ทันที่จะทรงคิดอะไร ในทะเลก็เกิดพายุหมุนรุนแรง มันม้วนน้ำทะเลเป็นลำขึ้นจากท้องน้ำ บิดเกลียวเป็นเส้นส่ายไปมาเหมือนงูตัวใหญ่ เส้นลำตัวงูนั้นเชื่อมเมฆเข้ากับทะเล พระองค์ทรงตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก
“เรามาเตือนเจ้า องค์คาเมฮาเมฮา” เสียงประหลาดนั้นยังก้องดังชัดเจนราวกับติดต่อโดยตรงที่สมองของพระองค์
องค์คาเมฮาเมฮาทรงย่อตัวลงก้มคำนับกับพื้นด้วยความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก อำนาจที่พระองค์เผชิญหน้าอยู่เหนือล้ำเกินกว่าจะต่อต้าน ความคิดที่เกิดขึ้นมีเพียงประการเดียวคือหยุดเพียงเท่านี้ แต่—พระองค์จะทรงรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้เช่นไรหากเกาะเพียงเกาะเดียวนั้นยังคงอยู่นอกการปกครองของพระองค์
....................
ครืน.. ครืน..
ก้อนเมฆบนยอดเขาไวอะเลอะเลส่งเสียงครวญคราง ไม่แตกต่างกับท้องฟ้าเหนือเกาะคาอูไอและท้องทะเลใกล้เคียงด้วย วันนี้คลื่นลมรุนแรงเป็นพิเศษ แรงสั่นเบาๆ ทำให้ก้อนหินลาวาบนลาดสันเขาที่เป็นริ้วๆ หล่นร่วงลงมาเป็นระยะ หมอกบางๆ ลอยอยู่ทั่วเกาะ ชาวเกาะส่วนใหญ่แอบอยู่ในบ้านตามที่ได้รับคำตักเตือนมาก่อนหน้านี้จึงไม่อาจรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ข้างนอกบ้าง
ผู้เฒ่ามานูอูเรียกคนรับใช้ตัวน้อยของตนมาสั่งงาน ตอนนี้ไฟบนโคมหินลาวาดับสนิทไปหมดแล้ว อาการของผู้เฒ่าดูหนักหนารุนแรง เขาพูดคำไอคำ ทำให้เด็กน้อยใจเสียยิ่ง
“อย่าได้วิตกหรือเสียใจเลยอูกาตี เจ้ายังสื่อสารถึงข้าได้เสมอเมื่อเจ้าเข้าถึงสิ่งที่อาจารย์สอน” ชายผู้เฒ่าบอกอย่างอ่อนโยน
“แต่ว่า” เด็กชายร้องห่มร้องไห้
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองว่าอาจารย์กับเจ้าจะเชื่อมต่อกันอย่างไร”
“ก่อนอื่นจงลงไปที่หมู่บ้าน เอาข้อความที่อาจารย์จะบอกนี้ลงไปบอกกับผู้นำเผ่าด้วยตัวเจ้าเอง จากนั้นจงกลับมาหาอาจารย์ทันที” ผู้เฒ่ามานูอูบอกแผ่วๆ
“ครับ” เด็กน้อยรับคำแล้วรีบออกจากกระท่อมด้วยการวิ่งลงไปตามทางเท้าเล็กๆ เลาะเลียบไปตามลำธารที่พวกชาวบ้านใช้ขึ้นมา
หยดน้ำค้างที่จับใบไม้ในหุบเขาจับตัวหยดแหมะ กระทบเสื้อคลุมฟางกันฝนของอูกาตี เขาเก็บกระดาษข้อความที่ผู้เป็นอาจารย์สั่งความมา วิ่งตรงไปกระท่อมของหัวหน้าหมู่บ้านทีละหมู่บ้าน ครั้นครบทั้งสามเผ่าที่อาจารย์สั่ง จากนั้นเขาก็เร่งตัวเองกลับไปดูแลช่วงสุดท้ายของผู้เฒ่าที่กระท่อมเชิงน้ำตก
หัวหน้าแต่ละหมู่บ้านรับคำถ่ายทอดสุดท้ายจากผู้เฒ่ามานูอูจากผู้นำสารแล้ว ก็เรียกชาวเผ่าของตนมารับแจ้งข้อความ ก่อนที่หัวหน้าหมู่บ้านชาวเผ่าทั้งหมดบนเกาะจะนัดประชุมกันเองอีกครั้ง โดยมีข้อความสรุปว่าให้ส่งตัวแทนเจรจายอมรับการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวกับฝ่ายผู้นำทหารมารุกราญ แลกความสงบร่มเย็นบนเกาะทั้งหมด
....................
ที่ชายฝั่งมูอูอานู ทหารขององค์รัชทายาทกำลังโวกเวกกันใหญ่ที่เห็นขบวนเรือชาวเกาะมาจากเกาะคาอูไอเป็นขบวนใหญ่ ด้วยความที่ไม่คาดคิดมาก่อนทำให้แต่ละคนรีบคว้าอาวุธของตนมาประจำกาย ที่มีหน้าที่ประจำจุดก็รุดเข้าประจำการ แต่คำสั่งให้อยู่ในความสงบของผู้เป็นรัชทายาทก็ทำให้ทุกคนสงบลง
ขบวนเรือชาวเผ่าจากคาอูไอแล่นออกมาเป็นทิวแถว แพเรือมีหน้ากว้างกว่าสามสิบลำ กางใบสีสดและประดับประดาเรือด้วยดวงดอกไม้ ฝีพายหนุ่มทั้งหลายลงฝีพายอย่างเป็นจังหวะ เรือใบพื้นถิ่นขนาดเล็กก็ลอยไปข้างหน้าในทะเลสงบเงียบ น้ำทะเลสีฟ้าครามสะท้อนแสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่พ้นขอบฟ้าตะวันออกมาไม่เท่าไหร่เป็นประกายระยิบระยับ บทเพลงชาวทะเลที่กล่าวถึงองค์เทพเจ้าทั้งสี่และเพลงสรรเสริญองค์เทพไอถูกขับร้องเสียงกังวานก้อง
รัชทายาทคาเมฮาเมฮาสั่งทหารของพระองค์เตรียมขบวนต้อนรับกองเรือของชาวเผ่า พระองค์ประจักษ์รู้ด้วยคำบอกของผู้นำสารแล้วว่าพระองค์จักแพ้ต่อสิ่งใด เมื่อพระองค์ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อความเคารพนับถือของชาวเกาะ และเปิดเจรจาโดยเสมอภาคต่อกัน พระองค์จึงจะสามารถรวมหมู่เหาะเข้าเป็นหนึ่งเดียวได้
องค์คาเมฮาเมฮาทอดพระเนตรออกไปในทะเลกว้าง แล้วพระองค์ก็ทรงแย้มสรวล ความเข้าใจทำให้พระองค์ทรงพระสรวลออกมาเบาๆ โดยมีองค์รักษ์รับใช้ใกล้ชิดทำหน้างงๆ อยู่ไม่ห่าง
ความคิดเห็น