ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดีไซน์หัวใจ รักไร้แบบร่าง

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 คำมั่นสัญญา(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 56


    2. คำมั่นสัญญา

    การจราจรในกรุงเทพฯ ตอนไหนก็ติดวินาศสันตะโร แม้จะแค่ขับรถจากตลิ่งชันมาบางขุนนนท์ แต่อนิสสาก็เสียเวลาบนถนนอยู่เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง โดยเฉพาะโครงการขุดบำรุงผิวถนนเส้นจรัญสนิทวงศ์ใหม่ทำรถติดทั้งสาย

    กว่ารถที่ได้แต่เคลื่อนไปทีละคืบจะปล่อยให้หญิงสาวได้เลี้ยวรถเข้าเส้นหลักที่ไปบางขุนนนท์ได้ก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมง

    อนิสสาปาดรถเข้าแอบข้างกำแพงคอนโดมิเนียมเยื้องกับด้านหน้าตึกออฟฟิศของผู้เป็นป้า และตอนนี้เป็นมรดกภาคบังคับให้รับผิดชอบของเธอ สิบโมงกว่าก็นับว่าสายแล้วสำหรับวันแรกที่จะต้องเริ่มต้นงาน

    “สวัสดีจ้ะหนูนิด” ป้าศรีสมัย—หนึ่งในสามป้าสำหรับเธอร้องทัก

    “สวัสดีค่ะป้า” อนิสสาตอบไปพลาง เปิดประตูเอาของในรถไปพลาง

    ผู้ที่ยืนรอช่วยรับของคือศรีสมัย หนึ่งในแก๊งค์สามป้าของอนิสสา แก๊งค์นี้มีป้าศรีสมัย—สาวโสดวัยไกลแรกรุ่น ผู้รับผิดชอบเอกสารและติดตามงานจากโรงพิมพ์ ป้าสมพิศ—สาวลูกสองคอลูกทุ่ง มีเสียงเหน่อเป็นเอกลักษณ์หน้าที่หลักคือตามงานเขียนจากนักเขียนและดูแลจัดคอลัมน์ต่างๆ ส่วนป้าสุดท้ายคือป้าปกรณ์—เกย์สาวแตกที่เพิ่งมาแสดงตัวเมื่ออายุย่างสี่สิบ หน้าที่ประจำคือดูแลคิวงานและตารางงานถ่ายปก

    นอกจากสามคนนี้ก็ยังมีน้าอุศเรศที่เป็นน้องเล็กสุดคอยดูแลเรื่องบัญชีและสายส่ง ส่วนงานขับรถ พ่อบ้าน คนสวน เด็กซื้อข้าวกล่องและงานจิปาถะนั้นลุงทักษิณรับเหมาทำแต่เพียงผู้เดียว

    “ขอโทษที่นิดมาสายนะคะ ถนนข้างหน้าโคตรจะติดเลยค่ะ” อนิสสาเอ่ยขอโทษ พร้อมทั้งยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมด้วยมารยาทงดงามตามที่ผู้เป็นมารดาสอนจนติดเป็นนิสัย

    “คุณนิดก็มาอยู่ที่คอนโดฯคุณป้าสิคะ จะได้ไม่ต้องห่วงรถติด” ศรีสมัยออกความเห็น

    “ไว้นิดจะลองคิดดูนะคะ”

    “ว่าแต่แย่จังเลยนะคะเนี่ย วันแรกก็สายเสียแล้ว” อนิสสาบ่นให้ตัวเอง

    “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ อ๊ะนี่... กุญแจห้องคุณประภาพิมพ์จ้ะ ป้าเค้าฝากไว้ให้หนู” ศรีสมัยบอกและยื่นกุญแจให้

    หญิงสาวรับกุญแจมาก่อนเดินขึ้นไปชั้นสาม โดยไม่ลืมที่จะแวะไหว้ผู้ร่วมงานที่ทำงานอยู่ในออฟฟิศชั้นสองก่อน

    อนิสสาไขกุญแจเข้าไปในห้องของผู้เป็นป้า ในห้องมีกลิ่นหนังสือเก่าอบอวลอยู่แม้จะเพียงเบาบาง ห้องของประภาพิมพ์ไม่มีเครื่องปรับอากาศไม่เหมือนห้องทำงานที่ชั้นสอง ดังนั้นอนิสสาจึงเดินไปเปิดหน้าต่างหวังจะรับลมจากภายนอกแต่ก็ไม่มีลมแม้สักนิดเดียวพัดผ่านเข้ามา เธอจึงต้องกลับมากดปุ่มพัดลมเพดานให้หมุนไล่ความร้อนออกไป

    นี่ป้าใหญ่ทำงานในห้องร้อนๆ แบบนี้ได้อย่างไรกันนะ? หญิงสาวคิด

    ข้าวของในห้องถูกจัดเรียงเป็นระเบียบ สมัยเป็นเด็กอนิสสาอาจจะมาที่นี่บ่อย แต่พออยู่มัธยมก็ไม่ค่อยได้มา จริงอยู่ว่าตอนอยู่มหาวิทยาลัยเธอมาแถวนี้หลายครั้ง แต่ก็แค่ขับรถมาแวะรับผู้เป็นป้าที่คอนโดมิเนียมเพื่อกลับบ้านเท่านั้น ไม่ได้เข้ามาในออฟฟิศเลย

    อนิสสาเพิ่งมีโอกาสเดินสำรวจห้องนี้อย่างจริงจังๆ ป้าเธอสะสมหนังสือนิยายเก่าๆ และภาพถ่ายไว้เยอะมาก มีแฟ้มเอกสารรายละเอียดงานและบัญชีต่างๆ เต็มชั้นวางชั้นหนึ่ง บนชั้นวางมีรูปถ่ายป้าใหญ่กับแม่ของเธอ มีรูปถ่ายผู้ชายสีขาวดำหน้าตาหล่อเอาการ แล้วก็มีรูปถ่ายเธอคู่กับผู้เป็นป้าด้วย อนิสสามองรูปและยิ้ม รูปนี้หญิงสาวจำได้ว่าเธอเพิ่งสิบขวบเท่านั้นเอง

    อนิสสาเดินลงบันไดมาดูห้องทำงานของคนอื่นๆ แต่ละมุมดูเก่าแก่และโบราณ ขนาดที่ว่าออฟฟิศสำนักงานกฎหมายแห่งแรกที่เธอไปทำงานทั้งเก่าและโทรมมากแล้ว ที่นี่ยิ่งกว่านั้นอีก

    มันคงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างแล้วสินะ? อนิสสาคิดในใจ

    หญิงสาวหยิบนิตยสาร “นรีสาร” ขึ้นมาถือและเปิดอ่านผ่านๆ ภาพและเรื่องราวในนั้นค่อนข้างดีทุกอย่างเว้นแต่ว่ารูปแบบนิตยสารแบบนี้เธอไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก ในฐานะผู้บริหารคนใหม่แถมมือใหม่อย่างเธอเธอยังนึกออกเลยว่ามันเชย นอกจากนี้เธอยังรู้สึกแปลกๆ กับการที่ผู้ร่วมงานทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีอายุมากมายกว่าเธอหลายสิบปีนัก

    ในสมองของอนิสสาเกิดคำขึ้นมาสามคำ รีโนเวท รีฟอร์มและรีแบรนด์ดิ้ง ปรับปรุงออฟฟิศเสียใหม่ จัดรูปแบบทีมงานเสียใหม่ และปรับปรุงหัวหนังสือใหม่ แต่เธอจะเริ่มจากตรงไหนดีนี่สิ

                ....................

                อนิสสาเรียกประชุมพนักงานทั้งออฟฟิศในเช้าวันต่อมา เพื่อตามความคืบหน้าของงานเก่าก่อนที่เธอจะเริ่มต้นทำงานจริงๆ

                วันนี้ปกรณ์ติดถ่ายปกเล่มหน้าพอดีเลยไม่เข้าออฟฟิศตอนเช้า ส่วนคนอื่นอยู่กันพร้อมหน้า

                “อนิสสาขอฝากเนื้อฝากตัวอย่างเป็นทางการนะคะ” หญิงสาวกล่าว

                รายงานวันนี้ทำให้หญิงสาวรู้ว่าป้าใหญ่เตรียมงานไว้ให้เธอล่วงหน้าสองปักษ์ตั้งแต่ระหว่างเตรียมตัวเดินทางไปอเมริกา นั่นทำให้อนิสสามีเวลาหนึ่งเดือนสำหรับปรับทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางในแบบที่เธอต้องการ

                เธอร้องขอให้แต่ละคนทำรายงานสิ่งที่ตัวเองทำอยู่และเตรียมตัวจะทำในแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ให้เธอด้วย เพราะถ้ามีเวลาเธอจะขอเข้าไปดูอย่างใกล้ชิดเพื่อเรียนรู้งานไปพร้อมๆ

                ตอนสายอุศเรศหอบร่างอ้วนท้วนของเธอเข้าประตูมาอย่างลำบาก เธอบอกอนิสสาว่าคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานข้างล่างรวนอีกแล้ว ก่อนจะถามว่าให้ตามช่างมาจัดการเลยหรือเปล่า หญิงสาวพยักหน้า เมื่อไต่ถามถึงรู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์มันโบราณมากแล้ว ก็เลยให้หาข้อมูลราคาเครื่องใหม่แบบที่ไม่แพงมากนักมาให้ดูด้วย

                ยังไม่ทันพ้นเช้า สายส่งก็ขนหนังสือที่คืนกลับมาจากร้านมาส่งที่ออฟฟิศ ตามการเช็คของศรีสมัยเห็นว่ารอบนี้ยอดหนังสือตีกลับเยอะกว่าเดิม นั่นหมายถึงคนซื้อลดลง แถมพอดูรายการบันทึกนิตยสารที่ตีกลับของเดือนก่อนๆ ก็เห็นว่าเพิ่มขึ้นตามลำดับ

                “เป็นอย่างนี้มาหลายเดือนแล้วเหรอคะป้าศรี” อนิสสาเอ่ยถามกับศรีสมัย

                “จ้ะ ตั้งแต่ต้นปีมาก็ยอดจำหน่ายไม่ดีเลย” หล่อนด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

                “คุณหนูนิดว่ามันจะแย่ไปกว่านี้ไหม?” อุศเรศที่ดูแลเรื่องสายส่งอยู่แล้วตั้งคำถาม

                อนิสสาอึ้งไปชั่วครู่

                “ไม่หรอกค่ะน้า นิดจะไม่ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นแน่ๆ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น ทั้งที่เธอก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดีเช่นกัน

                ....................

                ที่ไซต์งานโครงการบ้านศิริวรา (พุทธมณฑล-ราชพฤกษ์) รถเบนซ์สปอร์ตคันสวยพุ่งปราดผ่านป้อมยามเข้าไป ถนนคอนกรีตของโครงการทอดยาวขนานทะเลสาบที่สร้างขึ้นเข้าไปลึกเป็นกิโลเมตร เจ้าของรถพยายามมองหารถกอล์ฟของโครงการเพราะรู้ว่าคนที่ตามหาอยู่น่าจะใช้ขับตรวจสเปคบ้านแต่ละหลัง

                เสียงรถที่บึ่งแล่นทำเอาพวกคนสวนซึงกำลังลงหญ้าสนามอยู่ต้องเงยหน้ามอง รถวิ่งเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งแล้วก็ทะลุออกอีกซอยหนึ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะเบรกล้อเสียงลั่นจ่อท้ายรถคันที่มองหา

                ประตูถูกผลักออกมาอย่างแรง ผู้หญิงในรถก้าวลงมาแล้วรีบสาวเท้ายาวๆ เข้าไปในบ้านหลังที่รถกอล์ฟคันนั้นจอดอยู่

                “ณพัฒน์!!” หญิงสาวโวยวายลั่นบ้าน ห้องหับที่ยังไม่ได้เก็บรายละเอียดทำให้มีคนงานกำลังทำงานอยู่กลุ่มใหญ่ ครั้นพอมีเสียงผู้หญิงมาตะโกนอยู่ในบ้าน พวกเขาเลยอดชะโงกหน้ามาดูไม่ได้ แต่พอเจอสายตาโกรธเกรี้ยวเขม่นจ้องก็ต้องรีบหลบหน้าไปอย่างรวดเร็ว

                “ณพัฒน์คะ ออกมาหานุจเดี๋ยวนี้เลยนะ” นุจรินทน์ยังคงตะโกนเรียกชายหนุ่มดังลั่น

                คนถูกตามตัวที่อยู่บนชั้นสองได้ยินเสียงเรียกแบบนั้นก็ต้องขอตัวจากทีมวิศวกรชั่วคราว ชายหนุ่มก้าวฉับๆ ลงบันไดราวกับกระโดด เขากะไว้แล้วว่าวันนี้อย่างไรเสียผู้หญิงคนนี้ก็ต้องตามหาเขาจนเจอจนได้

                เมื่อลงบันไดมาถึงชั้นล่าง ณพัฒน์มองเห็นฝ่ายหญิงกำลังยื่นหน้าเข้าไปมองในห้องครัว

    “คุณจะตะโกนทำไมนุจรินทร์?” เขาเอ่ยถาม

    หญิงสาวหันขวับกลับมา แววตาบึ้งตึงและโกรธแค้น

                “อยู่นี่เองเหรอคะณพัฒน์” นุจรินทร์เสียงแข็ง

                “ทำไมคุณต้องเสียงดังด้วย ไม่อายพวกคนงานหรือไง?” ชายหนุ่มถามอย่างไม่สบอารมณ์

                “อายทำไม? นุจเป็นลูกสาวเจ้าของโครงการนี้ ใครจะกล้าว่า” หญิงสาวตะเบ็งเสียง

                “โอเค งั้นคุณมีอะไร?” ชายหนุ่มถามอย่างไม่ใส่ใจ

                “ณพัฒน์ไปบอกคุณพ่อได้ไงคะว่าจะไม่แต่งงานกับนุจ?” หญิงสาวถาม

                ชายหนุ่มนึกไว้แล้วว่าเธอจะต้องมาด้วยเรื่องนี้ เพราะวันก่อนตอนที่ไปเจอคุณพ่อของเธอ เขาถูกถามแกมบังคับว่าจะพร้อมแต่งงานกับนุจรินทร์เมื่อไหร่ และลึกๆ ลงไปเขาเชื่อว่าคงเป็นเพราะหญิงสาวตรงหน้าคนนี้นี่เองที่เป็นคนขอให้บิดาเอ่ยปาก วันนั้นพอถูกถามเรื่องแต่งงาน เขาจึงตัดสินใจตอบปฏิเสธทันที

                “ก็เพราะผมไม่อยากแต่งงานกับคุณ” ณพัฒน์ตอบไปตามตรง

                แม้จะรู้จักกันมาหลายปีตั้งแต่สมัยอยู่ที่อังกฤษ แต่ก็เป็นนุจรินทร์ที่เที่ยวไล่ตามเขาตลอด ทีแรกเขาก็เห็นอกเห็นใจหญิงสาวที่มาอยู่ไกลบ้านไกลเมือง อีกทั้งสังคมคนไทยที่ลีดส์ก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย แทบจะเป็นกลุ่มเล็กๆ ด้วยซ้ำ เขาก็เลยต้องผูกไมตรีกับคนไทยด้วยกันไว้ แล้วนุจรินทร์ก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเด็กนักศึกษาไทยที่นั่น เพราะเขาจะเรียนจบก่อนหญิงสาวหลายปี ณพัฒน์เลยคิดว่าพอจบและกลับไปเมืองไทยก่อน นุจรินทร์ก็จะห่างหายจากการตามเข้าอยู่ตลอดไปเอง

                แต่ความเป็นจริงคือพอเขาเรียนจบ หญิงสาวก็ตามกลับเมืองไทยด้วยโดยไม่สนใจที่จะเรียนต่อ เดือดร้อนให้ผู้เป็นบิดาอย่างเจ้าสัวนภวัฒน์ต้องกึ่งขอร้องแกมแลกเปลี่ยนให้ช่วยกล่อมบุตรีกลับไปเรียนให้จบ พร้อมกับยกงานออกแบบโครงการที่อยู่ในแผนของบริษัทของตนให้บริษัทออกแบบของณพัฒน์ได้ทำ

                “แต่นุจไม่ยอมนะ ยังไงณพัฒน์ก็ต้องแต่งกับนุจ” หญิงสาวยื่นคำขาด

                เพราะเบื่อที่จะพูดคุยต่อกับคนเอาแต่ใจตัวเอง ณพัฒน์ก้าวเท้าออกไปจากห้องชั้นล่าง หญิงสาวตกใจที่เขาหันหลังหนีไปอย่างนั้น พอรู้ตัวก็รีบวิ่งตามหลังเขาออกไปโดยเร็ว

                ....................

    สัญญาณโทรศัพท์มือถือดังอยู่นาน แต่อนิสสาดูเหมือนจะไม่ได้ยิน หญิงสาวกำลังตรวจปรู๊ฟนิยายตอนใหม่ของนักเขียนสามท่านเพื่อเป็นการช่วยเหลืองานในออฟฟิศไปพลางๆ ระหว่างที่ค่อยๆ เรียนรู้กระบวนการภายในสำนักพิมพ์

                นิยายเรื่อง “มนต์เหมันต์” ของบุหลารันตีกำลังมาถึงไคลแมกซ์ พระเอกที่เป็นผู้พันของกองกำลังป้องกันประเทศสุริยขิรินทร์กำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายกบฎ ส่วนนางเอกซึ่งเป็นเจ้าหญิงของนวรินฐรัฐ แค้วนในปกครองของสุริยขิรินทร์กำลังจะถูกฝ่ายตัวอิจฉาลอบทำร้าย เหตุการณ์กำลังเข้มข้นมากว่าพระเอกจะผ่านวิกฤติและกลับมาช่วยนางเอกได้ทันหรือไม่

                อนิสสาอ่านไปตรวจแก้คำที่พิมพ์ผิดพลาดไปโดยไม่ทันรู้ตัวว่าเธอตกอยู่ในมนต์สะกดของมนต์เหมันต์เสียแล้ว เพราะพอต้นฉบับนั้นจบประโยคสุดท้าย เธอถึงกับหงุดหงิดด้วยความอยากรู้ตอนต่อไป

                พอหยิบนิยายเรื่องที่สองขึ้นมา “สาปสมิงแห่งดงจำปาหลวง ตอนที่ 5” ของเพชรพรรณไพรดูจะถูกจริตหญิงสาวตั้งแต่ประโยคแรก

                “ชั้นจะบอกให้รู้ไว้นะนายจอง ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนหรอกนะที่เอะอะจะต้องให้ผู้ชายคอยช่วย โดยเฉพาะผู้ชายใจดำแบบอีตาพรานนรายันต์” หญิงสาวเค้นเสียงใส่ลูกหาบหนุ่มน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ ตะหวัด .243 วินเชสเตอร์เข้าไหล่ได้ก็เดินกระฟัดกระเฟียดลงเรือนไป

                “ใช่ ไม่ต้องไปหวังพึ่งพาหรอกพวกผู้ชายน่ะ” อนิสสาออกความเห็นตาม

    หญิงสาวไล่อ่านคำในต้นฉบับไปอย่างเพลิดเพลิน จนโทรศัพท์ดังๆ เงียบๆ ไปตั้งสามหรือสี่รอบแล้ว แต่ก็ไม่สามารถละอารมณ์จากหน้ากระดาษได้

    นิยายเรื่องที่สามที่เธอตรวจบ่ายนี้เป็นเรื่อง “โสรยา-สารภี” นิยายรักโรแมนติกของสองสาวที่หนึ่งในนั้นข้างในเป็นชายหนุ่มที่ประสบอุบัติเหตุ และเคราะห์ร้ายที่ฟื้นขึ้นมาในร่างของหญิงสาวอีกหนึ่งคน พล็อตในจินตนาการแบบนี้อนิสสาไม่ค่อยจะปลื้มเท่าไหร่ เธอเลยอ่านคำถูกผิดผ่านๆ เพื่อวงคำที่ผิดให้ทีมงานได้กลับไปแก้ไขตาม

    ที่ชั้นสองนั้น สมพิศกำลังหัวหมุนกับการรับโทรศัพท์สายหนึ่ง นักเขียนคนหนึ่งแจ้งว่าไม่สามารถเขียนต้นฉบับให้ต่อไปได้ ต้องขอเว้นช่วงไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด ทั้งที่เพิ่งจะเริ่มนิยายเรื่องใหม่ได้ไม่กี่ปักษ์เท่านั้น

    “เว้ย... ฉันล่ะอยากจะตัดนิยายของยัยนี่ทิ้งจริงๆ” สมพิศพูดอย่างหัวเสีย

    “อะไรยะแม่สมพิศ? มีอะไรยะ?” ปกรณ์จีบปากจีบคอถาม

    “ก็อินังมุจจรินทร์นั่นไง มันโทรมาบอกว่ามันจะขอเว้นช่วงนิยาย ไม่ส่งต้นฉบับจนกว่าจะเขียนได้ มันว่ามันไม่พร้อมเขียน” สมพิศร่ายยาว

    “ต๊าย นังนี่อีกแล้วเหรอ? คราวที่แล้วก็ทีนึงล่ะ เห็นว่างานตัวเองถูกซื้อไปทำละครเย็นหน่อย ถีบค่าต้นฉบับขึ้นทันทีเลย” ปกรณ์ผสมโรง

    “แต่เล่นจะงดส่งต้นฉบับแบบไม่มีกำหนดแบบนี้ เป็นเรื่องสิยะ ต้องไปบอกคุณหนูนิดก่อน” สมพิศขยับลุกจากมุมของตัวเอง ค่อยๆ แอบตัวเองผ่านช่องแคบๆ ออกมาที่ประตู

    อนิสสากำลังเก็บต้นฉบับที่ตรวจทานแล้วใส่ซอง เขียนคำเตือนให้รู้ว่าเป็นงานที่อ่านแล้วไว้บนกระดาษโพสต์อิทแล้วแปะไว้บนหน้าซอง หญิงสาวเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกประตู

    “มีอะไรคะป้า?” หญิงสาวถาม

                ....................

    ตอนเย็นอนิสสาต่อโทรศัพท์ผ่านโปรแกรมโทรฟรีไปต่างประเทศ

                “ป้าใหญ่ขา นี่นิดนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเนือยๆ

                “จ้ะ”

                “มีอะไรเหรอลูก ทำไมน้ำเสียงดูท้อแท้จังเลย” ผู้เป็นป้าทัก

                “วันนี้สายส่งตีหนังสือกลับมา ยอดจำหน่ายเราไม่ค่อยดีเลยค่ะป้า นิดกลัวจัง” เธอบอก

                “ไม่ต้องกลัวนะลูก ป้ารู้อยู่แล้วล่ะว่ายอดจำหน่ายหนังสือเรามันลดลงมาเป็นลำดับ”

                “แล้วนิดจะทำไงดีคะ? ป้าศรีสมัยกับป้าปกรณ์เค้าว่าเป็นเพราะหน้าหนังสือเรามันเชย คนเลยไม่อยากหยิบอ่านกัน” อนิสสาพูดเหมือนจะร้องไห้

                “แล้ววันนี้ตอนน้าหงิมถามว่ามันจะแย่ไปกว่านี้ไหม นิดตอบไม่ถูกเลยค่ะป้าใหญ่”

                “แล้วหนูคิดว่าหนังสือตอนนี้มันเชยแบบนั้นหรือเปล่าล่ะลูก?” ผู้เป็นเจ้าของเดิมถาม

                “ค่ะ” เธอตอบเสียงอ่อยๆ ไม่เต็มคำด้วยเกรงใจผู้เป็นป้า

                “อันที่จริงหนังสือตอนนี้เป็นของนิดแล้วนะลูก ป้ายกให้เป็นสิทธิ์ขาดที่หนูจะทำอย่างไรก็ได้”

                “หนูอยากเปลี่ยนหนังสือให้ทันสมัยขึ้น เปลี่ยนนิยายในเล่ม หรืออะไรที่หนูเห็นว่าดีก็ตามนั้น”

                “และสำคัญสุด ป้าเชื่อว่าหนูทำได้จ้ะ และต้องทำได้ดีแน่ๆ” ประภาพิมพ์ให้กำลังใจหลาน

                “แล้ววันนี้ก็มีนักเขียนคนนึงจะของดส่งต้นฉบับด้วยค่ะ ป้าใหญ่ว่านิดควรทำยังไงดีคะ?” หญิงสาวบอก

                “ถ้าเค้าไม่ส่ง เราก็ไปทำอะไรเค้าไม่ได้หรอกจ้ะ ก็คงต้องแจ้งผู้อ่านไปว่านักเขียนของดจนกว่าจะเขียนอีกครั้ง แล้วก็หานิยายเรื่องใหม่มาแทน” ป้าใหญ่ของหญิงสาวแนะนำ

                “ป้าใหญ่ขา หนูคิดว่ามันจะต้องใช้ทุนพอดูในปรับหนังสือใหม่ให้มันดีขึ้น แถมยังต้องหาพนักงานเพิ่มด้วย มีแต่ค่าใช้จ่ายทั้งนั้น แต่รายได้นิตยสารเราไม่ดีเลย ป้าว่านิดควรทำจริงๆ เหรอคะ?”

                “ทำเถอะจ้ะ ป้าเองมีทุนพอให้หนูได้ทำตามที่หนูคิดว่าเหมาะสมนะลูก เสียดายป้านึกไม่ออกว่าป้าควรปรับปรุงหนังสือของเราอย่างไรให้มันดี ไม่งั้นนิดคงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้” ประภาพิมพ์พูดด้วยความรู้สึกสงสาร

                “นิดไม่ลำบากหรอกค่ะป้าใหญ่ นิดจะสู้โดยไม่ให้นรีสารต้องตกอยู่ในสภาพแย่ไปมากกว่าค่ะ” อนิสสาให้คำมั่น...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×