คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ พลานุภาพ2 : ดินแดนพันธะสัญญา
ภายในวังของเมเรนอฟตาร์ฟาโรห์แห่งอียิปต์—องค์กษัตริย์ผู้ถือมั่นพระองค์ดั่งเทพเจ้าเฉกเช่นองค์รามเสสที่สองผู้เป็นพระบิดา บัดนี้ไม่ว่าจะมองไปทางได้ก็ล้วนโกลาหลวุ่นวายยิ่ง เสียงโหยไห้และกู่ตะโกนอย่างบ้าคลั่งของเหล่าทหารหาญและข้าขุนนางบริวารทั้งหลาย ผู้สูญบุตรชายหัวปีลงในค่ำคืนสุดท้ายของเทศกาลปัสกา ไม่ต่างอะไรกับชาวนครพีรามเสสที่บัดนี้ไม่ว่าบ้านใดหลังคาใด หากแม้นมีบุตรชายคนโตคงชีวิตอยู่ บ้านเรือนนั้นย่อมมิใช่ชาวอียิปต์เป็นแน่
ในห้องบรรทมของบุตรชายหัวปี ว่าที่ผู้สืบทอดราชบัลลังค์แห่งกษัตริย์ ชายหนุ่มผู้กำลังเจริญวัยและเป็นที่รักของบิดาอย่างยิ่ง ทรงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงใดใดในอ้อมกอดของผู้เป็นพระมารดา พระนางสะอึกสะอื้นป่านพระทัยจะขาดตามร่างนั้นในบัดดล
“เป็นเช่นไรล่ะองค์ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่” พระนางตวาดพระสวามีด้วยความเกรี้ยวกราด
“พระองค์ทรงพอพระทัยแล้วสินะต่อการดื้อด้านต่อสิ่งที่พวกอิสราเอลเรียกว่าพระเจ้า”
“ทั้งแม่น้ำไนล์ที่กลายเป็นเลือด ทั้งฝูงสัตว์ที่ล้มตาย ทั้งภัยพิบัติต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไหนจะความมืดมิดที่ปกปิดดินแดนของเรา พระองค์หาได้ใส่พระทัยต่อมันอย่างแท้จริง”
“ขะ ขะ ข้า...” องค์ฟาโรห์มิอาจเอื้อนเอ่ย
“พระองค์มันโง่และบ้าที่จะเชื่อในไอ้พวกขี้ข้ามายากลทั้งหลายพวกนั้น” นางด่าทอด้วยความโกรธ องค์กษัตริย์ทรงนึกภาพเปรียบเทียบเหตุการณ์เจ้าพวกนักมายากลในวังแสดงให้เห็น กับอิทธิฤทธิ์ของเจ้าพวกผู้ต่อต้านพระองค์—ผู้ริอาจจะปลดปล่อยทาสอิสราเอลให้เป็นอิสระ ความแตกต่างของพลังที่มิอาจเทียบต่อกัน
“มาบัดนี้ บุตรชายของเราสิ้นแล้ว พระองค์คงพอพระทัยสินะ” พระนางประชด
ฟาโรห์เมเรนอฟตาร์ถลาจะเข้าไปกอดบุตรชาย แต่ผู้เป็นมเหสีผลักพระองค์จนกระเด็น
กษัตริย์ผู้มิทรงกลัวเกรงต่อสิ่งใดๆ บัดนี้กลิ้งพระวรกายไปไกลกับพื้นที่ปูรองไว้ด้วยผ้าทออย่างดี องค์ฟาโรห์เมเรนอฟตาร์ทรงค่อยๆ พยุงตัวขึ้นคุกเข่ากับพื้น แขนข้างหนึ่งของพระองค์ยกพาดเกี่ยวไว้บนร่างระเบียง เสียงร่ำไห้ของชาวนครพีรามเสสระงมไปทุกทิศทาง แต่ในใจพระองค์กลับรับรู้แต่เพียงความโกรธแค้นเท่านั้น
“ไอ้แก่นั่น ไอ้โมเสสกับพี่ชายของมัน” มันช่างเป็นเสียงแห่งความชิงชังเสียนี่กระไร
....................
ไม่ไกลนักที่นอกนครพีรามเสสอันโศกเศร้า ชาวเมืองโกเชน--เมืองของชาวยิวที่ถูกปกครองเยี่ยงทาสโดยราชวงศ์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ผู้คนต่างหวาดผวาต่อข่าวคราวที่เล่าลือมาจากในนครแห่งนั้น บัดนี้พระเจ้าได้ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ครั้งใหญ่ด้วยการพรากชีวิตของบุตรชายคนโตพวกอียิปต์ไปเสียสิ้น เป็นความหวาดหวั่นที่ปนไปด้วยความรู้สึกเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น
“เราจะทำเช่นไรต่อหรือโมเสส?” อาโรนผู้เป็นพี่ชายเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง
ชายชราวัยแปดสิบปีเศษผู้นั้นนั่งตรึกตรองเงียบๆ ผู้เกิดก่อนสามปีก็เฝ้ารอคำตอบด้วยใจจดจ่อ
นับตั้งแต่วันนั้น วันที่โมเสสกลับมาจากเมืองมิเดียน อาโรนได้พบว่าน้องชายของตนเปลี่ยนแปลงไป เขาดูเหมือนคนเลื่อนลอย พูดอะไรสับสนวกวน และดูราวกับพึมพำกับตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้อาโรนประหลาดใจยิ่งกว่าคือการที่โมเสสได้ชี้นำให้เขาสร้างสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าฟาโรห์ผู้กดขี่และชาวอียิปต์ทั้งหลาย ยิ่งนับวันอาโรนยิ่งเชื่อว่าพระผู้เจ้าจะทรงชี้แนะหนทางต่อไปผ่านโมเสสน้องชายของเขา
....................
อาโรนหวนนึกถึงวันแรกที่โมเสสให้เขาพาเข้าไปพบองค์ฟาโรห์ จู่ๆ โมเสสก็บอกแก่เขาให้ประกาศก้องต่อกษัตริย์ว่าจะพาคนอิสราเอลทั้งหมดไปจากอียิปต์ ความกลัวแล่นวูบจับหัวใจชายชราผู้นี้ อย่าว่าแต่กษัตริย์เลย ชาวอียิปต์ใครผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นได้ยินคำพูดของชายสติไม่สมประกอบผู้นี้ก็คงต้องโกรธและยากจะเชื่อเป็นธรรมดา แม้แต่คนยิวเช่นอาโรนเองก็ยากจะเชื่อ
ทหารในวังเตรียมกรูเข้ามาจับตัวเขาและน้องชาย แต่โมเสสสะกิดบอกให้เขาโยนไม้เท้าที่เอามาด้วยลงบนพื้น มันค่อยๆ กลายสภาพจากไม้เท้าธรรมดาๆ กลายเป็นงูตัวหนึ่ง พวกทหารแตกกระเจิงกลับไปด้วยความตกใจ ส่วนไอ้พวกนักมายากลวิชาคาถาพวกนั้นไม่รอช้าที่จะเสกคาถาปล่อยงูของพวกมันออกมาต่อกรด้วย
ผงควันและกลิ่นสารจากที่พวกมันบริกรรมคาถาอบอวลไปทั่วโถงพระโรง งูจากไม้เท้าปราดเลี้อยฉกงูของเจ้าพวกนั้นตัวแล้วตัวเล่า ทุกครั้งที่กลืนกินเข้าไปมันก็ขยายร่างใหญ่ขึ้น แต่ถึงจะตกใจ พวกผู้มีวิชาของฟาโรห์ก็ยังส่งงูตัวใหม่ออกมาอีก ซึ่งงูยักษ์ของเขาก็ฉกกลืนกินอย่างเอร็ดอร่อย ท้ายที่สุดงูจากไม่เท้าของอาโรนก็สูงจนหัวค้ำอยู่กับเพดาน
นั่นคือหนแรกที่ความเชื่อมั่นต่อพลังที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสฝังชัดในใจของอาโรน
....................
เสียงไฟในเตาปะทุเบาๆ โมเสสยังคงพึมพำแต่เพียงผู้เดียว อาโรน--พี่ชายขยับเดินมาสะกิดเพื่อถามว่าเขาจะเอาชาร้อนกับขนมปังหรือไม่ เช้านี้อาโรนรู้ดีว่ามันจะช่างโกลาหลยิ่งนัก เขารู้อยู่แล้วว่าเมื่อคืนพระเจ้าจะส่งเทวทูตมาเอาชีวิตบุตรชายหัวปีทุกคนของพวกอียิปต์นั่น แล้วเหตุการณ์นั้นก็เป็นจริงตามคำของโมเสสเสียด้วย โชคดีนักที่ชาวยิวทั้งหลายได้รับคำเตือนล่วงหน้าว่าให้เอาเลือดแกะป้ายทาที่หน้าประตูบ้านเรือนของตนไว้ก่อน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้เหล่าเทวทูตได้ผ่านไปโดยไม่ทำอันตรายใดใดกับผู้คนในบ้านนั้น แต่พอมันเกิดขึ้นจริงอาโรนก็อดผวาตามไม่ได้
“ซีนาย.. คานาอัน.. เรา.. ไปยังดินแดนพระเจ้า..” โมเสสพึมพำถ้อยคำไม่ประติดประต่อ
“ว่าอย่างไรนะน้องชายข้า” อาโรนดึงตัวเองเข้าไปหาโมเสส
“เทือกเขาซีนาย... เราจะพาชาวยิวทั้งหมดไปคานาอัน” น้ำเสียงของโมเสสแหบพร่าแต่ทรงพลังยิ่งนัก
ด้วยคำพูดของโมเสส อาโรนเรียกผู้นำชาวอิสราเอลทั้งสิบสองชนเผ่าในปกครองขณะนั้นร่วมพูดคุยเรื่องนี้ ทุกคนคิดเห็นเช่นเดียวกันว่าในครั้งนี้พระเจ้าได้ทรงทำในสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง และพระอิทธิฤทธิ์ครั้งนี้คงทำให้พวกอียิปต์ยินยอมปลดปล่อยชาวยิวเป็นแน่แท้
ไม่ช้าข่าวอพยพก็แพร่สะพัดไปทั่วโกเชน สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ตลอดจนนครพีรามเสส ผู้คนที่เป็นเชื้อสายชาวยิวต่างพากันเก็บข้าวของ กวาดต้อนสัตว์เลี้ยงของตนออกจากบ้านเรือน มุ่งหน้าสู่เขตเมืองโกเชนเพื่อสมทบกับชาวยิวในโกเชนและเริ่มต้นการเดินทางสู่ดินแดนคานาอัน—ดินแดนแห่งพันธะสัญญาของพระเจ้า
มันเป็นขบวนอพยพครั้งใหญ่ยิ่ง ประชากรเฉพาะผู้ชายทั้งแก่และหนุ่มมีมากถึงหกแสนคน ไม่นับผู้หญิงและเด็กอีกหลายแสนคน รวมแล้วนี่คือขบวนอพยพที่มีคนนับล้าน เสียงย่ำเท้าและล้อเกวียนก้องกึกไปทุกทิศทางที่ขบวนเคลื่อน แต่มันก็เคลื่อนได้อย่างเชื่องช้า
“อาโรน ท่านจงนำไม้เท้าของท่านมาเปลี่ยนกับของเราเถิด จากนั้นท่านจงกลับไปนำหน้าขบวนเช่นเดิม” โมเสสที่บางครั้งก็สามารถพูดได้อย่างปกติบอกแก่ผู้พี่ชายในค่ำแรกของการเดินทางอพยพ
“ไม้เท้าจะนำทางพวกเราให้เดินทางต่อไปได้แม้ในเวลากลางคืน” โมเสสกล่าว
อาโรนได้ฟังก็นำไม้เท้าที่เขาถืออยู่ในตอนกลางวันมาเปลี่ยนกับของน้องชาย ไม้เท้าของเขานั้นเปล่งพลังออกมาเป็นเสาเมฆสีขาว ควันหมอกของเมฆนั้นโอบคลุมไปทั่ว เหล่าชาวยิวถูกสั่งให้เดินทางอยู่ในหมอกควันนี้เพื่อไม่ให้ใครได้ทันสังเกต และเป็นเช่นนั้นเพราะพระเจ้าได้บันดาลอิทธิฤทธิ์ให้หมอกนี้เลือนสายตาผู้คน
ครั้นอาโรนกลับไปประจำตำแหน่งที่หน้าขบวนอีกครั้ง ไม้เท้าที่เขาถืออยู่ก็เปล่งแสงสว่างขึ้น เปลวไฟลุกติดที่ปลายไม้เท้าและพุ่งเป็นลำขึ้นบนฟ้า เสาไฟนี้ทำให้ชาวยิวสามารถเดินทางไปต่อได้แม้ในเวลากลางคืน
....................
ย้อนกลับไปที่วังกลางนครพีรามเสส
ความเศร้าเสียพระทัยของฟาโรห์เมเรนอฟตาร์บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นหมดแล้ว พระองค์สั่งรวบรวมไพร่พลเพื่อยกทัพไปจับพวกยิวกลับมาเป็นทาสอีกครั้ง โดยเฉพาะโมเสสที่พระองค์จะทรมานให้ตายอย่างช้าๆ บรรดาขุนนางทั้งหลายที่ต่างสูญเสียบุตรชายคนหัวปีต่างเห็นพ้องกับองค์กษัตริย์ ไม่ช้าไม่นานทัพรถม้ากว่าหกร้อยคัน รถธนูและเครื่องยิงอีกหลายร้อยคัน รวมถึงทหารเดินเท้าเรือนหมื่นก็พร้อมที่นอกนคร
เมเรนอฟตาร์ฟาโรห์ผู้กำลังกริ้วโกรธสั่งเคลื่อนทัพสู่เมืองโกเชนทันที แต่ที่เมืองนั้นว่างเปล่าไร้เงาชาวยิวผู้ใดทั้งสิ้น
ทหารของกษัตริย์รื้อค้นทุกซอกมุมก็หาได้พบแม้แต่สัตว์เลี้ยงสักตัว เมื่อได้ยินรายงานจากทหารทั้งหลายที่กลับมามือเปล่า ทรงสั่งให้กระจายกำลังออกค้นหาให้ทั่วทุกทิศทุกทาง ทรงประกาศว่าใครมีเบาะแสว่าพวกทาสเดินทางไปที่ใดอย่างไรจะได้รับรางวัลอย่างงาม
ล่วงเข้าหลายวันจากวันที่ว่างเปล่าของเมืองโกเชน ในที่สุดทหารของฟาโรห์ก็ได้รับข้อมูลมากพอที่จะเชื่อได้ว่ากองทัพผู้อพยพชาวยิวเดินทางไปทางใด
“พวกมันไปทางไหนกัน?” องค์เมเรนอฟตาร์ตะคอกถาม
“พวกทหารรายงานว่าพวกชาวยิวโดยการนำไปของโมเสสเดินทางลงใต้พะยะค่ะ” ชายสูงอายุผู้มีตำแหน่งสูงในกองทัพทูล
“พวกนั้นเลาะเลียบชายฝั่งทะเลแดงลงไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะพากันขึ้นบนเทือกเขาซีนาย”
“เทือกเขาซีนายหรือ?” ฟาร์โรห์ครางเสียงด้วยความสงสัย
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเมื่อรู้ทิศทางอย่างนี้แล้ว เจ้าจงสั่งทหารทุกกองทุกเหล่าที่ออกไปค้นหากลับมารวมกันที่นี่ ข้าจะยกทัพทั้งหมดตามไปจับตัวพวกมันเอง”
หัวหน้านายทหารผู้นั้นก้มตัวโค้งน้อมรับคำสั่ง เขาเดินออกจากโถงของกษัตริย์อย่างรวดเร็ว คำประกาศแพร่กระจายทันที ม้าเร็วถูกส่งออกไปตามตัวทหารทุกหมู่ทุกเหล่ากลับมารวมตัวในเวลาอันสั้นที่สุด เพียงไม่กี่วันองค์เมเรนอฟตาร์ก็ได้ยืนสูงเหนือบัลลังค์เบื้องหน้ากองทัพของพระองค์ ซึ่งขณะนั้นกองทัพอพยพของโมเสสและอาโรนได้เคลื่อนตัวลงจากอีกฟากของที่ราบสูงซีนายแล้ว
....................
ที่ริมทะเลนั้น โมเสสสั่งตั้งค่ายพักหลังจากไม่ได้หยุดพักการเดินทางเลยตลอดหลายสิบวัน บรรดาชาวยิวทั้งหลายยังคงมีเรี่ยวแรงอยู่แม้การเดินทางจะไกลนักก็ตาม นั่นเพราะพวกเขาต่างเดินทางได้เพียงเล็กน้อยในแต่ละวันแม้จะเดินทางทั้งวันทั้งคืนก็ตาม และต่างก็ได้พักมากพอจนหาความอ่อนล้าไม่เจอ
“อาโรน.. เจ้าจะนำทางเราไปที่ใดกัน” ผู้นำชาวยิวเผ่าหนึ่งเอ่ยถามในการนั่งประชุมกันคืนนั้น
“พระเจ้าทรงตรัสผ่านโมเสสให้เราไปยังคานาอัน” คำนั้นสร้างความงุนงงแก่บรรดาผู้นำเผ่าต่างๆ ที่รายล้อม
“ที่ใดคือคานาอัน?” คำถามนั้นเซ็งแซ่ไปทั่วกระโจมพัก
“ท่านจงสอบถามแก่โมเสสเถิดอาโรน ถามว่าที่ใดคือคานาอัน” ผู้นำที่อยู่ในสถานที่นั้นต่างขอร้อง
“ได้... เราจะถามให้” อาโรนกล่าว
ในกระโจมข้างเคียง โมเสสหลับลึกในความอ่อนล้า ชายวัยแปดสิบกว่าอย่างเขาไม่ได้มีเรี่ยวแรงแข็งแกร่งเช่นก่อนหน้านี้ บางทีนี่เป็นผลของการสื่อสารกับพระเจ้า ผลที่แลกมากับหนทางแห่งการปลดปล่อยชาวยิวทั้งหลายเพื่อเป็นอิสระในนิมิตฝันเมื่อหลายปีก่อน
“เจ้าผู้ปรารถนาปล่อยพี่น้องเป็นอิสระ โมเสส... เจ้าจักปลดปล่อยพวกเขาจากชาวอียิปต์ได้ดั่งใจ เจ้าจะได้หนทางแห่งการนั้นเพื่อตอบแทนแก่การศรัทธาต่อข้า แต่เจ้าจักสูญเสียพลังชีวิตส่วนหนึ่งต่างเครื่องบูชา เจ้าจักต้องมอบความมีอยู่ของพลังนั้นแก่ข้า”
“พลังชีวิต?” ในนิมิตฝันนั้นโมเสสยังไม่มีคำตอบจากพระเจ้าว่าเขาต้องแลกเปลี่ยนสิ่งใด
ที่จริงอาโรนไม่เคยรู้มาก่อนว่า แม้บุคลิกภายนอกของโมเสสจะดูผิดแผกไปจากปกติชน แต่ในจิตคิดรู้ของผู้เป็นน้องชายยังเป็นปกติดี หากแต่โมเสสไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวหรือพูดจาได้ดังที่ใจคิดเท่านั้นเอง นานครั้งนานทีที่เขาจะสามารถพูดฉะฉานและเคลื่อนไหวได้ราวกับเป็นปกติดังที่อาโรนเคยเห็นเคยได้ยิน แต่ก็แค่ช่วงสั้นๆ
....................
ทัพทหารของฟาโรห์เมเรนอฟตาร์เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน ลุเข้าวันที่สองพวกเขาก็มาถึงเชิงเขาซีนาย ที่นั่นหน่วยสอดแนมของชาวยิวรีบนำข่าวไปบอกแก่ผู้นำทัพอพยพ แล้วข่าวก็กระจายไปทั่ว ยังความแตกตื่นแก่ผู้คนจนเกิดอลหม่านขึ้น
“พี่ชายข้า” โมเสสใช้มือเปิดผ้าม่านกระโจมขึ้น เขาเดินออกมาราวกับเป็นคนปกติ ร่องรอยของชายไม่ค่อยสมประกอบก่อนนี้หายไปหมดสิ้น
“เจ้าเป็นปกติดีหรือนี่โมเสส?” อาโรนพูดด้วยน้ำเสียงดีใจยิ่งนัก
โมเสสรู้ว่าเขาจะมีสติเช่นนี้ได้ไม่นานนัก อาจจะวันหรือสองวัน หรืออาจจะแค่ไม่กี่ชั่วโมง นั่นแล้วแต่ผู้ทรงพลังจะประทานพรให้
“แต่ว่าโมเสส พวกทหารอียิปต์กำลังจะตามมาถึงเราแล้ว เราจะทำเช่นไรกันดี?” อาโรนรายงานด้วยความเป็นวิตก
“พี่อย่าได้กังวล พระเจ้าได้ประทานหนทางแก่เราไว้แล้ว” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาและเงียบสงบ เหมือนไม่วิตกต่อสิ่งใดๆ
“อาโรนเอ๋ย พี่จงบอกต่อแก่ชาวยิวให้เตรียมตัวพร้อมเถิด”
สิ้นคำสั่งของโมเสส อาโรนสั่งความต่อแก่ผู้นำชาวยิว และเพียงครึ่งวันผู้คนที่กำลังอลหม่านวุ่นวายกับข่าวกองทัพทหารอียิปต์ก็พร้อมเคลื่อนตัวต่อไป แต่จะไปที่ไหน? คานาอันคือสถานที่ใด? ไม่มีใครรู้เว้นแต่โมเสสผู้ไม่อาจคาดเดาได้ผู้เดียว
ที่เนินหินริมทะเลแดง โมเสสก้าวเท้าฉับๆ ขึ้นไปบนนั้น ทุกคนต่างประหลาดใจในความเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วราวคนปกติของโมเสส ภาพที่ปรากฏคือโมเสสยืนสูงเหนือเนินหิน ชายผู้นั้นยื่นไม้เท้าในมืออกไปข้างหน้า เขาชี้ไม้เท้าไปยังทะเลแดงที่ทอดขวางระหว่างฝั่งเชิงเขาซีนายที่ตั้งค่ายอยู่นี้กับแผ่นดินฝั่งตรงข้าม
ผู้คนมากมายต่างอยู่ห่างไกลออกไปเกินกว่าจะได้ยินถ้อยคำของโมเสส
“ด้วยอำนาจของพระองค์ผู้ทรงชี้หนทางรอด ข้าขอใช้พลังของพระองค์เพื่อเปิดหนทางเบื้องหน้า!!!”
ผู้คนตรงนั้นต่างเห็นเพียงแค่แสงสว่างที่ปลายไม้เท้าของโมเสสวาบขึ้น ต่อจากนั้นก็ได้เห็นในสิ่งที่ไม่อาจจะคาดถึง ทะเลที่ทอดขวางอยู่ขณะนี้กำลังแหวกตัวเองเป็นร่องแคบๆ จากนั้นก็ห่างออก... ห่างออก... เกิดเป็นช่องว่างที่กว้างพอจะยกพลเดินทางข้ามไปได้
เสียงโห่ร้องไชโยระคนความประหลาดใจเกิดขึ้นที่ริมหาดนั้น เสียงอันดังก้องไปทั่วจนแม้แต่กองทัพของฟาโรห์เมเรนอฟตาร์ที่บัดนี้อยู่บนยอดเทือกเขาซีนายก็ได้ยิน
โมเสสออกเดินนำหน้าขบวนอพยพเป็นครั้งแรก เขาก้าวเท้าลงไปในช่องว่างของทะเลที่บัดนี้แห้งจนถึงพื้นทรายข้างล่าง ผู้คนเร่งเดินตามเขาไปด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า พร้อมทั้งประหลาดใจต่อทะเลด้านข้างที่ก่อตัวแข็งราวกับเป็นกำแพงขวางน้ำไม่ให้ไหลย้อนกลับลงมา ทุกคนเดินตามอย่างเร่งรีบเพราะแว่วข่าวกองทัพรถม้าของอียิปต์ได้เริ่มพุ่งตัวลงมาจากเขาซีนายแล้ว
โมเสสสั่งแก่อาโรนให้นำไม้เท้าอีกอันของเขาไปยังท้ายขบวน ที่นั่นไม้เท้าแสดงพลังกลายเป็นม่านควันบดบังเส้นทางที่ผ่านมา พวกทหารม้าเมื่อลงมาถึงชายฝั่งก็เกิดลังเลใจที่จะยกทัพตาม เพราะร่องรอยที่เหลืออยู่มีเพียงม่านควันบางๆ เท่านั้น
เหนือขึ้นไปบนยอดเขา ทหารของฟาโรห์สังเกตเห็นกองทัพของชาวยิวอพยพเดินทางไปในม่านควันที่พรางตาอยู่ พวกเขาได้คำตอบแล้วว่าทำไมชาวยิวถึงสามารถออกจากเมืองโกเชนมาได้โดยไม่มีใครสังเกต ดังนั้นเมื่อรายงานไปยังฟาโรห์ผู้สูญเสียบุตรชายคนโตจากการต่อต้านพระเจ้า จึงมีเพียงคำสั่งเดียวคือ ให้พุ่งเข้าไปในม่านควันนั้นและตามพวกผู้อพยพให้ทัน
กองทัพผู้อพยพเร่งฝีเท้าเร็วเท่าที่จะเร็วได้ แต่กระนั้นม่านควันพรางตาที่ช่วยกั้นกองทัพอียิปต์ไว้ก็ทำได้แค่เว้นระยะห่างระหว่างที่กองทัพไม่กล้าตามมาได้แค่วันเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็มากพอที่คนทั้งล้านคนและสัตว์เลี้ยงจะข้ามทะเลได้หมดพอดี
เสียงฝีเท้าม้าจากรถม้าทั้งหกร้อยคันก้องอยู่ในระหว่างกำแพงน้ำและหมอกควัน มันดังใกล้มากขึ้นทุกทีๆ
อาโรนลดไม้เท้าของเขาลงเมื่อมาถึงฝั่งตรงข้ามโดยปลอดภัย เมื่อไม้เท้าของเขาหยุดเปล่งแสง ภาพที่ปรากฏต่อทุกสายตาก็คือ กองทัพรถม้าที่กำลังเร่งฝีเท้าขึ้นหลังไม่มีม่านหมอกเป็นอุปสรรค อาโรนมองกลับไปที่โมเสสซึ่งบัดนี้ขึ้นไปยืนเหนือเนินสูงบนชายหาด เขาชูไม้เท้าในมือขึ้นเหนือหัว
เสียงปริลั่นของกำแพงน้ำซึ่งเคยแหวกกั้นน้ำทะเลไว้กำลังแตกร้าว ผลึกกำแพงใสหล่นร่วงและน้ำทะเลก็เริ่มไหลทะลักลงมาจากทุกทิศทุกทาง กองทัพม้าของฟาโรห์บัดนี้ไม่ได้เร่งรีบตามชาวยิวแล้ว ความคิดเดียวที่มีคือเร่งไปให้พ้นจากความเป็นตายครั้งนี้
แต่อำนาจของน้ำทะเลที่คืนกลับจากการบังคับของพระเจ้าไม่ได้มอบโอกาสรอดแก่พวกทหารเหล่านั้น แม้แต่องค์ฟาโรห์ที่สังเกตเห็นจากบนยอดเนินเขาเบื้องหลังก็ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยคำใดได้ เป็นความสูญเสียอย่างย่อยยับที่มีต่อราชวงศ์กษัตริย์ที่เชื่อในความสูงศักดิ์เทียมเท่าพระเจ้า บัดนี้พระองค์ยอมเชื่อในอำนาจของพระเจ้าแล้วว่าไม่ใช่อำนาจที่จะสามารถไปท้าทายและต่อกร
ทรงรวมกองทัพที่เหลือและยกพลกลับนครพีรามเสสอย่างหดหู่และหวาดกลัว
....................
โมเสสกลับมาเป็นคนไม่สมประกอบอีกครั้งหลังเหตุการณ์นั้น และเป็นอาโรนที่นำทัพตามข้อความสื่อสารของพระเจ้าผ่านตัวโมเสสมาชักจูงผู้คน
เมื่อกองทัพอียิปต์เดินทางกลับไปแล้ว ชาวยิวทั้งหมดต่างรู้สึกว่าตนเองได้รับอิสระ พวกเขาจัดงานฉลองและบูชาพระเจ้าที่ริมทะเลแดงนั้น อาโรนเรียกประชุมผู้นำเผ่าทั้งสิบสองเผ่าเพื่อคัดเลือกผู้แทนในการเดินทางไปคานาอัน สถานที่สุดท้ายที่พระเจ้ากล่าวไว้ พร้อมกับชี้ทางไปแก่พวกเขา
“พวกเจ้าจงมองดูแค่ความอุดมสมบูรณ์แห่งสถานที่นั้น พวกเจ้าจงมองดูแค่ดินแดนแห่งนั้นว่าเหมาะแก่การใช้ชีวิตหรือไม่” อาโรนเอ่ยคำต่อชายหนุ่มพวกนั้น
เมื่อรับคำสั่งแล้วพวกเขาก็เร่งเดินทางตามเส้นทางที่ได้รับชี้แนะ
....................
สามเดือนนับจากวันที่ออกจากอียิปต์
โมเสสลุกขึ้นยืนอยู่ในกระโจม เขาแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยผ้าทอขนสัตว์อย่างดี ตอนนั้นเองที่อาโรนกับบุตรชายกำลังไปทำพิธีบูชาพระเจ้าด้วยการเผาเครื่องบูชาในพลับพลาบูชา ไม่มีใครทันสังเกตเห็นโมเสสที่เดินโขยกเขยกขึ้นไปบนภูเขาซีนาย
....................
วันเวลาผ่านไปสี่สิบวันนับจากตัวแทนชาวเผ่าถูกส่งไปสอดแนมดินแดนคานาอันที่เพียงว่าอยู่อีกฟากภูเขา พวกเขาก็กลับมาพร้อมการรายงานที่ทุกคนรอคอย
แต่ทว่าคนหนุ่มเหล่านั้นกลับรวมหัวกันใส่ร้ายดินแดนแห่งพันธะสัญญาของพระเจ้าว่าเป็นสถานที่อันโหดร้าย เต็มไปด้วยกองทัพของคนท้องถิ่นที่แข็งแรง พวกนั้นรายงานแก่ชาวยิวทั้งหลายว่าดินแดนแห่งนั้นมีพวกที่ปกครองอยู่ในกำแพงสูงยากทำลายหรือตีฝ่า พวกนั้นดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าพวกอียิปต์เสียอีก จะเว้นก็แต่โยชัวแห่งเผ่าเอฟราอิมกับคาเลบแห่งยูดาห์สองคนเท่านั้นที่เข้ามารายงานต่ออาโรนและผู้นำเผ่าทั้งหลายว่าที่นั่นเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์และเป็นสถานที่ที่ควรเข้าไปยึดครองและตั้งรกราก พวกเขารายงานแค่เท่าที่ได้รับคำสั่งไปจริงๆ
พระเจ้าทรงโกรธต่อสิ่งที่พวกอิสราเอลที่ไปสอดแนมทำอย่างยิ่ง พระองค์ทรงตัดขาดการสื่อสารต่อโมเสสจนหมดสิ้น ท้ายที่สุดชาวยิวทั้งหลายก็พากันเชื่อคำกล่าวอ้างที่ไม่ควรเดินทางเข้าไปยังคานาอัน แม้อาโรนจะร้องขอให้ไปที่นั่นแต่ก็ถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงจากพวกผู้นำเผ่าทั้งหลาย
เมื่อไร้สิ้นซึ่งการชี้นำของโมเสสและพระเจ้า เพราะโมเสสหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พวกผู้นำเผ่าต่างเรียกร้องให้อาโรนทำอะไรสักอย่างขึ้นเป็นตัวแทนพระเจ้าเพื่อบูชา ในที่สุดอาโรนก็ต้องแสร้งให้พวกนั้นเอาทองคำมาหล่อรูปโคหนุ่ม ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าโคหนุ่มไม่ใช่พระเจ้า
....................
โมเสสกลับลงมาจากเขาซีนายหลังหายไปสี่สิบวันสี่สิบคืนพอดิบพอดี เขาแสดงพลังต่อพวกชาวยิวที่โง่เขลา พลังนั้นสร้างความหวาดกลัวแก่พวกนั้นมาก สุดท้ายทุกคนก็ยินดีที่จะเดินทางตามคำของพระเจ้าสู่ดินแดนคานาอันอีกครั้ง
ชาวยิวได้เดินทางอพยพร่อนเร่หาดินแดนคานาอันสำหรับตั้งหลักปักฐานไปเรื่อยๆ เป็นการเดินทางที่ลำบากยากเร้นแสนเข็ญ
เส้นทางที่พวกเขาเดินทางไปดูอ้างว้างราวกับทะเลทราย ฟ้าดูหมองหม่นทุกวัน บรรยากาศรายรอบก็เบาบางและหดหู่ราวกับไม่ได้อยู่บนโลก หลายคนหวาดกลัวจนเสียสติ พวกเขาหาอาหารได้อย่างยากลำบากจนต้องฆ่าสัตว์เลี้ยงที่ตั้งใจจะเอาไว้เลี้ยงดูเมื่อพบดินแดนใหม่กินจนเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ไหนจะความทะเลาะเบาะแว้งที่เกิดขึ้นจากชนต่างเผ่า การก่อกบฏของชาวเผ่าเลวีที่อิจฉาคนในเผ่าเดียวกันอย่างโมเสสและอาโรนที่มีความใกล้ชิดต่อพระเจ้ามากกว่า
จากไม่กี่เดือน ที่สุดเวลาก็ผ่านไปปีแล้วปีเล่าจนนับเนื่องได้สี่สิบปี
....................
โยชัวและคาเลบนั่งสนทนากันเงียบๆ ในกระโจมของโมเสส บัดนี้ทั้งคู่ต่างมีอายุหกสิบกว่าปีกันแล้ว
“อาโรนเอ๋ย” โมเสสที่บัดนี้อายุมากถึงร้อยยี่สิบปีแล้วเอ่ยขึ้นมาลอยๆ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาโรนรวมถึงมีเรียมผู้เป็นพี่สาวนั้นได้เสียชีวิตลงระหว่างการเดินทางไปแล้ว เสียงนั้นทำให้ทั้งสองคนรีบบอกชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ เข้าไปหาชายชราทันที
“ว่าอย่างไรโมเสส?” ชายชาวยิวเผ่าเลวีรุ่นใหม่ผู้มีหน้าที่ดูแลโมเสสถลันเข้าไป
“อาโรนเอ๋ย เจ้าจงนำทางผู้คนไปสู่คานาอันโดยทิศทางขึ้นเหนือเถิด” นั่นเป็นข้อความนำทางแรกของผู้ได้รับบัญชาจากพระเจ้าในรอบหลายปีมานี้
ชาวยิวทั้งหลายต่างยินดีที่ได้ยินข่าวนั้น พวกเขาเร่งรวบรวมผู้คนและรุดเดินทางตามคำของโมเสส ท้ายที่สุดพวกเขาก็มาจนถึงเชิงเขาซีนายอีกครั้ง เป็นการได้เห็นสิ่งที่คุ้นตาเป็นครั้งแรกในรอบสี่สิบปี หลายคนน้ำตาไหลด้วยความยินดี หลายคนสวดอ้อนวอนขอบคุณพระเจ้าที่ประทานความหวังแก่ผู้สิ้นหวังอย่างพวกเขา
“พวกเจ้าจงเรียกหัวหน้าเผ่าทั้งหลายมาชุมนุมร่วมกับข้าเถิด” โมเสสกล่าววาจา
คืนนั้นโมเสสได้ถ่ายทอดถ้อยคำพระเจ้าแก่เหล่าชาวเผ่าที่หลงเหลือ พระองค์แจ้งแก่โมเสสให้แบ่งสรรดินแดนในคานาอันแก่ทุกเผ่าตามเห็นสมควรของพระองค์ ไม่มีใครปริปากเถียงและน้อมรับแต่โดยดี เพราะต่างซึ้งในความผิดบาปและโทษที่พระองค์ทรงประทานแก่ชาวยิวทั้งหลายให้หลงทางในดินแดนทุรกันดารกว่าสี่สิบปี
“พวกเจ้าจงข้ามเขาไปคานาอันเสียเถิด” โมเสสสั่งความทิ้งท้าย
โยชัวเป็นผู้นำในการพาผู้คนข้ามไปยังดินแดนพันธะสัญญา แต่เพราะการเดินทางข้ามไปยังคานาอันนั้นยากลำบากยิ่ง พวกเขาต้องปีนหน้าผาสูงชัน และแบกบรรทุกสัมภาระหนักหนาไปด้วย มันเป็นภาระที่หนักเกินกว่าชายผู้มีอายุร้อยยี่สิบกว่าปีแล้วเช่นโมเสสจะสามารถทำได้ และไม่ใช่เพียงโมเสสเท่านั้น ทุกคนที่เคยหนุ่มแน่นในวันที่พวกสอดแนมได้เข้าไปยังคานาอันต่างไม่มีผู้ใดในกลุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่แม้แต่คนเดียวที่จะสามารถข้ามไปเช่นกัน เว้นแต่โยชัวและคาเลบเท่านั้น
....................
“โมเสสเอย ด้วยศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของเจ้าผู้โง่เขลาเช่นผู้คนของเจ้า”
“บัดนี้เจ้าและคนของเจ้าได้บรรลุพรที่เจ้าปรารถนาแล้ว”
“ผู้คนของเจ้าได้เป็นอิสระจากอียิปต์ตามที่เจ้าร้องขอ”
“ด้วยพลานุภาพอันยิ่งใหญ่แห่งเรา”
“บัดนี้เจ้าจักต้องตอบแทนเราด้วยพลังชีวิตสุดท้ายของเจ้าแล้ว”
“โมเสสเอย เจ้าจงคืนพลานุภาพแก่เราและกลับมาสู่เราเถิด”
....................
กว่าการเดินทางข้ามเทือกเขาสูงไปยังคานาอันจะเสร็จสิ้นก็กินเวลานานชั่วระยะหนึ่ง ระหว่างนั้นโมเสสก็สูญสิ้นพลังงานชีวิตอย่างช้าๆ และเสียชีวิตในที่สุด คาเลบผู้เฝ้าดูแลอยู่ทางนี้สั่งให้ฝังร่างของโมเสสบนพื้นดินเชิงเขาก่อนข้ามไปยังคานาอัน ในเวลาเดียวกันโยชัวได้เริ่มให้ชาวยิวตั้งรกรากใหม่ยังดินแดนนั้นแล้ว
ความคิดเห็น