ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พลานุภาพ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ พลานุภาพ1 : ทะเลที่เอ่อล้น

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ค. 56


    ซ่า... ซ่า... ซ่า...

    เสียงคลื่นนั้นช่างว่างเปล่านัก เวลานี้คนเพียงมี่กี่คนบนเรือสะสมความรู้สึกสิ้นหวังไว้จนแทบจะไม่สามารถแบกรับได้อีกต่อไป ความสิ้นหวังประเดประดังเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ยามที่กวาดสายตามองจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่ง สิ่งที่ปรารถนามองเห็นแต่ไม่เคยสักครั้งที่จะเห็น แม้แต่เพียงเงาสะท้อนลวงตาก็ไม่เคย

    เสียงกีบเท้าของสัตว์เท้ากีบที่อยู่กันอย่างเบียดเสียดในคอก ทั้งม้า วัว ควาย แกะ แพะและอื่นๆ สะท้อนก้องในโถงตัวเรือ เสียงครางเบาๆ ของสิงโตคู่นั้นบ่งบอกความหดหู่ ความที่พวกมันเคยมีชีวิตอย่างเสรี วิ่งและล่าอย่างอิสระบนแผ่นดิน บัดนี้สิ้นสูญไปหมดแล้ว มันมีสมองคิดได้แม้จะไม่เห็นว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร แต่อาการโคลงเคลงของสถานที่คับแคบนี้ก็พอจะนึกออกว่ามันเองก็อยู่บนผืนน้ำผืนใหญ่

    ฝูงนกพิราบ นกเขา และนกกางเขนในกรงรวมซุกหัวตัวเองใต้ปีก มันไม่กระตือรือร้นดังเช่นปกติ ราวกับหมดแรงขยับ อาหารในรางก็พร่องจนถึงก้น โดยเฉพาะนกพิราบตัวนั้น ตัวที่เพิ่งออกแรงบินร่อนไปทั่วเมื่อวานเพื่อค้นหาสิ่งที่เรียกว่าแผ่นดิน

    อินทรีกับเหยี่ยวคู่ที่อยู่ในกรงไม่ห่าง ขยับคมเขี้ยวกรงเล็บฉีกซากไก่กันอย่างสงบ เศษเนื้อเพียงเล็กน้อยเคยทำให้มันหงุดหงิด แต่คราวนี้เหมือนมันทำใจยอมรับได้ว่า อนาคตที่อาจจะไม่มีแม้เหยื่อให้ฉีกกินจะคาดหวังอะไรกับการได้ออกล่าตามต้องการ

    หนูฝูงนั้นแอบตัวในหลืบเงาของกระสอบเมล็ดพันธุ์พืชที่หรอยหรอลงอย่างรวดเร็ว มันรอจังหวะที่สายตาดวงกลมโตและแหลมคมหลายคู่บนคานค้ำโถงเรือจะเผลอเบนเบี่ยงเป้าหมายไปตรงอื่น พวกมันจะได้ขยับไหวจากตรงนี้ไปยังตำแหน่งอื่นๆ ที่มีอาหารซุกซ่อนอยู่ เจ้าพวกเค้าแมวและฮูกพวกนั้นดูไม่ปราณีเลยยามที่เห็นพวกมันวิ่งพล่านไปมาเพราะเสียงฟ้าผ่าอันน่าสะพรึงกลัวก่อนนี้

    ซ่า... ซ่า... ซ่า...

    เสียงคลื่นดังไม่ขาดสายที่ภายนอกเรือนั่นก็เหมือนกัน ช่างฟังดูชวนน่าสิ้นหวังเสียเหลือเกิน

    ชายสูงวัยในห้องมองออกไปนอกผ้าที่ขึงกั้นเป็นห้อง สายตานั้นทะลุออกนอกช่องหน้าต่าง ทิวทัศน์ข้างนอกที่ซ้ำซากไม่ว่ามองดูกี่ครั้งก็ยังเป็นเช่นเดิม มันคือผืนน้ำทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ไร้วี่แววสิ่งที่เขาและครอบครัวมองหา ผืนน้ำสุดลูกหูลูกตาคือภาพเดียวกันกับภาพในนิมิตฝันที่เขาได้เห็น

    บุตรชายคนโตเปิดม่านผ้าเข้ามา สีหน้าที่บ่งบอกความผิดหวังยิ่งทำให้เขาสลดเศร้าลงไปอีก ผู้เป็นลูกชายเพิ่งเสร็จจากการนำนกพิราบตัวที่เพิ่งบินกลับมาไปพักเก็บในกรง เขารายงานว่ามันดูอ่อนเพลียมาก ทิศตะวันออกไกลที่มันบินไปคงปราศจากสิ่งที่มันจะสามารถหากินได้ มันคงบินจนทั่วแล้วก่อนย้อนกลับมา และเขาก็ปล่อยตัวอื่นไปแทนแล้ว

    ชายชรารู้ดีว่าถ้ามันไม่ย้อนกลับมาที่เรือยอมแปลว่ามันมีแผ่นดินที่มันจะหากิน ถ้ามันบินกลับมาพร้อมเศษกิ่งไม้เศษฟาง ก็แบบว่ามีสักทีที่อยู่สูงเหนือน้ำทะเลนี้

    รอยขีดยาวๆ บนกล่องไม้บรรจุเครื่องใช้สำหรับการดำรงชีวิตทั้งห้าขีดนั้น ทำให้การขีดเส้นใหม่ลงไปข้างๆ ดูหนักหนาเหลือเกินสำหรับชายสูงวัยทั้งที่มันเป็นแค่รอยขีดอีกขีดหนึ่งเท่านั้น รอยขีดที่บอกว่าเป็นวันที่หนึ่งร้อยหกนับตั้งแต่แผ่นดินถูกแทนที่ด้วยน้ำทะเล

    ....................

    หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ชายชราสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะความฝัน เป็นความฝันที่น่าสะทกสะท้านใจเป็นที่สุด มันอาจจะเป็นนิมิตที่พระผู้เป็นเจ้าปรารถนาให้เขาได้เห็น

    เสียงหัวเราะเยาะเกิดขึ้นทุกที่ทุกทาง จากหมู่บ้านนี้ไปหมู่บ้านข้างๆ มันดังขึ้นและแพร่ไปไกลขึ้นทุกขณะ จนตอนนี้มันกลายเป็นข่าวสารอันแสนตลกขบขันที่รู้กันทั่วไปจนตลอดทั้งเมือง

    “น้ำจะท่วมโลก”

    เขาเที่ยวป่าวประกาศต่อญาติพี่น้อง ต่อเพื่อนบ้านทั่วชุมชนชาวประมง แต่ที่ได้รับกลับมามีเพียงเสียงหัวเราะและคำเยาะเย้ยในความเพ้อเจ้อที่เชื่อถือในความฝันตัวเอง

    ความเศร้าสร้อยและหดหู่เกิดขึ้นในใจจนยากจะสลัดทิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นชายชราก็ยังมีครอบครัวที่เชื่อใจในสิ่งที่เขาคิด ได้เห็น และกำลังลงมือทำ

    เรือขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่บนที่ว่างริมทะเล ถึงมันดูเหมือนจะอีกยาวไกลกว่าที่จะสร้างเสร็จ แต่แค่เค้าโครงของเรือที่ได้ลงมือไปแล้วก็พอจะบ่งบอกได้ว่ามันเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะเคยสร้างขึ้นมา แปลนเรือที่ถูกวาดขึ้นหยาบๆ แบ่งซอยเป็นห้องเล็กห้องน้อย มันก็ถูกตีถูกสร้างขึ้นมาจริงๆ

    ตัวเรือขนาดยาวถึงร้อยห้าสิบศอกไม่เกินไม่ขาด กว้างอีกห้าสิบศอกซึ่งกว้างและประหลาดกว่าเรือลำใด ความสูงที่ต้องแหงนคอตั้งบ่ากว่าสิบห้าศอกกำลังถูกประกอบขึ้นด้วยแรงงานกว่าสามสิบคนที่จ่ายเงินจ้างมาด้วยมูลค่ามากมาย โดยเฉพาะไม้ประกอบเรือที่เขากำหนดว่าต้องเป็นไม้สนโกเฟอร์แต่เพียงอย่างเดียว ด้วยไม้สนชนิดนี้มีเนื้อแข็ง แต่น้ำหนักเบา มีกลิ่นหอมอย่างประหลาด กลิ่นนี้ชวนให้รู้สึกจิตใจสงบยิ่ง เสียอยู่อย่างเดียวที่ป่าสนพันธุ์นี้ดันเติบโตดีเฉพาะแต่บนเขาแอรมอนที่อยู่ไกลไปทางเนื้อเท่านั้น

    บุตรชายคนโตของเขา--เชมมัทเป็นผู้คุมงานตัวเรือ โดยมีน้องชายอีกสองคน--ฮารัมกับยาฟช่วยงานไม่ห่าง เมื่อวานชายสูงวัยเพิ่งมีโอกาสเข้าไปเดินดูก่อนเห็นควรว่าต้องตีคอกเล็กคอกน้อยซอยแบ่งเพิ่มอีกหน่อย

    ทั้งบุตรชายทั้งสาม ทั้งบุตรีสะใภ้ของเขาต่างทำงานที่ดูขาดเหตุขาดผลนี้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไม่ต่างกันกับตัวเขาและผู้เป็นภรรยาที่กำลังเข็นรถบรรทุกอาหารสำหรับทุกชีวิตขึ้นไปเก็บในโกดังใหญ่ที่สร้างไว้บนเรือ โดยไร้ความคลางแคลงใจทั้งสิ้นต่อนิมิตภาพที่เห็นซึ่งเขาเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าเจตนาบอกให้เขาทำ

    อีกไม่กี่สัปดาห์ฤดูน้ำหลากจะมาถึงแล้ว ฟ้าที่ขอบฟ้าตะวันออกแม้จะดูสดใส แต่มันก็เป็นความสดใสที่น่าประหลาดใจ เหมือนคำเตือนที่ปรากฏก่อนพายุใหญ่จะมาเยือน ยิ่งฟ้าใสสว่างและทะเลสงบมากเท่าไหร่ พายุยิ่งร้ายและรุนแรงเท่านั้น

    ....................

    งานเทศกาลฉลองเทพเจ้าแห่งผลผลิตกำลังสนุกขึ้นทุกขณะ เจ้าผู้ปกครองเมืองประกาศให้ทุกกิจการงานใดใดก็ตามที่หดหู่เศร้าห้ามกระทำขึ้นตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนนี้ ทุกคนในเมืองสามารถเมามายได้เต็มที่ อิ่มเอมอาหารและเหล้ายาต่างๆ โดยปราศจากความผิด ชาวเมืองจากหมู่บ้านห่างไกลพากันเดินทางมาร่วมฉลองอย่างมากมาย ทุกครั้งที่พวกเขาเหล่านั้นเดินผ่านเรือยักษ์ที่ตั้งไว้ริมทะเลต่างพูดตลกโปกฮาต่อกัน ทั้งยังหัวเราะหัวใคร่ให้ผู้สร้างเรือได้ยิน

    ชายสูงวัยทำหูทวนลมต่อเสียงหัวร่อทั้งหลาย เขายังคงศรัทธาในนิมิตฝัน แม้ว่ายาฟ—บุตรชายคนเล็กจะเริ่มท้วงติงถึงความฝันเลื่อนลอยของบิดาอย่างเขา แต่ชายสูงวัยก็ยังยึดมั่น และกล่อมให้บุตรชายกับภรรยาได้เชื่อเถิดว่ามันจักต้องเป็นไปตามนั้น

    เรือยักษ์นั้นสร้างเสร็จก่อนงานฉลองประมาณหนึ่งสัปดาห์ คนงานทั้งหมดเอาเงินทองที่ได้ไปร่วมฉลองอย่างสนุกสนาน มันเป็นเงินมหาศาลมาก บัดนี้เมื่อเรือเสร็จ ครอบครัวของชายสูงวัยไม่มีหลงเหลือแล้วสำหรับเงินทอง ครอบครัวของเขามีเพียงแค่อาหารที่พอกิน พร้อมสัตว์เลี้ยงที่จะใช้เป็นอาหารจำนวนหนึ่ง งานที่เหลือของพวกเขาคือการรอคอย มันจึงเหลือเพียงการขนข้าวของและสัตว์ต่างๆ ขึ้นเรือให้เรียบร้อยเท่านั้น

    ในค่ำคืนสุดท้ายของงานเฉลิมฉลอง ฝนเริ่มโปรยปรายเม็ดลงมา ผืนฟ้าปกคลุมด้วยเมฆก้อนใหญ่โตสีเทาครึ้มมืดหม่น ฝนนั้นลงเม็ดไม่หนักไม่เบา แต่ไม่เคยหยุด

    จากวันหนึ่งสู่อีกวันหนึ่ง ฝนเพิ่มความหนักหน่วงของการลงเม็ดขึ้นไปอีก

    ที่สุดก็มีฝนตกต่อเนื่องกันมาเป็นวันที่สิบ แม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองโดยมีต้นกำเนิดที่เทอกเขาสูงทางตะวันตกและทอดยาวขึ้นเหนือไปจนไกลเริ่มมีสีขุ่น มันเป็นสีขุ่นแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้น ในทะเลเองก็มีคลื่นสูงและลมแรงมาก ชาวประมงได้แต่จับเจ่าอยู่ในบ้านเรือนอย่างหิวโหย พวกที่ทนไม่ไหวต้องออกเรือไปหาอาหาร แต่พวกนั้นก็ไม่เคยได้กลับมาแม้แต่คนเดียว

    จากสิบวันที่ฝนตกกลายเป็นยี่สิบวัน บัดนี้เรือยักษ์ถูกล้อมไว้ด้วยน้ำที่สูงเสมอท้องเรือ การติดต่อกับผู้คนอื่นๆ ในชุมชนชาวประมงไม่สามารถทำได้อีกแล้ว ผู้คนบนเรือไม่สามารถรู้ได้เลยว่าที่โลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเขาใช้ชีวิตด้วยอาหารที่สะสมไว้ เลี้ยงดูชีวิตสัตว์ต่างๆ ที่ถูกต้อนขึ้นมาบนเรือด้วยอาหารที่มีอย่างจำกัดแม้จะมีมากมายเป็นโกดังใหญ่ก็ตาม ดูแลความเจ็บป่วยไข้ไปตามมีตามเกิด และสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้า

    และแล้ววันที่สี่สิบฝนก็หยุดตก

    ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องได้ท่วมท้นทุกทิศทุกทาง เรือยักษ์ลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีวี่แววชีวิตใดใดในทุกทิศทุกทางที่มองไป และมันไม่มีแม้แต่แผ่นดิน

    ชายสูงวัยก้มลงคำนับกับพื้น หน้าผากนั้นแนบติดกับผ้าฝ้ายดิบที่ปูรองไว้จากไม้กระดานเรือ กลิ่นไม้สนโกเฟอร์แห้งลอยขึ้นมาจากพื้นไม้ จิตใจเขายังสงบได้แม้เหตุการณ์ที่เกิดอยู่ในตอนนี้จะน่าตกใจยิ่งหนัก ภาพผู้คนล้มตายเพราะไม่สามารถหนีพ้นจากมัจจุราชที่มากับสายน้ำได้เป็นภาพที่เขารู้อยู่แก่ใจ

    นี่คือกำหนดที่ลิขิตไว้แล้วของทุกชีวิต พระผู้เป็นเจ้าจักล้างโลกที่พระองค์สร้างขึ้นใบนี้ด้วยพระอำนาจของพระองค์เอง ท่านจักทรงให้โอกาสมนุษย์เพียงกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยจำนวนแค่หยิบมือเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด รอดจากการชำระล้างในโทษฐานที่ทำให้มันแปดเปื้อนไปด้วยความโสมม ทะเยอทะยาน และตีตนเสมอเทพ

    เพียงสิ่งเดียวที่ชายชราไม่อาจจะรู้คือ เรือลำนี้จะลอยลำอยู่อีกนานเท่าไหร่

    ....................

    ไกลออกไปในแผ่นน้ำทะเลที่ท่วมสูง บนเทือกเขาที่เชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของบรรดาทวยเทพทั้งหลาย ยังมีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่พระเจ้าเป็นผู้กำหนดนี้อีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขาทันอพยพขึ้นมาอาศัยบนเทือกเขาสูงจากการประทานเตือนของสิ่งลึกลับเกินบอกกล่าว สิ่งนั้นมิอาจพิสูจน์ได้จากความเชื่อและความรู้ที่มนุษย์ผู้โง่เขลาทั้งหลายพึงรู้จัก นอกไปจากความเคารพอย่างไม่อาจปฏิเสธเป็นอื่นว่าพระผู้สร้างทรงล้างบาปทั้งปวงและช่วยเหลือพวกเขาทั้งหลายเพียงเท่านี้ให้รอด

    ใต้ผืนผ้าหนาที่ถูกขึงยึดกับพื้นดินแน่น โครงค้ำที่ทำด้วยไม้และโลหะแกร่งที่เรียกว่าเหล็กยังคงรูปกระโจมไว้ในสายลมแรงบนยอดเขา ชายหนุ่มนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มขนสัตว์หนา เสียงลมและความหนาวภายนอกนั่นเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจ

    ชายผู้นี้ชื่อ นายาส

    เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของมาบนุสกับเรสย่า มาบนุสนั้นเป็นหัวหน้าเผ่าผู้ได้รับความเชื่อถือจากชาวเผ่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทุกคำทุกสิ่งที่ชายคนนี้ตัดสินใจถือเป็นคำสั่งโดยชอบธรรมที่ผู้คนในเผ่าจะต้องทำตามโดยไม่มีข้อแม้ ส่วนเรสย่าผู้เป็นแม่ของนายาสนั้น ต่างถูกเชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดการเป็นร่างทรงของยายานีก้า—วิญญาณบริสุทธิ์ที่เชื่อว่าเป็นบรรพชนของคนในเผ่าผู้ถูกปั้นและหลอมขึ้นจากธาตุทั้งสามด้วยอำนาจจากพระผู้ทรงสร้าง

    นายาสผู้ยังหนุ่มแน่นและแข็งแกร่งเกินกว่าบุรุษหนุ่มผู้ใดในเผ่า นอกจากนี้เขายังกล้าหาญกว่าใครทั้งสิ้น

    ผู้คนต่างจดจำได้ดีถึงศึกระหว่างเผ่าแต่ครั้งหลายปีก่อน นายาสผู้องอาจนำทัพนักรบของเผ่าเผชิญหน้ากับพวกมายัน—ชนเถื่อนที่อาศัยในผืนป่าทึบจากอีกฟากเทือกเขาที่หนีพระเพลิงครั้งใหญ่ขึ้นมา หอกยาวและคมของนายาสเสียบแทงชนเผ่าผู้ล่าคนแล้วคนเล่า แม้ธนูพิษและคมเขี้ยวอาวุธของฝ่ายตรงข้ามจะสร้างแผลและความเจ็บปวด รวมถึงได้พรากชีวิตนักรบผู้เป็นพี่น้องร่วมเผ่าของนายาสไปไม่น้อย พวกมันก็ถูกล้างแค้นให้อย่างสาสมด้วยการกระชากเอาชีวิตที่มีอยู่ของผู้บุกรุกทิ้งจนหมดสิ้น ปล่อยพวกที่ขลาดกลัวต่อภาพนักรบของชนเผ่าผู้ครอบครองท้องถิ่นตรงหน้าให้หันหลังเตลิดหนีกลับไปยังทิศทางที่ตัวเองยกพลกันมา

    เจ้านั้นเป็นปีศาจ เจ้านั่นเป็นภูตผีร้าย เจ้านั่นได้รับอวยพรชัยจากพวกผีห่าซาตาน—นั่นเป็นมุมมองความเห็นของพวกที่หลบหนีไป แต่สำหรับชนเผ่าเดียวกันแล้ว นายาสคือผู้ได้รับการปกปักษ์คุ้มครองโดยพระผู้สร้าง เทพเจ้าและบรรพชนประจำเผ่า

    แต่บาดแผลของนายาสทำให้เจ้าตัวเป็นพิษไข้สลบไปหลายวัน

    งานเฉลิมฉลองต่อชัยชนะจากการรบปกป้องเผ่าถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน ไฟคบสว่างไสวไปทั่ว ผู้คนโลดเต้นและเริงระบำต่อเนื่องทั้งเช้าทั้งเย็น เสียงแห่งการร่ำร้องบูชาเทพเจ้าดังไปทั่วเชิงเขา เสียงร่ำร้องนั้นถูกรับช่วงต่อเนื่องกันประหนึ่งต้องการให้ก้องลอยขึ้นไปถึงยอดเขา สถานที่ที่เชื่อกันว่าเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายพำนักอยู่

    “เป็นอย่างไรบ้างนายาส?” นางเรสย่าผู้นั่งเฝ้าบุตรชายเพียงลำพังเอ่ยถาม เมื่อนายาสลืมตาขึ้น

    “สีหน้าท่านแม่เศร้ายิ่งนัก” เขาเอ่ย

    “สีหน้าเจ้าก็เช่นกันนายาส--ลูกชายของเรา” นางเอ่ยคำ เสียงนั้นแหบแห้งและเบา

    “ข้าฝัน...” ร่างเจ็บที่นอนอยู่พูด

    “แม่รู้ แม่เห็นเจ้าในฝัน”

    “ข้าฝันว่าข้าอยู่ใต้ผืนน้ำทะเล เป็นทะเลที่แปลกกว่าที่เคยเห็น” เขาเริ่มต้นเล่า มือแข็งแกร่งของเขาถูกบีบด้วยแรงเบาๆ ของมารดา

    “ข้าล่องลอยอยู่กลางน้ำเย็นเยียบนั่น แล้วข้าก็เห็นเงาบางอย่างลึกลงไป ลงไปในน้ำลึก ข้าก็เลยดำลงไป”

    “ข้าดำลงไปลึกแล้วลึกอีก จนภาพที่เห็นทำให้ข้าประหลาดใจยิ่ง”

    “ที่นั่นข้าเห็นเสาเทวรูปสลักหัวเหยี่ยวและหมาป่าของเผ่าเรา” นายาสเอ่ยเรียบๆ ดวงตาเบิกโพลงมองสูงขึ้นไปในหลังคากระโจม

    “แม่รู้” ผู้อยู่ข้างๆ พูดเบาๆ

    “แม่รู้จ้ะ... ยายานีก้าบอกแม่ในนิมิต เช่นเดียวกับที่นางบอกลูก” เรสย่าพูด

    นายาสอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขารู้ว่าความศรัทธาที่มีต่อยายานีก้านั้นยิ่งใหญ่นัก และนิมิตของผู้เป็นร่างทรงผิดพลาดน้อยครั้ง แต่ที่อยู่ในคำพูดที่เขาไม่ได้เล่ายังมีมากกว่านั้น

    ใช้เวลาไม่นานร่างกายของนายาสก็เริ่มกลับสู่ความแข็งแกร่ง เขายังไม่สามารถเขาป่าหรือปีนภูเขาล่าสัตว์ได้อย่างที่เคย แต่นั่นจะเป็นปัญหาอะไรในเมื่อนักรบผู้เก่งกล้าในเผ่ามีอยู่มากมาย เมื่อวานนี้เขายังได้กินเนื้อกวางภูเขาย่างไฟที่พวกหนุ่มนักรบล่าได้หลายตัวจากบนเทือกเขาด้วย นอกจากนี้ยังมีเหล้าองุ่นแดงที่หมักไว้อย่างดีจนร่างกายราวกับจะตอบสนองอาหารเลิศรสด้วยการหายสนิทในวันสองวัน

    แผลบนร่างกายของนายาสนั้นเริ่มสมานกันแต่ความเจ็บปวดยังพอมีอยู่บ้าง เขากับมาบนุสเดินคู่กันไปเยี่ยมพวกนักรบที่บาดเจ็บ หลายคนพิการ หลายคนยังไม่หายดี แต่บางคนที่ได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยก็เป็นปกติกันหมดแล้ว ทุกคนต่างเชื่อว่าชัยชนะและชีวิตที่รอดมาได้เป็นของขวัญของเทพเจ้า แล้วทุกชีวิตก็ล้วนเป็นของพระผู้สร้าง

    เมื่อร่างกายหายดี นายาสเริ่มทำสิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่พี่น้องในเผ่า เขาพาตัวเองตั้งเพิงพักใกล้พอที่จะออกทะเลเช่นชาวประมง ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่คนในเผ่าตั้งแต่ยุคบรรพชนทำ

    นายาสออกเรือไปในทะเลและเริ่มต้นดำน้ำทุกวัน... ทุกวัน.... ที่สุดความเคยชินของการดำน้ำก็ช่วยให้เขาดำน้ำได้ทนและนานพอ

    ....................

    ฤดูกาลฝนเดินทางมาถึงชาวเผ่าผู้อาศัยอยู่ใต้เงื้อมเงาของเทือกเขา แต่ฝนปีนี้แปลกประหลาดอย่างที่ยายานีก้าบอกไว้ และโดยคำสั่งอันเป็นเด็ดขาดของมาบนุสผู้เชื่อในการแจ้งข่าวของยายานีก้าผ่านร่างของภรรยา เขาพาผู้คนอพยพขึ้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับลาดเนินของเทือกเขา สูงขึ้นจนพ้นระดับน้ำที่สูงขึ้นๆ ผู้คนในเผ่าค่อยๆ ปรับวิถีชีวิตไปตัวเองอย่างช้าๆ เข้ากับที่พักใหม่ที่สูงขึ้นไปบนเทือกเขา แม้จะประหลาดใจแต่ก็เชื่อฟังโดยดี

    นายาสยังคงออกไปดำน้ำเป็นประจำราวกับว่าต้องเตรียมพร้อมเพื่ออะไรบางอย่าง เป็นบางอย่างที่ถูกเก็บไว้แต่เพียงลำพังตัวเขาเอง

    ระดับน้ำนั้นสูงจนท่วมระดับที่เคยท่วมสูงที่สุดมากนัก ผิวน้ำที่ท่วมสูงอยู่ตอนนี้สูงเหนือจุดที่เคยเป็นที่ตั้งเผ่ากว่าร้อยหลา ป่าทั้งป่าที่เคยมีสัตว์ให้ล่าจมหายไปในผืนน้ำทะเลนั่น แต่ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าที่ดินแดนไกลห่างออกไปจะมีน้ำสูงกว่านี้มากเท่านัก

    ความอึดอัดใจของนายาสต่อวันเวลาที่รอคอยอยู่ผ่านไปอย่างแช่มช้า เขายังคงดำน้ำทุกวันและดำอยู่อย่างนั้น ระยะที่ดำก็ลึกลง ลึกลง ลึกจนถึงภาพที่เขาเห็น เสาสลักบูชาเทพเจ้าที่มีรูปหัวเหยี่ยวและหมาป่า แต่นายาสก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะต้องดำน้ำเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไร และเพื่ออะไร

    ในที่สุดทั้งชุมชนชาวเผ่าก็ย้ายถิ่นฐานขึ้นมาบนเทือกเขาสูงได้เกือบครบปีแล้ว เป็นปีที่ยากลำบากยิ่งในความทรงจำของทุกคน อาหารเริ่มหายากและลำบาก ที่สุดความหงุดหงิดและทรมานในใจของทุกคนก็กลายร่างเป็นความโมโห โกรธและความเกลียดชังที่มีต่อเทพเจ้า มีเพียงแค่มาบนุส เรสย่าและนายาสที่รู้ถึงเหตุผล มันเป็นบททดสอบต่อความศรัทธา

    แต่ความอดทนอดกลั้นของเพื่อนพ้องในเผ่ากำลังสิ้นสุดแล้ว—นายาสคิดทบทวน

    ในคืนหนึ่งที่ฟ้านั้นกระจ่างมากนัก เรสย่าเพิ่งสวดภาวนาต่อยายานีก้าบรรพชนเสร็จ นางดับไฟที่ไต้จนดับลง นายาสลืมตาตื่นอยู่แล้วในความมืด เขาค่อยๆ ขยับลุกจากที่นอนอย่างเงียบๆ

    ร่างกำยำของนายาสเดินด้วยจังหวะก้าวยาวๆ ที่มั่นคงสูงขึ้น สูงขึ้น ตามเส้นทางขึ้นไปยังลานบูชาที่อยู่สูงขึ้นไปนับร้อยหลา นกฮูกราตรีส่งเสียงสั่นครางน่ากลัว หมาป่าที่หนีน้ำท่วมขึ้นมาอาศัยบนเทือกเขาเช่นกันแอบตัวเองในซอกหลืบของถ้ำบนเทือกเขาหอนส่งและรับกันเป็นทอดๆ มันคงเพิ่งออกหากินได้ไม่นานนัก

    เสียงพรั่บๆ ของนกเค้าสีแดงที่ตีปีกจากพุ่มไม้แห้งเล็กๆ สักพุ่มข้างทางไม่ได้ทำให้นายาสตกใจเลย เขายังคงก้าวเท้าในจังหวะของตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงลานดินโล่งๆ ที่ชาวเผ่าได้ช่วยกันปรับเกลี่ยให้ราบเรียบสำหรับใช้ประกอบพิธีกรรมบูชาเลือดต่อเทพเจ้าผู้เป็นที่เคารพ นายาสจึงได้หยุดเดิน

    เบื้องหน้าของนายาสคือลานกว้าง เป็นลานกว้างที่วางตัวเองเบื้องล่างหน้าผาสูงชัน หน้าผาแห่งนี้ชันจนแม้แต่กวางภูเขาที่เก่งนักหนาก็ยากจะปีนป่าย และการปีนป่ายขึ้นไปในสายตาชาวเผ่าก็เหมือนการท้าทายและล่วงเกินถิ่นพำนักของเทพเจ้าไม่เคยมีใครกล้าปีนและไม่เคยมีใครท้าทาย เว้นแต่ครั้งนี้

    นายาสเอื้อมมือของเขาจับชะง่อนหินและออกแรงปีน เขาปีนสูงขึ้นไปท่ามกลางความสว่างที่แสงจันทร์ส่องทางไว้ให้

    แล้วนายาสก็ปีนขึ้นไปจนถึงจุดที่สูงมาก สูงจนเขาหันหลังไปมองเห็นผิวผืนน้ำทะเลส่องประกายสะท้อนแสงจันทร์ สะท้อนแสงดาว ภาพเบื้องหน้าที่เห็นซึมซาบเข้าไปในความนึกคิดของนายาส เขาเพ่งมองอยู่นาน นานพอที่จะเก็บและจดจำทุกรายละเอียด โดยเฉพาะจุดประหลาดที่มีแสงเรืองรองสีเขียวลอยล่องอยู่ นายาสรู้ทันทีว่าตรงนั้นมีความหมายสำคัญรอเขาอยู่ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาปีนขึ้นมาบนนี้

    ....................

    บนเรือที่ลอยลำนิ่งกลางมหาสมุทรกว้าง ชายสูงวัยผู้นั้นทอดอาลัยไปกับความหวังที่ไม่เคยเห็น เขาค่อยๆ คุกเข่าลงกับกาบเรือ ทุกทิศทุกทางยังไร้วี่แวว

    “ท่านพ่อ” เสียงทักเศร้าสร้อยจากบุตรชายคนใดคนหนึ่งของเขาดังขึ้นเบาๆ

    เมื่อผู้เป็นบิดาหันกลับมา ฮารัมบุตรชายคนกลางกอดภรรยาที่เศร้าสร้อยของเขาไว้ในอ้อมแขน ชายหนุ่มที่ยังเยาว์นักผู้นั้นก้มหน้าเล็กน้อยด้วยไม่อาจจะสบสายตาผู้บิดาได้

    “มีอะไรหรือฮารัม?” เขาเอ่ยถามอย่างอ่อนล้า

    “อาหารของบรรดาสัตว์กินเนื้อในเรือจะหมดแล้ว ข้าเกรงว่าเราจำเป็นต้องฆ่าสัตว์คู่ใดคู่หนึ่งเพื่อเป็นอาหารแกพวกมัน ไม่เช่นนั้นก็ต้องปล่อยให้มันอดอาหารตาย” คำตอบนั้นชวนสลดใจนัก

    “แล้วก็...”

    “แล้วอะไรหรือบุตรข้า มีอย่างอื่นอีกหรือ? เจ้าบอกมาเถิด”

    “ไม่ใช่แต่อาหารของสัตว์พวกนั้น ข้า ภรรยาข้าแล้วก็ท่านแม่คิดว่าอาหารที่เรามีไว้กินไม่น่าจะอยู่พ้นสามสิบวันจากนี้” บุตรของเขากล่าว

    ฮารัมกอดปลอบใจผู้เป็นภรรยา เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่ผู้เป็นหัวหน้าใหญ่สุดบนเรือหันหลังไปด้วยความเศร้า เขาย่อตัวลงนั่ง ยกสองมือประสานเหนือหัวแล้วก็ก้มลงคำนับแก่ผู้ที่เคยประทานหนทางรอดแก่เขา น้ำตาหลั่งออกมาด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บปวดที่พระผู้สร้างได้ประทานหนทางรอดจากความตายหนึ่งให้ครอบครัวของเขา แต่กลับทอดทิ้งพวกเขาและสรรพสัตว์ที่ท่านกำหนดให้รอดมาอดตายอยู่ท่ามกลางเวิ้งทะเล

    “ท่านพ่อ” ฮารัมเรียกเขาเพียงเบาๆ ความสิ้นหวังดูเหมือนจะถ่ายทอดออกมาจากตัวเขาด้วย

    เมื่อชายสูงวัยผู้นั้นเริ่มสวดคำบูชา บุตรชายก็ประคองภรรยานั่งลง ทั้งสามคนคุกเข่ากับพื้นเรือ แสงดาวบนฟ้านั้นสดสว่างยิ่ง คำสวดภาวนาแว่วลอยไปอากาศ มันแทรกผ่านไปในอณูของน้ำทะเล มันทะยานสูงขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบน มันไปทุกทิศทุกทาง คงจะดีหากว่าทุกคนได้รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าและทวยเทพได้รับฟังคำสวดภาวนานั้นแล้ว

    ตะวันจับแสงทองที่ขอบฟ้าตะวันออก ยาฟกับพี่ชายคนโตเชมมัทขึ้นมายื่นสำรวจท้องทะเลเหมือนที่ทำประจำ พวกเขาจะมาเฝ้ารอนกพิราบที่ฝึกไว้นั้นบินกลับมาจากการปล่อยให้โผบินไปในทิศทางต่างๆ สิ่งที่แตกต่างไปคือพวกมันมักบินกลับมาในยามเย็นของแต่ละวัน ซึ่งนั่นแปลว่ามันจะไม่ค้นพบแผ่นดินใดใดพอให้มันได้พักอาศัย แต่ชุดล่าสุดที่ปล่อยไปเมื่อวานก่อนไม่ได้ย้อนกลับมา

    ไกลออกไปทางทิศตะวันตก พิราบตัวหนึ่งจากหลายตัวที่ถูกปล่อยพร้อมกัน มันเป็นตัวแรกและตัวเดียวที่บินได้ไกลและนานกว่าเพื่อน บางทีพระเจ้าอาจจะให้มันตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะบินไปจนกว่าจะหมดพลัง มันจึงได้บินไปข้างหน้าเท่านั้น ขยับปีกของมันให้บินตรงๆ จนที่สุดมันก็พบกับสิ่งที่มันปรารถนาจะเจอ มันพบสิ่งที่ทุกคนบนเรือปรารถนาจะเจอ มันบินมาจนเจอแผ่นดินผืนใหญ่

    มันร่อนลงพักผ่อนเอาแรงริมแอ่งน้ำที่มันค้นพบ มันหลับนอนเอาแรง มันได้กินอาหารจากเนื้อและเมล็ดของผลสุกที่ร่วงจากต้นจนเกลื่อนพื้น ที่สุดมันก็เริ่มออกบินอีกครั้ง ออกบินเพื่อกลับไปยังบ้านและรังที่อยู่บนเรือยักษ์ลำนั้น

    ยาฟเป็นผู้ที่เห็นนกพิราบตัวนั้นโผลงเกาะที่ขอบหลังคาเหนือดาดฟ้าเรือ ความดีใจนั้นพุ่งพรวดพราดขึ้นมาในใจเขา มันเอ่อล้นจนเขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ผู้เป็นพี่ชายคนโตได้ยินเสียงร้องราวกับคนบ้าของน้องชายก็รีบทะยานมาดู ที่ปลายทางชี้ของผู้เป็นน้อง นกพิราบตัวนี้ส่งเสียงกรู้ๆ และเดินต๊อกแต๊กอยู่หน้ากรง เขารู้มันทีว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้

    “ขอบคุณพระเจ้าๆๆ” เชมมัทพร่ำขอบคุณแก่ผู้สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์และในความเชื่อความศรัทธา

    “แผ่นดินๆๆๆ นกเราเจอแผ่นดิน พวกเรารอดตายแล้ว” ยาฟตะโกนลั่นแล้วออกวิ่งไปบอกข่าวแก่ทุกคน มันเป็นข่าวดีที่พระเจ้าประทานให้อย่างแน่นอน

    จากข่าวที่ได้รู้ ทุกคนรวมถึงทุกชีวิตบนเรือราวกับจะจับต้องได้ แรงใจที่เคยสิ้นหวังไปก่อนหน้านี้ราวกับได้รับการเติมพลัง ไม่กี่วันหลังจากนั้นเรือลำยักษ์ก็แล่นไปจนมองเห็นแผ่นดินนั้น มันเป็นเกาะใหญ่มากเกาะหนึ่ง เรือเกยตื้นที่ชายฝั่ง ทุกชีวิตถูกปล่อยลงจากเรือ บรรดาสัตว์ทั้งหลายโผนกระโจนกันอย่างมีชีวิตชีวา มันบ่ายหน้าออกจากเรือและมุ่งเข้าไปในป่า บางตัวที่เจ็บป่วยพักฟื้นอยู่บนเรือจนแข็งแรงดีในอีกหลายวันต่อมา พวกมันก็ผละเรือไปเช่นเดียวกันกับสัตว์น้อยใหญ่อื่นๆ

    เมื่ออยู่บนแผ่นดิน ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าทุกคนก็พบว่าเรือนั้นมาติดอยู่บนยอดเนินเขาสูง แผ่นดินเบื้องล่างเปิดเผยตัวเองมากขึ้นและไกลออกไปทุกวัน

    ชายสูงวัย นำภรรยาและครอบครัวที่มีลูกชายลูกสาวของเขาสวดขอบคุณพระเจ้าทุกวัน เริ่มต้นก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่บนแผ่นดินอันสงบเงียบหลังเวลากว่าสี่ร้อยวันที่ทะเลนั้นท่วมโลกด้วยพลังของพระผู้สร้าง

    ....................

    คลื่นลมแรงนักในวันที่นายาสเอาเรือเล็กของเขาออกจากฝั่ง

    ฟ้ามืดมิดแต่มันไม่มีแสงดวงดาวเลย พวกมันซ่อนตัวอยู่ในเมฆเทาทึบ ชายหนุ่มอาศัยแรงกายที่แข็งแกร่งพายไม้พายบ่ายหน้าสู่กลางทะเลกว้าง มันหน้าแปลกประหลาดที่เขาไม่ผิดเส้นทางแม้นแต่นิด เขาจำได้ทุกอย่างทั้งทิศทาง ระยะทางและตำแหน่งที่ควรจะต้องไป จุดที่เขาเห็นแสงเรืองรองจากบนหน้าผานั้น

    ฟ้านั้นค่อยๆ โปร่งโล่งเมื่อเขาพายออกมาไกลจนไม่อาจจะเห็นแผ่นดินได้อีก เขายังคงพายเรือไปอีกไกลมาก ร่างกายของเอาอาบแสงแดดจนผิวกายกลายเป็นสีแดงกล่ำ แววตาของเขาแน่วแน่มั่นคง แม้เขาจะรู้ว่านี้เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของชีวิต แต่เป็นไปตามที่ถูกกำหนดไว้แล้ว

    “นายาสเอ๋ย” เสียงนั้นสะท้อนก้องในสมอง

    “เจ้าผู้บูชาเราด้วยชีวิตเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เจ้าปรารถนา”

    “ความปรารถนาของเจ้าจักเป็นของเจ้า”

    “ด้วยพลานุภาพที่เราจักมอบให้เจ้าจักเปิดหนทางการดำรงอยู่ต่อไปของผู้คน
    “และด้วยพลานุภาพที่เราจักมอบให้”
    “เจ้าจักต้องคืนกลับเสมอกันนั่นคือการสิ้นสูญสู่ห้วงนิรันดร์”

    ถ้อยคำนั้นยังก้องกึกในสมองของนายาสแม้แต่ในขณะที่เขาดำดิ่งลงไปในท้องน้ำ

    ระยะความลึกของนายาสมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เคยดำได้ลึกขนาดนี้มาก่อน แรงบีบอัดของน้ำเพิ่มขึ้นตามความลึกที่มากขึ้น มันบีบเข้ามาทุกทิศทุกทาง เขาแทบทนไม่ไหวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่จะทนไม่ไหวแล้วเขาก็กลับมาพลังให้ไปต่ออีกเฮือก อีกเฮือก

    น้ำทะเลเบื้องหน้าดำมืดราวกับไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ เป็นความมืดที่ดูคล้ายอะไรดีล่ะ?—นายาสคิด

    ใช่—ท้องฟ้าข้างบนนั่น ที่ใกล้ออกไปในเวิ้งฟ้านั่น สถานที่ที่เขาเรียกว่าอะไรนะ? อวกาศ?? คำนี้นายาสคิดขึ้นมาโดยที่เขาคิดว่าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่นั่นจะมีความหมายอะไรในเมื่อเขากำลังต้องทำในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงชี้ทางเขาไปแล้ว

    ในที่สุดนายาสก็ดำลงมาจนสุดความลึก เขารู้ได้ด้วยการสัมผัสแตะโดนส่วนที่เป็นโคลนเหลวๆ ความเยือกเย็นโดยรอบโอบรัดเขาไว้ นายาสไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาสามารถดำลงมาได้ลึกและนานขนาดไหน และเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาสามารถทำได้ บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เขาผู้ได้อธิษฐานสาบานว่าจะมอบทุกสิ่งที่พระองค์ต้องการแลกเปลี่ยนกับการอยู่ต่อไปอย่างสันติสุขของมาบนุสและเรสย่า บิดามารดาของเขา รวมถึงชนเผ่าของเขาด้วย

    นายาสลอยตัวนิ่งๆ ในน้ำ เขายื่นมือทั้งสองข้างลงบนพื้นเบื้องหน้าโดยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น

    ความร้อนรุ่มเกิดขึ้นที่ฝ่ามือของเขา มันร้อนลามมาบนแขนทั้งสองข้าง แสงสว่างจากความร้อนนั้นทำให้เขาสามารถมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง มันเป็นสิ่งที่มีสีดำสนิทที่อยู่ท่ามกลางโคลนสีเทาคล้ำขุ่นนั่น ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดเมื่อมันดูไม่เหมือนสิ่งใดที่เขาคิดว่าน่าจะรู้จัก มันเหมือนไม่มีสิ่งใดอยู่ตรงนั้น มันหมุนวนและดูเหมือนว่างเปล่า

    ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างกายเบาไร้น้ำหนัก มีแรงดึงเบาๆ จากเจ้าสิ่งสีดำนั่นแล้วเขาก็วูบหายไปจากความสามารถรับรู้

    อะไรบางอย่างสีดำที่เกิดขึ้นหมุนวนตัวเองเป็นเกลียว มันค่อยๆ กลายเป็นหลุมลึกทีละนิดๆ มันมีพลังอย่างมหาศาลที่จะดึงดูสิ่งรอบข้าง จากนั้นน้ำทะเลรอบๆ ก็ค่อยๆ ไหลเข้าไปในหลุมนั้นอย่างรวดเร็ว เร็วมาก เร็วจนรู้สึกได้หากนายาสยังมีความนึกคิดอยู่

    ....................

    บนฝั่ง ระดับน้ำทะเลลดลง มันลดลงเรื่อยๆ ทุกวันๆ วันแล้ววันเล่าจนที่สุดมันก็หยุด

    มาบนุสพาผู้คนลงจากเทือกเขาแอนดีสที่สถิตของเหล่าเทพ ปลูกสร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่อีกครั้ง เรสย่าผู้เป็นภรรยาของเขาดุ่มเดินออกไปจากหมู่บ้านริมทะเล เธอนั่งลงที่ชายหาด มองเหม่อออกไปไกลสุดตา เธอสวดมนต์อวยพรในภาษาที่แปลกประหลาดกว่าภาษาใด น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้ม—เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    ที่ไกลออกไปโนอาห์เองก็ได้ละทิ้งเรือยักษ์ไว้บนฝั่งที่บัดนี้แปรสภาพเป็นยอดเขา เขานับวันเวลาทั้งหมดจากรอยขีดบนกล่องไม้ หลายวันมาแล้วที่ระดับน้ำทะเลนิ่ง มันไม่ลดลงไปอีกแล้วอย่างแน่นอน เขานับมันช้าๆ จนได้จำนวนกว่าสามร้อยขีด บัดนี้พระเจ้าได้ประทานพรให้เขาและครอบครัวได้ใช้ชีวิตและสืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์และสัตว์โลกอีกครั้งหลังจากรอดพ้นจากน้ำท่วมโลก.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×