คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 เกือบไป(รีไรท์)
3. เกือบไป
ในห้องทำงานชั้นสอง อนิสสาเดินตรงไปหาอุศเรศผู้ซึ่งดูจะช่ำชองการใช้งานอินเตอร์เน็ตกว่าใครเพื่อนในออฟฟิศ หญิงสาวตั้งใจจะให้อุศเรศเป็นคนรับหน้าที่เอาข้อความประกาศรับสมัครงานที่เธอร่างไว้ไปโพสต์ลงในเว็บไซต์สมัครงานต่างๆ หลังจากที่หญิงสาวคิดดีแล้วว่าถ้าเธอจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของนิตยสารมันทันสมัยขึ้น เธอต้องมีทีมงานหัวศิลป์รุ่นใหม่ๆ มาช่วยกันคิดช่วยกันเสนอ
“ว่าไงครับคุณหนู?” คนร่างใหญ่ถาม ใบหน้ายิ้มแย้ม
“อันนี้เป็นข้อความประกาศรับสมัครงานแล้วก็คุณสมบัติค่ะ” อนิสสาบอกและยื่นกระดาษที่เธอร่างข้อความให้ อุศเรศรับมาอ่านผ่านตาครู่นึง
“คุณหนูจะให้น้าเอาลงซักกี่เว็บดีล่ะ?”
“สักห้าเว็บก็ได้ค่ะน้า จะได้ไม่เสียเวลาน้าหงิมมากนัก” อนิสสาบอก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวน้าทำให้แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว” อุศเรศตอบ
“อ้อ... น้าหงิมจ๋า ถ้ามีคนสมัครงานเข้ามาน้าหงิมรีบปริ้นท์เอกสารมาให้นิดเลยนะคะ นิดอยากรีบเรียกสัมภาษณ์” อนิสสาเอ่ยขอร้อง
“ครับ มีคนสมัครเมื่อไหร่น้าจะรีบปริ้นท์เอกสารประวัติกับใบสมัครไปใส่กล่องหน้าห้องไว้ให้เลย”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวาน กล่าวขอบคุณ
อนิสสาหมุนตัวจากโต๊ะของอุศเรศ สามป้าของเธอนั่งทำงานกันอย่างขันแข็ง เธอดีใจที่ทุกคนในออฟฟิศนั้นเวลางานคือเวลางาน เวลาพักคือเวลาพัก คุณป้าของเธอได้คนร่วมงานที่ช่วยเบาแรงเธอได้เยอะมากจริงๆ ยิ่งทุกคนรู้ว่าเธอเป็นมือใหม่ยิ่งกุลีกุจอจัดการงานต่างๆ ให้
“อ้อ... ป้าศรี ป้าสมพิศ แล้วก็...” อนิสสาเคอะเขินที่จะเรียกปกรณ์แบบเดียวกับที่เรียกอีกสองคน
“เรียกป้าจอมก็ได้จ้ะหนูนิด จะเรียกพี่จอม นังจอม ยัยจอม จอมมี่ก็ได้ตามแต่สะดวก แต่อย่าเรียกไอ้จอมก็พอ ป้าไม่อยากเป็นเพศชายโดยสมบูรณ์” ปกรณ์พูดทั้งสนุก เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากหญิงสาว
“ได้ค่ะป้าจอม” หญิงสาวรับคำ
“เดี๋ยวอีกสิบนาทีป้าๆ ขึ้นไปประชุมกับหนูข้างบนหน่อยนะคะ
“จ้ะ” สามสาวรับคำพร้อมกัน
ในการประชุม อนิสสาเปิดเผยเรื่องแผนการปรับปรุงนิตยสารและเรื่องปรับออฟฟิศใหม่ให้ทั้งสามฟัง โดยเธอจะติดต่อขอเช่าห้องที่อยู่ถัดไปทางท้ายตึกเดียวกันนี้เพื่อตกแต่งเป็นออฟฟิศใหม่ ทุกคนจะได้มีห้องทำงานที่กว้างขวางขึ้นเพราะต้องเผื่อที่ไว้รองรับทีมงานที่จะเพิ่มขึ้นด้วย
“นิดว่าจะรับสมัครทีมกองบรรณาธิการเพิ่ม อยากได้คนรุ่นใหม่บ้าง” อนิสสาบอกแผนการ
สามคนงานเก่ามองหน้ากันไปมา หญิงสาวเห็นเลยชิงบอกว่าไม่ใช่เพราะคนที่อยู่ตรงนี้มีแต่คนเก่าคนแก่ แต่เพราะต้องเพิ่มเนื้อหาและรูปเล่มด้วย กองบรรณาธิการใหม่จึงต้องมีคอลัมนิสต์เพิ่ม และมีฝ่ายศิลป์กับช่างภาพด้วย
พอได้ยินเรื่องนี้แล้วศรีสมัยบอกว่าจะแนะนำช่างภาพที่เธอรู้จักให้มาสมัครงานด้วย
“หลานชายป้าคนนี้เป็นช่างภาพอยู่หนังสือแฟชั่นนะคะหนูนิด ถ่ายรูปสวยมากด้วย” ศรีสมัยบรรยายถึงหลานชาย
“แล้วค่าจ้างเขาจะไม่แพงเหรอคะป้า?” อนิสสากังวลเรื่องนั้นเพราะค่าตัวช่างภาพนิตยสารแฟชั่นไม่ใช่ถูกๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะหนูนิด เดี๋ยวป้าบีบคอเอามันมาทำงานแบบให้ค่าจ้างเป็นข้าวกล่องสามมื้อก็พอ” หล่อนว่า
“ทำอย่างนั้นได้ไงคะป้า คนเราทำการทำงานมีค่าจ้างค่าแรงนะคะ” อนิสสาไม่เห็นด้วย
“เถอะน่า เดี๋ยวป้าจัดการให้เอง”
“แหมถ้าได้จริงๆ นี่นิดว่าคงต้องขึ้นเงินเดือนป้าศรีหน่อยแล้ว” อนิสสาหัวเราะ
“ต๊ายยย... หนูนิดพูดจริงหรือเปล่าคะเนี่ย” คนได้ฟังข้อเสนอยิ้มกริ่ม
“หนูล้อเล่นค่ะ” คำตอบทำคนดีใจหน้าหุบ
“แล้วเรื่องออฟฟิศนี่ หนูนิดจะทำเมื่อไหร่จ้ะ?” สมพิศเอ่ยทัก
“เร็วๆ นี้แหละค่ะ นิดว่าจะเคลียร์เรื่องพนักงานใหม่ก่อน”
“ยังไงป้าสมพิศก็ติดต่อเจ้าของตึกไปก่อนได้เลยนะคะ ว่าสะดวกให้นิดนัดคุยได้วันไหน” อนิสสาสั่งการ
.....................
บริษัทออกแบบสเกลแลนด์อาร์คิเทคเจอร์ของณพัฒน์กับเพื่อนๆ ดูเงียบผิดปกติ หนุ่มสาวเจ็ดหรือแปดคนในนั้นต่างมีสีหน้าเครียดกันทั้งหมด นั่นเพราะข่าวร้ายที่ได้ยินกันเต็มสองหู
“อะไรนะไอ้พัฒน์!!! แกหมายความว่าไงว่ะที่เจ้าสัวนภวัฒน์จะเบรกงานโครงการศิริวราโครงการ 2 ไปก่อน?” หนึ่งในทีมงานออกแบบที่เป็นเพื่อนกันถามเสียงดัง
“เบรกก็คือเบรก ก็หมายความตามนั้น” ชายหนุ่มตอบเรียบเฉย
“ก็นั่นแหละถึงได้ถามว่าทำไม? เพราะอะไร?” ฝ่ายนั้นยังไม่ลดละ
“จะไปรู้เหรอ อาจจะเศรษฐกิจไม่ดี เงินขาดสภาพคล่อง ขายบ้านไม่ได้กำไร มัวแต่ไปตีกอล์ฟ หรือไม่ก็ขี้เกียจทำแล้วก็ได้นี่หว่า” ณพัฒน์ยกเหตุผลเรื่อยเปื่อยทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่คนชอบพูดต่อคำต่อความกับใคร
“เฮ้ยๆๆๆ คงไม่ใช่ว่าแกไปทำให้ยัยคุณหนูอะไรนั่นไม่สบอารมณ์นะ” เพื่อนสาวคนหนึ่งโพล่งความเห็นออกมา
“จริงเหรอวะ?” คนที่โวยวายอยู่รีบเค้นถาม
ทุกคนรู้ว่างานที่ได้มาส่วนใหญ่หากเป็นโครงการของท่านเจ้าสัวนภวัฒน์เป็นต้องมาจากการอ้อนขอของหญิงสาวที่มาไล่ตามณพัฒน์แจคนนั้น เมื่อณพัฒน์ไม่พูดอะไรต่อ คนที่อยู่ในออฟฟิศทั้งหมดก็ได้แต่เงียบเสียง
....................
สายของวันรุ่งขึ้น อนิสสาก็พบเอกสารใบสมัครงานที่เธอสั่งไว้ถูกเอามาเสียบในตะแกรงหน้าห้องเรียบร้อย พอไขประตูเข้าไปในห้องได้ เธอก็ไม่รอช้าที่จะรีบดูโปรไฟล์เหล่านั้น มีสองสามคนที่น่าสนใจและเรียกเงินเดือนไม่สูง เมื่อตัดสินใจได้ห้าคนที่น่าสนใจจริงจากใบสมัครสิบคน หญิงสาวก็เอาเอกสารลงไปบอกน้าศรีสมัยให้นัดหมายทั้งห้าคนให้ด้วย อนิสสาก็ได้แต่หวังว่าจะได้คนที่ถูกใจสักคน
“ที่โรงพิมพ์แจ้งกลับมาหรือยังคะว่าปกนี้จะเสร็จวันไหน?” หญิงสาวชะโงกหน้าเข้าไปถามศรีสมัยที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ประตูที่สุด
ฝ่ายถูกถามเงยหน้าจากงานตรงหน้ามาตอบว่าอีกสองวันจะจัดการให้สายส่งเข้าไปรับหนังสือ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีข่าวไม่ค่อยดีนักเพราะทางโรงพิมพ์เปรยๆ มาว่าค่าใช้จ่ายในการพิมพ์สูงขึ้น อาจจะพิมพ์ให้ในราคาเดิมสมัยที่ประภาพิมพ์ทำสัญญาตกลงไว้ไม่ได้อีกแล้ว
คำบอกนั้นทำเอาอนิสสาหน้าเครียด
“แล้วเดี๋ยวนิดจะไปคุยกับที่โรงพิมพ์เองก็แล้วกันนะคะ น่าจะต่อรองขอยืดเวลากันได้อีกหน่อย” อนิสสาบอกผู้เป็นลูกน้อง ก่อนเดินกลับขึ้นมายังห้องของตัวเอง
“เฮ้อ...ทำไมงานทำนิตยสารมันเหนื่อยอย่างนี้น้า” อนิสสาถอนหายใจหนักๆ เอามือก่ายหน้าผากตัวเอง
“อยากได้ข่าวดีๆ บ้างจัง”
สุดความคิดพอดี สัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อนิสสาปล่อยให้ลมจากพัดลมพัดปะทะใบหน้าของเธอตรงๆ ผมยาวม้วนดัดพอเป็นทรงของหญิงสาวปลิวลมเบาๆ ส่วนมือก็ล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อคลุม
“ว่าไงแพท?” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“ทำไมเสียงแกหดหู่แบบนั้นล่ะ?” คนโทรหาถามแบบแปลกใจ
“งานมันมีแต่ปัญหาเต็มไปหมด... เฮ้อ...” อนิสสาบ่นนิดหน่อย
“แกอยู่ไหนเหรอแพท? มีอะไรหรือเปล่า?”
“อ๋อ... ขับรถอยู่ ชั้นว่าจะมาชวนแกไปฉลอง ละครหลังข่าวเรื่องหน้าฉันได้เล่นเป็นนางเอกล่ะแก” น้ำเสียงคนเล่านั้นตื่นเต้น
“เฮ้ย... จริงเหรอ? กรี๊ดดด....ยินดีด้วยนะแก” อนิสสากระปรี้กระเปร่าขึ้นทันตาตามข่าวดีที่ได้ยิน
“จริงดิ เดี๋ยวเย็นนี้แกมาฉลองกับฉัน กับผู้จัดการด้วยกันที่สีลมนะนิด นะจ๊ะ...ไปฉลองกัน”
“สงสัยจะไม่ได้แล้วล่ะแก มีเรื่องต้องทำเยอะไปหมด เหนื่อยก็เหนื่อย... แล้วยังไงค่อยนัดกันคราวหลังนะ” คนอยู่ในออฟฟิศบอกเสียงสลด
“ไม่เอาอะ นี่ฉันมาจนจะถึงออฟฟิศแกแล้วนะ อยู่ตรงซอย เอ่อ... ซอยสิบห้าทับหนึ่งแล้ว แต่เข้าซอยไหนก็ไม่รู้ บอกทางหน่อยสิ เร็วๆ เข้า รถข้างหลังมันบีบแตรไล่แล้ว” คนขับรถอยู่บอกอย่างร้อนรน
“เอ่อ...งั้นแกเลี้ยวเข้าซอยสามสิบห้านะ เดี๋ยวเข้ามาแล้วฉันจะบอกทางอีกที” อนิสสาจำใจต้องตอบ
“อืม... แค่นี้ก่อนนะนิด” เปรมอรกดวางสาย
....................
เปรมอรจอดรถไว้ไม่ไกลออฟฟิศนัก เพราะเป็นนางแบบที่มีผลงานละครตอนเย็นอยู่บ้าง ทำให้ระหว่างที่เดินมามีพวกคนแถวนั้นวิ่งออกมาดูตัวจริงกันพอสมควร
“ต๊ายยยยยยยยยย ตัวจริงสวยกว่าในหนังสือตั้งเยอะนะจ๊ะหนู” สามป้ากรี๊ดกร๊าดเมื่อเห็นนางแบบคนสวยเดินเข้ามาในออฟฟิศ
“ขอบคุณค่ะ” เปรมอรตอบและยกมือไหว้ ขณะเดียวกันเจ้าของออฟฟิศก็เดินลงมาจากข้างบน
“คุณหนูนิดนี่ก็ไม่ยอมบอกเลยนะคะว่ามีเพื่อนเป็นดารา” สมพิศหันไปค้อนใส่เจ้านาย
“แหม... ก็นิดเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนี่คะ” อนิสสาหน้าเจื่อน
“อย่าไปว่านิดเลยค่ะป้าๆ เค้าก็แบบนี้แหละ พวกไม่รู้จักดูละคร” เปรมอรนึกสนุกที่ได้แกล้งเพื่อน
“หึ ใช่ค่ะหนูเปรมอร พวกไม่รู้จักอ่านนิยายดูละครก็แบบนี้แหละ” เจ๊จอมเสริมอย่างกระแหนะกระแหนพร้อมกับคล้องแขนหญิงสาวผู้มาเยือนไปหาที่นั่ง ส่วนทักษิณกำลังรื้อหากระดาษกับปากกามาขอลายเซ็นต์เพราะไม่ค่อยได้เจอดาราแบบใกล้ๆ
“เรียกหนูแพทก็ได้คะป้า” ดาราสาวบอก
“เดี๋ยวแพทขอตัวยัยนิดไปฉลองตำแหน่งนางเอกหน่อยนะคะ” หญิงสาวว่ายิ้มๆ แต่เรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวๆ รุ่นใหญ่ทั้งออฟฟิศเมื่อรู้ว่าเปรมอรจะได้เล่นเป็นนางเอกละครเรื่องใหม่ที่จะเปิดกล้องของผู้จัดละครคนดัง แถมยังประกบคู่กับพระเอกลูกครึ่งขวัญใจสาวๆ อย่างเชน-สวรรณรัฐ ไลท์ด้วย
“วันหลังหนูแพทมาถ่ายรูปสวยๆ ขึ้นปกนิตยสารให้พวกเราบ้างนะจ๊ะ” ป้าศรีสมัยชิงจีบ
“ได้ค่ะป้า แต่ต้องขึ้นอยู่กับคนนั้นนะคะว่าอยากได้หรือเปล่า” หญิงสาวยิ้มตอบ บุ้ยหน้าไปทางคนที่ยืนพิงราวบันไดอยู่
“ไม่ต้องไปสนหนูนิดหรอกจะ ป้าอนุญาต” เจ๊จอมชิงบอก
“แหมๆๆๆ ป้าจอมคะ จะไม่ถามนิดสักหน่อยเลยเหรอว่ามีปัญญาจ่ายค่าตัวมั้ย?” อนิสสาบ่นแซว
“ไม่รู้ล่ะ... ป้าถือว่ารับปากแล้วนะคะ คุณนิดเป็นพยานนะคะ” เธอหันไปบอกผู้เป็นเจ้านายใหญ่ของสำนักพิมพ์
อนิสสายิ้มรับ
....................
ตื่นขึ้นมาในตอนสายของวันใหม่ อนิสสารู้สึกปวดหัวอย่างหนักเพราะงานฉลองเมื่อคืน นายแบบหนุ่มเพื่อนร่วมรันเวย์บางคนของเพื่อนสาวก็ใช่ย่อย ยืนประกบเธอแจแถมยังทำมือเป็นปลาหมึก ต้องอาศัยมีสติอยู่กับตัวตลอดถึงรอดมาได้ แถมเธอต้องดื่มเข้าไปไม่รู้กี่แก้วต่อกี่แก้วเพราะบรรดาเพื่อนดาราและนักแสดงของเปรมอรเทียววนมาชนแก้วกับเธอตลอด กว่าจะลากยัยเพื่อนสาวว่าที่นางเอกละครออกจากร้านได้ก็ไม่รู้กี่โมงกี่ยามแล้ว แต่ก็ดึกเอาการ
งัวเงียตื่นขึ้นมาก็รู้สึกหนักๆ เหมือนอะไรมาทับตัวอยู่ อนิสสาผงกหัวขึ้นดูถึงรู้ว่าเป็นเพื่อนสาวคนสวยนั่นเองที่นอนกอดทับเธออยู่ แต่ตอนนี้เปรมอรอยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยมีแค่ชั้นในตัวจิ๋วเท่านั้น ครั้นพอสำรวจตัวเองตัวเธอก็ไม่ต่างกัน เสื้อตัวที่ใส่เมื่อคืนถลกสูงจนถึงเนินเนื้อที่ห่อไว้ด้วยเสื้อชั้นในหลวมๆ แถมมือของคนนอนข้างยังตะปบอยู่บนทรวงอกเธออีก
“กรี๊ดดดดดด” อนิสสาร้องเสียงหลง รีบผลักมือที่วางทับอยู่ออกไปพ้นตัว
“อะไรนิด มีอะไร???” คนหลับอยู่สะดุ้งตื่นทันทีเช่นกัน
“แกทำอะไรชั้นยัยแพท? ทำไมเสื้อผ้าชั้นหลุดลุ่ยแบบนี้ แล้วแกยัง...ยัง...ยังโป๊แบบนั้นด้วย” หญิงสาวรีบเค้นคำถาม ดึงเสื้อนอนลงมาปิดตัวเอง ใบหน้าแดงโกรธหรืออายก็ไม่แน่ใจ
“โอ๊ยยย...“ เปรมอรคราง เพื่อนสาวของเจ้าของห้องโคลงหัวไล่ความมึนเมาของฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเมื่อคืน
“โอ๊ย!” เสียงครางเปลี่ยนเป็นเสียงร้องดังๆ พร้อมเสียงกำปั้นทุบแรงๆ เปรมอรตาสว่างทันที
“แกบอกชั้นมาเลยนะยัยแพทว่าแกทำอะไรชั้น” อนิสสาขึ้นเสียงสูงด้วยความโมโหหลังลงมือกับเพื่อนสาวไปเต็มแรง แถมกำลังจะทำอีก
“เฮ้ย... เจ็บนะแก” เปรมอรรีบร้องบอก พร้อมกับดึงผ้าห่มมาห่อตัวกันโป๊
ยังไม่ทันอธิบายอะไร เสียงเคาะประตูรัวๆ หน้าห้องก็ดังขึ้นเสียก่อน ประภัสสรวิ่งขึ้นบันไดมาเพราะได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากในห้องลูกสาวนั่นเอง
“เป็นอะไรกันหรือเปล่าลูก?” ประภัสสรร้องถามจากข้างนอก
“ไม่มีอะไรคะแม่” อนิสสาตอบอย่างลุกลี้ลุกลน พร้อมกับรีบจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ ตอบเสร็จก็หันมาทำตาเขียวใส่คนที่อยู่ข้างกันบนเตียงอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไม่เป็นไรแน่นะ?” ผู้เป็นแม่ยังคงร้องถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตะโกนตอบแล้วก็รีบลุกหนีจากเตียงด้วยความรู้สึกขยะแขยง
“ยึ๊ย... แกนะแกยัยแพท ทำไมแกทำแบบนี้?” อนิสสาต่อว่า แต่ตาแดงๆ แบบคนจะร้องไห้ คว้าหมอนได้ก็ทั้งปาทั้งทุบไปที่เพื่อนสาว อารมณ์ทั้งอายทั้งโกรธเพราะเกิดมาจนโตเป็นสาวเคยที่ไหนจะโดนใครสัมผัสเนื้อสัมผัสตัวแบบนี้ ถึงจะเป็นผู้หญิงก็เถอะ
“เฮ้ยๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อนๆ” เปรมอรร้องห้ามทั้งยกท่อนแขนบังตัวเองจากหมอน
“ไม่ต้องมาเดี๋ยวเลย แกทำอะไรชั้นบอกมาเดี๋ยวนี้ ชั้นไม่ใช่พวกเลสเบี้ยนชอบตีฉิ่งนะ” เจ้าของห้องแหววใส่
“เฮ้ย... ชั้นก็ไม่ใช่นะ!!!” แพทรีบเถียง
....................
ในห้องนอนที่ตอนนี้ความวุ่นวายเบาลงแล้ว อนิสสานั่งทำหน้าบึ้งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองเพื่อนสาวไม่วางตา แต่ก็เป็นแววตาขุ่นเคืองสุดๆ
“ชั้นไม่ได้เป็นแบบที่แกคิดนะ” เปรมอรรีบแก้ตัว หลังคว้าชุดแซกสีฟ้าเปิดไหล่มาสวมใส่คืน เพราะตอนตื่นมามันลงไปกองอยู่ข้างเตียงนู่น
“แล้วทำไมแกมาแก้ผ้านอนกอดชั้นแบบนี้หา???” อนิสสารีบยิงคำถาม
“ถ้าแกไม่เป็นเลสเบี้ยนแล้วมันจะยังไง???” เจ้าของห้องคนสวยยังไม่หมดความแคลงใจ
“ก็ชั้นเคยชินที่จะถอดเสื้อผ้านอนนี่นา” แพทตอบเสียงเข้มแต่หน้านั้นแดงซ่านด้วยความอาย ก็ยามปกติอยู่บ้านคุณเธอแทบจะแก้ผ้านอนด้วยซ้ำไป
“แล้วไอ้ที่มากอดฉันทั้งคืนนี่ล่ะ ตอบให้ดีๆ นะ ไม่งั้นเพื่อนก็เพื่อนเถอะ ตีกบาลแยกแน่” อนิสสายังไม่หมดสงสัย
“ก็แพท...แพท...นอนดิ้น แล้วก็ชอบนอนฟัดกับหมอนข้างบ้าง ตุ๊กตาบ้าง” คนโดนซักตอบเสียงอ่อยๆ
“ปกติตอนเช้าๆ ที่นอนที่บ้านก็เละแบบนี้” เธอขยายความแบบอายๆ ใบหน้าสวยเขินแดง
“เฮ้อ... ยัยแพทนะยัยแพท ทำเอาชั้นใจหายหมด แล้วทีหลังก็ไม่ต้องมานอนกอดฉันเลยนะ ไปนอนบนพื้นโน่นเลย ฉันไม่ให้แกนอนบนเตียงด้วยแล้ว”
เปรมอรทำหน้างอแงที่โดนอนิสสาว่า ส่วนคนเพิ่งโล่งอกได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่...
ความคิดเห็น