คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ(รีไรท์)
บทนำ
กลางชุมชนเก่าย่านบางขุนนนท์ สำนักพิมพ์บันเทิงใจแอบตัวเองอยู่ในอาคารพาณิชย์สามชั้นค่อนข้างเก่าแห่งหนึ่ง ที่จริงสมัยที่ประภาพิมพ์เลือกตั้งสำนักพิมพ์ที่นี่ มันถือว่าทันสมัยทีเดียว แต่นั่นก็เกือบสามสิบปีแล้ว สิบกว่าปีให้หลังมีตึกทั้งใหม่และสูงกว่าเกิดขึ้นไม่เว้นช่วง แถมมาตอนนี้มันขึ้นกันเร็วยิ่งกว่าดอกเห็ดเสียอีก
หญิงสูงวัยเจ้าของสำนักพิมพ์มองออกมาจากหน้าต่างชั้นสอง ตึกสูงรุ่นใหม่บดบังรัศมีดวงอาทิตย์เกือบหมด ตึกของเธออยู่ในร่มเงาของตึกสูงๆ เหล่านั้น นิตยสารของเธอก็อยู่ในหลืบเงาของนิตยสารหัวใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นรายปีจนแทบจะตกจากแผงไปแล้ว ปีนี้ประภาพิมพ์รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ บางครั้งเธอก็ลอบถอนใจกับตัวเองถึงวัยที่มากขึ้น เธอก็แก่ตัวเหมือนนิตยสารหัวเดียวที่ยังเหลืออยู่ของเธอ
“นรีสาร” นิตยสารบันเทิงและนิยายชื่อดังเมื่อหลายสิบปีก่อน บัดนี้กระแสความนิยมตกลงถึงจุดที่เรียกว่าต่ำที่สุดแล้วก็เป็นได้ จากยอดพิมพ์เดือนละหลายหมื่นฉบับถูกลดลงมาเหมือนหลักหมื่นนิดๆ สายส่งที่เคยรับผิดชอบกระจายหนังสือออกไปสู่ผู้อ่านส่งคืนกลับหนังสือครั้งละหลายตั้ง ตอนนี้คนอ่านก็พากันแห่ไปอ่านนิยายสไตล์ใหม่ๆ ไม่เช่นนั้นก็หาอ่านจากอินเตอร์เน็ต แน่ล่ะว่าคนอย่างประภาพิมพ์ตามไม่ทันเรื่องพวกนี้ บรรดาลูกน้องเก่าแก่ที่อยู่ปลุกปล้ำนิตยสารมาด้วยกันก็คงเฉกเช่นเดียวกับเธอ ทุกคนแก่ตัวตามวัยและตามไม่ทันโลกที่ก้าวไปเร็วเกินอีกแล้ว
นักเขียนรุ่นใหม่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่หาคนมีฝีมือดีจริงๆ ที่ดีพอจะสร้างขึ้นมาเป็นนักเขียนระดับแม่เหล็กนั้นเธอหายากอย่างกับงมเข็มในมหาสมุทร ส่วนนักเขียนเก่าที่เคยได้อาศัยพึ่งพากันมาหลายคนเลิกราไปตามอายุขัย หลายคนไม่ได้ผลิตผลงานออกมาอย่างมากมายเหมือนเมื่อก่อน นักเขียนที่ยังมีผลงานอยู่ในตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่กี่คนและคงจะเลิกราจากวงการในช่วงไม่นานหลังจากนี้
หลายครั้งที่ประภาพิมพ์ได้แต่ลอบถอนหายใจอยู่เพียงลำพังคนเดียวเงียบๆ
ตอนเย็นอาทิตย์ละสามวัน ประภาพิมพ์จะนั่งรถแท็กซี่มารับประทานอาหารเย็นกับมารดา น้องสาวและน้องเขยเสมอ
“เล็ก พี่ว่าสงสัยพี่คงต้องวางมือเสียแล้วมั้ง?” ประภาพิมพ์เปรยกับประภัสสรผู้เป็นน้องสาวในตอนที่แวะมาทานอาหารเย็นด้วยกัน ประภัสสรน้องสาวของเธอกับอภิเชษฐ์ผู้เป็นสามีอาศัยอยู่กับมารดาในบ้านหลังแรกของคุณพ่อซึ่งอยู่ย่านตลิ่งชัน ส่วนตัวเธอเองย้ายไปอยู่ห้องพักใกล้สำนักพิมพ์ในช่วงแรกก่อตั้งใหม่ๆ และปัจจุบันก็อาศัยอยู่คอนโดมิเนียมไม่ห่างจากที่เดิมมากนัก
“แล้วพี่ใหญ่จะทำยังไงกับสำนักพิมพ์?” ผู้เป็นน้องสาวถาม
“ก็อยากจะหาคนมาดูแลต่อ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย” เธอพูดเลื่อนลอย
“พี่เอายัยนิดไปดูแลสำนักพิมพ์ดีไหม?” ประภัสสรเสนอ
นิดหรืออนิสสาเป็นลูกสาวคนเดียวของประภัสสร และเป็นหลานสาวโทนของประภาพิมพ์ด้วย ข้อเสนอนี้ทำเอาประภาพิมพ์ตาลุกวาว
“แหม... ถ้าได้ก็ดีสิ” ว่าพลางหัวเราะเมื่อนึกสภาพหลานสาวคนสวยจะมาเป็นผู้บริหารแทนเธอ ซึ่งเป็นไปได้ยากยิ่งกว่าอะไร เพราะเธอรู้จักหลานสาวดีว่าตั้งใจอยากเป็นผู้พิพากษามากขนาดไหน
ประภัสสรเห็นสีหน้าแสร้งระรื่นของพี่สาวก็ดูออก ด้วยความที่โตมาด้วยกัน สีหน้าแววตาผิดสังเกตนิดเดียวก็รู้ได้ทันที
“เดี๋ยวน้องคุยกับลูกให้เองค่ะพี่ใหญ่ เล็กก็เบื่อที่จะเห็นลูกจมปลักอยู่กับอาชีพทนายความของแกแล้ว ทำงานเท่าไรๆ มีแต่ผลงานให้คนอื่น” เธอว่าอย่างไม่พอใจ
“อืม... ได้แบบนั้นก็ดี ยังไงก็กิจการของครอบครัวเรา ถ้าหลานมันตกลงก็โทร.บอกพี่ได้เลยนะ” ผู้เป็นพี่สาวว่า แม้จะไม่ได้คาดหวังอะไรเลยก็ตาม
“เดี๋ยวน้องจัดการให้” ประภัสสรตอบด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น
...................
อาคารสามชั้นทรงทันสมัยทอดตัวขนานถนนพิษณุโลก สามจากหลายสิบห้องเป็นของสำนักงานกฎหมายและทนายความ “ชัททพงษ์การกฎหมาย” ผู้มีทนายความชื่อดังระดับต้นๆ ด้านกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของเมืองไทยเป็นเจ้าของ
สิบเอ็ดโมงครึ่งกว่าแล้ว คนในสำนักงานเหลือไม่กี่คน
อนิสสากำลังง่วนอยู่กับเอกสารประกอบรูปคดี หญิงสาวยกแฟ้มต่างๆ ออกมาไล่ดูเอกสาร เปิดหาจากในตู้และซองน้ำตาลบนชั้นวางใกล้โต๊ะ แต่เธอต้องขมวดคิ้วเมื่อหาเอกสารสำคัญชุดหนึ่งไม่เจอ เธอแน่ใจว่าก่อนที่จะออกไปทำธุระและพูดคุยกับลูกความเมื่อสามวันก่อน มันน่าจะอยู่ในแฟ้มและวางไว้บนโต๊ะอย่างแน่นอน
ปีนี้อนิสสาอายุ 25 แล้ว แม้ว่าเธอจะเป็นถึงนิติศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่เธอก็ยังเป็นได้แค่ทนายความหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งของสำนักงานทนายความชื่อดัง สามปีที่ผ่านมาในการทำงานที่สำนักงานนี้ เธอจะได้รับผิดชอบให้ว่าความในคดีสำคัญบ้างก็นานๆ ครั้ง ที่เหลือก็แค่ผู้ช่วยหาข้อมูล เตรียมเอกสาร เปรียบเทียบคดีกับประมวลคำตัดสินเก่าๆ หรือจะพูดให้ถูกก็คือเป็นแค่ลูกน้องของทนายความผู้ชายเท่านั้น
เธอเชื่อมั่นว่าถ้าเธอสู้ให้มากพอและนานพอ โอกาสจะต้องเปิดกว้างให้เธอแน่ๆ เพราะอนิสสาหวังว่าจะได้เป็นผู้พิพากษาตามที่เธอตั้งความหวังไว้ตั้งแต่สมัยเข้าเรียนใหม่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นบางครั้งอนิสสาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นแบบน้อยใจกับเพื่อนสาวร่วมสถาบันไม่ได้ ว่าทำไมมันไมมีความเสมอภาคเอาเสียเลยในวงการนี้ ทั้งที่เป็นวงการของผู้ดำรงความยุติธรรมแต่กลับพอความเอาเปรียบและแบ่งแยกทางเพศ
“เฮ้...เขต เห็นใครมาเอกสารที่โต๊ะพี่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาบ้างไหม?” เธอถามกับเด็กฝึกงานในออฟฟิศ
“ไม่เห็นมีนี่พี่” เด็กหนุ่มนักศึกษานิติศาสตร์ชั้นปี 3 ผู้ใช้เส้นสายเข้ามาฝึกงานเงยหน้าบอก ซึ่งอนิสสารู้ดีอยู่แล้วว่าถามไปก็ไม่น่าจะได้ความอะไร เพราะวันๆ ก็เห็นเอาแต่อ่านหนังสือรถแข่งกับเกมออนไลน์ อาศัยว่ามีพ่อเป็นเพื่อนเจ้าของสำนักงานกฎหมายเลยทำตัวเลาะแหละได้
“อ๋อ....ผมเห็นหัวหน้าชัทให้พี่ธินน์มาเอาอะไรสักอย่างอยู่นะครับ” เด็กหนุ่มเหมือนเพิ่งนึกได้
“นายธินน์เหรอ?” หญิงสาวถามตัวเอง ภาพของเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาทำงานพร้อมๆ กันแต่ได้รับโอกาสที่ดีจากผู้เป็นหัวหน้าอยู่เสมอทำอารมณ์โมโหของหญิงสาวพุ่งขึ้นสมอง
“เฮ้... ยัยนิด ยังไม่เจออีกเหรอแก ฉันหิวข้าวแล้วนะ” เปรมอรร้องถาม
อนิสสาและเปรมอรเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน สองสาวเรียนจบจากคณะเดียวกันก็จริง แต่ตอนที่จบมาเปรมอรถูกที่บ้านส่งไปเรียนต่อที่อเมริกา ขณะที่อนิสสาเลือกทำงานสำนักงานกฎหมาย พอเปรมอรกลับมาเมืองไทย สาวทรงเสน่ห์แถมยังเป็นดาวคณะอย่างกลับเปรมอรเลือกเบนเข็มตัวเองเข้าวงการนางแบบ อาศัยความสวยเฉียบแบบสาวสมัยใหม่และนามสกุลมาจากตระกูลดัง ย่อมไม่ยากที่จะถูกจับตาว่าจะเป็นดาวดวงใหม่ประดับวงการบันเทิง แล้วก็เป็นจริงตามนั้น เปรมอรเข้าวงการได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกชักชวนให้ข้ามมาจับงานละครบ้าง แถมท่าทางจะรุ่งเสียด้วย ล่าสุดก็เพิ่งขึ้นชั้นเป็นนางรองในละครเย็นของช่องทีวีช่องหนึ่ง ขณะที่เพื่อนสาวแสนสนิทซึ่งจะว่าไปก็สวยสูสีกันอย่างอนิสสากลับมุ่งมั่นที่จะก้าวไปให้ถึงตำแหน่งทางศาลที่เธอฝันไว้
“เดี๋ยวนะแพท ฉันหาเอกสารไม่เจอน่ะแก” อนิสสาร้องตอบ
หลังจากได้ฟังคำตอบจากเด็กหนุ่มผู้มาฝึกงาน อนิสสาก็ขยับจากโต๊ะของเธอ เดินผ่านเพื่อนสาวออกไปที่ช่องทางเดินกลางห้อง
“ก็ไปกินข้าวกันก่อนไม่ได้เหรอแก แล้วค่อยกลับมาหา นะนิดนะ” นางแบบสาวสวยอ้อนเพื่อน สีหน้าเว้าวอนเต็มพิกัด
“ไม่ได้หรอก” หล่อนตอบสีหน้าเครียด เสียงดุแข็ง จนเพื่อนสาวสะดุ้ง
หญิงสาวเดินอย่างเร่งร้อนไปยังห้องของชัททพงษ์ผู้เป็นหัวหน้าสำนักงาน ก่อนเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ขออนุญาตเหมือนทุกที ความรุ่มร้อนในใจหญิงสาวเดือดพล่าน
ประตูเปิดอ้า ชายสูงอายุกว่าเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความงุนงงปนหงุดหงิด
“พี่ชัทคะ เห็นเอกสารรับรองกับซีร็อกส์คำพิจารณาคดีที่นิดเคยเอาให้พี่ดูไหมคะ?” อนิสสาพยายามข่มใจและถามทันทีอย่างสุภาพที่สุด
“เจ้าเขตมันบอกว่าเห็นพี่ให้นายธินน์ไปเอามาจากที่โต๊ะนิด” เสียงนั้นเริ่มขุ่นเคืองด้วยความไม่พอใจ
“อ๋อ... เห็นสิ เรามาก็พอดีเลย พี่จะได้บอกให้เราไปช่วยคุณแหม่มเตรียมเอกสารอีกคดีแทนอยู่เชียว ส่วนคดีนี้พี่จะทำเองแล้วจะให้ธินน์ขยับมาช่วยพี่” อีกฝ่ายพูดวางอำนาจ
“อะไรนะคะ?” อนิสสาขึ้นเสียงโวยวาย หน้าสวยแดงกร่ำด้วยความไม่พอใจ เดิมที่คุณแหม่มซึ่งเป็นเลขานุการถูกจับคู่ให้ทำงานกับธินน์ในคดีหลอกให้เช่าที่ดิน ส่วนเธอได้รับมอบหมายคดีถ่ายโอนหุ้น แต่จู่ๆ งานที่เธอทำไปตั้งเยอะแล้วจะมาถูกเปลี่ยนมือแบบนี้
“คราวที่แล้วก็หนหนึ่งแล้วนะคะพี่ คราวก่อนนู้นก็อีกหน แล้วคดีนี้นิดเตรียมมาตั้งแต่ต้น อยู่ๆ พี่มายกให้ตานั่น แถมยังเอาเอกสารของนิดให้มันใช้อีก”
“เฮ้ย ใจเย็นไอ้นิด” ชัททพงษ์เอ่ยปราม
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตน่า คนสำนักงานเดียวกัน”
“เรื่องเล็กของพี่ แต่เรื่องใหญ่ของนิดนะคะ” เสียงดังออกไปถึงข้างนอก ทำให้หลายคนลุกมามุงดู
“เฮ้ย.... ไม่ใช่เรื่องของพวกแก กลับไปทำงานของใครของมันเลย” ชัททพงษ์ตวาดใส่บรรดาลูกน้องที่โผล่หน้ามาให้เห็น
“นิดต้องเข้าใจนะว่าคดีนี้มันสำคัญ แล้วพี่อยากใช้คนที่...” ฝ่ายหนึ่งพยายามอธิบาย
“พี่ชัทไม่ต้องพูดอะไรแล้ว นิดลาออก!” อนิสสาสวนคำก่อนที่อีกฝ่ายจะทันพูดจบ
“เฮ้ยไอ้นิด ใจเย็นๆ สิ ฟังพี่อธิบายก่อน” ชัททพงษ์พยายามจะบอก
“ไม่เย็นแล้ว นิดลาออก!!!” สิ้นคำอนิสสาก็หันหลังกลับ เดินกระแทกเท้าและปิดประตูเสียงดังสนั่น เดินลงส้นปึงปังมาลากแขนเพื่อนสาวออกจากสำนักงานโดยไม่พูดอะไรสักคำ
....................
ร้านอาหารฟิวชั่นฟู้ดส์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ทั้งอนิสสาและเปรมอรต่างเดินจ้ำฝีเท้าผ่านประตูร้านเข้าไปอย่างรวดเร็ว ชายวัยกลางคนกำลังง่วนอยู่กับหนังสือในมือ เลยไม่ทันสังเกตเห็นทั้งสองสาวเข้ามาในร้าน และไม่รู้ด้วยว่าแอบเข้ามาใกล้ตัวเองตอนไหน
“ลุงมิตร!” สองสาวประสานเสียงกันจนอีกฝ่ายสะดุ้ง
“โอ๊ย... ไอ้พิเรนทร์สองคนนี่ หัวใจลุงมิตรจะวายตายแล้ว” คนสูงวัยกว่าบ่นงึมงำ
ชายสูงวัยในกรอบแว่นตาหนาสีเหลี่ยมสีดำตัดกับผมสีดอกเลาของแกในแบบรองทรงสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ฟาดฝ่ามือเบาๆ ใส่เด็กสาวคราวลูกทั้งสองคน แต่สองคนนั้นก็ไวพอจะเอี้ยวตัวหลบพ้นเสียก่อน ฝ่ามือเลยได้แต่ฟาดอากาศเปล่า
“แหม...ลุงมิตรก็นะ แข็งแรงอย่างลุงไม่หัวใจวายง่ายๆ หรอกน่า เดี๋ยวแพทจีบพวกป้าๆ ที่กองละครให้สามคนเลยเอ้า ชอบแบบไหนล่ะ?” เปรมอรวิ่งหนีไปรอบโต๊ะยังยั่วเย้า อนิสสาได้แต่ยิ้มให้ความขี้เล่นของเพื่อนสาว
“ไม่ต้องเลย ลุงอยู่อย่างนี้ก็สงบดีอยู่แล้ว” แกว่าพลางขยับเก้าอี้นั่ง หยิบนิตยสารนรีสารที่หล่นกางบนโต๊ะขึ้นมาบนเบาๆ ลุงมิตรเป็นเพื่อนรักของประภาพิมพ์ผู้เป็นป้าของเธอ แถมเป็นแฟนนิตยสารตัวยง แต่อนิสสาไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นแฟนป้าด้วยหรือเปล่า เพราะเห็นแม่ก็เคยแซวป้าใหญ่ของเธอให้ได้ยินบ่อยๆ
“นู่นเลย... ไปหาพี่ชายแกนู่นเลยไป” ลุงมิตรไล่สองสาวไปหาคนที่เพิ่งเดินออกมาจากส่วนที่เป็นห้องครัว
เอกอาทิตย์เป็นลูกชายของลุงมิตร เป็นพี่ชายทีโตมาด้วยกันกับอนิสสา และเป็นเจ้าของร้านอาหารนี้ด้วย ชายหนุ่มอายุมากกว่าอนิสสาแค่ 3 ปี จบงานครัวจากสถาบันอาหารชื่อดังของเมืองไทย แถมยังเคยเป็นถึงผู้ช่วยเชฟโรงแรมสี่ดาวมาก่อน ทำให้ฝีไม้ลายมือในการรังสรรค์อาหารนั้นไม่แพ้ใคร
“ว่าแล้วเชียวไอ้สองแสบนี่จริงๆ ด้วย เสียงดังไปถึงในครัวเลย” เอกอาทิตย์เอ่ยปาก เขาเดินออกมาพร้อมอ่างใส่ผักและผลไม้ที่เพิ่งล้างเสร็จมาหมาดๆ ผักผลไม้สดสวยพวกนี้เพิ่งไปเลือกมาจากแผงใกล้ปากคลองตลาด
เปรมอรรีบถลาเข้าไปนั่งที่โต๊ะประจำตรงจุดที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ดีที่สุด อนิสสายังรีๆ รอๆ อยู่ใกล้ลุงมิตรของเธอ
“มีอะไรล่ะยัยนิด หน้างี้ไม่สดชื่นเลย” ผู้เป็นลุงเอ่ยถาม
“นิดเบื่อพวกที่สำนักงานจังเลยค่ะ เล่นแง่กับนิดเพราะเห็นว่านิดเป็นผู้หญิงอยู่เรื่อย” เธอตัดพ้อ
“ลุงก็บอกแล้วว่าถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องทน ทียังงี้ทำมาบ่น”
“ก็แหม... ลุงมิตรล่ะก็ ไม่ให้กำลังใจหนูเลยอ่ะ” อนิสสาเสียงเขียว หน้ามุ่ยเข้าไปใหญ่
“อีกแล้วเหรอไอ้นิด” เอกอาทิตย์ที่ฟังอยู่ใกล้ๆ แทรกขึ้นมา
“ใช่สิพี่เอก โดนแบบนี้มันน่าโมโหใช่ไหมล่ะ” อนิสสาหันกลับไปบอกอีกฝ่าย เธอหวังจะได้กำลังใจเล็กๆ น้อยๆ สักนิดก็ยังดี
“งั้นก็ลาออกสิ ไม่ต้องเป็นหรอกทนายน่ะ มาเป็นเด็กเสิร์ฟให้พี่ก็ได้นะ” เขาว่ายิ้มๆ แต่อนิสสาทำหน้างอใส่ ที่อุตส่าห์คิดว่าเขาจะช่วยให้กำลังใจเธอเพื่อสู้ต่อกลับเป็นตรงกันข้ามเสียนั่น
“โอ้ย.... ไม่คงไม่คุยด้วยแล้ว ไม่ให้กำลังใจกันเลย” อนิสสาโวยวาย หญิงสาวเดินกระฟัดกระเฟียดตามไปยังโต๊ะที่เพื่อนสาวนั่งอยู่
“ไอ้นิดเอ้ย.... แล้วนิยายสายลับพันธุ์พยัคฆ์-นักฆ่าพันธุ์มังกรตอนใหม่ของลุงล่ะ” เสียงตะโกนตามหลังมา เพราะธรรมดาอนิสสาจะติดนิยายต้นฉบับตอนใหม่เรื่องนี้มาฝากแกเสมอ
“โมโหคน! ไม่ต้องอ่านมันแล้ว” เธอตะเบ็งเสียงตอบ
....................
อนิสสายังนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา แม้ว่าเพื่อนสาวอดีตดาวคณะจะชวนกินและพูดหยอกเท่าไรเธอก็ยังบึ้งบูดอยู่
“อย่าเอามาเป็นอารมณ์น่าตัวเอง” คนสวยบอกเพื่อน
“ดูดิ ยิ่งบอกยิ่งบึ้ง หน้าจะเป็นขนมปังหมดอายุแล้ว” เธอเย้าเพื่อนสาว
“แกกินๆ ไปเถอะน่า” อนิสสาบอก
เอกอาทิตย์เดินถือแก้วเครื่องดื่มสีสวยมาถึงโต๊ะที่สองสาวนั่งอยู่ ค่อยๆ ยกแก้ววางลงตรงหน้าทีละคน น้ำสีสวยในแก้วทรงสูงดูเหมือนจะเรียกความสนใจจากคนกำลังตักสปาเก็ตตี้เขียวหวานไก่เข้าปากสวยได้รูปนั่น
“เป็นอะไรล่ะยัยนิด” คนยืนอยู่ถาม
“ก็... ไม่ต้องยุ่ง” กำลังจะตอบคำถาม แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้เพิ่งถูกอีกฝ่ายดักคอไว้ อนิสสาก็กลับมาบึ้งตึงใส่เหมือนเดิม
“เอาน่า อ๊ะนี่... พั้นซ์น้ำชาสูตรใหม่ พี่เจือน้ำผึ้งใส่ให้ด้วยนิดหน่อย” ชายหนุ่มบอก
“อุ๊ย... สีน่ากินจังพี่เอก” เปรมอรส่งเสียงอย่างตื่นเต้น ขณะที่ตัวเองเพิ่งวางแก้วในมือลง
“แล้วอันนี้ล่ะ” นางแบบสาวคนสวยชี้ของตัวเอง
“อันนั้นซัวร์มิกซ์พั้นซ์ พี่ลองเอามะนาว เสาวรสกับเชอรี่เปรี้ยวใส่รวมกัน” คนปรุงตอบ
“อึ๊ยยยยย...อะอ่อยอูกใอ” เปรมอรพยายามพูดว่าอร่อยถูกใจเธอทั้งที่ยังดูดหลอดคาปาก
“น่าเกลียดอะแก” อนิสสาว่าพลางทำหน้ารังเกียจใส่เพื่อน
“อึก...” อีกฝ่ายเร่งกลืนน้ำลงคอ ก่อนจีบปากตอบ
“เชอะ...ใครจะสน คนสวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดย่ะ”
“ไหน...เอามาชิมสิ” อนิสสาเริ่มจะหายจากอารมณ์ไม่ดี พยายามยื่นมือไปแย่งแก้วเครื่องดื่มของเพื่อนสาว
“เรื่องนี่... เอาของตัวเองมาแลกกับเค้าสิ” เปรมอรต่อรอง
...................
สองสาวหยอกล้อกันเสียงลั่นร้าน โดยไม่ได้รู้สึกตัวและไม่ได้มองไปรอบข้างว่ามีลูกค้าอื่นด้วย ถึงจะไม่กี่โต๊ะก็เถอะ และพวกคนเหล่านั้นกำลังมองมาที่พวกเธอ
“โตป่านนี้ยังเล่นกันเป็นเด็กๆ สาวๆ พวกนี้นี่ยังไงกันนะ ไม่ไหวจริงๆ” ณพัฒน์แอบนินทาในใจ แต่ก็ละสายตาจากหญิงสองสาวไม่ได้...
ความคิดเห็น