คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : วันที่ฉันยังมีหวังว่าพระอาทิตย์ยังไม่ดับลา...........
การนั่งเหม่อลอยมองท้องฟ้าในยามราตรี ด้วยแววตาที่ไร้ประกาย ปล่อยให้สายลมที่เย็นยะเยือกโถมพัดเข้าใส่ เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกเหน็บชาจนเหมือนว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย หัวใจที่เจ็บช้ำจนไม่มีความรู้สึกใดๆหลงเหลือ ความคิดหยุดชะงัก แม้กระทั่งน้ำตาก็หยุดไหล มีแต่เสียงของลมที่กระทบใบไม้ใบไม้ที่ฟังดูแล้วช่างเศร้าจับใจ ไร้กลิ่น ไร้รส ไร้สัมผัสใดๆ ทั้งสิ้น อื้ออึงอยู่กับภวังค์แห่งความสูญเสีย เหมือนกับถูกมีดแหลมคมเสียบทะลุเข้าไปถึงแก่นกลางหัวใจจนกระทั่งมันหยุดเต้น แต่หากว่าเรานั้นยังไม่ตาย เหมือนพระเจ้าจะยังทรงเมตตาให้เรายังมีชีวิตอยู่ แต่นั่นจะเรียกว่าการเมตตาอยู่งั้นเหรอ ในเมื่อพระองค์ให้เรามีชีวิตอยู่โดยไร้ซึ่งหัวใจ
“รังสิมันต์ รังสิมันต์ ๆ รังสิมันต์ เธออยู่ไหน อย่าทิ้งชั้นไปนะ รังสิมันต์ได้โปรด....”
เช้าของฤดูหนาวที่แสนอึมครึม กับเสียงโอดครวญของชายผู้สูญเสีย ฟังดูแล้วช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกิน ดูเหมือนว่าท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบซึ่งดูแล้วแทบไม่เห็นแสงตะวัน กิ่งไม้ก็แทบที่จะไม่เหลือใบให้เห็น ดอกไม้ที่เคยเปล่งบานเป็นสีต่างๆนาๆก็เหี่ยวเฉาเหมือนจะเป็นสีน้ำตาลเหมือนกันหมด เสียงเพลงของนกก็เงียบหายไป เหมือนจะไม่มีสิ่งดีๆใดๆหลงเหลือให้เห็นอยู่เลย
“รังสิมันต์ จับมือชั้นไว้นะ อย่าปล่อยฉันเด็ดขาดนะ รังสิมันต์ ๆ รังสิ... รังสิมันต์”
กฤษณ์ นักเขียนหนุ่มผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงอารมของการสูญเสียคนรักไปสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายที่เค้ามักจะเห็นมันทุกครั้งเมื่อเผลอหลับไป เหงื่อแตกพลั่กเปียกไปทั้งตัว หน้าซีด สายตาตื่นตระหนกมองนิ่งไปข้างหน้า ไร้ซึ่งชีวิตชีวา กฤษณ์ค่อยๆ เดินลงจากเตียงอย่างช้าๆด้วยมือม้ายที่สั่นเทา อาบน้ำทำภารกิจส่วนตัว จากนั้นเค้าก็เริ่มเดินออกไปจากอพาทเมนท์เดินไปตามทางเท้าซึ่งถ้ามองดูไปรอบๆแล้วจะมีผลไม้และอาหารมากมายวางขายประปรายอยู่ตามข้างถนนคล้ายๆ สุดทางเท้าที่เขาเดินไปนั้นก็คือ สวนสาธรณะบนเนินเขา ซึ่งเป็นที่ๆเขาคิดว่าจะได้อยู่ไกล้หัวใจของเขามากที่สุด...เขารอคอยที่จะดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างนี้ทุกเช้าใต้ต้นพุทราแห้งซึ่งไม่เหลือใบอยู่แล้วแม้แต่ใบเดียว แล้วก็นั่งนิ่งเหม่อลอยไม่พูดไม่จากับใครอยู่อย่างนั้นจนท้องฟ้าเริ่มมืด จากนั้นเขาก็เดินกลับเส้นทางเดิมซึ่งเหลือทิ้งไว้แต่ถนนที่อ้างว้าง ซึ่งดูแล้วแตกต่างกับยามเช้าโดยสิ้นเชิง พอเขาเดินไปถึงอพาทเมนท์ ซึ่งในยามที่ไร้ซึ่งแสงตะวัน ท้องฟ้าที่อ้างว้างว่างเปล่านั้นคืออีก ที่หนึ่งที่ซึ่งเขาจะไปนั่งเฝ้ามองมันอยู่อย่างนั้น ในสภาพที่ว่าแม้ตึกที่เขาอยู่นั้นจะถล่มลงไปเขาก็อาจจะไม่รู้สึกตัวอะไรเลย แววตาที่ไร้วิญญาณนั้นจะยังคงจ้องมองอยู่อย่างนั้นต่อไป เพราะในใจ ของเขาเฝ้าคิดถึงแต่ เธอเท่านั้น “รังสิมันต์”
การอยู่เหมือนตายนี่ช่างโหดร้ายซะเหลือเกิน วันคืนของเขาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งที่เขาเงยหน้ามองเข็มนาฬิกา ก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าเข็มมันไม่ได้กระดิกเลย เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ หลงเหลืออยู่อีกแล้ว ภาพเหตุการณ์ณ์เมื่อวันนั้น ยังคงคอยมาวกวนหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา มันเหมือนกับพึ่งเกิดขึ้นมาไม่กี่นาทีนี่เอง แต่ละวัน เขา จะยังคงทำเหมือนเดิมทุกอย่าง คือการตื่นนอนแต่เช้าแล้วเดินออกไปตามถนนด้วยท่าทาง ที่เหมือนคนมีสติ แต่ไม่รู้ว่าจะเอามันมาใช้ได้อย่างไร เดินไปที่สวนสาธารณะบนเนินเขาแล้วนั่ง ใต้ต้นพุทราแห้งที่ปราศจากใบที่เดิม จากนั้นก็กลับมานอนนิ่ง หรือไม่ก็เหม่อมองท้องฟ้าอยู่ทั้งคืนจนหลับไปเอง
จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไปไม่มีทีท่าว่าความโศกเศร้า นั้นจะลดลงไปได้เลยทุกวันยังคงซ้ำซากจำเจไม่เปลี่ยน......
เช้าวันหนึ่ง กฤษณ์ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อที่จะไปเฝ้าคอยที่จะดูพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนทุกๆวันและก็เดินไปตามทางเดินที่มีร้านขายผลไม้และกับข้าวต่างๆ นาๆ ร้านทำผม ร้านกิฟชอบ มีทุกอย่างอยู่รอบด้าน แต่ดูเมือนว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่สามารถที่จะดึงดูดความสนใจ และความคิดที่เขากำลังว้าวุ่นสับสนอยู่ได้เลย........... ปั้ง! ผู้หญิงในชุดพนักงานออฟฟิซคนนึงดูท่าทางเร่งรีบหอบของพะรุงพะรังวิ่งเข้าชนเขาอย่างจัง เอกสารตกระเกะระกะ เกลื่อนพื้น
“โอ้ยย นี่มันบ้าอะไรเนี่ย” กฤษณ์พูดขึ้นด้วยความหัวเสียขณะล้มกลิ้งไปนอนกับพื้น
“เป็นอะไรมากมั้ยคะ เออ.. พอดีชั้นรีบไปหน่อยอ่ะค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ” ผู้หญิงคนที่วิ่งชนกฤษณ์พูดขึ้นพร้อมกับช่วยพยุงกฤษณ์ขึ้นมาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด เอามากๆ
“เอะ!.......เสียงเล็กๆนุ่มๆ และกลิ่นหอมราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนดอกไม้นั่น.....นี่มันอะไรกัน”
กฤษณ์ อุทานขึ้นพร้อมรีบเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงซุ่มซ่ามที่วิ่งชนเค้าจนต้องล้มลงไปนอนกับพื้นไม่เป็นท่าอย่างงี้ และเขาต้องจ้องค้างอยู่อย่างงั้นต่อไปพร้อมกับสีหน้าและแววตาที่ตกใจเอาอย่างมาก เมื่อใบหน้าที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเขานั้น ช่างละม้ายคล้ายกับ ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่เหมือนกับคนตายทั้งเป็นนี่หลือเกิน ผมที่ยาวเงางามถึงกลางหลัง ผิวที่ขาวเนียนอมชมพูเหมือนกับถูกทะนุถนอมมาเป็นอย่างดี ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับยามต้องกับแสงอาทิตย์ ริมฝีปากที่เรียวบางราวกับเส้นไหมสีแดง และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่เวลาอยู่ไกล้ช่างรู้สึกสดชื่นนี่ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน....
“รังสิมันต์”กฤษณ์พูดออกมาหลังจากชะงักไปพักหนึ่ง สายตาของเขายังคงจ้องอยู่ที่ใบหน้านั้นอยู่ด้วยความตกใจ
“อะไรนะคะ คุณเรียกชั้นว่าอะไรนะคะ”ผู้หญิงคนนั้นถามขึ้นพร้อมกับก้มลงเก็บแฟ้มที่ตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
“รังสิมันต์ เธอจริงๆด้วย” กฤษณ์ พูดอีกครั้งพร้อมกับจ้องไปที่หน้าผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่กระพริบตา ด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยและตกใจ
“เออ....คือคุณคงจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ คือตอนนี้ชั้นรีบมาก คือ...ชั้นต้องไปแล้วล่ะค่ะ เอาไว้ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีกคครั้งค่อยคุยกันนะคะ บ๊ายบายค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยท่าทางที่ดูเร่งรีบแต่แฝงไว้ด้วยความร่าเริงเอามากๆ กฤษณ์ ได้แต่มองตามเธอด้านหลังตอนเธอกำลังวิ่งไป จนเธอหายเข้าซอยข้างทางไป กฤษณ์ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนอยู่นิ่งๆ ด้วยความตกใจ สายตายังจ้องค้างอยู่ตรงปากซอยที่หล่อนหายเข้าไป ในหัวมีแต่ความคิดสับสนไปหมด เขายังยืนอยู่นิ่งๆ เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว สายตาเริ่มพร่ามัว มองสิ่งที่อยู่รอบข้างเริ่มผิดเพี้ยนไป ทุกอย่างหมุนราวกับโลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วก็เริ่มหมุนเร็วขึ้น เร็วขึ้น ................
“รังสิมันต์ รังสิ...รังสิมันต์.นั่นคุณใช่มั้ย รังสิมันต์ คุณกลับมาแล้วใช่มั้ย รังงสิมันต์ อย่าหนีผมไปอีกเลย ได้โปรด...................”
“พ่อหนุ่ม.. พ่อหนุ่ม.. ใจเย็นๆ ก่อนพ่อหนุ่ม” เสียงลางๆ แหบๆ ฟังดูช่างอิฐโรย เหมือนเสียงคนแก่ แว่วเช้าหูมาเบาๆ กฤษณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าเลือนลางที่ประกฎอยู่ตรงหน้านั้นทำให้เขาตกใจมากถึงกับต้องลุกขึ้นนั่งพรวดพราดแล้วใช้มือและเท้าถีบยันตัวเองให้ถอยไปข้างหลัง ยายแก่ๆคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆเขา ดูเหมือนว่าจะอายุมากพอสมควร
“ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย...” กฤษณ์ ถามขึ้นพร้อมกับกวาดสายตาไปทั้วห้องด้วยความตกใจและตื่นกลัว
“ไม่ต้องตกใจหรอกกพ่อหนุ่ม เมื่อกี้น่ะ อยู่ดีๆ พ่อหนุ่มก็เป็นลมล้มลงไปหน้าร้านยาย
หลับไปพักใหญ่แล้วล่ะ แล้วที่นี่น่ะก็บ้านยายเองแหละ” ยายแกตอบช้าๆพร้อมกับยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นใจดีมาก จึงทำให้กฤษณ์หายตกใจไปได้บ้าง
“แล้วตอนนี้กี่โมงแล้วครับย้าย” กฤษณ์ ถามพร้อมกับกวาดสายตาสำรวจไปทั่วบ้านอีกครั้ง บ้านดูเก่ามากเป็นบ้านไม้ มีไม้บางท่อนที่โดนปลวกกินจนผุ ดูมืดๆอึมครึมพิลึก กฤษณ์ลุกขึ้นไปนั่งเก้าอีแก่ๆตัวหนึ่งที่วางไว้ข้างที่นอน
“ตอนนี้ก็บ่ายๆ แล้วละมั้ง คือว่าบ้านยายไม่มีนาฬิกาหรอก ถึงมียายก็ดูไม่เป็นหรอก”ยายแก่ตอบพร้อมกับเก็บกวาดที่นอนหลังจากกฤษณ์ลุกไปนั่งบนเก้าอี้
“อ้าว!..งั้นก็แปลว่าบ้านหลังนี้ยายอยู่คนเดียวเหรอครับ” กฤษณ์ถามด้วยน้ำที่ฟังดูเหมือนว่าจะสงสัย พร้อมกับหันหน้าไปมองยายคนนั้นด้วยความแปลกใจ
“ยายไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก พอดีหลานสาวยายเค้าออกไปทำงานตั่งแต่เช้าแล้วล่ะเย็นๆนู่นแหละถึงจะกลับ”ยายแก่คนนั้นตอบในขณะเปิดตู้อาหารที่ทำจากไม้เก่าๆ แล้วยกจานกระเบื้องลายครามสีฟ้าที่ดูเหมือนว่าจะมีไข่เจียวหรออะไรซักอย่างที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งออกไปทั่วบ้านมาวางบนโต๊ะ
“เออ..แล้วหลานสาวยายทำงานอะไรเหรอครับ” กฤษณ์ถามขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเดินสำรวจมองนั่นมองนี่ไปพลางๆ
“อ๋อ ยายก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ รู้สึกว่าเค้าจะเขียนหนังสือ อะไรประมาณนี้แหละจ่ะ เออนี่..พ่อหนุ่มดูเหมือนว่าพ่อหนุ่มจะไม่ค่อยได้กินข้าวใช่มั้ย ยายเจียวไข่ ไว้ให้วางบนโต๊ะนี่นะแล้วข้าวน่ะ อยู่ในหม้อหุงข้างๆตู้เย็นตรงนั้นนะ กินก่อนแล้วค่อยออกไปก็ได้ เดี๋ยวยายต้องไปขายผลไม้ก่อนละ ทิ้งร้านไว้นานละ” ยายแก่พูดพร้อมกับชี้มือไปที่หม้อหุงข้าวที่ดูเหมือนว่ามันไกล้จะหมดอายุการใช้งานเต็มทีแล้วที่อยู่ข้างตู้เย็นสีขาวเก่าๆแล้วก็เดินไปตรงประตูที่ดูแล้วน่าจะคิดว่าเป็นประตูบ้านที่ทำจากไม้อัดเก่าๆ
“ขอบคุณครับ”กฤษณ์พูดในขณะที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้เก่าอีกตัวบนโต๊ะอาหารแล้วยายแก่คนนั้นก็หันหน้ามายิ้มให้ด้วยท่าทางใจดีพร้อมกับเปิดประตูออกไป
หลังจากที่กฤษณ์กลับมาจากบ้านคุณยายคนนั้นเขาเอาแต่นั่งนิ่งบนโต๊ะเขียนหนังสือสีฟ้าที่เขาใช้ทำงานเป็นประจำครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมาในวันนี้ ดูเหมือนว่าความแปลกใจและความสงสัยพร้อมกับคำถามว่า “ทำไม”จะเต็มหัวเขาไปหมด อยู่ดีๆ ผู้หญิงคนเดียวที่เขาเฝ้าคร่ำครวญหาอยู่ตลอดเวลา ผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ผู้หญิงคนที่จากเขาไปแบบไม่มีวันหวนกลับมาได้ แต่เธอกลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ไกล้พอที่เขาจะเห็นใบหน้านั้นได้ชัดเจน ไกล้พอที่เขาจะได้ยินเสียงเล็กๆนุ่มๆนั่น ไกล้พอที่เขาจะสัมผัสถึงกลิ่นหอมของดอกสวนดอกไม้ที่มีติดตัวเธอตลอดเวลา ไกล้พอที่เขาจะโอบกอดเธอไว้และไม่ปล่อยให้เธอจากไปได้อีกตลอดไป..
วันนี้ผมได้พบเธอแล้ว เธอไม่ได้จากผมไปไหน เธออยู่ไกล้ๆ ไกล้ๆนี่เอง รังสิมันต์คุณยังอยู่ใช่มั้ย คุณอยู่ไหน ผมยังอยากจะบอกคุณในสิ่งที่ผมไม่เคยได้พูดกับคุณเลยตลอดเวลาที่คุณยังอยู่กับผม ผมอยากจะบอกคุณเหลือเกินว่าผมรักคุณแค่ไหน ผมจะพูดทุกอย่างที่ผมอยากจะพูด ผมจะทำทุกอย่างที่ผมอยากจะทำเพื่อคุณ ผมจะไม่ยอมอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมที่ปล่อยช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุดในชีวิตซึ่งผมคิดว่าจะหามันไม่ได้อีกแล้วทั้งชั่วชีวิตของผม และผมก็จะไม่มีวันที่จะรู้หรือคาดเดาได้เลยว่าช่วงเวลาพิเศษที่ว่านี้มันจะยาวนานซักเพียงไหนผมจะไม่ยอมปล่อยมันไปแบบไร้ค่าอีกแล้ว จนถึงตอนนี้ผมยอมแม้กระทั่งที่จะแลกเวลาทั่งชีวิตนี้ของผมถ้าหากผมต้องอยู่อย่างเดียวดายโดยไม่มีคุณอยู่ข้างๆซึ่งผมได้รู้แล้วว่าความรู้สึกนี้มันเป็นอย่างไร แลกกับชีวิตเพียงหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้ซึ่งผมจะมีคุณอยู่ในอ้อมแขนจนสิ้นลม.......
ความคิดเห็น