คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8 กลอุบายที่ร้ายกาจ rev
ตอนที่ 8 กลอุบายที่ร้ายกาจ
“ผู้พันเดชาครับ นี้ก็ผ่านมา 3 วันแล้ว
ผู้พันไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ ถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้นผมจะรีบแจ้งให้ทราบทันที”
อานนท์พูดขึ้นด้วยหน้าตาอิดโรย
ไม่ต่างจากผู้พันเดชาเท่าไร ใต้ตาที่เริ่มมีสีดำคล้ำ
ตัดกับเส้นเลือดสีแดงในตาที่ขึ้นมาเต็มไปหมดทำให้นนท์แทบจะกลายเป็นคนละคนกลับที่เคยเจอในวันแรก
ผู้พันเดชาเป็นชายวัยกลางคนที่ร่างกายกำยำ
ผิวสีทองแดงทำให้ท่านยิ่งดูแข็งแกร่ง ในตอนนี้ผู้พันเดชาแต่งชุดนักรบเกราะหนักเต็มยศ
สีแดงดำสนิทดูน่าเกรงขามยิ่ง
ข้างกายวางไว้ด้วยหอกยาวสองวาเศษสีดำสนิท มีปลายแหลมสีเงินวาววับยาวฟุตเศษซึ่งเหมือนหอกยาวมาตราฐานสำหรับกองทัพ
แต่ความจริงแล้วหอกของผู้พันหนักว่าหอกทั่วไป เกือบเท่าตัวเพราะหอกเล่มนี้ตีจากเหล็กกล้าทั้งเล่ม
ด้วยน้ำหนักที่มากกว่าจึงต้องออกแรงมากกว่าแต่ขณะเดียวกันแรงปะทะย่อมรุนแรงกว่ามากแน่นอน
หอกแบบนี้ไม่ใช่สำหรับ ฆ่าคน
แต่สำหรับฆ่าสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่าคนหลายเท่านั้นเอง!
คนที่จะใช้หอกเล่มนี้ได้นั้นมีไม่กี่คนเท่านั้น
แต่มีแต่คนที่รู้จักกันเท่านั้นที่จะรู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้เก่งเพียงด้านการต่อสู้แต่ด้านกลยุทธและการวางอุบายก็ไม่เป็นรองใครในแผ่นดินนี้ทั้งสิ้น
นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ท่านนายพลเลิศฤทธิ์ถึงส่งเขามาเพื่อป้องกันจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีความเสี่ยงสูง
อย่างเมืองแม่แดงที่แทบไม่มีชัยภูมิในการป้องกันตนเอง
แต่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการค้า
แต่ตอนนี้สถานะการณ์เฉพาะหน้าที่มองไม่เห็นอนาคตกำลังทำให้ทหารเหล็กของกองทัพคนหนึ่งต้องขมวดคิ้วแน่น
ดวงตาที่แดงซ่าน
สำหรับคำถามของอานนท์นั้น ความเงียบจากการไม่มีการตอบรับเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ตอนนี้สถานะการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด ผู้พันรู้เดชาดีว่าถ้าเขานอนตอนนี้อาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย
‘นี้สินะ ท่านนายพลถึงได้กำชับให้ระวังตัวให้ดี
เฮ้อ ไม่น่าเลย ท่านก็พูดแล้วนิว่าตัวที่น่ากลัวไม่ใช่ตัวที่ใหญ่ หรือดูแข็งแรง
แต่เป็นตัวที่ดูธรรมดาและเป็นมิตร’
พริบตานั้นความคิดที่วุ่นวายของผู้พันเดชาก็ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนก่อนที่สถานการณ์จะย่ำแย่เท่าปัจจุบัน
กลิ่นสาบของปีศาจร้ายลอยมากระทบจมูกของผู้คนในกองทัพหลายคนที่ทนไม่ไหวถึงกับอ้วกแห้งๆ
ออกมา กองทัพที่จัดตั้งขึ้นเฉพาะกิจนี้ประกอบด้วยสามส่วน
หนึ่งคือ ทหารเก่าของผู้พันเดชาที่มีทั้งหมดเพียง
300
คนแต่ล้วนเป็นทหารอาชีพที่ผ่านการฝึกฝน
หนึ่งคนสู้ได้สิบคนเลยทีเดียวซึ่งถือเป็นกองกำลังหลักใช้อาวุธได้หลากหลายทั้งสั้นยาว
ไกลใกล้สามารถรุกและรับได้ตามคำสั่งอย่างไม่มีผิดพลาด
ส่วนที่สองคือกองกำลังอาสาที่ช่วยเหลือในการดูแลเมืองในภาวะปกติ
มีประมาณ 500
คน
กลุ่มนี้ได้ผ่านการฝึกอบรมมาบ้างแต่ยังไม่เข้าเกณฑ์เท่าไรนักแต่สามารถเป็นทหารดาบโล่รุกรับเสริมตามจุดต่างๆ
ได้
และสุดท้ายคือ
ชาวเมืองที่ตัดสินใจจะช่วยป้องกันเมืองกลุ่มนี้มีมากที่สุด ประมาณ 2,000 คน ถึงมีมากแต่ก็มีจุดอ่อนคือบางคนแม้แต่อาวุธยังไม่เคยจับมาก่อนหลังจากจัดระเบียบใหม่ก็สามารถช่วยในการขนถ่ายเสบียงอาวุธในการรบได้บ้างหรือช่วยในการซ่อมแซมส่วนการป้องกันที่เสียหายได้
เมืองนี้มีกำแพงเมืองไม่สูงนักประมาณ 5 เมตรเท่านั้น หรือเรียกง่ายๆ ก็คือพอดีกับส่วนหัวของพวกสัตว์อสูรบวกอีกนิดหน่วย
ที่กำลังบุกเข้าเมืองมาพอดีนั้นนั้นเรียกได้ว่ากำแพงหรือไม่มีกำแพงก็ไม่ต่างกันนัก
เมื่อตะวันเริ่มตกดิน ท้องฟ้าสะท้อนแสงออกมาเป็นสีส้มแดง
ก็เหมือนเป็นสัญญาณแห่งความหายนะ
ณ ประตูเมืองทางทิศตะวันตกที่ติดกับป่า
ขณะนั้นป่าใหญ่ก็ขยับเคลื่อนไหวดุจภูตพรายพร้อมกับเสียงขู่คำรามที่ก้องสะท้านไปถึงขั้วหัวใจที่แม้ตอนนี้ผู้พันหลับตาลงก็ยังจำเสียงนั้นได้ดี
กองทัพสีเขียว รูปร่างกำยำสูงใหญ่
มีก้ามคล้ายปูอยู่ที่ปลายแขนเหมือนจะให้เป็นอาวุธ ก็ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากแนวป่าที่มืดมิด
ตัวที่ หนึ่ง ตัวที่ สอง ....
แถวของพวกมันยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา
ไม่รู้มีจำนวนเท่าไรแต่เพียงแค่กะจากสายตา ก็มีไม่ต่ำกว่าพันตัว
จนบางคนถึงกับแอบคิดไปว่าที่ฟ้ามืดลงเพราะเหล่าปีศาจจากนรกเหล่านี้ปรากฏกายออกมาจนแม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจทนดูโศกอนาตกรรมนี้
พวกมันหลายตัวต่างชูแขน อวดกล้าม
บ้างก็โห่ร้องดังอื้ออึง สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่ทหารใหม่ยิ่งนัก
จนบางคนมืออ่อนปวกเปียกจนทำอาวุธตกพื้นเสียงดังเคร้ง ทำเอาผู้พันเดชาถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน
คิดว่า
‘ยังไม่ทันเริ่มรบก็เสียเปรียบซะแล้ว’
ไม่นานนัก ที่กึ่งกลางก็แหวกเป็นทางมี
สัตว์อสูรที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อนหนึ่งช่วงศีรษะก็กรูกันออกมาหลายสิบตัว
ทันใดสิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจก็เกิดขึ้น กลางวงที่รายล้อมไปด้วย
สัตว์อสูรรูปกายกำยำสูงใหญ่กว่าปกติกลับปรากฏสัตว์อสูรที่รูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากทหารราบตัวอื่นเดินออกมา
พร้อมๆ กับตัวที่ใหญ่กว่าก้มศีรษะเหมือนเป็นการแสดงความเคารพ
ทุกคนทราบได้ด้วยสัญชาตญาณ
ว่าสัตว์อสูรตัวที่เหมือนธรรมดานี้คือ แม่ทัพของพวกมัน!
ขณะที่ทุกคนกำลังแปลกใจนั้น
ใจกลางผ่ามือของผู้พันเดชากลับปรากฏเหงื่อเย็นเยียบซึมออกมา คิ้วที่ขมวดแน่นอยู่แล้วกลับแน่นเข้าไปอีก
สายตาเพ่งมองไปยังแม่ทัพของพวกพนามรณะ ‘มันมาแล้วสินะ โอ้ เมืองนี้ยากรอดพ้นภัยพิบัติจริงๆ หรือนี้’
‘ตัวที่น่ากลัวไม่ใช่ตัวที่ใหญ่ หรือดูแข็งแรง
แต่เป็นตัวที่ดูธรรมดาและเป็นมิตร’ คำพูดเหมือนคำสอนของท่านนายพลดังเข้ามาในหัวผู้พันเดชาอีกครั้ง
หลังจากปลุกปลอบสมาธิและสลัดเรื่องฟุ้งซ่านออกไป
ผู้พันเดชาเดินไปข้างหน้าพร้อมกับทำสิ่งที่ทุกคนในเมืองไม่มีวันเข้าใจเป็นอันขาด
“พวกท่านเดินทางมาที่เมืองนี้
ต้องการอะไร” เสียงของผู้พันเดชาดังกังวาลชัดเจน
คำพูดแสดงความไม่ยินดีต้องรับอย่างยิ่ง แต่มนุษย์ตัวเล็กๆ สามารถเจรจากับเหล่าปีศาจจากนรกเช่นนี้ได้หรือ
ทุกคนมองมาที่ผู้พันด้วยความสงสัย
บางคนถึงกับแอบคิดไปว่าผู้พันเดชาต้องกลัวจนบ้าไปแล้วแน่นอน ที่พยายามจะเจรจากับเหล่าสัตว์อสูร
แต่ความจริงมักเกินกว่าความคิดของคนธรรมดาเสมอ
แม่ทัพที่รูปร่างเล็กเตี้ยของพวกมันกลับฉีกยิ้มที่คิดว่าจริงใจที่สุดออกมาแม้ว่ามันจะเหมือนการแสยะยิ้มก็ตาม
มันพยายามยิ้มให้เหมือนมนุษย์ที่สุด เพียงแต่ถ้าท่านเป็นมนุษย์แล้วละก็จะรู้ว่านั้นไม่เหมือนเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเพียงต้องการให้พวกท่านโปรดมอบคนที่ทำร้ายคนของพวกเราออกมา
ข้าให้สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายพวกท่านคนที่ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่ขุมขนหนึ่ง” คำพูดเสียงดังฟังชัด
เพียงคำพูดเดียวก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั้วทั้งเมือง
ก่อนหน้านี้ทุกคนยังมีความคิดที่จะสู้ตายแต่พอเห็นแสนยานุภาพของเหล่าศัตรูหลายคนขวัญหนีดีฝ่อ
คิดในใจว่าคงไม่มีทางรอดไปแน่
พอฟังแม่ทัพของฝ่ายตรงข้ามพูดเหมือนจะบอกว่ามีคนไปก่อนเรื่องเข้า
ซึ่งถ้าเพียงมอบคนผู้นั้นออกไปก็คงไม่มีการต่อสู้ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
หลายคนเริ่มพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กัน
จนถึงสันนิษฐานว่าคนๆ นั้นอาจเป็นผู้เล่นใหม่ที่โดนพวกนักเลงรุมทำร้ายในวันก่อนนั้น
เหล่าแม่ทัพนายกองที่หน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน
พวกเขารู้ว่าคนคนนั้นคือ อานนท์กับชาติชาย แต่จากปากคำของอานนท์แล้ว
ไม่มันดูเหมือนไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีหนึ่งในพวกมันมาเจอกับอานนท์
แต่พวกมันวางแผนมานานแล้ว แต่ใครเล่าจะแก้ต่างในสถานการณ์นี้ได้
คำพูดเพียงคำเดียวกับร้ายกาจถึงเพียงนี้เลยหรือ
“แต่ ข้ามีข้อแม้” คำพูดนี้ทำให้หลายคนหันมาสนใจฟังอีกครั้ง
“เราท่านต่างก็มีทางของตนเอง แต่ต้องยังคงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์บางอย่าง
และแน่นอนว่านั้นต้องอยู่ในเงื่อนไขของเวลาด้วย
คนของท่านได้ทำร้ายสมาชิกในเผ่าของข้าสาหัสนัก ถ้าภายในพรุ่งนี้ก่อนเที่ยง
ข้ายังไม่ได้ตัวคนผู้นั้นละก็ ข้าก็เสียใจที่ข้าคงไม่มีทางเลือก ไม่เช่นนั้นถึงแม้ตัวข้าเองไม่อยากทำร้ายพวกท่าน
เรามีพี่น้องและเรา เราก็รักพี่น้องของเรา และเผ่าพันธุ์ของข้าต้องการแก้แค้น ข้าหวังว่าพรุ่งนี้เราจะได้ตัวคนผู้นั้น
เหอะ เหอะ ข้าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เพียงคำว่า เลือดนั้นต้องล้างด้วยเลือด
แต่ขออย่าให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเจ็บปวดไปด้วยทั้งที่ยังไม่เข้าใจเลย” ผู้ที่กล่าวคือ คาร์เชิฟ
แม่ทัพแห่งพนามรณะ เมื่อกล่าวจบเข้าก็เกิดหายไปท่านกลางกองทัพพนามรณะ
คำว่า ‘ทหาร’ สุดท้ายสร้างความปั่นป่วนที่รุนแรงแก่เหล่าทหารกล้าทั้งหลายนัก
สายตาที่เคลือบแคลงสงสัยสร้างความลำบากใจแก่พวกเขายิ่งกว่าสายตาอาคาตมาดร้าย หรือสายตาดูถูกดูแคลน
พวกเขารู้ดีว่าเป็นเรื่องอะไรแต่ต่อให้แก้ตัวไปก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นมา
‘สถานการณ์ตอนนี้ถ้าไม่รีบแก้ไขคืนนี้พวกมันต้องบุกแน่’
ผู้พันเดชาผู้กร่ำศึกมานับไม่ถ้วนมองปราดเดียวก็เข้าใจถึงเจตนา
พวกมันร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้มากมายแถมยังทราบเรื่องมากมายด้วย มันรู้ว่าเขามีทหารในมือไม่มาก
หากมวลชนไม่หนุนเสริม ทหารในมือผู้พันเดชาที่มีเพียง
300
คนจะอย่างไรก็ไม่สามารถสู้กับพนามรณะนับพันได้
ยังมีที่ไม่แน่ว่าอาจเกิดการจราจลในเมือง แต่อย่างนึงที่เขาไม่ห่วงคือ
อย่างน้อยก็คงไม่มีใครขายตัวเองเป็นขี้ข้าพวกพนามรณะแน่
ไม่นานนักพวกชาวบ้านหลายคนเนื่องจากมีเพื่อนอยู่ในกองทัพอาสาหลังจากสอบถามไปมาสุดท้ายก็ทราบว่าข่าวที่แม่ทัพศัตรูพูดออกมาเป็นความจริง
ยิ่งสร้างความสะทกสะท้อนใจ
ทั้งที่ตอนแรกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แต่พอทราบว่าเป็นความจริงหลายคนก็ถึงกับโกรธแค้นกองทัพที่หลอกตัวเองเข้ามาสู้เพื่อปกป้องคนของกองทัพคนหนึ่งที่กระทำความผิดแม้จะเป็นต่อเผ่าพันธุ์อื่นก็ตาม
เวลาสี่ทุ่มตรงชาวบ้านหลายร้อยคนก็เดินทางมาที่จวนแม่ทัพเพื่อขอคำชี้แจงจากผู้พันเดชาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ตอนนี้ไม่มีใครคิดถึงการต่อสู้กับอริราชศัตรูอีกต่อไป เพียงอยากหาคนเพื่อมายุติเรื่องดังกล่าว
ไม่สิ พวกเขาคิดว่าเรื่องมันก็ตรงๆ อย่างนี้แหละ ผิดก็ยอมรับผิดก็จะได้รับการยกโทษและทุกอย่างก็จะเรียบร้อย
หลังจากรอเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงกลับไม่มีใครออกมาต้อนรับ
สร้างความหงุดหงิดแก่กลุ่มผู้ชุมนุมจนแทบบ้า
ทั้งศึกนอกศึกในทำให้พวกเขาเครียดมากทีเดียว
ผู้คนจำนวนหนึ่งจึงตัดสินใจเข้าไปพักที่บ้านของตนเพื่อพักผ่อนและฝันว่าพรุ่งนี้ก็คงจะได้ตัวทหารที่เลวร้ายคนนั้น
และเขาก็จะกลับไปใช้ชีวิตเดิมๆ
ที่น่าวิตกคือ
มีคนจำนวนมากคิดแบบนี้เข้าซะแล้ว
ความคิดเห็น