ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Seven Kingdoms: Quest of no man land (เวอร์ชั่นเก่า)

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8 กลอุบายที่ร้ายกาจ rev

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 60


    ตอนที่ 8 กลอุบายที่ร้ายกาจ

     

              ผู้พันเดชาครับ นี้ก็ผ่านมา 3 วันแล้ว ผู้พันไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ ถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้นผมจะรีบแจ้งให้ทราบทันที

    อานนท์พูดขึ้นด้วยหน้าตาอิดโรย ไม่ต่างจากผู้พันเดชาเท่าไร ใต้ตาที่เริ่มมีสีดำคล้ำ ตัดกับเส้นเลือดสีแดงในตาที่ขึ้นมาเต็มไปหมดทำให้นนท์แทบจะกลายเป็นคนละคนกลับที่เคยเจอในวันแรก

                ผู้พันเดชาเป็นชายวัยกลางคนที่ร่างกายกำยำ ผิวสีทองแดงทำให้ท่านยิ่งดูแข็งแกร่ง ในตอนนี้ผู้พันเดชาแต่งชุดนักรบเกราะหนักเต็มยศ สีแดงดำสนิทดูน่าเกรงขามยิ่ง

    ข้างกายวางไว้ด้วยหอกยาวสองวาเศษสีดำสนิท มีปลายแหลมสีเงินวาววับยาวฟุตเศษซึ่งเหมือนหอกยาวมาตราฐานสำหรับกองทัพ

    แต่ความจริงแล้วหอกของผู้พันหนักว่าหอกทั่วไป เกือบเท่าตัวเพราะหอกเล่มนี้ตีจากเหล็กกล้าทั้งเล่ม ด้วยน้ำหนักที่มากกว่าจึงต้องออกแรงมากกว่าแต่ขณะเดียวกันแรงปะทะย่อมรุนแรงกว่ามากแน่นอน

    หอกแบบนี้ไม่ใช่สำหรับ ฆ่าคน แต่สำหรับฆ่าสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่าคนหลายเท่านั้นเอง!

    คนที่จะใช้หอกเล่มนี้ได้นั้นมีไม่กี่คนเท่านั้น แต่มีแต่คนที่รู้จักกันเท่านั้นที่จะรู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้เก่งเพียงด้านการต่อสู้แต่ด้านกลยุทธและการวางอุบายก็ไม่เป็นรองใครในแผ่นดินนี้ทั้งสิ้น

    นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ท่านนายพลเลิศฤทธิ์ถึงส่งเขามาเพื่อป้องกันจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีความเสี่ยงสูง อย่างเมืองแม่แดงที่แทบไม่มีชัยภูมิในการป้องกันตนเอง แต่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการค้า

                แต่ตอนนี้สถานะการณ์เฉพาะหน้าที่มองไม่เห็นอนาคตกำลังทำให้ทหารเหล็กของกองทัพคนหนึ่งต้องขมวดคิ้วแน่น ดวงตาที่แดงซ่าน

    สำหรับคำถามของอานนท์นั้น ความเงียบจากการไม่มีการตอบรับเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ตอนนี้สถานะการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด ผู้พันรู้เดชาดีว่าถ้าเขานอนตอนนี้อาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย

    นี้สินะ ท่านนายพลถึงได้กำชับให้ระวังตัวให้ดี เฮ้อ ไม่น่าเลย ท่านก็พูดแล้วนิว่าตัวที่น่ากลัวไม่ใช่ตัวที่ใหญ่ หรือดูแข็งแรง แต่เป็นตัวที่ดูธรรมดาและเป็นมิตร

    พริบตานั้นความคิดที่วุ่นวายของผู้พันเดชาก็ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนก่อนที่สถานการณ์จะย่ำแย่เท่าปัจจุบัน

               

                กลิ่นสาบของปีศาจร้ายลอยมากระทบจมูกของผู้คนในกองทัพหลายคนที่ทนไม่ไหวถึงกับอ้วกแห้งๆ ออกมา กองทัพที่จัดตั้งขึ้นเฉพาะกิจนี้ประกอบด้วยสามส่วน

    หนึ่งคือ ทหารเก่าของผู้พันเดชาที่มีทั้งหมดเพียง 300 คนแต่ล้วนเป็นทหารอาชีพที่ผ่านการฝึกฝน หนึ่งคนสู้ได้สิบคนเลยทีเดียวซึ่งถือเป็นกองกำลังหลักใช้อาวุธได้หลากหลายทั้งสั้นยาว ไกลใกล้สามารถรุกและรับได้ตามคำสั่งอย่างไม่มีผิดพลาด

    ส่วนที่สองคือกองกำลังอาสาที่ช่วยเหลือในการดูแลเมืองในภาวะปกติ มีประมาณ 500 คน กลุ่มนี้ได้ผ่านการฝึกอบรมมาบ้างแต่ยังไม่เข้าเกณฑ์เท่าไรนักแต่สามารถเป็นทหารดาบโล่รุกรับเสริมตามจุดต่างๆ ได้

    และสุดท้ายคือ ชาวเมืองที่ตัดสินใจจะช่วยป้องกันเมืองกลุ่มนี้มีมากที่สุด ประมาณ 2,000 คน ถึงมีมากแต่ก็มีจุดอ่อนคือบางคนแม้แต่อาวุธยังไม่เคยจับมาก่อนหลังจากจัดระเบียบใหม่ก็สามารถช่วยในการขนถ่ายเสบียงอาวุธในการรบได้บ้างหรือช่วยในการซ่อมแซมส่วนการป้องกันที่เสียหายได้

                เมืองนี้มีกำแพงเมืองไม่สูงนักประมาณ 5 เมตรเท่านั้น หรือเรียกง่ายๆ ก็คือพอดีกับส่วนหัวของพวกสัตว์อสูรบวกอีกนิดหน่วย ที่กำลังบุกเข้าเมืองมาพอดีนั้นนั้นเรียกได้ว่ากำแพงหรือไม่มีกำแพงก็ไม่ต่างกันนัก

                เมื่อตะวันเริ่มตกดิน ท้องฟ้าสะท้อนแสงออกมาเป็นสีส้มแดง ก็เหมือนเป็นสัญญาณแห่งความหายนะ

    ณ ประตูเมืองทางทิศตะวันตกที่ติดกับป่า

    ขณะนั้นป่าใหญ่ก็ขยับเคลื่อนไหวดุจภูตพรายพร้อมกับเสียงขู่คำรามที่ก้องสะท้านไปถึงขั้วหัวใจที่แม้ตอนนี้ผู้พันหลับตาลงก็ยังจำเสียงนั้นได้ดี

                กองทัพสีเขียว รูปร่างกำยำสูงใหญ่ มีก้ามคล้ายปูอยู่ที่ปลายแขนเหมือนจะให้เป็นอาวุธ ก็ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากแนวป่าที่มืดมิด ตัวที่ หนึ่ง ตัวที่ สอง ....  แถวของพวกมันยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้มีจำนวนเท่าไรแต่เพียงแค่กะจากสายตา ก็มีไม่ต่ำกว่าพันตัว จนบางคนถึงกับแอบคิดไปว่าที่ฟ้ามืดลงเพราะเหล่าปีศาจจากนรกเหล่านี้ปรากฏกายออกมาจนแม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจทนดูโศกอนาตกรรมนี้

    พวกมันหลายตัวต่างชูแขน อวดกล้าม บ้างก็โห่ร้องดังอื้ออึง สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่ทหารใหม่ยิ่งนัก จนบางคนมืออ่อนปวกเปียกจนทำอาวุธตกพื้นเสียงดังเคร้ง ทำเอาผู้พันเดชาถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน คิดว่า

    ยังไม่ทันเริ่มรบก็เสียเปรียบซะแล้ว

                ไม่นานนัก ที่กึ่งกลางก็แหวกเป็นทางมี สัตว์อสูรที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อนหนึ่งช่วงศีรษะก็กรูกันออกมาหลายสิบตัว ทันใดสิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจก็เกิดขึ้น กลางวงที่รายล้อมไปด้วย สัตว์อสูรรูปกายกำยำสูงใหญ่กว่าปกติกลับปรากฏสัตว์อสูรที่รูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากทหารราบตัวอื่นเดินออกมา พร้อมๆ กับตัวที่ใหญ่กว่าก้มศีรษะเหมือนเป็นการแสดงความเคารพ

                ทุกคนทราบได้ด้วยสัญชาตญาณ ว่าสัตว์อสูรตัวที่เหมือนธรรมดานี้คือ แม่ทัพของพวกมัน!

    ขณะที่ทุกคนกำลังแปลกใจนั้น ใจกลางผ่ามือของผู้พันเดชากลับปรากฏเหงื่อเย็นเยียบซึมออกมา คิ้วที่ขมวดแน่นอยู่แล้วกลับแน่นเข้าไปอีก สายตาเพ่งมองไปยังแม่ทัพของพวกพนามรณะ มันมาแล้วสินะ โอ้ เมืองนี้ยากรอดพ้นภัยพิบัติจริงๆ หรือนี้

                ตัวที่น่ากลัวไม่ใช่ตัวที่ใหญ่ หรือดูแข็งแรง แต่เป็นตัวที่ดูธรรมดาและเป็นมิตรคำพูดเหมือนคำสอนของท่านนายพลดังเข้ามาในหัวผู้พันเดชาอีกครั้ง หลังจากปลุกปลอบสมาธิและสลัดเรื่องฟุ้งซ่านออกไป

    ผู้พันเดชาเดินไปข้างหน้าพร้อมกับทำสิ่งที่ทุกคนในเมืองไม่มีวันเข้าใจเป็นอันขาด

                พวกท่านเดินทางมาที่เมืองนี้ ต้องการอะไรเสียงของผู้พันเดชาดังกังวาลชัดเจน คำพูดแสดงความไม่ยินดีต้องรับอย่างยิ่ง แต่มนุษย์ตัวเล็กๆ สามารถเจรจากับเหล่าปีศาจจากนรกเช่นนี้ได้หรือ

    ทุกคนมองมาที่ผู้พันด้วยความสงสัย บางคนถึงกับแอบคิดไปว่าผู้พันเดชาต้องกลัวจนบ้าไปแล้วแน่นอน ที่พยายามจะเจรจากับเหล่าสัตว์อสูร

                แต่ความจริงมักเกินกว่าความคิดของคนธรรมดาเสมอ แม่ทัพที่รูปร่างเล็กเตี้ยของพวกมันกลับฉีกยิ้มที่คิดว่าจริงใจที่สุดออกมาแม้ว่ามันจะเหมือนการแสยะยิ้มก็ตาม มันพยายามยิ้มให้เหมือนมนุษย์ที่สุด เพียงแต่ถ้าท่านเป็นมนุษย์แล้วละก็จะรู้ว่านั้นไม่เหมือนเลยแม้แต่น้อย

                ข้าเพียงต้องการให้พวกท่านโปรดมอบคนที่ทำร้ายคนของพวกเราออกมา ข้าให้สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายพวกท่านคนที่ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่ขุมขนหนึ่งคำพูดเสียงดังฟังชัด เพียงคำพูดเดียวก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั้วทั้งเมือง

    ก่อนหน้านี้ทุกคนยังมีความคิดที่จะสู้ตายแต่พอเห็นแสนยานุภาพของเหล่าศัตรูหลายคนขวัญหนีดีฝ่อ คิดในใจว่าคงไม่มีทางรอดไปแน่

    พอฟังแม่ทัพของฝ่ายตรงข้ามพูดเหมือนจะบอกว่ามีคนไปก่อนเรื่องเข้า ซึ่งถ้าเพียงมอบคนผู้นั้นออกไปก็คงไม่มีการต่อสู้ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

    หลายคนเริ่มพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กัน จนถึงสันนิษฐานว่าคนๆ นั้นอาจเป็นผู้เล่นใหม่ที่โดนพวกนักเลงรุมทำร้ายในวันก่อนนั้น

    เหล่าแม่ทัพนายกองที่หน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน พวกเขารู้ว่าคนคนนั้นคือ อานนท์กับชาติชาย แต่จากปากคำของอานนท์แล้ว ไม่มันดูเหมือนไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีหนึ่งในพวกมันมาเจอกับอานนท์ แต่พวกมันวางแผนมานานแล้ว แต่ใครเล่าจะแก้ต่างในสถานการณ์นี้ได้ คำพูดเพียงคำเดียวกับร้ายกาจถึงเพียงนี้เลยหรือ

                แต่   ข้ามีข้อแม้คำพูดนี้ทำให้หลายคนหันมาสนใจฟังอีกครั้ง

                เราท่านต่างก็มีทางของตนเอง แต่ต้องยังคงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์บางอย่าง และแน่นอนว่านั้นต้องอยู่ในเงื่อนไขของเวลาด้วย คนของท่านได้ทำร้ายสมาชิกในเผ่าของข้าสาหัสนัก ถ้าภายในพรุ่งนี้ก่อนเที่ยง ข้ายังไม่ได้ตัวคนผู้นั้นละก็ ข้าก็เสียใจที่ข้าคงไม่มีทางเลือก ไม่เช่นนั้นถึงแม้ตัวข้าเองไม่อยากทำร้ายพวกท่าน เรามีพี่น้องและเรา เราก็รักพี่น้องของเรา และเผ่าพันธุ์ของข้าต้องการแก้แค้น ข้าหวังว่าพรุ่งนี้เราจะได้ตัวคนผู้นั้น เหอะ เหอะ ข้าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เพียงคำว่า เลือดนั้นต้องล้างด้วยเลือด แต่ขออย่าให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเจ็บปวดไปด้วยทั้งที่ยังไม่เข้าใจเลยผู้ที่กล่าวคือ คาร์เชิฟ แม่ทัพแห่งพนามรณะ เมื่อกล่าวจบเข้าก็เกิดหายไปท่านกลางกองทัพพนามรณะ

    คำว่า ทหารสุดท้ายสร้างความปั่นป่วนที่รุนแรงแก่เหล่าทหารกล้าทั้งหลายนัก สายตาที่เคลือบแคลงสงสัยสร้างความลำบากใจแก่พวกเขายิ่งกว่าสายตาอาคาตมาดร้าย หรือสายตาดูถูกดูแคลน พวกเขารู้ดีว่าเป็นเรื่องอะไรแต่ต่อให้แก้ตัวไปก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นมา

                สถานการณ์ตอนนี้ถ้าไม่รีบแก้ไขคืนนี้พวกมันต้องบุกแน่

    ผู้พันเดชาผู้กร่ำศึกมานับไม่ถ้วนมองปราดเดียวก็เข้าใจถึงเจตนา พวกมันร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้มากมายแถมยังทราบเรื่องมากมายด้วย มันรู้ว่าเขามีทหารในมือไม่มาก

    หากมวลชนไม่หนุนเสริม ทหารในมือผู้พันเดชาที่มีเพียง 300 คนจะอย่างไรก็ไม่สามารถสู้กับพนามรณะนับพันได้ ยังมีที่ไม่แน่ว่าอาจเกิดการจราจลในเมือง แต่อย่างนึงที่เขาไม่ห่วงคือ อย่างน้อยก็คงไม่มีใครขายตัวเองเป็นขี้ข้าพวกพนามรณะแน่

                 ไม่นานนักพวกชาวบ้านหลายคนเนื่องจากมีเพื่อนอยู่ในกองทัพอาสาหลังจากสอบถามไปมาสุดท้ายก็ทราบว่าข่าวที่แม่ทัพศัตรูพูดออกมาเป็นความจริง ยิ่งสร้างความสะทกสะท้อนใจ

    ทั้งที่ตอนแรกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอทราบว่าเป็นความจริงหลายคนก็ถึงกับโกรธแค้นกองทัพที่หลอกตัวเองเข้ามาสู้เพื่อปกป้องคนของกองทัพคนหนึ่งที่กระทำความผิดแม้จะเป็นต่อเผ่าพันธุ์อื่นก็ตาม

                เวลาสี่ทุ่มตรงชาวบ้านหลายร้อยคนก็เดินทางมาที่จวนแม่ทัพเพื่อขอคำชี้แจงจากผู้พันเดชาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนนี้ไม่มีใครคิดถึงการต่อสู้กับอริราชศัตรูอีกต่อไป เพียงอยากหาคนเพื่อมายุติเรื่องดังกล่าว ไม่สิ พวกเขาคิดว่าเรื่องมันก็ตรงๆ อย่างนี้แหละ ผิดก็ยอมรับผิดก็จะได้รับการยกโทษและทุกอย่างก็จะเรียบร้อย

    หลังจากรอเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงกลับไม่มีใครออกมาต้อนรับ สร้างความหงุดหงิดแก่กลุ่มผู้ชุมนุมจนแทบบ้า

    ทั้งศึกนอกศึกในทำให้พวกเขาเครียดมากทีเดียว ผู้คนจำนวนหนึ่งจึงตัดสินใจเข้าไปพักที่บ้านของตนเพื่อพักผ่อนและฝันว่าพรุ่งนี้ก็คงจะได้ตัวทหารที่เลวร้ายคนนั้น และเขาก็จะกลับไปใช้ชีวิตเดิมๆ

                ที่น่าวิตกคือ มีคนจำนวนมากคิดแบบนี้เข้าซะแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×