คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 ชาวเมืองที่ไร้น้ำใจ rev
ตอนที่ 6 ชาวเมืองที่ไร้น้ำใจ
เมื่อลำแสงแรกส่องเมืองแม่แดงยามเช้าเหมือนเป็นสัญญาณของการเริ่มวันใหม่ที่สดใส
ชาวเมืองต่างก็ตื่นแต่เช้าพากันบ้างเดินออกมาจับจ่ายใช้สอยบ้างเอาสินค้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนกันอย่างคึกคัก
เมืองนี้เป็นเมืองขนาดกลางมีประชากรประมาณห้าพันคนเศษ
ขนาดไม่ใหญ่แต่ก็เป็นเมืองท่าที่สำคัญ เนื่องจากอยู่ที่ปากแม่น้ำแดงซึ่งเป็นทำเลในค้าขายจากต่างเมืองชั้นยอด
กองกำลังของผู้พันเดชากว่าห้าร้อยนายประจำการอยู่ที่นี้เป็นอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน
อาจจะเนื่องด้วยบารมีของผู้พันเดชาที่ดูแลอยู่ด้วยทำให้เมืองนี้แทบไม่มีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันเลย
แต่แล้ววันนี้ก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น
มีคนที่ท่าทางไม่ปกติเข้ามาจากประตูเมืองทางด้านทิศตะวันตก
ด้วยชุดบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้เล่นใหม่ แต่สีและกลิ่นที่ชวนคลื่นเหียนเวียนไส้ทำให้หลายคนต้องจำใจเดินหลีกทางให้เขา
เสื้อสีขาวเหมือนถูกนำไปย้อมด้วยเหงื่อผสมขี้โคลนดูสกปรกยิ่งนัก
แต่ยังไม่พอ มันกลับมีสีดำคล้ำ ถ้าคนที่จัดเจนมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่านั่นคือคราบเลือดที่แห้งเกรอะกรัง
ส่งกลิ่นที่ไม่ชวนอภิรมณ์ยิ่งไปทั่ว
หลายคนเริ่มส่งเสียงด่าทอออกมามา
“ใครวะเนี้ย โสโครกเหลือเกิน”
“มาจากไหนเนี้ย
ทำไมทหารปล่อยคนแบบนี้เข้าเมืองมาได้นะ”
“ใครก็ได้เอามันออกไปทีสิ สกปรกที่สุด
แล้วแบบนี้อั๊วจะขายของได้ยังไง
พวกเอ็งไปกันมันไว้อย่าให้เข้าใกล้ร้านอั๊วะเด็ดขาด”
เหมือนเสียงที่เอะอะโวยวายด้วยความรังเกียจ
กลับไม่อาจลอดเข้าไปในโสตประสาทของคนคนนี้ได้เลยและแล้วก็มีคนเสนอหน้า
ทุกคนแสดงหน้าตายินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น ไม่สิศัตรูจำเป็นของส่วนรวมอย่างออกนอกหน้า
ชายวัยกลางคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน
ยืนขวางหน้าชายหนุ่มเคราครึ้มในชุดผู้เล่นใหม่ โดยมีพรรคพวกอีก 3-4 คน ยืนอยู่ด้านหลัง กำลังยิ้มกริ่ม
ชายวัยกลางคนตะโกนว่าว่า “เฮ้ย
มึงเก๋ามาจากไหนว่ะ ถึงมาเดินกร่างในถิ่นกรู รู้มั๊ยว่าข้าพเจ้าเป็นใคร เฮ้ย
ไอ้หนวดได้ยินมั๊ย” พูดไม่ทันจบประโยคก็ยกมือขึ้นผลัก
ชายหนุ่มก็ส่ายโงนเงนถอยไปสอง สามก้าวก็เดินเข้ามาใหม่เหมือนไม่มีความรู้สึก
ลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังก็สอดคำขึ้นมา
“เฮ้ยมึงไม่ได้ยินที่ลูกพี่ถามหรอฟระ
หรือแกล้งทำเป็นหูทวนลง ติดจะหาเรื่องใช่มั๊ย ทุกคนได้ยินมั้ยเราป้องกันตัวนะโว้ย”
มันพูดเหมือนไม่ได้พูดกับคนข้างหน้าแต่เหมือนพยายามหาเหตุผลเพื่อลงไม้ลงมือมากกว่า
ชายหนุ่มแม้แต่คิ้วยังไม่กระดิก
พลางพูดออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่ยมบาลก็ยังขนลุก “หลีก....ไป”
ลูกกระจ๊อกที่อดไม่ได้กระโดดออกมาเงื้อหมัดชักไปเต็มแก้ม
“เอาแม่งเลย!”
พรรคพวกของกลุ่มนักเลงก็กระโดดเข้ามาร่วมวงในทันทีส่งเสียงเอะอะโวยวาย
ชายหนุ่มหลังจากโดนไป
สองสามหมัดเหมือนจะได้สติ ชกสวนกลับไปจนดาวลอยขึ้นเต็มหน้าของลูกกระจ๊อกคนแรกที่กระโดดเข้ามา
แล้วทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นตะลุมบอนกันมั่วไปหมด
แต่สองหมัดยากต้านทานสี่ฝ่ามือ
อย่าว่าแต่ไม่ใช่สี่ฝ่ามือแต่เป็น แปดตีนสิบตีนของนักเลงหัวไม้ที่หาที่จะระบายอารมณ์
ชายหนุ่มเลยกลายเป็นกระสอบทรายซ้อมมวยไปโดยปริยาย
หมัด เท้า ปลิวว่อนไม่มีใครสนใจคนที่โดนรังแก มีแต่เสียงเชียร์ เข้ามาให้ต่อยซ้ายฮุกขวา
บ้างติดตามหมัดเท้าของนักเลง แต่ไม่มีเสียงครวญครางจากปากคนที่โดนรังแก
แม้แต่นิดเดียว
“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ ใครก่อความวุ่นวาย
หยุดมามอบตัว!”
เสียงตะโกนพร้อมกับเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านในกลุ่มคน
พวกนักเลงได้ยินก็ตกใจ ร้องว่า “พวกรักษาความปลอดภัย พวกเราไปเร็ว” แล้วพากันรีบหนีกลืนหายไปกับกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว
วันนี้ถือว่าเป็นวันดีวันหนึ่ง ได้ยืดเส้นยืดสายแต่เช้า
พวกมันรู้สึกสมอกสมใจยิ่งนัก
หลังความวุ่นวายไม่นานก็มีคนหน้าตามอมแมมแต่ใส่เสื้อสีขาวดูก็รู้ว่าเป็นผู้เล่นใหม่เหมือนกันมุดออกมาจากกลุ่มคน
มองไปที่พื้นที่ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือนอกจากชายหนุ่มที่สลบอยู่ตรงพื้น
ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นของเขาเองเต็มไปหมด คนนั้นสลบไปแล้ว
แต่ไม่มีใครสนใจทุกคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อกะว่าจะปล่อยให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นคนสะสาง
‘เฮ้อ ทำไมใจดำกันขนาดนี้
แค่เขาดูสกปรกก็ทำกันขนาดนี้เลยหรอ’ คนหน้าตามอมแมมถอนหายใจ เดินเข้ามาถึงร่างที่อ่อนปวกเปียกหายใจรวนรินอยู่ตรงพื้น
ก็จับมือมาพาดที่คอแบกคนคนนี้ออกไป
วันนี้ไม่มีทหารมา ถ้าเป็นปกติถือว่าแปลกผิดปกติวิสัย
แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจเพียงสนใจเรื่องของตนก็ยุ่งมากพอแล้ว
ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นใครค้าขายก็ค้าขาย
ใครจับจ่ายก็จับจ่าย ไม่มีใครสนใจคนสองคนที่แบกกันไปอย่างทุลักทุเล
หายไปกับซอกอาคารเลยแม้แต่น้อย
บ้านเล็กๆ ที่ก่อเอาจากไม้ผุกับก้อนหิน
ห่างออกมาจากตัวเมืองไม่มาก
คนในชุดผู้ผู้เล่นใหม่สองคนหน้าตามอมแมม ที่ดูไม่ต่างจากขอทานเท่าไรนัก
กำลังปรึกษากันเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง
“ไปลากไอหมอนี้มากจากไหนเนี้ย
พวกเรายังจะเอาตัวเองไม่รอดอยู่แล้วจะไปช่วยใครได้อีกเล่า” เสียงตัดพ้อดังออกมาจากปากของคนที่ดูเหมือนขอทานคนหนึ่ง
แต่ฟังจากเสียงเล็กๆ นี้คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้หญิง
“ก็เขาโดนไอ้พวกนักเลงมันรุมมานะสิ พวกเราเกิดเป็นคนก็ต้องช่วยเหลือกันสิ” เสียงใสๆ พูดออกมาอย่างไม่ยอมแพ้
“คนดีแบบเธอ จะมีซักกี่คน
แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงละเนี้ย ขนาดอยู่กันสองคนยังอยู่กันอย่างกะขอทาน
เกมส์อะไรก็ไม่รู้ยากฉิบ แล้วเอาไอ้นี้มาอีกคนพวกเราอย่าหวังว่าชีวิตเราคงจะดีขึ้นละนะ”
เธอพูดตัดพ้อดูเหมือนคนพูดจะรู้ตัวเหมือนกันว่าสภาพตอนนี้ไม่ต่างจากขอทานซักเท่าไร
“ละ....
แล้วจะปล่อยไว้แบบนี้ได้หรอ.... ฮือ... แล้วแบบนี้ทำไงดีละ” คนที่แบกคนเจ็บมาเริ่มคิดฟุ้งซ่าน ความหวังดีพอเจอปฎิกริยาจากเพื่อนแบบนี้ก็เริ่มลังเลเพราะชีวิตพวกเธอตั้งแต่เริ่มเข้ามาในโลกแห่งนี้ก็ย่ำแย่พอดู
เพราะเงินทองที่มีก็ใช้ไปกับการซื้ออาหารประทังชีวิต
ส่วนจะออกไปล่าสัตว์หรือทำอย่างอื่นหลังจากลองดูแล้วก็พบว่ายากเกินความสามารถจริงๆ
กระต่ายโง่ๆ ตัวหนึ่งพวกเธอยังล่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องเล็กๆ
เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตัดกันระหว่างศีลธรรมประจำใจกับการเอาชีวิตรอด
ทั้งสองต่างอึดอัดไม่แพ้กัน
ทันใดนั้นเสียงพลิกตัวของคนที่นอนอยู่ตรงพื้นก็ดึงความสนใจของพวกเธอทั้งสองคนไป
คนหนึ่งก็มองไปด้วยความสงสัย คนหนึ่งก็มองไปด้วยความเวทนาเพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือ
ผู้ชายคนหนึ่งกำลังมีน้ำตาไหลจากขอบตาลงมาจนถึงใบหูและหยดลงที่พื้นที่ปูด้วยหญ้าแห้งคิ้วทั้งสองข้างขมวดเป็นปมแน่น
สีหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวดขนาดที่ทั้งสองคนไม่เคยเจอมาก่อนอดที่จะรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้
เสียงถอนหายใจดังยาว
และชัดเจนเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างสำเร็จ
“นี่ ให้เขาอยู่ที่นี้จนหายแล้วค่อยให้เขาไปก็ได้นะ” เหมือนว่าเค้าจะผ่านเรื่องที่ร้ายแรงมากๆ
มายังไงโลกนี้ก็เป็นแค่เกมส์จะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ” คนที่ตอนแรกบอกปฏิเสธเสียงแข็งเริ่มอ่อนลงหลังจากเห็นสีหน้าของชายหนุ่มเคราครึ้มที่ดูเหมือนจะยังสลบอยู่
“ชั้นก็คิดเหมือนกันแหละ
ยังไงนี้ก็เป็นแค่เกมส์น่ะนะ แต่ยังไงก็ขอบคุณเธอมากนะธิดาทราย” พูดจบก็ยิ้ม รอยยิ้มงดงามดุจบุพผาแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ห้องที่เต็มไปด้วยความรู้สึกถึงความลำบากก็พลันสว่างสดใสขึ้นมา
ผู้หญิงที่ใส่เสื้อฝ้ายสีขาวที่ดูมีความเป็นผู้นำมากกว่า
พูดขึ้นว่า “งั้นเราแบ่งหน้าที่กันนะพลอยใส
เดี๋ยวชั้นไปตักน้ำมาล้างหน้าล้างตาเขาก่อน ส่วนเธอก็ไปซื้อพวกยาละกัน งั้นเราก็ยืมเงินเขาไปก่อนละกัน
ซื้อของกินเข้ามาด้วยนะ หิวจะแย่แล้ว ฮิฮิ ถือว่าทำความดีซะเถอะนะเจ้าหนุ่ม”
“ได้เพคะ อิอิ” พลอยใสพูดเสียงสดใส พลางก้มตัวไปปลดถุงเงินบนร่างที่กำลังสะลึมสะลือ
จากนั้นเจ้าตัววิ่งอย่างรวดเร็วกลับเข้าเมืองไปทำภารกิจที่ได้รับจากเพื่อนสาว
ให้แล้วเสร็จพลางคิดถึงความยากลำบากในอนาคตอันใกล้ที่ไม่รู้จะไปหากินอย่างไรในใจแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าว่า
‘เรื่องของอนาคต
ให้เป็นของอนาคตแล้วกัน’
ซึ่งขณะที่ สองสาวพลอยใสและธิดาทรายกำลังง่วนอยู่การช่วยเหลือชายหนุ่มและหาเลี้ยงปากท้องนั่นเอง
เรื่องใหญ่ที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่เมืองแม่แดงก่อตั้งขึ้นมาก็เริ่มตั้งเค้าราวกับพายุที่จะก่อหวอดขึ้นอย่างเงียบเชียบ
จากใจป่าที่มืดมิดไร้ซึ่งประกายแสงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางวันกลางก็ตาม
-------------------------
*ผมขอเปลี่ยนชื่อเป็นพลอยใส และธิดาทรายนะครับ
ความคิดเห็น