คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 11 ปิดฉากสงครามเมืองแม่แดง rev
ตอนที่ 11 ปิดฉากสงครามเมืองแม่แดง
กองทัพทั้งสองฝ่ายระหว่างมนุษย์และพนามรณะตั้งประจันหน้าอยู่ที่เมืองแม่แดง
โดยมีกำแพงเมืองที่ไม่สูงเท่าไรเมื่อเทียบกับขนาดตัวของพนามรณะตั้งกั้นขวางอยู่
การต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แม้หลายคนจะไม่ต้องการก็ตาม
เมื่อดวงตะวันเริ่มโผล่พ้นของขอบฟ้าทางทิศตะวันออก
ท้องฟ้าวันนี้มีสีสันน่ากลัวยิ่ง มันดูคล้ายกับสีแดงของโลหิตของมนุษย์ยิ่งนัก
ไม่ทราบว่าเป็นลางบอกเหตุอันใดหรือไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณการเริ่มต้นศึกสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ในวันนี้
เสียงคำรามจากปากของเหล่าสัตว์อสูรสีเขียวที่น่าสะพรึงดังกึกก้อง
กองทัพพนามรณะที่เหล่าทหารต่างตั้งฉายาให้พวกมันว่า กองทัพปีศาจเขียว เริ่มบุก!
พวกมันใช้ลำต้นไม้ใหญ่ขนาดราว 10 คนโอบ ที่คว้านข้างในออกขึงด้วยหนังสัตว์จนตึงต่างกลองศึก
พนามรณะร่างยักษ์ฟาดไม้กล่องหนักหน่วง เสียงกลองดังทุ้มต่ำ เลือดลมเดือดพล่านร้อนระอุ
ปีศาจน้อยใหญ่ต่างส่งเสียงคำรามดังสนั่นไปทั่วสนามรบ
เหล่าทหารและประชาชนที่จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ต่างขวัญเสียกับบรรยากาศตรงหน้า
ชาวบ้านที่ขวัญอ่อนถึงกับทำอาวุธตรงพื้น
ทัพหน้าของกองทัพเขียวก็เคลื่อนพล พวกมันยกแผ่นไม้หนาใหญ่ขึ้นมาต่างโล่
ป้องกันลูกธนูและหลาวแหลมที่พุ่งมาจากบนกำแพงเมือง แล้วค่อยๆ ลุกคืบเข้าไปช้าๆ
อย่างเป็นระบบ
กองโล่นั้นมีด้วยกันหลายกอง
ด้วยความที่ขนาดของโล่ใหญ่มากทำให้พลทหารบนเมืองมองไปไม่เห็นว่าด้านหลังโล่เหล่านั้นมีอะไร
ความหวาดหวั่นเป็นดั่งโรคระบาดทำให้กองทัพที่เตรียมการจะสู้รบระส่ำระสายเนื่องจากไม่มีใครคาดคิดว่ากองทัพของสัตว์อสูรจะสามารถทำการรบได้อย่างเป็นระบบเช่นนี้
ยังมีว่าพวกมันมีอาวุธครบมือราวกับกองกำลังมืออาชีพ
กองโล่ใหญ่ที่ใกล้กำแพงเมืองที่สุดพลันแหวกออกเป็นช่อง
ปรากฏท่อนไม้ขนาดยักษ์ที่ใหญ่ พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วพาดลงบนกำแพงเมืองดังโครมใหญ่
กองโล่ดาบที่ประกอบด้วยพนามรณะที่ร่างกายไม่สูงใหญ่มากนัก โถมออกมาจากด้านหลังกองโล่อย่างรวดเร็วรุกขึ้นกำแพงเมือง
พวกมันพากันกระโดดเหยียบไปตามกิ่งไม้พุ่งขึ้นกำแพงเมืองอย่างรวดเร็วดูคล้ายภูติพรายสีเขียวที่พร้อมจะมาเอาชีวิตพวกศัตรูของมัน
นายทหารที่มีประสบการณ์รีบร้องตะโกนสั่งการ
“อุดช่องไว้ อย่าตื่นตระหนก
อย่าให้พวกมันขึ้นมาได้ มือหอกประจำตำแหน่งเร็ว อย่าให้มันขึ้นมาได้!!”
พลหอกยังไม่ทันตั้งตัว
หอกดันชนกันวุ่นวายเนื่องจากขาดการฝึกซ้อมระคนตื่นตระหนกยังไม่ทันได้ย้ายตำแหน่งหรือตั้งขบวนใหม่พนามรณะก็บุกเข้ามาถึงแล้ว
!
พวกปีศาจเขียวที่มือหนึ่งหรือบางทีควรเรียกว่าก้ามถือโล่
อีกก้ามหนึ่งถือหนีบสิ่งที่ดูคล้ายดาบเหล็กที่มีการทาสีดำทับลงไปทำให้ไม่ส่องประกายสะบัดฟาดฟันเป็นเส้นทางโลหิตแดงฉานสายหนึ่งให้พรรคพวกมันมีช่องวิ่งขึ้นมาได้
สถานการณ์บนกำแพงเมืองด้านตะวันตกเริ่มปั่นป่วน
กำแพงเมืองด้านที่เหนือก็มีเสียงโห่ร้องดังอื้ออึงเหมือนเป็นสัญญาณการบุกอีกระลอกเช่นกัน
เหล่าทหารกล้าที่ผ่านการศึกมาหลายวันก็เริ่มอ่อนล้า
ดวงตาของแต่ละคนแดงฉานไปด้วยเส้นเลือดใหญ่น้อยจนดูคล้ายถูกทาไว้ด้วยเลือดของตนเอง
ผู้พันเดชาเห็นสถานการณ์ที่ปั่นป่วนวุ่นวายก็ต้องสบถด้วยความฉุนเฉียว
ออกคำสั่งแก่ทหารคนสนิทให้เอาคำสั่งไปส่งให้หอธนูยิงธนูเพลิงไปเผาบันไดให้สิ้น
ต้นไม้เหล่านี้ถูกตัดโค่นลงมาเป็นเวลานานก็แห้งกรอบและเป็นเป้าขนาดใหญ่จึงลุกใหม้ได้โดยง่าย
ไฟลุกพรึบขึ้นมาเหมือนเป็นสัญญาณมรณะของพวกปีศาจเขียวที่บุกเข้ามายืนอยู่บนกำแพงเมือง
ปีศาจเขียวที่ด้านหลังไม่รอช้ารีบหอบดินทรายเข้ามาดับไฟ
ขณะที่ทหารบนกำแพงก็ได้โอกาสยิงรุมสังหารพวกมันเป็นการใหญ่
ทหารเก่าสังกัดผู้พันเดชา พลันพากันออกไปตั้งขบวนจากเป็นสองฝั่งบนกำแพงเมืองเพื่อเก็บกวาดพวกกองกำลังดาบโล่ที่กำลังเข่นฆ่าเข้ามา
แถวหน้าสุดสองแถวเป็นมือโล่ใหญ่ที่ใช้ทหารรูปร่างกำยำสองคนช่วยกันถือซึ่งก็ยังดูกินแรงไม่น้อย
แม้จะไม่ใหญ่เท่าพวกปีศาจเขียวแต่ก็แข็งแกร่งกว่ามากนักเนื่องจากตีขึ้นมาจากเหล็กกล้า
สองแถวต่อมาเป็นมือหอกยาวพิเศษที่ยาว 2 วาเศษมีส่วนคมที่ตีขึ้นมาหนาเหนียวและแหลมคมเป็นพิเศษยาวถึงฟุตครึ่ง
ปีศาจเขียวที่บุกขึ้นกำแพงเห็นว่าพวกตนถูกล้อมก็ยกโล่ขึ้นป้องกันธนูจากด้านล่างฉวยโอกาสที่พวกทหารยังตั้งแถวไม่ดี
วิ่งโถมเข้าหามือโล่ ทั้งชนทั้งฟาดฟัน
เสียงปะทะกันดังโครมใหญ่แต่โล่ใหญ่
ยังไม่ล้ม ทหารที่ยันไว้หลังเหงื่อโทรมกาย
แม้จะคิดว่าพวกมันมีแรงมหาศาลแต่ก็ไม่คิดว่าจะแรงขนาดนี้
มีเพียงบางโล่เท่านั้นที่ส่ายโงนเงนทำท่าจะล้มลง
ปีศาจเขียวหยุดชะงัก
ไปครู่หนึ่งก็สะบัดดาบฟาดฟันลงมาอย่างแรงดุจอัตสนีบาต เสียงดาบกระทบโล่ดังสนั่น
เปรี้ยง ปร้าง รอบนี้มีโล่หลายใบล้มลง ทหารหลายนายถึงกับกระดูกสันหลังหักเสียชีวิตลง
นอกนั้นบางคน บ้างขาหักแขนหัก โล่แถวสองรีบพุ่งเข้ามาเสริมแนวหน้าที่ล้มครืนลงในทันทีแล้ว
ลากดึงเพื่อนทหารที่สาหัสกลับออกไป
พลหอกที่จัดขบวนก็ฮือกันเข้ามาอีก หอกยาวสองแถวหลังเสือกพุ่งหอกออกอย่างแรง
ตามช่องของโล่ไม้และโล่เหล็ก เสียบทะลุร่าง ปีศาจเขียว บ้างเสียบตา บ้างเสียบเขาปากทำลุออกด้านหลังปาก
บ้างเสียงตามข้อต่อ เสียงปีศาจร้องครวญคราง ก่อนล้มลงดังตึงอย่างแรง
มือหอกเขี่ยร่างพวกมันลงจากกำแพงเมือง บางตัวถ้ายังไม่ตายเมื่อโดน
มือหอก 3
-4 คนรุมแทงก็พลัดตกลงไปที่พื้น
ถ้าตกไปด้านนอกก็โชคดีหน่อย แต่ถ้าตกไปด้านใน
จะโดนรุมสับจากเหล่าทหารที่อยู่ด้านล่างกลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน
กองทัพปีศาจเขียวเมื่อจู่โจมระลอกแรกไม่ประสบผลก็เปลี่ยนกลยุทธ
กลองยักษ์เปลี่ยนจังหวะการตี ดังบ้างเบาบ้าง กองโล่ใหญ่ของพนามรณะพลันชะงักไปครู่หนึ่ง
พริบตาต่อมาพร้อมกับเสียงคำรามแหลมสูง ท้องฟ้าก็เหมือนมืดลงดุจวันสุริยคลาสแต่แท้จริงแล้วท้องฟ้าไม่ได้มืดลง
แต่เป็นของบางสิ่งจำนวนมากมายพลันเหมือนพร้อมใจกันขึ้นไปบดบังแสงจากท้องฟ้า
ทหารหลายคนเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ร่ายกายก็แข็งทื่อเหมือนไม่ยอมรับคำสั่งขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
บางคนที่สู้รบมาแล้วหลายวันก็รู้ได้ทันทีจากประสบการณ์รีบหาที่หลบกันจ้าละหวั่น
หลาวแหลมถูกเหวี่ยงพุ่งขึ้นเต็มฟ้า
พวกมันล้วนเหลาจากไม้เนื้อแข็งที่แข็งพอจะป่นกระดูกคนธรรมดาเป็นผุยผงได้
อย่าว่าแต่นี้พุ่งจากฟ้าหลังจากถูกปาขึ้นไปจนสูงลิบ จำนวนนับไม่ถ้วนนับไม่ถ้วนแต่ละอันหนาใหญ่
ยิ่งกว่าแขนชายฉกรรจ์ แม้ส่วนปลายไม่แหลมคมมากนักแต่ถ้าตกจากความสูงร่วม 20-30 เมตรเช่นนี้ ร่างกายของผู้ที่ถูกของสิ่งนี้กระแทกคงต้องแหลกเป็นเศษเลือดเนื้อ
ทหารคนสนิทสองนายที่รูปร่างกำยำเป็นพิเศษรีบเอาโล่ใหญ่มาป้องกันผู้พันเดชา
แต่ผู้พันดูเหมือนจะไม่สนใจ พลันตะโกนสั่งให้ จัดเป็นกลุ่มเล็ก ให้มือโล่ถือโล่เอียง
45
องศาแล้วย่อตัวลง กระจายกันออกไป
ที่เหลือหลบเข้าไปที่อาคารที่แข็งแรง ตามที่ฝึกพิเศษมา
การจู่โจมอย่างมืดฟ้ามัวดินดำเนินไปอย่างต่อเนื่องสลับสับเปลี่ยนจากกำแพงเมืองสามทิศ
ทั้งยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เคี่ยวกร่ำจนทหารกล้าที่คล้ายแข็งและทนเหมือนเหล็กกล้า
อ่อนนุ่มจนเหมือนแป้งเปียก
จำนวน ยุทโธปกรณ์ และยุทธวิธีของเหล่าพนามรณะนั้นล้วนแต่เหนือความคาดหมายของเหล่าขุนศึกแห่งเมืองแม่แดงทั้งสิ้น
ในที่สุดผู้พันเดชาก็ตัดสินใจที่จะใช้แผนสุดท้ายเพื่อตอบโต้กลับไป
‘ในเมื่อสู้ไม่ได้ ท่านเป็นหยก
เราเป็นศิลาก็ล้วนแหลกตามกันเถอะ’
ผู้พันเดชาพูดคำพูดคำหนึ่งออกมา “ท่านเสนาธิการ เตรียมดำเนินแผนขั้นสุดท้าย”
เสนาธิการหันมาพยักหน้าคราหนึ่งแล้วรับคำรีบวิ่งไปเตรียมดำเนินการตามแผน
ยังไม่ทันหายใจได้อึดใจหนึ่งกองพลดาบโล่ของกองทัพปีศาจเขียวก็ทะลวงกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือเข้ามาอีก
แม้ว่านายทหารผู้ซึ่งเป็นเสมือนมือขวาของผู้พันเดชาจะพยายามต้านทานไว้อย่างสุดความสามารถก็ตามที
ผู้พันเดชารีบตะโกนสั่งให้นายทหารคนสนิทคนหนึ่งนำกำลังหลัก
5 หมู่ย่อยรีบวิ่งไปสนับสนุนพร้อมบอกให้เตรียมพร้อมสำหรับแผนขั้นสุดท้าย
เขาพยักหน้าแล้วรีบนำทหารในสังกัดตนเองครึ่งหนึ่งรีบวิ่งไป
ผู้พันเดชารู้สึกหนักใจเนื่องจากในความจริงแผนขั้นสุดท้ายนั้น
เขาภาวนาที่จะไม่ต้องดำเนินการที่สุด อาจเพราะมันอำมหิตเกินไป
ทั้งต่อฝ่ายตนเองและศัตรู ในเมื่อไม่มีกำลังสนับสนุนเมืองที่โดดเดี่ยวเช่นนี้สามารถต้านกำลังอันกล้าแข็งอย่างสุดความสามารถได้เท่านี้ก็ถึงขีดสุดแล้วจริงๆ
ขณะที่ผู้พันเดชากำลังอยู่ในภวังค์ความคิด
เสียงเป่าหลอดที่เป็นสัญญาณถอนทัพให้ละทิ้งกำแพงเมืองถอยร่นเข้าสู่ในเมืองตามจุดรักษาภายในเมืองก็ดังขึ้น
กองทัพที่แนวหน้าก็ค่อยๆ
ถอยเท้าออกมาจากจุดปะทะหลักต่างๆ ถอยหลบไปตามตรอกซอกซอยทั้งหลายในเมือง
เพื่อไปยังจุดรักษารวมถึงจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้วย
นายทหารบางคนก่อนที่จะถอยออกไปก็เหลือบไปเห็นกองทัพปีศาจเขียวที่ทะลักเข้ามาอย่างมากมาย
ทหารเก่าที่สร้างเมืองขึ้นมารวมถึงคนเก่าแก่ต่างสู้พลางถอยพลางด้วยความหดหู่
นายทหารเก่าแก่คนหนึ่งถึงกับอดหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้
กล่าวว่า“หรือว่าพวกเราจะมาได้เพียงเท่านี้จริงๆ
เมืองแม่แดงที่รักจะถึงคราวจบสิ้นแล้วจริงๆ หรือ”
แม่ทัพพนามรณะระดับชั้นที่สอง คนหนึ่งที่ทำหน้าที่บัญชาการในการรบของกองทัพปีศาจเขียว
วิ่งกลับมารายงานความคืบหน้า ด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“ท่านคาร์เชิฟ ตอนนี้เรายึดกำแพงเมืองรอบนอกไว้ได้แล้วให้เราทำเช่นไรต่อไปดีขอรับ” เสียงแหบมแปร่งดุจเหมือนกับเสียงเครื่อวดนตรีทองเหลืองที่ชำรุดกล่าวกับแม่ทัพใหญ่
แม่ทัพใหญ่ร่างเล็กที่หลายวันนี้ไม่ได้ออกไปบัญชาการรบด้วยตนเอง
ขณะที่มอบหมายให้พวกมันจู่โจมเมืองจาก 3 ด้านโดยถ้าเห็นท่าไม่ดีก็หยุด ถ้าได้เปรียบก็อย่ารุกไล่ รักษากำลังไว้ให้มากที่สุด
เป็นคำสั่งที่น่าสงสัยแต่อย่างไรก็ตามหน้าที่ของพวกมันไม่ใช่สงสัยแต่เป็นปฏิบัติตาม
“อืม เร็วไปหน่อย” คาร์เชิฟ พริ้มตาลงคล้ายกล่าวกับตนเอง
ด้วยคำพูดที่ทำให้แม่ทัพหลายคนสงสัยว่า เร็วก็ดีแล้วสิ ทำไมไม่ดีตรงไหน
คาร์เชิฟใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะเกิดการศึกเขาได้ศึกษาแม่ทัพข้าศึกหรือผ้พันเดชามาพอสมควร
ฝีไม้ลายมือใช้ได้แต่ตรงเกินไป ยากจะสำเร็จกิจการ แต่ก็เพาะน้ำใจกับคนไว้มาก
มีทหารเก่าที่ฝีมือดีคอยสนับสนุนไม่น่าจะแพ้เร็วขนาดนี้
คนนี้ไม่ถอยแน่
เพราะถ้าถอยก้าวเดียวก็เสียบ้านช่อง แสดงว่าต้องมีเหตุสุดวิสัย อืม
คงเป็นกองหนุนที่ไม่มาตรงเวลาสินะ หึหึ แต่เอ๊ะ ถ้าแบบนั้นก็ยิ่งถอยไม่ได้
เว้นซะแต่มันจะมีทีเด็ดอยู่ในเมือง อะไรกันแน่นะ
‘พืชอย่างเราย่อมแพ้ไฟ แต่ถ้ามันใช้ไฟ
มันก็ต้องตายไปพร้อมกับพวกเรา ถ้าเป็นพวกบ้าบิ่นไม่สนใจอะไรก็เป็นไปได้
แต่สำหรับแม่ทัพคนนี้ไม่น่าจะใช่ หรือมันไม่กลัวโดนลูกหลง
มันเตรียมการอะไรไว้กันแน่ ฮึม เมืองที่ไม่มีชัยภูมิป้องกันตัวเช่นนี้
มันมีทีเด็ดอะไร’
คาร์เชิฟคิดทบทวน
คาร์เชิฟหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็ผ่อนคลายลง
แสยะยิ้มที่เหี้ยมเกรียมออกมา “หึหึ
ถ้างั้นใช้วิธีนั้นดีกว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นปุ๋ยชั้นดีจริงๆ
”
เหล่าแม่ทัพและนายทหารพนามรณะ รับฟังแม่ทัพใหญ่อย่างงงวย
แต่ทั้งหมดล้วนแต่ก้มหน้านิ่งไม่มีใครกล้าสอดปากสอดคำ ถึงอย่างไรไม่ว่าแม่ทัพใหญ่จะคิดได้แผนการอะไรพวกเขาย่อมพร้อมใจปฏิบัติตาม
สำหรับท่านแม่ทัพใหญ่คาร์เชิฟผู้ยิ่งใหญ่แล้วเหล่าแม่ทัพนายกองล้วนพร้อมใจที่จะบุกน้ำลุยไฟโดยไม่บ่ายเบี่ยงแม้แต่น้อย
สำหรับแม่ทัพที่สร้างตนขึ้นมาจากทหารชั้นล่างสุดผู้นี้ พวกเขามีแต่ความเคารพนับถือและยำเกรงยิ่ง
...
คืนนั้นหมอกลงจัด กองทัพสีเขียวยกทัพเข้ามาที่เมืองอย่างครึกโครมส่งเสียงเอะอะ
พวกมันพยายามค้นหาพวกทหารและชาวเมืองที่ต่อสู้ขัดขืน แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ แม่ทัพที่คุมกำลังก็เกิดความตื่นตัว
ส่งเสียงเป็นสัญญาณให้รีบถอนทัพ แต่นั่นสายไปเสียแล้ว
พวกสายสืบที่ซ่อนตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ส่งสัญญาณถึงกันให้รีบลงมือในบัดลง
ทันใดนั้น กลิ่นของควันไฟก็โชยมาตามลม จุดต้นเพลิง ไม่ต่ำกว่า 5 แห่งก็ลุกพรึบขึ้นมาพร้อมกัน
บ้านเรือนที่ชะโลมไปด้วยน้ำมันอยู่ก่อน ก็แผ่ไอร้อนกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ในทันที วินาทีนั้นเมืองแม่แดง
ก็แดงฉานไปด้วยเปลวไฟที่ร้อนระอุ ขนาดที่คนที่อยู่ใต้ดินยังร้อนจนแทบหมดสติ
พนามรณะที่หนีไม่ทันถูกปิดตายด้วยกองเพลิงอยู่ในเมือง
เพลิงยังไหม้จนถึงเช้าในต่อมา โชคดีที่ฝนตกลงมาชะล้างคราบไคลของสงครามที่ดุเดือดไปจนหมดสิ้น
พวกทหารก็ฮือกันออกมาจากฐานทัพใต้ดินที่ไม่เป็นความลับอีกต่อไป
ด้านนอกที่เคยเป็นเมืองท่าอันรุ่งเรื่องบัดนี้ เป็นเพียงเมืองที่เต็มไปด้วยขี้เถ้ากับซากปรักหักพังที่ถูกเผาวอดจนแทบหมดสิ้น
ผู้พันเดชาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่
ต้องถอนหายใจออกมา
‘ไม่รู้ว่าที่แท้ใครกันแน่ที่เป็นผู้แพ้
ใครกันแน่ที่เป็นผู้ชนะ สุดท้ายเหลือเพียงแต่ขี้เถ้าสีดำที่ไร้ค่า เป็นของรางวัลสำหรับผู้ที่เหลืออยู่’
ความคิดเห็น