ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Seven Kingdoms: Quest of no man land (เวอร์ชั่นเก่า)

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 10 ต้องการเติบโต rev

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ย. 60


    ตอนที่ 10 ต้องการเติบโต

     

              ชายหนุ่มผู้มีหนวดเครารกครึ้มอันเป็นเอกลักษณ์กำลังหลับตานึกทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ประดังเข้ามาไม่หยุดยั้งตลอดระยะเวลาสั้นๆ เพียงสาม สี่วันในโลกอีกแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเขาไม่คุ้นเคย

                อาการบาดเจ็บทางร่างกาย ย่อมสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งเวลาให้คนเราเจ็บปวดยาวนานมากนัก อย่าว่าแต่ยังมีตัวยาสมุนไพรช่วยบำรุง แต่ขณะที่ความเจ็บปวดทางจิตใจนั้นกลับต้องใช้กำลังใจตนเองเท่านั้นที่จะรักษาเยียวยา ซึ่งหากใจนั่นไม่สามารถรักษาได้แล้วไซร้ก็คงจะไม่สามารถหายาวิเศษอื่นใดมารักษาได้อีก

    อย่าว่าแต่ความจริงนั้นจิตใจคนย่อมไม่อาจรักษาเยียวยา ขอเพียงยอมรับ และเรียนรู้ที่จะเติบโต

    คนเราก็จะก้าวข้ามผ่านเรื่องราวมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทุกคนที่เกิดขึ้นมาบนโลกต้องเรียนรู้ หนึ่งในบทเรียนที่สาหัสอย่างหนึ่งคือ เรื่องของการจากลา

    เรื่องของความตาย ไม่ว่าจะเรียกมันว่าเป็นพรหรือเป็นคำสาบก็ตาม นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดพรากจากมนุษย์ไปได้ หลังจากตายไปแล้วไปยังที่ใดนั่นไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่หลงเหลือไว้คือความโศกเศร้าของคนที่ยังมีชีวิตอยู่

    ความจริงแล้วต้นหรือชายหนุ่มคนดังกล่าวตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนวันก่อน เพียงแต่คร้านที่จะลุกขึ้น หรือกระทั้งลืมตาขึ้นมามองโลกอีกแห่งหนึ่งที่เขาเคยคิดว่าสวยงามและสมจริง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ใช้ความคิดอยู่กับตนเอง

    เขารู้เรื่องสงครามแล้วและก็ไม่แน่ใจว่าชนวนเหตุทั้งหมดนั้นเกิดจากตัวเขาเองรึเปล่า เขายิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ

    ยังมีการความตายของชายนักดาบผู้เสียสละชีวิตตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาแม้ว่าเขาจะพยายามบอกตัวเองว่า มันเป็นเพียงแค่เกมส์ ไม่ใช่ตายไปจริงๆ ซะที่ไหน แต่ภาพอันสยดสยองที่ปรากฏขึ้นมาในใจเขาไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันช่างสมจริงเหลือเกิน กลิ่นของเลือด และเสียงของดาบช่างระคายหูเหลือเกิน

    น้ำตาของลูกผู้ชายนั้นไม่สามารถเสกได้ด้วยมนต์วิเศษใด แต่หาได้จากน้ำใจอันอุ่นระอุอันเกิดจากมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ หากต้นเป็นผู้ที่ต้องจากไปเอง ตัวเขาคงไม่เสียใจและรู้สึกผิดเท่านี้

    ไม่รู้ว่าเรื่องเหลือนี้ ทำให้วิศวกรหนุ่มต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยวในใจ ถ้าเขาได้เห็นหน้าตนเองอีกครั้ง ก็คงต้องตกใจแน่นอนเพราะหน้าตาเขาดูแก่ลงไปหลายปีทีเดียว

    แต่ในที่สุดหลังจากที่ใคร่ครวญจนไม่รู้ว่านี้เป็นรอบที่เท่าไร เขาก็ตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมาเพื่อสู้ปัญหาอีกครั้งหนึ่ง เขาตัดสินใจลืมตาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ลอบตัดสินใจกับตัวเองว่าถ้ายังไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ เขาจะหลับตาคิดไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะใช้เวลานานก็ตาม

    แม้ว่าส่วนลึกในใจเขาส่งเสียงร้องออกมาว่า

    ถึงเวลาที่จะตื่นออกจากฝันร้ายงี่เง่านี้ได้นี้ได้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีตัวเขาเองเป็นจุดศูนย์กลางซะหน่อย เลิกโทษตัวเองเสียที เราไม่ผิดอะไรซักหน่อย

    แต่เขาเลือกที่จะไม่เชื่อความคิดนี้ เพราะถึงอย่างไร นักดาบคนหนึ่งก็เสียชีวิต และอีกหลายชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย

     ดวงตาที่มีกระจกตาสีน้ำตาลเข้มน้ำตาลที่เคยแลดูเข้มแข็ง สดใส หลังจากถูกความคิดมากมายเคี่ยวกรำหลายวันก็อ่อนแรงลงมาก

    ร่างกายที่เริ่มซูบผอมทั้งๆ ที่เคยมีรูปร่างออกท้วมนิดๆ ก็เริ่มค่อยๆขยับตัวขึ้นมาครั้ง ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งช้า พลางมองไปรอบๆ ห้องที่เขาอยู่มาตลอด 3 วัน ตั้งแต่สลบไป

    เสียงเดิน หยุดชะงักพร้อมกับเสียงของตกพื้นดังขึ้น แต่สายตาของเขายังคงมองสำรวจไปตามร่างกายตนเองที่ดูแปลกตา เค้าความสดใสมลายหายไปสิ้น บางครั้งการเติบโตก็ไม่ต้องการเวลาที่ยาวนาน

     

    เพียงแค่ตัดสินใจที่จะเติบโต

     

    เสียงอุทานพร้อมคำถามหลายอย่างดังขึ้น ดูเหมือนจะมีด้วยกันสองคน แน่นอน เขารู้ว่าสองคนนั้นคือ พลอยใสกับธิดาทราย แต่ดูเหมือนสรรพเสียงรอบตัวตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนถูกสูบหายไปสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงเสียงหัวใจของตนเองที่ดังสนั่นกับเสียงคำพูดสั้นๆ ที่ดังขึ้นเบาๆ จากส่วนลึกซีกหนึ่งของหัวใจ ดังซ้ำๆ ซ้ำๆ เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไม่รู้จักสิ้นสุด

    เราต้องเข้มแข็งขึ้น เราต้องเข้มแข็งขึ้น เราต้องเข้ม...โลกก็ดับวูบลงอีกครั้ง

                ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร ต้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้ธิดาทรายกำลังเอาผ้าชุบน้ำอุ่นหมาดๆ ผืนเล็กเช็ดที่หน้าผากให้เขาอยู่ น้ำที่ผ่านการต้มร้อนเอามาพักไว้ให้พออุ่น แล้วเอามาบิดหมาด เมื่อนำมาเช็ดตามร่างกายให้ความรู้สึกผ่อนคลายยิ่ง

    สำหรับคนที่บาดเจ็บทางใจอย่างสาหัสมาก่อนกลับให้ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

    คำพูดแรกก่อนที่จะพูดคำอื่นๆ ย่อมต้องเป็นคำที่เขาคิดอยู่ในใจตลอดมา ขอบคุณมากครับคำพูดเบาๆ ที่หลุดออกมาจากปากทำให้คนที่กำลังเช็ดตัวให้อยู่สะดุ้งเล็กน้อย

    ดีขึ้นหรือยัง เป็นยังไงบ้างเสียงใสๆ ดังขึ้นพร้อมกับผ้าที่เริ่มไล่เช็ดลงมาตามแขนที่เริ่มรวบรวมเรี่ยวแรงได้บ้างของเขา หญิงสาวคนนี้คือธิดาทราย

    ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ ขอบคุณมากน้ำเสียงที่อิดโรย อ่อนล้าแต่แฝงความตั้งใจที่ไม่อยากเป็นภาระของใครแสดงออกถึงอารมณ์ตื้นตันใจออกมาอย่างชัดเจน

    ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นนั่งซึ่งเจ้าบ้านก็ไม่ขัดข้อง ธิดาทรายขยับเลื่อนสิ่งของต่างๆ ออกมาพร้อมกับเอาผ้าใส่ลงไปในอ่างเล็กๆ แล้วขยับตัวย้ายจากขอบเตียงไปนั่งที่ก้อนหินที่ใช้เป็นเก้าอี้ชั่วคราว

    ชายหนุ่มหลังจากลุกขึ้นนั่งก็ไอออกมา หน้าตาที่ซูบเซียวลงทำให้ดูน่าเวทนายิ่งนัก ขัดกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ดื้นรั้นอย่างยิ่ง

    เดี๋ยวชั้นไปเอาน้ำมาให้ นั่งนิ่งๆ อย่างเพิ่งขยับไปไหนละหญิงสาวพูดพลางก็ลุกขึ้นออกไป หยิบน้ำมาขันหนึ่ง พร้อมกับตะโกนเรียกเพื่อนสาวที่เป็นคนพาเจ้าหนุ่มนี้มาเขามาดูอาการของเขา

    ประมาณ 15 นาที หลังจากชายหนุ่มได้ดื่มนั้นและทานอาหารอ่อนๆ ก็เริ่มฟื้นฟูเรียวแรงได้บ้างบางส่วน ธิดาทรายและพลอยใสก็ไม่รีบร้อนซักถามอะไร นั่งรอเขาทานอาหาร ดื่มน้ำอยู่เงียบๆ

    และแล้วธิดาทรายก็เริ่มถามก่อนเพราะดูเหมือนจะทนรอไม่ไหวแล้ว คุณชื่อ เอ่อ ...

    ผมปฏิภาณครับ เรียกผมว่าต้นก็ได้ครับ แล้วคุณ เอ่อ...

    เรียกชั้นว่าธิดาทรายก็ได้ค่ะ แล้วนี้ พลอยใสเป็นคนหามคุณเข้ามา ถ้าจะขอบคุณก็ขอบคุณเธอเถอะเพราะตอนแรกชั้นก็ไม่อยากจะช่วยคุณเท่าไรหรอก เพราะเราก็เอาตัวแทบจะไม่รอดอยู่แล้วเธอพูดเป็นชุดแบบไม่ไว้หน้าใคร ทำเอาเพื่อนสาวของเธอแอบสกิดไปหลายรอบแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันซะแล้ว

    คุณเป็นรู้สึกยังไงบ้างคะ ยังเจ็บอะไรอยู่มั๊ยพลอยใสถามด้วยเสียงที่ใครฟังก็จะรู้สึกได้ทันทีว่าเธอถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ

    ครับ ผมขอบคุณ คุณพลอยใสมาก ถ้ามีโอกาสผมจะต้องตอบแทนคุณทั้งสองคนให้ได้ต้นพยายามทำเสียงให้ดูแข็งแรงที่สุด แต่สุดท้ายก็อดที่จะไอโขลกออกมา

    ยังไงก็ถ้าจะตอบแทนก็รีบหายไวๆ จะดีต่อพวกเรามากเลยนะคะ เพราะภายในวันสองวันนี้ พวกเราจะต้องเดินทางแล้วธิดาทรายพูดแบบโผงผางตรงไปตรงมาตามนิสัยของเธอ

    พลอยใสหันมาค้อนเธอทีนึงโถ่ ธิดาทรายทำไมพูดแบบนี้ละ ยังไงเราก็ต้องรอให้เขาดีขึ้นอีกหน่อยก่อนค่อยว่ากันเรื่องออกเดินทางพลอยใสพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

    เดินทาง ?” ต้นกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย

     พลางหันมาทางเพื่อนสาวใหม่ทั้งสองคนเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คือว่าจริงๆ ตอนนี้เราดูสถานการณ์ที่เมืองแม่แดงอยู่ตลอดนะคะ คือว่ามันดูไม่ค่อยดีเลย พวกเราเลยคิดจะเดินทางไปที่หมู่บ้านภูเขาเหล็กน่ะคะ เพราะที่นั้นค่อนข้างปลอดภัยและอยู่ไม่ไกลมาก ไม่งั้นอาจโดนเราอาจลูกหลงจากสงครามได้เพราะ ดูเหมือนมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

    ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้างหรอครับชายหนุ่มพูดออกมาในน้ำเสียงปนความตื่นเต้นตึงเครียดอยู่บ้าง

    สองสาวก็มองไปที่เขาด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงสนใจเรื่องนี้นัก แต่ก็ได้บทสรุปง่ายๆในใจว่า ผู้ชายก็บ้าสงครามกันทุกคนน่ะแหละ พลางเริ่มเล่าเท่าที่รู้ออกมาทั้งส่วนที่ได้ยินมาจาก ชาวบ้านเดินผ่านทางไป ผสมกันความเห็นส่วนตัวจนไม่รู้อันไหนจริงอันไหนเท็จ ทำเอาชายหนุ่ม งงเป็นไก่ตาแตกเพราะดูเหมือนทำไมพวกสัตว์อสูรที่พวกเธอเล่าจึงดูต่างจากตัวที่เขาเคยเห็นมากเหลือเกิน

    นี้คือ ส่วนหนึ่งของคำพูดที่ สองสาว ยืนยันอย่างจริงจังว่าเป็นความจริงแท้แน่นอนถึง 120 เปอร์เซ็น ดังนี้พวกมันมีตัวสีเขียว มีบรรพบุรุษเป็นเชื้อราโสโครก อันนี้ชั้นมั่นใจมาก มันมี 4 แขน 12 ขา ตัวใหญ่เท่าตึก 5 ชั้น มีก้ามใหญ่เหมือนปูทะเลจากเวียดนามดูแข็งแรงดีจริงๆ แต่ชั้นสงสัยว่าถ้าเอาไปนึ่งก้ามเขียวจะเปลี่ยนเป็นสีแดงน่ากินมั้ย หึ แต่อาวุธที่แท้จริงของพวกมันคือ ขนอันสกปรกที่ทำให้คนติดเชื้อโรคตายได้ แต่มีปากเล็กเท่ารูเข็ม แม่ทัพของพวกมันตัวเตี้ย ร่างเล็ก แต่ปากใหญ่กว่าเพื่อน ถึงกับใหญ่เท่าชามข้าว ปากคอเลาะร้าย ชอบพูดโกหกใส่ร้ายป้ายสี แท้จริงเป็นคนประจบสอพลอไม่มีความสามารถอันใด หน้าที่สำคัญคือก่อกวน และเสแสร้งเป็นเข้มแข็ง แท้ที่จริงอ่อนด้อย .....ฟังไป ชายหนุ่มก็หัวเราะไป จนถึงกับลืมความกลัดกลุ้มที่แล้วมา การบรรยายของทั้งสองคนนี้ ถ้าจะเอาเฉพาะข้อมูลที่ถูกต้องน่าจะมีเพียง 10 เปอร์เซ็น ที่เหลือคือมโนกับฟังเค้าม

     

    ณ สถานที่อันลึกลับที่สุดของเมืองแม่แดง ที่ห้องประชุมใต้ดินของเมืองแม่แดง

    ในวันเดียวกัน

                ผู้พันเดชากำลังนั่งอยู่ในที่ประชุมลับ อย่างเคร่งเครียดในการประชุมลับครั้งนี้ มีเพียงแม่ทัพนายกองคนสนิทเท่านั้นที่เข้ามา แม้แต่ร้อยเอกอานนท์ก็ไม่อนุญาตให้เข้าร่วมมีไม่ถึง 10 คนเท่านั้นที่เข้ามาได้ ซึ่งแต่ละคนในที่นี้ล้วนแต่มีดวงตาที่แดงฉานอันเกิดจากการอดหลับอดนอนมาหลายวัน

    แต่บนร่างกายทุกคนยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันที่รุนแรงไม่ต่างกัน บุคคลที่เข้ามาในห้องนี้ได้ล้วนเป็นสุดยอดของทแกล้วทหารกล้าที่ร่วมเป็นร่วมตายกับผู้พันเดชามาหลายต่อหลายครั้งแล้วบนชุดเกราะไม่มีผู้ใดไม่เปราะเปื้อนไปด้วยเลือดสีเขียวของอริราชและเลือดสีแดงของเพื่อนทหารด้วยกัน

                น้ำเสียงอันเคร่งเครียดของแม่ทัพใหญ่ของศึกนี้เป็นสิ่งที่สร้างความตื่นตระหนกอย่างยิ่งถ้ามีใครมาได้ยินเข้าละก็ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องราวทั้งหมดที่ต้องเรียกประชุมในครั้งนี้

    กองหนุนจากทัพหลัก ถ้าจะมาก็คงมาถึงแล้ว ดังนั้นในเมื่อยังมาไม่ถึงก็คงไม่มาแล้วแน่นอน!!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×