คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 9 แผนการเผด็จศึก rev
ตอนที่ 9 แผนการเผด็จศึก
‘ผู้พันเดชาอยู่ที่ไหน’
คำถามที่ชาวบ้านกลุ่มอาสาปกป้องเมืองถามมากที่สุดในคำคืนนั้นก่อนที่จะแยกย้ายกันจากไป
ด้วยการคาดเดาคำตอบที่แตกต่างกันกันไปตามแต่ละคน
แต่สิ่งที่เหมือนกันก็ยังมีอยู่นั่นคือ คนส่วนใหญ่ล้วนมีเหตุผลที่ตนจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้อีกต่อไป
โดยปล่อยให้ชีวิตล้วนแล้วแต่โชคชะตา
คำถามนี้ต้องย้อนกลับไปหาคำตอบจากครั้งที่เหล่าผู้บุกเบิกตัดสินใจที่จะสร้างเมืองๆนี้ขึ้นมา
เนื่องจากเมืองแม่แดงที่หลายคนตั้งใจให้เป็นเมืองท่าสำคัญ ซึ่งมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
แต่เนื่องจากเป็นเมืองที่ไม่มีชัยภูมิในการป้องกันตัวเองดังนั้นสิ่งที่คนทั่วไปมันนึกไม่ถึงคือในเมื่อไม่มีชัยภูมิในการป้องกันการโจมตีจากภายนอกก็ควรอาศัยการโจมตีจากภายในโดยแสร้งปล่อยให้ศัตรูรุกล้ำเข้ามาในเขตเมืองและใช้ยุทธการกองโจรจู่โจมจากทำลายจากภายในแล้วขยายผลสู่ภายนอก
ลึกลงมาใต้ดินประมาณ 5 เมตรของตัวเมืองมีการสร้างอุโมงค์ลับสำหรับการเคลื่อนไหวที่เป็นความลับของกองทัพโดยการเฉพาะ
ช่องทางเดินไม่กว้างมากนักเพียงสำหรับ 3 คนเดินได้พร้อมกันเท่านั้น
เป็นชัยภูมิชั้นยอดในการใช้คนน้อยต้านคนมากในกรณีที่ศัตรูบุกเข้ามา
โครงสร้างอุโมงค์ทำจากไม้เป็นหลักมีการเสริมเหล็กบ้างเพื่อความแข็งแรงและป้องกันการถล่มลงมา
มีระบบระบายอากาศจากช่องลมที่มีอยู่ตามจุดทางออกต่างๆที่มีหลายสิบจุด
นอกจากนี้ยังมีอุโมงค์ทอดยาวไปถึงบริเวณนอกเมืองในช่วงเริ่มต้นการบุกเบิกแต่ปัจจุบันบริเวณนั้นก็กลายเป็นชานเมืองของเมืองแม่แดงใหม่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่าผู้พันเดชาและกองกำลังหลักอันประกอบด้วยทหารเก่าที่แม้จะมีไม่มากแต่ก็แข็งแกร่ง
นั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้
ที่บริเวณศูนย์กลางของระบบอุโมงค์นั้นขุดเจาะไว้เป็นห้องสำหรับประชุมสำคัญ
โดยอยู่ติดกับห้องสำหรับเก็บเสบียง อาวุธ และน้ำดื่ม
ที่เป็นหัวใจหลักของระบบอุโมงค์ ในตอนแรกเริ่มก่อนสร้างนั้นได้สร้างสถานที่นี้ขึ้นได้คิดไว้แล้วสำหรับกรณีที่ต้องหลบเข้ามาอยู่เป็นเวลานาน
ตอนนี้ที่ห้องนี้มีทหารเก่าที่เป็นระดับผู้นำทัพตั้งแต่นายร้อยขึ้นไปมาประชุมกัน
ตอนนี้เป็นเวลาราวเที่ยงคืนกว่าแล้วแต่เหล่าทหารชาญศึกทั้งหลายกลับไม่มีใครดูเหมือนจะง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิดกลับยังดู
คึกคัก ฮึกเหิม พร้อมที่จะออกไปจู่โจมอริราชศัตรูได้ทุกวินาที
ผู้พันเดชาขมวดคิ้ว พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ผมว่าวันนี้ มันบุกแน่!!
จังหวะที่ดีที่สุดคือตอนที่ไพร่พลกำลังระส่ำระสาย ถ้าเป็นผมนะ
ผมจะจู่โจมดุจฟ้าร้องไม่ทันอุดหู
บุกเข้ามายึดที่ว่าการกรมเมืองเอาเป็นจุดศูนย์กลางแล้ว
ค่อยตามเก็บกวาดพวกที่เล็ดรอดตามจุดต่างๆ ทั่วเมือง”
ผู้พันชี้นิ้วไปที่จุดกึ่งกลางซึ่งเป็นวงกลมและมีข้อความเขียนกำกับไว้ว่า
‘ที่ว่าการกรมเมือง’
แล้วจากนั้นลากนิ้วไปตามจุดสำคัญอื่นๆ เช่น คลังเสบียง คลังอาวุธ
แล้วก็ตามจุดที่อยู่อาศัยสำคัญต่างๆ
เหล่าแม่ทัพนายกองที่ชุมนุมกันอยู่ก็หนาววาบขึ้นมา
เพียงจินตนาการถึงแม้พวกเขายังไม่แพ้ในทันทีเนื่องจากศัตรูยังไม่ทราบว่าพวกเขามีอุโมงค์ลับเช่นนี้แต่ไม่นานต้องรู้แน่นอน
จากนั้นพวกมันก็จะบุกเข้ามาพวกเขาก็ทำได้เพียงเป็นฝ่ายตั้งรับเท่านั้น
“แล้วเราจะทำอย่างไรดีครับ” นายทหารยศร้อยเอกคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา
ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“มีใครมีความเห็นอะไรไหม” ผู้พันถามพลางมองไปที่ใบหน้าของเหล่าแม่ทัพ
นายกองที่ตอนนี้มีสีหน้ากังวลใจ
“ผู้พันครับกองหนุนจากท่านนายพลเลิศฤทธิ์
จะมาถึงเมื่อไรครับ” นายทหารที่หน้าตาสัตย์ซื่อคนหนึ่งเอ่ยปากถาม
ผู้พันเดชาพูดเสียงเรียบว่า “ร้อยเอก อานนท์
คุณเป็นคนชี้แจงเรื่องนี้แล้วกัน”
อานนท์นักธนูมือฉมังจากกองธนูยิงตะวันตบเท้าเบาเป็นการแสดงความเคารพแล้วยืดตัวขึ้นกล่าวว่า
“เรื่องนี้ผมให้ม้าเร็วส่งข่าวไปถึงท่านนายพลตั้งแต่เมื่อ
3 วันก่อน ที่ผมติดตามไปเจอพนามรณะที่ชายป่าตะวันตก
ผมคาดว่าอีกไม่เกิน 2-3 วันจากนี้กองหนุนจากทัพหลักน่าจะมาถึงครับผม”
นายทหารที่กำลังประชุมกันก็พยักหน้าออกมา แววตาหลายคนถึงกับทอประกายความหวังเออกมา
กำลังคนก็เป็นเรื่องสำคัญ ด้วยกำลังพล 300 คนแทบไม่มีความหวังที่สร้างความเสียหายให้ศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้เลย
“ท่านครับผมว่า
ถ้าตอนนี้ถ้าเรามองว่าเรามีกำลังพลหลัก 3 กองร้อยเพียงอย่างเดียว ผมว่าเราควรดำเนินการเรื่องเกี่ยวกับเรื่องความเข้าใจผิดของ
ร้อยเอกอานนท์ไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากถ้าเราแก้ได้ นอกจากเราจะมีกำลังพลเพิ่มขึ้น
แม้จะไม่ใช่ทัพแกร่ง แต่มดตัวเล็กในบางครั้งก็สามารถกัดช้างตายได้ถ้ามากพอ บางทีกองกำลังอาสาอาจจะสามารถทำอะไรได้เพิ่มขึ้น” นายทหารคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่มีจังหวะจะโคน
น่าฟังดูจากตรายศแล้วแสดงว่ามียศถึงพันตรีเสนอความคิด
ผู้พันนิ่งไปสักพักก็พยักหน้าให้พูดต่อไป
นายทหารคนนั้นจึงเสนอความคิดต่อ
“เจอหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ข่าวลือต้องสยบด้วยข่าวลือครับท่าน
ขอเพียงเราเอาข่าวลือที่ดูมีเค้าความจริงมากกว่า มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือมากกว่า
เพียงไม่นานก็จะสามารถสยบข่าวลือด้านลบได้ ถ้าเราใส่สีตีไข่มากพอ อาจได้ผลลัพธ์มากกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ”
ผู้พันเดชาหลับตาลงครุ่นคิดในความจริงเขาก็เคยคิดที่จะใช้วิธีนี้แต่ยังตัดสินใจไม่ได้
ผู้คนส่วนใหญ่ที่รู้จักผู้พันเดชาจะรู้ว่า ท่านเป็นคนตรงคนหนึ่ง
เรื่องการใส่สีตีไข่ใส่ร้ายผู้คน หรือประจบสอพลอในชีวิตไม่เคยทำมาก่อน
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่มีความสามารถสูงขนาดนี้ถึงอยู่เพียงตำแหน่งแค่ยศพันโท
แต่ด้วยการที่เป็นคนเช่นนี้บารมีของผู้พันในกองทัพด้วยกันแล้ว
แม้แต่นายทหารระดับนายพลบางคนก็ยังเกรงใจเขาอยู่ 2-3 ส่วน
ความเงียบปกคลุมในที่สุดผู้พันก็เอ่ย
ปากออกมา “ท่านเสนาธิการ
ท่านรับหน้าที่นี้ไปดำเนินการให้เร็วที่สุดแล้วก็
ในเมื่อพวกมันดำเนินอุบายเช่นนี้กับเราก่อน เราก็ไม่มีทางเลือก เสร็จประชุมท่านรีบไปดำเนินการทันที”
นายทหารคนนั้นตอบรับ ขณะที่นายทหารคนอื่นๆ ต้องลอบถอนหายใจโล่งอกไปตามกันเพราะใครก็เดาใจผู้พันไม่ออก
ว่าท่านจะยอมเล่นเกมส์สกปรกแบบนี้หรือไม่
“ต่อไปงั้นปัญหาเฉพาะหน้าเราจะทำอย่างไร” ผู้พันเดชานำทุกคนเข้าสู่ประเด็นใหม่
ที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า ผู้พันหยุดพูดนิดนึงแล้วก็พูดต่อไป
“ตอนนี้ปัญหาเฉพาะหน้าหนึ่งคือการเข้าควบคุมเมืองให้เบ็ดเสร็จ
สองคือการตอบโต้กลับไปหลังกองทัพเสริมจากทัพหลักเข้ามาสนับสนุน
ใครมีความเห็นอะไรมั๊ย” ผู้พันคนเดิมพูดต่อ
ต่อมาร้อยเอกอานนท์เสนอความคิดของตนเองออกมาเป็นครั้งแรก
“ผมเห็นว่าเราควรล่อพวกมันเข้ามาในเมืองให้หมดครับท่าน” คำพูดเช่นนี้กลับทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมา
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อไปว่า
“ผมเห็นว่าเราควรล่อพวกมันเข้าเมืองมาให้มากที่สุดจากนั้น
ปิดประตูเมือง แล้วจุดเผาเมือง จากนั้นพวกเราฮือกันออกไปฆ่าพวกมันให้หมด!! ครับท่าน”
คำพวกนี้สร้างความตื่นตระหนกระคนโมโหโกรธาแก่เหล่าแม่ทัพที่ดูแลเมืองยิ่งนัก
หน้าที่ของแม่ทัพประจำเมืองคือดูแลเมือง แต่กลับทำลายเมืองซะเอง
เหมือนเป็นเจ้าของบ้านแต่พอโจรขึ้นบ้านก็เผาบ้านตัวเอง
ทำลายทิ้งนั้นง่ายดายเพียงพริบตา แต่การสร้างขึ้นมากลับต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมากนัก
แม่ทัพหลายคนก็อยู่มาตั้งแต่
เมืองมีประชากรไม่กี่ร้อยคนจนกระทั่ง ปัจจุบันที่มีหลายพันคนย่อมไม่อาจหักใจได้ นี้เป็นความปั่นป่วนที่รุนแรงครั้งแรกตั้งแต่เริ่มประชุมมาตั้งแต่หัวค่ำ
แม่ทัพหลายคนถลึงตาใส่ ร้อยเอกอานนท์อย่างไม่ไว้หน้าทันที
ถึงกับมีเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมาในที่ประชุม
ร้อยเอกอานนท์กลับนิ่งเงียบจ้องตาผู้พันเดชาแน่วแน่
แม่ทัพหลายเริ่มส่งเสียงสบถ ออกมาเบาๆ แต่ร้อยเอกอานนท์ก็ได้ยินชัดเจน เขานิ่งเงียบรอคำตอบ
แม่ทัพหลายคนเริ่มผลัดกันแสดงความเห็นที่หลากหลายแต่เหมือนว่าไม่มีความคิดไหนที่ดูเข้าท่าเท่าไร
ผู้พันเดชาหลับตาลงดูสงบนิ่งอย่างประหลาดเหมือนความสงบก่อนลมพายุที่กับตันเรือต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ
การตัดสินใจที่มีความเป็นความตายเป็นเดิมพัน สรรพเสียงคล้ายขาดห้วง เมื่อมือของแม่ทัพใหญ่กำขึ้นมาเป็นสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
เหล่าแม่ทัพทุกคนก็เงียบเสียงลงรอการตัดสินใจของแม่ทัพใหญ่
ดวงตาที่เผยอขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมขึ้นมา
ผู้พันเดชาสาดประกายตาที่แหลมคมดุจหอกแหลม สร้างความกดดันจนผู้คนอึดอัดแทบตาย ประกายตาเช่นนี้มีเพียงแม่ทัพคนสนิทที่ผ่านสมรภูมิเลือดมาด้วยกันเท่านั้นจะเคยเห็น
เพราะเป็นประกายตาที่เกิดขึ้นหลังการตัดสินใจที่เด็ดขาดอย่างหนึ่ง
แม้แต่ร้อยเอกอานนท์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอำมหิต
เยือกเย็น ยังอดหนาวสันหลังวาบไม่ได้ เหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาตามแผ่นหลังแม้อากาศจะร้อนอบอ้าวก็ตาม
บรรยากาศที่เกิดจากการตัดสินใจอันเด็ดเดียวของบุรุษที่ผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนมีความเด็ดเดียวที่ประมาทไม่ได้
การตัดสินใจครั้งสำคัญ เกิดขึ้นในใจของผู้พันเดชาแล้ว !
ความคิดเห็น