ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Seven Kingdoms: Quest of no man land (เวอร์ชั่นเก่า)

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 9 แผนการเผด็จศึก rev

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ย. 60


    ตอนที่ 9 แผนการเผด็จศึก

     

                ผู้พันเดชาอยู่ที่ไหน

    คำถามที่ชาวบ้านกลุ่มอาสาปกป้องเมืองถามมากที่สุดในคำคืนนั้นก่อนที่จะแยกย้ายกันจากไป ด้วยการคาดเดาคำตอบที่แตกต่างกันกันไปตามแต่ละคน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็ยังมีอยู่นั่นคือ คนส่วนใหญ่ล้วนมีเหตุผลที่ตนจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้อีกต่อไป โดยปล่อยให้ชีวิตล้วนแล้วแต่โชคชะตา

                คำถามนี้ต้องย้อนกลับไปหาคำตอบจากครั้งที่เหล่าผู้บุกเบิกตัดสินใจที่จะสร้างเมืองๆนี้ขึ้นมา เนื่องจากเมืองแม่แดงที่หลายคนตั้งใจให้เป็นเมืองท่าสำคัญ ซึ่งมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ

    แต่เนื่องจากเป็นเมืองที่ไม่มีชัยภูมิในการป้องกันตัวเองดังนั้นสิ่งที่คนทั่วไปมันนึกไม่ถึงคือในเมื่อไม่มีชัยภูมิในการป้องกันการโจมตีจากภายนอกก็ควรอาศัยการโจมตีจากภายในโดยแสร้งปล่อยให้ศัตรูรุกล้ำเข้ามาในเขตเมืองและใช้ยุทธการกองโจรจู่โจมจากทำลายจากภายในแล้วขยายผลสู่ภายนอก

                ลึกลงมาใต้ดินประมาณ 5 เมตรของตัวเมืองมีการสร้างอุโมงค์ลับสำหรับการเคลื่อนไหวที่เป็นความลับของกองทัพโดยการเฉพาะ ช่องทางเดินไม่กว้างมากนักเพียงสำหรับ 3 คนเดินได้พร้อมกันเท่านั้น

    เป็นชัยภูมิชั้นยอดในการใช้คนน้อยต้านคนมากในกรณีที่ศัตรูบุกเข้ามา โครงสร้างอุโมงค์ทำจากไม้เป็นหลักมีการเสริมเหล็กบ้างเพื่อความแข็งแรงและป้องกันการถล่มลงมา มีระบบระบายอากาศจากช่องลมที่มีอยู่ตามจุดทางออกต่างๆที่มีหลายสิบจุด

    นอกจากนี้ยังมีอุโมงค์ทอดยาวไปถึงบริเวณนอกเมืองในช่วงเริ่มต้นการบุกเบิกแต่ปัจจุบันบริเวณนั้นก็กลายเป็นชานเมืองของเมืองแม่แดงใหม่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น

                แน่นอนว่าผู้พันเดชาและกองกำลังหลักอันประกอบด้วยทหารเก่าที่แม้จะมีไม่มากแต่ก็แข็งแกร่ง นั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้

                ที่บริเวณศูนย์กลางของระบบอุโมงค์นั้นขุดเจาะไว้เป็นห้องสำหรับประชุมสำคัญ โดยอยู่ติดกับห้องสำหรับเก็บเสบียง อาวุธ และน้ำดื่ม ที่เป็นหัวใจหลักของระบบอุโมงค์ ในตอนแรกเริ่มก่อนสร้างนั้นได้สร้างสถานที่นี้ขึ้นได้คิดไว้แล้วสำหรับกรณีที่ต้องหลบเข้ามาอยู่เป็นเวลานาน ตอนนี้ที่ห้องนี้มีทหารเก่าที่เป็นระดับผู้นำทัพตั้งแต่นายร้อยขึ้นไปมาประชุมกัน

                ตอนนี้เป็นเวลาราวเที่ยงคืนกว่าแล้วแต่เหล่าทหารชาญศึกทั้งหลายกลับไม่มีใครดูเหมือนจะง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิดกลับยังดู คึกคัก ฮึกเหิม พร้อมที่จะออกไปจู่โจมอริราชศัตรูได้ทุกวินาที

    ผู้พันเดชาขมวดคิ้ว พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า

    ผมว่าวันนี้ มันบุกแน่!! จังหวะที่ดีที่สุดคือตอนที่ไพร่พลกำลังระส่ำระสาย ถ้าเป็นผมนะ ผมจะจู่โจมดุจฟ้าร้องไม่ทันอุดหู บุกเข้ามายึดที่ว่าการกรมเมืองเอาเป็นจุดศูนย์กลางแล้ว ค่อยตามเก็บกวาดพวกที่เล็ดรอดตามจุดต่างๆ ทั่วเมือง

    ผู้พันชี้นิ้วไปที่จุดกึ่งกลางซึ่งเป็นวงกลมและมีข้อความเขียนกำกับไว้ว่า ที่ว่าการกรมเมือง แล้วจากนั้นลากนิ้วไปตามจุดสำคัญอื่นๆ เช่น คลังเสบียง คลังอาวุธ แล้วก็ตามจุดที่อยู่อาศัยสำคัญต่างๆ

    เหล่าแม่ทัพนายกองที่ชุมนุมกันอยู่ก็หนาววาบขึ้นมา เพียงจินตนาการถึงแม้พวกเขายังไม่แพ้ในทันทีเนื่องจากศัตรูยังไม่ทราบว่าพวกเขามีอุโมงค์ลับเช่นนี้แต่ไม่นานต้องรู้แน่นอน จากนั้นพวกมันก็จะบุกเข้ามาพวกเขาก็ทำได้เพียงเป็นฝ่ายตั้งรับเท่านั้น

    แล้วเราจะทำอย่างไรดีครับนายทหารยศร้อยเอกคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

    มีใครมีความเห็นอะไรไหมผู้พันถามพลางมองไปที่ใบหน้าของเหล่าแม่ทัพ นายกองที่ตอนนี้มีสีหน้ากังวลใจ

    ผู้พันครับกองหนุนจากท่านนายพลเลิศฤทธิ์ จะมาถึงเมื่อไรครับนายทหารที่หน้าตาสัตย์ซื่อคนหนึ่งเอ่ยปากถาม

    ผู้พันเดชาพูดเสียงเรียบว่า ร้อยเอก อานนท์ คุณเป็นคนชี้แจงเรื่องนี้แล้วกัน

    อานนท์นักธนูมือฉมังจากกองธนูยิงตะวันตบเท้าเบาเป็นการแสดงความเคารพแล้วยืดตัวขึ้นกล่าวว่า

    เรื่องนี้ผมให้ม้าเร็วส่งข่าวไปถึงท่านนายพลตั้งแต่เมื่อ 3 วันก่อน ที่ผมติดตามไปเจอพนามรณะที่ชายป่าตะวันตก ผมคาดว่าอีกไม่เกิน 2-3 วันจากนี้กองหนุนจากทัพหลักน่าจะมาถึงครับผม

    นายทหารที่กำลังประชุมกันก็พยักหน้าออกมา แววตาหลายคนถึงกับทอประกายความหวังเออกมา กำลังคนก็เป็นเรื่องสำคัญ ด้วยกำลังพล 300 คนแทบไม่มีความหวังที่สร้างความเสียหายให้ศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้เลย

                ท่านครับผมว่า ถ้าตอนนี้ถ้าเรามองว่าเรามีกำลังพลหลัก 3 กองร้อยเพียงอย่างเดียว ผมว่าเราควรดำเนินการเรื่องเกี่ยวกับเรื่องความเข้าใจผิดของ ร้อยเอกอานนท์ไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากถ้าเราแก้ได้ นอกจากเราจะมีกำลังพลเพิ่มขึ้น แม้จะไม่ใช่ทัพแกร่ง แต่มดตัวเล็กในบางครั้งก็สามารถกัดช้างตายได้ถ้ามากพอ บางทีกองกำลังอาสาอาจจะสามารถทำอะไรได้เพิ่มขึ้นนายทหารคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่มีจังหวะจะโคน น่าฟังดูจากตรายศแล้วแสดงว่ามียศถึงพันตรีเสนอความคิด ผู้พันนิ่งไปสักพักก็พยักหน้าให้พูดต่อไป

                นายทหารคนนั้นจึงเสนอความคิดต่อ

    เจอหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ข่าวลือต้องสยบด้วยข่าวลือครับท่าน ขอเพียงเราเอาข่าวลือที่ดูมีเค้าความจริงมากกว่า มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือมากกว่า เพียงไม่นานก็จะสามารถสยบข่าวลือด้านลบได้ ถ้าเราใส่สีตีไข่มากพอ อาจได้ผลลัพธ์มากกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ

                ผู้พันเดชาหลับตาลงครุ่นคิดในความจริงเขาก็เคยคิดที่จะใช้วิธีนี้แต่ยังตัดสินใจไม่ได้

    ผู้คนส่วนใหญ่ที่รู้จักผู้พันเดชาจะรู้ว่า ท่านเป็นคนตรงคนหนึ่ง เรื่องการใส่สีตีไข่ใส่ร้ายผู้คน หรือประจบสอพลอในชีวิตไม่เคยทำมาก่อน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่มีความสามารถสูงขนาดนี้ถึงอยู่เพียงตำแหน่งแค่ยศพันโท

    แต่ด้วยการที่เป็นคนเช่นนี้บารมีของผู้พันในกองทัพด้วยกันแล้ว แม้แต่นายทหารระดับนายพลบางคนก็ยังเกรงใจเขาอยู่ 2-3 ส่วน

                ความเงียบปกคลุมในที่สุดผู้พันก็เอ่ย ปากออกมา ท่านเสนาธิการ ท่านรับหน้าที่นี้ไปดำเนินการให้เร็วที่สุดแล้วก็ ในเมื่อพวกมันดำเนินอุบายเช่นนี้กับเราก่อน เราก็ไม่มีทางเลือก เสร็จประชุมท่านรีบไปดำเนินการทันที

    นายทหารคนนั้นตอบรับ ขณะที่นายทหารคนอื่นๆ ต้องลอบถอนหายใจโล่งอกไปตามกันเพราะใครก็เดาใจผู้พันไม่ออก ว่าท่านจะยอมเล่นเกมส์สกปรกแบบนี้หรือไม่

                ต่อไปงั้นปัญหาเฉพาะหน้าเราจะทำอย่างไรผู้พันเดชานำทุกคนเข้าสู่ประเด็นใหม่ ที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า ผู้พันหยุดพูดนิดนึงแล้วก็พูดต่อไป

                ตอนนี้ปัญหาเฉพาะหน้าหนึ่งคือการเข้าควบคุมเมืองให้เบ็ดเสร็จ สองคือการตอบโต้กลับไปหลังกองทัพเสริมจากทัพหลักเข้ามาสนับสนุน ใครมีความเห็นอะไรมั๊ยผู้พันคนเดิมพูดต่อ

                ต่อมาร้อยเอกอานนท์เสนอความคิดของตนเองออกมาเป็นครั้งแรก ผมเห็นว่าเราควรล่อพวกมันเข้ามาในเมืองให้หมดครับท่านคำพูดเช่นนี้กลับทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมา เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อไปว่า

                ผมเห็นว่าเราควรล่อพวกมันเข้าเมืองมาให้มากที่สุดจากนั้น ปิดประตูเมือง แล้วจุดเผาเมือง จากนั้นพวกเราฮือกันออกไปฆ่าพวกมันให้หมด!! ครับท่าน

                คำพวกนี้สร้างความตื่นตระหนกระคนโมโหโกรธาแก่เหล่าแม่ทัพที่ดูแลเมืองยิ่งนัก หน้าที่ของแม่ทัพประจำเมืองคือดูแลเมือง แต่กลับทำลายเมืองซะเอง เหมือนเป็นเจ้าของบ้านแต่พอโจรขึ้นบ้านก็เผาบ้านตัวเอง ทำลายทิ้งนั้นง่ายดายเพียงพริบตา แต่การสร้างขึ้นมากลับต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมากนัก

    แม่ทัพหลายคนก็อยู่มาตั้งแต่ เมืองมีประชากรไม่กี่ร้อยคนจนกระทั่ง ปัจจุบันที่มีหลายพันคนย่อมไม่อาจหักใจได้ นี้เป็นความปั่นป่วนที่รุนแรงครั้งแรกตั้งแต่เริ่มประชุมมาตั้งแต่หัวค่ำ แม่ทัพหลายคนถลึงตาใส่ ร้อยเอกอานนท์อย่างไม่ไว้หน้าทันที ถึงกับมีเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมาในที่ประชุม

                ร้อยเอกอานนท์กลับนิ่งเงียบจ้องตาผู้พันเดชาแน่วแน่ แม่ทัพหลายเริ่มส่งเสียงสบถ ออกมาเบาๆ แต่ร้อยเอกอานนท์ก็ได้ยินชัดเจน เขานิ่งเงียบรอคำตอบ แม่ทัพหลายคนเริ่มผลัดกันแสดงความเห็นที่หลากหลายแต่เหมือนว่าไม่มีความคิดไหนที่ดูเข้าท่าเท่าไร

                ผู้พันเดชาหลับตาลงดูสงบนิ่งอย่างประหลาดเหมือนความสงบก่อนลมพายุที่กับตันเรือต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ การตัดสินใจที่มีความเป็นความตายเป็นเดิมพัน สรรพเสียงคล้ายขาดห้วง เมื่อมือของแม่ทัพใหญ่กำขึ้นมาเป็นสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เหล่าแม่ทัพทุกคนก็เงียบเสียงลงรอการตัดสินใจของแม่ทัพใหญ่

                ดวงตาที่เผยอขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมขึ้นมา ผู้พันเดชาสาดประกายตาที่แหลมคมดุจหอกแหลม สร้างความกดดันจนผู้คนอึดอัดแทบตาย ประกายตาเช่นนี้มีเพียงแม่ทัพคนสนิทที่ผ่านสมรภูมิเลือดมาด้วยกันเท่านั้นจะเคยเห็น เพราะเป็นประกายตาที่เกิดขึ้นหลังการตัดสินใจที่เด็ดขาดอย่างหนึ่ง

    แม้แต่ร้อยเอกอานนท์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอำมหิต เยือกเย็น ยังอดหนาวสันหลังวาบไม่ได้ เหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาตามแผ่นหลังแม้อากาศจะร้อนอบอ้าวก็ตาม

    บรรยากาศที่เกิดจากการตัดสินใจอันเด็ดเดียวของบุรุษที่ผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนมีความเด็ดเดียวที่ประมาทไม่ได้

                 การตัดสินใจครั้งสำคัญ เกิดขึ้นในใจของผู้พันเดชาแล้ว !  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×