คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 7 เรื่องราวของป่ากับเมือง rev
ตอนที่ 7 เรื่องราวของป่ากับเมือง
สาวน้อยตัวเล็กในชุดผู้เล่นใหม่วิ่งกระต๊อกกระแต๊กเข้าเมืองอย่างรีบร้อน
เธอกำลังต้องการที่จะหาสมุนไพร หรืออาจเป็น
ยาแก้ฟกช้ำและบำรุงร่างกายสำหรับสมาชิกใหม่แบบชั่วคราวในบ้านของเธอ
พลอยใสมองหาไปรอบๆ เมืองซึ่งเธอก็แปลกใจที่ตอนนี้ในเมืองดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นวายอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ผู้คนวิ่งกันไปมาอย่างวุ่นวาย บ้างก็ขนข้าวของ บ้างก็ตะโกนโหวกเหวก
‘เอ๋ เกิดอะไรขึ้นนะ ตั้งแต่เข้ามาในโลกของ
Seven
Kingdoms ยังไม่เคยเจอวันไหนที่เมืองดูยุ่งเหยิ่งขนาดนี้เลย
พวกพี่ๆ ทหารหายไปไหนกันหมดนะ’ พลอยใสแอบสงสัยเล็กๆ
ขึ้นมาในใจขณะที่กำลังวิ่งหาร้านขายสมุนไพร
ไม่นาน เธอก็เจอแผงลอยขายสมุนไพรเล็กๆ
ที่ดูเหมือนกำลังจะรีบร้อนเก็บแผง “คุณอา
มีสมุนไพร หรือพวกยาแก้ฟกช้ำมั๊ยค๊ะ” เธอรีบถาม
คุณอาที่พลอยใสเรียกหาหันหน้ากลับมาอย่างตกใจ
หน้าตาเขามีเค้าความกังวลอย่างชัดเจนปรากฎแต่พลอยใสคล้ายมีตัวอักษรเขียนอยู่บนใบหน้าก็ไม่ปาน
“มี มี เอานี้แล้วก็รีบๆ ไปซะสมุนไพรตัวนี้น่ะ
เอาไปต้มกับน้ำแร่จากภูเขาเหล็กนะ กินวันละ 2 ครั้ง แก้ฟกช้ำ บาดเจ็บภายในได้
กินต่อเนื่อง 3 วัน 5 วันก็ดีขึ้นเอง เอาเยอะมั๊ย” เขาถาม
“กินคนเดียวคะ”
เขารีบตอบ “เอ้า 5 เหรียญเงิน” พลางหยิบสมุนไพรที่เก็บไปแล้วออกมาจากย่ามอันใหญ่
เอามาผสมกันลวกๆ แล้วยื่นสมุนไพรที่มี 2-3 อย่างรวมกันให้พลอยใสห่อหนึ่ง เมื่อได้รับเงินแล้วก็ไม่สนใจสาวน้อยอีกรีบหันกลับไปเก็บของต่อ
“ขอบคุณค่ะ
ต้มทีเดียวหมดเลยใช่มั๊ยคะ” เธอรีบถามก่อนที่
คนที่เธออนุมานเป็นคุณอาจะไปซะก่อน
“แบ่งสิหนู แบ่งเอาเองเลย” เขาตอบแบบปัดรังควาญ
หากใครได้ยินก็คงจะหงุดหงิด แต่พลอยใสกลับไม่จำใส่ใจกล่าวขอบคุณและรีบจากมา
พลางมองไปรอบๆ เห็นสภาพที่พ่อค้าแม่ค้าต่างเร่งรีบเก็บของก็อดถามพ่อค้าสมุนไพรที่ไม่เป็นมิตรอีกซักคำไม่ได้
“คุณอา ค่ะ
ที่นี้เกิดอะไรขึ้นทำไมคุณอาต้องรีบเก็บของไปด้วย แล้วทหารไปไหนแล้วละค่ะ” สภาพแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้เหมือนกำลังจะเกิดเรื่องอะไรซักอย่าง
ที่ร้ายแรงสุดๆ
คำตอบสั้น แต่ทำให้พลอยใสถึงกับสะดุ้ง
“คุณหนู อาคงบอกอะไรไม่ได้มาก แต่วงในบอกมาว่า กำลังจะเกิดสงคราม แน่นอนมีสงครามก็ต้องมีคนตาย
ขอแค่คนตายไม่ใช่อาก็พอแล้วละ งั้นอาไปก่อนละ” พ่อค้าไม่รีรอยัดทุกอย่างใส่ย่ามใบใหญ่
กระโดดเหย่งๆ แล้วรีบวิ่งออกจากเมืองไปทางทิศเหนือในบัดดล พร้อมกันพ่อค้า แม่ค้าอีกหลายคน
พลอยใสอดตื่นตระหนกไปกับคำตอบของพ่อค้าไม่ได้ ถึงเธอจะเป็นคนขี้ตกใจแต่ก็ไม่ใช่กระต่ายตื่นตูม
ตอนนี้รอบข้างผู้คนเริ่มทะยอยเดินทางออกจากเมืองกันอย่างเร่งรีบ
พลอยใสยืนนิ่งๆ สงบใจซักพัก เมื่อใจเริ่มเย็น เธอก็ตัดสินใจที่จะเดินไปดูทางหนีทีไล่ให้แน่ชัด
อย่างน้อยก่อนกลับไปเธอก็ต้องถามให้ได้ว่าใครจะทำสงครามกับใครและมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทำไมเมืองที่แสนสงบสุขแบบนี้ถึงเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นได้ เมืองแม่แดงเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์
แม้แต่เด็กอมมือก็ยังทราบ ทางเมืองหลวงจะปล่อยปละละเลยได้อย่างไร
ผู้คนส่วนใหญ่เดินออกจากเมืองทางประตูเมืองทิศเหนือทำให้ที่บริเวณประตูเมืองทิศเหนือมีเสียงผู้คนดังอึงคะนึงอย่างยิ่ง
หลังการสอบถามพลอยใสก็ทราบว่า ถ้าเดินเลียบตามแม่น้ำไป เดินไม่ถึง 10 วันก็สามารถที่จะไปถึงเมืองหลวงของภูมิภาคนี้ได้
ว่ากันว่าที่เมืองนั้นมีทหารรักษาเมืองมากถึงหมื่นคน มีกำแพงเมืองสูงเท่าตึก 8 ชั้น มียุทโธปกรณ์ครบครัน มีวัดวาอารามวิจิตรสวยงาม
รวมถึงมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ และมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เธอฟังจนเพลินจนแทบลืมไปว่าเธอตั้งใจจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสงครามนี่นา
พลอยใสถาม คนโน่นคนนี้ ไปไปมามาก็เดินซอกแซกไปตามตรอกซอกซอยจนในที่สุดก็
มาถึงบริเวณประตูเมืองด้านตะวันตก
ซึ่งเธอก็เริ่มที่จะเห็นมีทหารประจำเมืองเดินลาดตระเวนกันขวักไขว่ ข้างๆ บ้านหลังหนึ่งมีทหารที่ดูยังหนุ่มยืนยามประจำอยู่คนหนึ่งด้วยท่าทางแข็งขัน
พลอยใสจึงเดินเข้าไปหา
ทหารคนนั้นเห็นพลอยใสเดินมาก็ ชิงกล่าวว่า “เออ คุณครับเข้าไปไม่ได้แล้วนะครับ
มันอันตรายขอให้เดินออกไปบริเวณด้านอื่นแทนครับ”
“อ่อ เปล่าคะ
หนูแค่อยากจะสอบถามหน่อยนะคะ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอคะ ใครจะทำสงครามกับใครอะไรหรอคะ” พลอยใสถามไปตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม
ทหารหนุ่มขมวดคิ้วไม่กล้าตอบคำถามจึงกล่าวว่า “เออ เดี๋ยวต้องให้หัวหน้าหน่วยผมเป็นคนตอบแทนดีกว่าครับ
รอสักครู่หนึ่งครับ”
มีชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบเศษ สวมเกราะหนักสีเงินที่ห้อยดาบเหมือนทหารไทยโบราณที่เอว
เดินผ่านมาพร้อมทหารใส่เกราะอ่อนสีดำสี่คน ที่มีดาบเล่มใหญ่เงาวับกับโล่กลมที่ดูเหมือนจะทำจากเหล็กเดินอารักขา
เสียงตบเท้าของทหารหนุ่มดัง ตึก! ทหารหนุ่มยกมือแสดงความเคารพ
แล้วแจ้งเรื่องที่หญิงสาวสงสัยอย่างจริงจังไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
กล่าวตามจริงก็คือเขายังไม่ทราบว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูดจึงรอให้หัวหน้าเป็นคนมาแก้ปัญหาให้
พลอยใสถึงกับแอบหน้าแดง แอบคิดในใจว่า ‘แหม
แค่เกมส์ทำไมต้องแสดงความเคารพให้สมจริงขนาดนี้ด้วย เค้าไม่เขินกันบ้างหรอ ถ้าเป็นเราก็คงเขินแย่’ แต่ความจริงที่เธอยังไม่รู้อีกข้อหนึ่งคือ
เขาเป็นทหารจริงและชายวัยกลางคนก็เป็นผู้บังคับบัญชาตัวจริงของเขาซะด้วย!
หัวหน้าที่มาใหม่หลังได้ยินคำถามก็ยิ้มบางๆ พร้อมกับพูดขึ้นกับสาวน้อยว่า
“สัตว์อสูรจะบุกเมืองนะครับ ทางที่ดีผมแนะนำว่าคุณควรจะรีบไปซะ
ไม่งั้นอาจจะโดนลูกหลงได้และที่สำคัญอาจทำให้เราทำงานไม่สะดวกด้วย” เขาเชิญออกอย่างสุภาพ แต่ดูเหมือนเธอจะยังไม่ยินยอม
“สัตว์อสูรน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอคะ พี่ทหารมีกันตั้งหลายร้อยคนไม่เห็นต้องกลัวมันเลยนิค่ะ
ทำไมต้องย้ายคน หรือพูดให้คนกลัวจนต้องหนีออกจากเมืองด้วยละค่ะ” พลอยใสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาใสซื่อแต่จริงจังของเธอใครมาเห็นเข้าก็คงจะถึงกับใจอ่อนแต่เสียดายที่ไม่ใช่หัวหน้าหน่วยคนนี้
คิ้วของ เขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจากนั้นกล่าวว่า “เฮ้อ
ขออภัยนะครับยังไงสถานการณ์ตอนนี้ ก็ยังอันตราย ผมอยากให้คุณออกไปจากบริเวณนี้ก่อนนะครับ
อาจจะแค่ไปหลบอยู่นอกเมืองหรือถ้าอยู่ในเมืองก็ต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักอาศัย ผมขอตัวก่อนนะครับ
อ่อ ที่ผมพูดไปก็เพื่อตัวคุณเองนะครับ”
นายทหารหนุ่มพูดเรียบๆ แต่เหมือนออกคำสั่ง ก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับเสียงตบเท้าแสดงความเคารพของทหารหนุ่มผู้แข็งขันอีกครั้ง
หลังหัวหน้าหน่อยเดินจากไปเขาฝืนยิ้มกล่าวว่า
“ขออภัยในความไม่สะดวกนะครับ
รายละเอียดอื่นผมก็ไม่ทราบ ถึงต่อให้ทราบก็ไม่สามารถแจ้งได้ เอาเป็นว่าอันตรายแล้วกันนะครับคุณผู้หญิง
ขอให้คุณจากออกไปก่อนนะครับ” พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
ดูเหมือนเขาจะรู้บางอย่างแต่คงไม่มีทางที่จะให้คนนอกอย่างเธอได้รู้แน่นอน
แม้พลอยใสจะยังไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างไรก็ตามก็ต้องยอมถอยหลังก้าวหนึ่ง
กล่าวขอบคุณอย่างแผ่วเบา แล้วรีบวิ่งฉิวกลับบ้านไปส่งข่าวที่ยังคลุมเครือ
ทหารหนุ่มฝืมยิ้มคราหนึ่งส่งสาวน้อยที่สดใสจนหายลับไปกับสายตา
ประมาณ 20 นาทีต่อมา พลอยใสก็กลับมาถึงบ้านดูเหมือนชายหนุ่มที่ช่วยไว้จะฟื้นมาแล้วกำลังพยายามที่จะลุกขึ้นแต่ดูเหมือนจะเจ็บปวดน่าดู
พลอยใสรีบวางห่อยาแล้วรีบเข้าไปประคอง
“นี้นายเพิ่งโดนอัดมานะ อยู่นิ่งๆ ไม่เป็นหรือไง” พลอยใสบ่นพลางจับหัวเขานอนลง
“ทะ ทะ ที่ นะ นี่....ที่ ไหน” ต้นพูดอย่างอ่อนแรง
นี้คงเป็นคำถามที่เขาอยากรู้ที่สุดหลังผ่านการเคี่ยวกร่ำด้วยความฝันที่น่ากลัวมาหลายชั่วโมง
ถึงเรื่องซ้ำๆ นักดาบคนหนึ่งกับเลือดสีเขียวที่เหม็นสาบจนติดจมูก
“บ้านชั้นเอง” เสียงอีกเสียงหนึ่งตอบแทน
ดูเหมือนเธอก็จะไปตักน้ำมาเรียบร้อยแล้ว พลอยใสหันกลับไปมองแล้วยักคิ้วให้เป็นความหมายว่าเธอก็ทำเรียบร้อยแล้วใช่มั๊ย
หันกลับไปไอ้หนุ่มที่อ่อนแอของเธอก็สลบไปอีกรอบนึงแล้ว
ธิดาทรายพยักหน้าตอบ พลันถามว่า “อือ แล้วในเมืองเกิดอะไรขึ้น
ทำไมชั้นเหมือนเห็นคนออกจากเมืองเต็มไปหมดเลย แล้วก็มีเสียงอึกทึกวุ่นวายไปหมด”
“เห็นเขาบอกจะสัตว์อสูรจะบุกเมืองเลยให้คนรีบออกมา
เดี๋ยวจะขวางมือขวางเท้าพวกเขา คือ หมายถึงทหารน่ะ เขาเลยไล่เราออกมา” พลอยใสประชดประชัน
“สัตว์บ้าที่ไหนจะสู้พวกผู้พันเดชาได้เขาเก่งจะตาย
ให้ตายเถอะพวกเค้ากำลังทำอะไรกันแน่นะ” ธิดาทรายร้องออกมาด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สงสัย กองทัพกระต่ายปีศาจ
หูเท่าช้าง ขาเท่าม้า มีเขี้ยวยาวลากดิน อิอิ และมีหัวเป็นแมวเหมียวกำลังจะโจมตีเมืองแม่แดงเพื่อแย่งตุ๊กตาจากเด็กสามขวบที่เผลอไปขโมยมาจากราชาของพวกมัน” พลอยใสพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาทตอบกลับมา
“โอ๊ย คุยกับเธออีก
ปีนึงก็ไม่รู้เรื่อง” เธอสองคนคุยเล่นกันไปมาอย่างสนุกสนานอีกครู่หนึ่ง
จากนั้นก็แบ่งงานกัน พลอยใสเอายาไปต้ม ส่วนธิดาทรายก็ไปเช็ดตัวให้แขกคนแรกของบ้านหลังนี้
หารู้ไม่ว่าบรรยากาศอันแสนสุขในบ้านหลังเล็กๆ กำลังจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ณ
ใจกลางที่มืดมิดของป่าลึกทางทิศตะวันตกของเมืองแม่แดง
กองทัพสีเขียวราวกับกองทัพจากนรกกำลังเคลื่อนที่
“ก๊าซซซ” เสียงแหลมที่แหบพร่าได้ดังขึ้นเหมือนเป็นการส่งสัญญาณต่อกัน
เสียงดังขึ้นต่อเนื่องและส่งต่อไปไกลหลายร้อยเมตร มีเงาตะครุ่มที่กำลังเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า
ขนาดตัวที่สูงใหญ่กับร่างกายที่ดูกำยำ
สีเขียวเข้มสาดแสงออกมาจากดวงตาที่อยู่สูงกว่าห้าเมตร
ก้ามที่ใหญ่และแหลมคมราวกับผ่านการขัดถูราวของรักของหวงมานานชั่วชีวิตส่องประกายวิบวับดูลึกลับเย็นเยียบ
แน่นอนจะเป็นอะไรไปไม่ได้
นอกจากพนามรณะ เจ้าแห่งพงไพร ที่อานนท์เคยกล่าวถึง
แต่ว่าสิ่งที่เห็นตอนนี้มันมากมายสุดจะนับได้ พวกมันมีนับพันตัว
แต่ละตัวกำยำแข็งแรง เพียงแต่นี้ก็สามารถถล่มเมืองที่ใหญ่ขนาดกลางอย่างเมืองแม่แดงได้สบาย
เพียงแค่ออกแรงตัวละนิดตัวละหน่อยเท่านั้น
แต่ในความจริงแล้ว คนที่รู้จักและเคยเผชิญหน้ากับ
พวกมันมาก่อนจะรู้ว่ากำลังอย่างเดียวเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้มันเข้ามายืนเป็นหนึ่งในสุดยอดเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรที่ผู้คนต่างหวาดกลัวในโลกแห่งนี้
ความน่ากลัวที่แท้จริงนั้น
ทำให้มันเป็นสัตว์อสูรที่ถ้าเลือกได้ทุกคนจะเลี่ยงที่จะปะทะกับพวกมัน
ท่ามกลางกองทัพพนามรณะที่กำลังเคลื่อนขบวน
ตรงกึ่งกลางเว้นที่ไปเป็นวงรอบใหญ่ ตรงบริเวณกึ่งกลางวง
มีพนามรณะที่ดูกำยำและแข็งแกร่งเป็นพิเศษร่างกายที่หนาและสูงใหญ่กว่าเผ่าพันธุ์ตัวอื่นช่วงหัวหลายสิบตัว
พวกมันยืนล้อมรอบหัวใจของกองทัพไว้เป็นชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างแน่นหนา
แม่ทัพใหญ่ในครั้งนี้
ร่างกายไม่สูงใหญ่เท่าเหล่าองครักษ์ กล้ามเนื้อก็ไม่ใหญ่เท่าเหล่าองครักษ์ จนดูเหมือนพวกพวกทหารราบพนามรณะธรรมดา
แต่ในความเป็นจริงกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันแข็งแรงยิ่งกว่า
รวดเร็วยิ่งกว่า ดุดันยิ่งกว่าแต่ที่เหนือกว่าพนามรณะในกองทัพนี้ทุกตัว คือดวงตาที่คมกริบปานราวกับคมมีดจากนรก
ราวกับสามารถฆ่าสัตว์อสูรใดใดที่เป็นศัตรูมันได้ในพริบตา
พนามรณะก็มีหลายเชื้อสายโดยทั่วไปเชื้อสายทหารแบบมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้ามายืนในตำแหน่งที่มันยืนในตอนนี้
รายล้อมไปด้วยเชื้อสายองครักษ์ที่แข็งแกร่ง แต่มันตนนี้นั้นต่อสู้มากมากว่า
ฆ่ามามากกว่า อำมหิตยิ่งกว่า เล่ห์เหลี่ยมยิ่งกว่า และเด็ดขาดยิ่งกว่า
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงมายืนที่จุดนี้
ในศึกครั้งนี้มันจะพ่ายแพ้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเหล่าแม่ทัพที่มาจากเชื้อสายขุนนางคงจะกดหัวมันจนมันโงหัวขึ้นไม่ได้อีกอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น แม่ทัพใหญ่ของพนามรณะที่ใจกลางของกองทัพพลันหยุดเดิน
องครักษ์ก็หยุดกึกเหมือนนัดกันไว้ มันส่งเสียงคล้ายเสียงเป่าหลอดของกองทัพดังสะท้อนสะท้านไปทั่วทั้งป่า
พนามรณะชั้นทหารหยุดเดินฉับพลันเสียงตบเท้าพร้อมกันดังอื้ออึง
จากนั้นทุกตัวรวมถึงเหล่าพนามรณะชั้นพิเศษโถมไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ที่แท้สัญญาณนี้คือสัญญาณการเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วและพร้อมเพียง
ดูจากทิศทางและความเร็วแล้ว พวกมันน่าจะถึงบริเวณประตูเมืองตะวันตก
ในตอนเย็นก่อนค่ำของวันนี้
สายตาของแม่ทัพใหญ่จับจ้องไปข้างหน้าพร้อมกับโถมไปอย่างรวดเร็วผิดกับรูปร่างจนดูคล้ายเงาดำสายหนึ่ง
ราวกับพญามัจจุราชที่กำลังเร่งรีบจะไปทวงเอาดวงวิญญาณจากผู้กระทำความผิด
เพื่อเผ่าพันธุ์แห่งพนามรณะ
เพื่อตัวตนและสถาณะของตัวมันเอง ชัยชนะในศึกสงครามคือสิ่งที่ต้องได้มา
นามของแม่ทัพใหญ่คือ คาร์เชิฟ
ประตูเมืองตะวันตกเมืองแม่แดง
ลมที่พัดมาจากป่า
หอบเอากลิ่นสาบที่ชวนสะอิดสะเอียนเข้ามาด้วย อานนท์นายทหารธนูจากหน่วยธนูยิงตะวันย่นจมูกคราหนึ่งหลังจากได้กลิ่นอายที่เค้าเคยเจอมาครั้งหนึ่งและจะไม่ลืมเลือนไปตลอดกาล
อานนท์มั่นใจว่าพวกมันกำลังมา
เขาภาวนาให้กองหนุนที่ขอไปเมื่อหลายวันก่อนจะมาถึงโดยพลัน
ช่วยเหลือเมืองแห่งนี้ให้อยู่รอดปลอดภัย
ความคิดเห็น