ตอนที่ 4 : Chapter 3
Chapter 3
ผมเดินทางมาถึงโตเกียวก่อนที่จะถึงวันแต่งงานของรุ่นพี่จูรินะสองวัน รุ่นพี่ฮิมชานมารับผมที่สนามบินไปพักที่บ้านของเขา ซึ่งผมก็เพิ่งรู้ตอนมาถึงบ้านของรุ่นพี่ฮิมชานแล้วว่ารุ่นพี่ยงกุกได้เดินทางมาถึงก่อนหน้าผมสองชั่วโมง
พวกเราสามคนนั่งทานอาหารมื้อเย็นและพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารขนาดกลางที่ทำจากไม้ รุ่นพี่ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันโดยมีผมนั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะ รุ่นพี่ฮิมชานทำงานเป็นพนักงานบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่งรายได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ส่วนรุ่นพี่ยงกุกได้เปิดร้านขายราเมนที่เกาหลีลูกค้าต่างพากันมาอุดหนุนไม่ขาดสาย
“แล้วเซโล่ตอนนี้นายทำอะไรอยู่ล่ะ”
เป็นคำถามของรุ่นพี่ฮิมชานที่ถามผมขึ้น ชีวิตของผมไม่ค่อยเหมือนกับพวกรุ่นพี่สักเท่าไหร่ จะว่าประสบความสำเร็จในอาชีพการงานก็ไม่ใช่เลยซะทีเดียว
“เป็นนักเขียนครับ”
นักเขียนที่ไร้ชื่อเสียง แต่ในสักวันจะเปล่งประกายให้เหล่าผู้คนที่ชื่นชอบการอ่านทั้งหลายต่างจับจ้องมาที่ผลงานของผม...
“นั่นมันเยี่ยมไปเลยไม่ใช่เหรอ”
เป็นรุ่นพี่ยงกุกที่พูดขึ้นมา
“ไม่หรอกครับ ผลงานของผมยอดขายน้อยจะตายไป กลัวว่าถ้าต้นฉบับเรื่องใหม่ไม่โดนใจบก. ผมคงได้ตกงาน”
“ว่าแต่ฉันเคยซื้อผลงานของนายมาอ่านบ้างรึเปล่าเนี่ย?”
รุ่นพี่ฮิมชานพูดพร้อมกับทำท่าทางครุ่นคิด
จะว่าไปตั้งแต่ผมมาถึงที่นี่รุ่นพี่ฮิมชานกับรุ่นพี่ยงกุกยังไม่ได้คุยกันเลยสักคำ ทั้งที่เมื่อก่อนเจอหน้ากันต้องมีเถียงมีทะเลาะและโวยวายใส่กันบ้าง แต่ตอนนี้พวกเขาเอาแต่พูดคุยอยู่กับผมคนเดียว
พวกเราหยุดพักจากการพูดคุยแล้วลงมือทานอาหารตรงหน้าต่อ มื้อนี้พี่ฮิมชานเป็นคนทำ เป็นสตูเนื้อรสชาติอร่อย
กึก
เสียงตะเกียบชนกันทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมามอง ตะเกียบของรุ่นพี่ทั้งสองคนจิ้มอยู่บนเนื้อชิ้นเดียวกัน เป็นรุ่นพี่ยงกุกที่ถอยตะเกียบออกไป จากนั้นรุ่นพี่ฮิมชานก็คีบชิ้นเนื้อเมื่อครู่ใส่จานของคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ไม่มีแม้แต่เสียงพูดออกจากปากของคนทั้งสอง
‘มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างรุ่นพี่ทั้งสองคนกันนะ’
ที่บ้านของรุ่นพี่ฮิมชานมีสองห้องนอน ผมได้นอนกับรุ่นพี่ยงกุกส่วนรุ่นพี่ฮิมชานนอนอยู่อีกห้องหนึ่ง ผมเห็นรุ่นพี่ยงกุกยืนรับลมอยู่ที่ระเบียงห้องเลยเดินเข้าไปหา สายตาของคนตรงหน้าผมกำลังเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด
“ยังไม่ง่วงเหรอครับ”
“อืม”
ผมเข้าไปยืนอยู่ข้างๆรุ่นพี่ยงกุก สายตาของผมมองไปที่ภาพเบื้องหน้า แม้ท้องฟ้าจะมืดมิดสักเพียงใดแต่โตเกียวยามค่ำคืนก็เต็มไปด้วยแสงไฟ
“ทำไมไม่คุยกันเลยล่ะครับ กับรุ่นพี่ฮิมชาน”
“ก็แค่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มพูดอะไร จากตรงไหนดี...”
ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมเราทั้งสอง ผมรู้มาว่าตั้งแต่รุ่นพี่ทั้งสองคนเรียนจบมอปลายไปก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย ทั้งๆที่วันนี้มีโอกาสได้มาพบกันอีกแล้วแท้ๆกลับไม่พูดคุยกันเลยสักคำ...
“แล้วจงออบล่ะเป็นไงบ้าง”
“ยังนอนไม่ตื่นเลยล่ะครับ...”
“งั้นเหรอ...”
ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนกับรุ่นพี่ยงกุก ลมเย็นๆพัดมาปะทะเข้าที่ใบหน้าของเราทั้งสอง เส้นผมของพวกเราต่างปลิวไสวไปตามแรงลม
“จะว่าไปผมก็ไม่ได้มาโตเกียวนานแล้วเหมือนกัน จำได้ว่าครั้งสุดท้ายนี่น่าจะตอนเรียนอยู่มอปลายปีสอง”
‘ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีสุดๆเลยล่ะ...’
รถบัสแล่นออกจากมิยาซากิในเวลาเช้าตรู่ ชั้นเรียนของพวกเราได้ไปทัศนศึกษาที่โตเกียว เส้นทางจากภูมิภาคคิวชูที่พวกเราอยู่มุ่งสู่ภูมิภาคคันโตระยะทางค่อนข้างไกล กว่าจะถึงโตเกียวเมืองหลวงของญี่ปุ่นก็คงประมาณเย็นๆ การได้ไปเที่ยวที่ไกลๆพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นดูทุกคนในรถบัสคันนี้อดที่จะตื่นเต้นกันไม่ได้
“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันจะได้ไปโตเกียว”
ร่างโปร่งที่นั่งข้างๆผมพูดขึ้นมา ดวงตาเรียวรีของจงออบทอดมองไปข้างนอกหน้าต่าง วิวข้างทางนั้นช่างดูงดงาม รสบัสคันนี้แล่นผ่านทั้งต้นไม้ ทะเล และภูเขา
“แล้วเซโล่ล่ะเคยไปโตเกียวมั้ย?”
“เคยสิ แต่นานมากแล้ว ตอนนั้นหกขวบเองมั้ง”
ตอนเด็กๆครอบครัวเคยพาผมไปที่โตเกียว เมืองหลวงนั้นช่างกว้างใหญ่มีตึกสูงใหญ่ตั้งตระง่านอยู่เต็มไปหมด มีผู้คนหนาแน่นเดินกันขวักไขว่อยู่เต็มท้องถนน
รถบัสยังคงแล่นไปเรื่อยๆ เสียงเจี๊ยวจ๊าวรอบข้างดูเบาลง ดูเหมือนทุกคนคงเริ่มจะง่วงนอนกันแล้ว ศีรษะของคนที่นั่งอยู่ข้างๆโน้มลงมาพิงกับไหล่ของผม เสียงลมหายใจเข้าออกบ่งบอกว่าจงออบหลับไปแล้ว
ผมมองใบหน้ายามหลับของคนที่นอนพิงไหล่ มือเรียวของผมค่อยๆเกลี่ยเส้นผมสีดำสนิทให้ออกจากหน้าผากของคนตรงหน้า
‘ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่... ที่หัวใจของผมไม่ได้เต้นในจังหวะเดิม’
เกือบหนึ่งทุ่มพวกเราเดินทางมาถึงที่พัก ทุกคนต่างแยกย้ายเอาสัมภาระเข้าไปเก็บในห้องที่ตัวเองได้พัก พวกเราถูกจัดให้นอนสิบคนต่อหนึ่งห้องแยกชายและหญิง จงออบกับผมจองที่นอนไว้ข้างๆกัน
‘เป็นครั้งแรกที่ผมได้นอนข้างจงออบ’
ยามสายของเช้าวันใหม่พวกเราถูกพามาที่ ‘ศาลเจ้ายาสุคุนิ’ ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเชิดชูเกียรติเหล่าทหารที่สละชีวิตในสงคราม มีต้นซากุระจำนวนมากอยู่ที่นี่แต่ดอกของมันร่วงโรยจนใกล้จะหมดต้นแล้ว ‘ฤดูใบไม้ผลิที่สิบเจ็ดของผมใกล้จะผ่านพ้นไปแล้วสินะ’
“น่าเสียดายจังที่ไม่มีโอกาสได้เห็นมันบานเต็มต้น คงสวยน่าดูในทีที่มีต้นซากุระเยอะขนาดนี้”
“นายชอบมันเหรอจงออบ”
ผมถามร่างโปร่งที่ยืนมองกลีบดอกซากุระที่ร่วงหล่นลงมา
“ชอบสิ กลิ่นของมันหอม สีของมันก็สวยดูแล้วสบายตาดี”
ผมเงยหน้ามองดูต้นซากุระที่แทบจะไม่เหลือดอกให้เห็น ถ้าจงออบชอบมันผมจะชอบด้วย
“นายมีความฝันรึเปล่าเซโล่”
“ฝันเหรอ?”
“ใช่”
“ฉันเคยฝันว่าอยากจะเป็นนักเขียนชื่อดังก้องโลก”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะอุดหนุนนายทุกเล่มเลย”
เราสองคนต่างพูดคุยเล่าถึงความฝันในวันข้างหน้า ผมที่จะเป็นนักเขียนนิยายกับจงออบที่อยากเป็นดีไซเนอร์ ความฝันที่เดินคนละเส้นทาง...ท้ายสุดแล้วมันจะเดินมาบรรจบกันได้มั้ยนะ...
“เซโล่นายต้องเป็นต้นซากุระนะ”
“ต้นซากุระเหรอ”
“ใช่ ต้นซากุระ ต่อให้ดอกของมันจะร่วงโรยจนหมด มันก็จะบานขึ้นมาใหม่อีกครั้งและอีกครั้งเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ เป็นดอกไม้ที่งดงามจนผู้คนต้องหลงใหล”
“.....”
“ไม่ว่านายจะล้มสักกี่ครั้ง นายจะต้องผลิบานให้ได้เหมือนกับดอกซากุระ”
ผมไม่เคยลืมเรื่องราวในวันนั้นเลย ในตอนนั้นผมได้แต่คิดว่าตัวผมจะต้องเป็นต้นซากุระที่งดงามกว่าต้นไหนๆ จงออบจะได้มองมาที่ผม
“นายดูมีความสุขนะ”
รุ่นพี่ยงกุกทักขึ้นทำให้ความคิดของผมกลับเข้าสู่โลกปัจจุบัน ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเผลอยิ้มออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมมีความสุขเสมอเมื่อนึกถึงมุนจงออบ
งานแต่งงานของรุ่นพี่จูรินะถูกจัดขึ้นที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ร่างบางในชุดเจ้าสาวสีขาวดูสวยกว่าใครๆในที่นี้ บาทหลวงกำลังทำพิธีตามประเพณีของศาสนาคริสต์ เขาทั้งสองกำลังแลกแหวนกัน ผมยิ้มแสดงความยินดีให้กับภาพตรงหน้า
“นี่ฉันปล่อยยัยนี่ให้หลุดมือมาได้ไงเนี่ย”
รุ่นพี่ฮิมชานพูดขึ้น ทุกคนต่างมองไปยังภาพเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม พวกเราทุกคนต่างมีเรื่องราวในความทรงจำร่วมกัน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของภาพในวันวานยังคงตราตรึงอยู่ในหัวสมองของผม
‘จงออบ รุ่นพี่จูรินะสวยมากเลยนะ ถ้านายได้เห็นจะต้องอึ้งแน่ๆ...’
‘รุ่นพี่ยงกุกกับรุ่นพี่ฮิมชานพวกเขาดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ไม่ทะเลาะกันเหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วยนะ’
‘ทุกคนคิดถึงนายมากเลยรู้มั้ย...”
เนื้อเรื้องอาจจะดูยืดเยื้อแต่อย่าพึ่งเบื่อกันน้าาาา ฮือออออ
สนุกไม่สนุกก็คอมเม้นบอกกันได้ หรือที่ @Bangxx2
#ซากุระโล่ออบ
ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แล้วฉากคีบเนื้อของกุกกับชานคือไร ทำไมมันซีรี่ย์แบบนี้ ได้กัน เอ้ย! รักกันก่อนเรียนจบใช่ไหมบอกมา! ไม่ต้องมาทำซึนใส่กัน ถ่อวววว
ไม่รู้จะเมนต์อะไรง่ะ 555555555 อ่านแล้วมันให้ความรู้สึกสบาย ๆ อ่านได้เรื่อย ๆ เป็นฟิคฟีลกู๊ดงี้ ซึ่งเราหวังว่าตอนจบจะฟีลกู๊ด.... /จ้อง
พอละ ไปอ่านตอนต่อไปดีกว่า อยากรู้ว่าทำไมนุ้งออบถึงหลับ
//แบนไรต์ต่อ จงออบตื่นเมื่อไหร่จะปลดแบนให้ค่ะ//
ทำไมบรรยายดีจัง ไม่สิ ออกแนวพรรณนาเลยนะเนี่ย
อยากแต่งภาษาสวยๆแบบนี้ได้มั่งจัง
คือพออ่านแล้วจินตนาการภาพตามแล้วแบบ เห็นแต่ความสวยงามอ่า
ทำไมแต่งได้ดีแบบนี้นะ อิจ!!!
รู้สึกว่าตัวเองเป็นโล่รอออบตื่นยังไงก็ไม่รู้ ฮืออออเศร้า แต่ก็มีความสุข
ชานกะบังนี่ยังไง แอบคบกันลับๆใช่มั๊ยอ่า?
หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นตอนเรียน? ต้องมีแน่ๆ
แบบทะเลาะกันอยู่ดีๆ คนนึงตี คนนึงรับแล้วก็กลิ้งลงไปบนเตียง
จากนั้นก็.....................-//////-
สองคนนี้เลยเลิกทะเลาะกันไปเลย เคี๊ยกๆๆๆๆ