ตอนที่ 14 : Chapter 12
Chapter 12
ร่างสูงมองผ่านลำกล้องปืนไรเฟิลที่สามารถมองเห็นท่ามกลางความมืดได้ เขามองดูไปทีละจุดที่เจ้าหน้าที่ไปประจำการ ทุกคนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว อีกสิบห้านาทีก็จะเป็นเวลาหนึ่งทุ่ม ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว ท้องฟ้าเริ่มมืดตั้งแต่หกโมงเย็น โชคดีที่หิมะหยุดตกแล้วไม่เช่นนั้นปฏิบัติการครั้งนี้อาจจะยุ่งยากขึ้น
แต่ทั้งที่อีกสิบห้านาทีก็จะถึงเวลานัดแล้วคนพวกนั้นยังไม่มีใครโผล่มาให้เห็นเลยสักคน ตอนนี้อากาอิ ชูอิจิยืนอยู่บนเรือยอร์ชซึ่งดับเครื่องจอดซ่อนตัวในความมืดกลางทะเล เรือลำนี้เป็นของคนรู้จักของคุโด้ ชินอิจิ เด็กหนุ่มยอดนักสืบนั่นก็เป็นคนขับเรือลำนี้ให้เขา ช่างเป็นคนที่มากความสามารถซะจริง
“เป็นไงบ้างครับคุณอากาอิ”
“นอกจากพวกเราแล้วยังไม่เห็นใครคนอื่นเลย”
รอจนถึงเวลาหนึ่งทุ่มก็มีรถหลายคันเข้ามาจอดบริเวณท่าเรือส่งสินค้า หนึ่งในรถที่มานั้นมี Porsche 356A สีดำเงาวับรวมอยู่ด้วย ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อพบเป้าหมาย
“มากันแล้วล่ะ”
ฟุรุยะ เรย์กับลูกน้องอีกสองคนหลบอยู่หลังตู้เก็บสินค้าขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่FBIและสันติบาลต่างกระจายกำลังซ่อนตัวอยู่ทั่วบริเวณท่าเรือแห่งนี้แล้ว ทันทีที่ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดชายหนุ่มผมสีบลอนด์ทองก็กระชับมือที่ถือปืนอยู่ให้แน่นขึ้น เขาเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับท่าเรือเท่าไหร่ ก็เคยโดนเบลม็อททุบหัวจนสลบนี่นะ…
มือเรียวยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่อง บริเวณนี้อยู่ห่างจากจุดที่เจ้าพวกนั้นอยู่ไกลพอสมควร ฟุรุยะ เรย์ค่อยๆ ไล่สายตาดูฝั่งศัตรูทีละคน เขาเห็นคนคุ้นเคยอยู่หลายคนเลยทีเดียว ยิน วอดก้า เบลม็อท สก๊อตซ์ มีชายร่างท้วมยืนอยู่หน้าพวกเขา ข้างๆ ชายคนนั้นมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน นอกนั้นน่าจะเป็นพวกปลายแถวขององค์กรซึ่งมีไม่ต่ำกว่าสิบคน
มาทำไมกันเยอะแยะ แต่ดูท่าคนที่มีความสำคัญสุดในที่นี้จะเป็นชายร่างท้วมคนนั้นสินะ ดูเหมือนคนในองค์กรให้ความเคารพนับถืออยู่พอสมควร
“อากาอิ”
ฟุรุยะ เรย์กรอกเสียงลงในเครื่องสื่อสารไร้สายที่สวมไว้ที่หูเพื่อขอความเห็นของอีกคน
“เป้าหมายของเราครั้งนี้ดูท่าจะเป็นชายร่างท้วมคนนั้น”
[รอดูไปก่อน แต่ฉันเองก็คิดแบบนั้น]
“แล้วคุโด้ ชินอิจิล่ะ”
[หมอนั่นบอกต้องรู้จุดประสงค์ของเจ้าพวกนั้นก่อนถึงจะลงมือได้]
“เข้าใจแล้ว”
ครั้งนี้เขาจะต้องทำลายองค์กรนั่นให้ได้ แล้วพาฮิโรมิสึออกมา ถ้าพลาดทุกอย่างคือจบทันที…
“ท่านครับดูเหมือนฝ่ายนั้นจะมาช้ากว่าเวลาที่นัดไว้”
ยินเอ่ยขึ้นมาเมื่อยังไม่เห็นคนของฝ่ายที่นัดไว้ วันนี้ดูเหมือนเจ้านายของพวกเขาตั้งใจที่จะมาเจอหน้าฝ่ายนั้นด้วยตัวเอง ทั้งที่จะสั่งให้ใครมาแลกเปลี่ยนของแทนก็ได้
สก๊อตซ์ลอบมองดูท่าทีของคนในองค์กรทุกคน หากเกิดการปะทะขึ้นชายหนุ่มจะได้ช่วยฝั่งสันติบาลได้ เขายังคงไม่เข้าใจกับเป้าหมายขององค์กรเท่าไหร่ แต่คนที่ยินเรียกว่านายท่านนี่คงจะเป็นคนที่เป็นหัวหน้าขององค์กรนี้ไม่ผิดแน่ เป็นชายร่างท้วมที่มีสายตาเย็นชาแค่เผลอมองสบตาก็ขนลุก
ส่วนเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ผู้ชายคนนี้รู้สึกจะใช้โค้ดเนมชื่อว่าบิทเทอร์ สก๊อตซ์ไม่รู้ข้อมูลของอีกฝ่ายเท่าไหร่ แต่สนิทกับคนเป็นหัวหน้าก็ไม่น่าจะใช่เด็กหนุ่มธรรมดาๆ
เลยเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงฝ่ายคนที่นัดไว้ก็มาถึงที่หมาย รถสีดำหยุดจอดบริเวณท่าเรือก่อนคนในรถจะเปิดประตูรถออกมา สก๊อตซ์เบิกตากว้างเมื่อเห็นคนที่ลงมาจากรถ ถ้าจำไม่ผิดคนคนนี้เหมือนจะเป็นดาราสาวชื่อดังที่กำลังมาแรงขณะนี้
“ขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีฉันติดถ่ายละคร”
“เอาของมาด้วยหรือเปล่า”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ”
หญิงสาวแสนสวยคนนั้นเดินเข้าไปหาชายร่างท้วมก่อนจะล้วงเอากล่องขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วยื่นให้ ไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นอะไรแต่ดูถ้าจะสำคัญ ชายร่างท้วมรับเจ้าสิ่งนั้นไว้แล้วส่งให้กับบิทเทอร์
“ไม่คิดว่าคุณจะมาเอง”
“ก็แค่อยากเจอดาราดังอย่างคุณ ยินส่งกระเป๋านั่นให้เธอ”
จบคำสั่งชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินยาวก็ส่งกระเป๋าสีดำให้หญิงสาวแสนสวย ข้างในเป็นเงินสดจำนวนมาก
“ขอบคุณนะคะสำหรับกระเป๋าใบนี้”
“เรื่องเล็กน้อยสำหรับคนสวยอย่างคุณ”
สก๊อตซ์มองดูคนที่คิดว่าเป็นหัวหน้าส่งสายตาแพรวพราวให้หญิงสาวแต่ไม่นานสายตานั่นก็เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น
ปัง!
อยู่ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้นนัดหนึ่งพร้อมร่างของหญิงสาวที่ล้มลง สก๊อตซ์หันไปมองคนที่ยิง เป็นบิทเทอร์นั่นเอง ชายหนุ่มกำมือเข้าหากันแน่นหัวใจรู้สึกบีบรัดไปหมด ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนอื่นได้ เขารู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวในฐานะเจ้าหน้าที่สันติบาล…
“สำหรับคนทรยศ”
ชายร่างท้วมพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ร่างของหญิงสาวคนนั้นถูกโยนลงทะเล คนคนนี้ดูเหมือนจะมีความแค้นกับดาราดังคนนั้น และคงมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ลึกซึ้งถึงได้ลงทุนมาให้ผู้ตายเห็นหน้า
“บ้าชิบ!”
ฟุรุยะ เรย์อดสบถออกมาไม่ได้ เขาเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาทั้งที่คิดว่าวันนี้พวกมันคงมาแค่แลกเปลี่ยนสิ่งของกัน มือเรียวลดกล้องส่องทางไกลลงแล้วกรอกเสียงใส่เครื่องสื่อสาร
“เอายังไงดี เพราะพวกเรามัวเอาแต่รอเลยมีคนตาย”
[ฉันเองก็ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะลั่นไกปืน]
“…”
[ฉันจะดับไฟบอกให้ทุกคนสวมแว่นอินฟาเรดซะ]
“เข้าใจแล้ว”
ทันทีที่อากาอิ ชูอิจิพูดจบแสงไฟบริเวณท่าเรือก็ดับทีละจุดจนมืดสนิท แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาเพราะมีแว่นตาที่สามารถมองเห็นในความมืดได้ ฟุรุยะ เรย์ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าข้างหลังรับรู้
ชายหนุ่มเล็งยิงที่มือและขาของพวกศัตรู ทางนี้ต้องการจับเป็นเพื่อรีดเร้นข้อมูลขององค์กร คนที่ล้อมรอบชายร่างท้วมค่อยๆ ทรุดไปทีละคนเนื่องจากถูกยิงบริเวณขา ฝีมืออากาอิ ชูอิจิสินะ
ฟุรุยะ เรย์เริ่มเข้าใกล้เป้าหมาย เขาคิดว่าคงทำการจับกุมคนคนนั้นได้ แต่ดูเหมือนจะคิดผิดเมื่อลูกน้องที่ตามหลังเขามาสองคนถูกยิงล้มลง ชายหนุ่มรีบหันไปมองข้างหลังทันที
“ยิน”
“นึกว่าใครที่แท้ก็เบอร์เบิ้นนี่เอง”
ยินเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ทองเรื่อยๆ พร้อมกระบอกปืนที่หันส่วนปลายเข้าหาอดีตเพื่อนร่วมองค์กร ปืนนั้นติดลำกล้องอินฟาเรดไว้ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายยิงไม่พลาดสักนัดแม้จะอยู่ในความมืด
“ไรย์ก็ยังไม่ตายสินะ”
“…”
“การที่พวกนายมาปรากฏตัวที่นี่ได้ก็หมายความว่าในองค์กรเรายังมีหนูเหลืออยู่”
“…”
“ถ้าจะให้ฉันเดาคงเป็นสก๊อตซ์ล่ะสิ”
ฟุรุยะ เรย์ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มกำลังคิดหาทางทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ถูกอีกฝ่ายต้อนจนมุม
“ทันทีที่ไฟดับฉันก็ไม่เห็นตัวหมอนั่นเลย ทั้งๆ ที่สั่งให้คอยช่วยเบลม็อทแท้ๆ แต่ช่างเถอะไว้ค่อยคิดบัญชีกับคนทรยศนั่นทีหลัง”
นิ้วมือของยินกำลังจะเหนี่ยวไกปืนทันใดนั้นกระสุนก็พุ่งเข้าใส่มือจนกระบอกปืนกระเด็น ชายหนุ่มผมสีเงินหันไปมองกลางทะเลที่มืดมิด ฟุรุยะ เรย์ได้ทีเล็งปืนยิงเข้าที่ขาของอีกฝ่าย ร่างสูงทรุดเข่าลงกับพื้นเงยหน้ามองคนที่เอาปืนจ่อหัว
“หึ ไรย์สินะ ฝีมือยังไม่ธรรมดาเหมือนเดิม”
“รู้สึกยังไงบ้างล่ะที่โดนคนอื่นเอาปืนจ่อหัวแบบนี้”
คนที่พลิกมาเหนือกว่าเเสยะยิ้มให้อีกฝ่าย ฟุรุยะ เรย์คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ตัวเองได้เอาปืนจ่อหัวคนคนนี้บ้าง มันก็สะใจดีเหมือนกันที่ได้เอาคืนชายหนุ่มจับยินใส่กุญแจมือแล้วเรียกเจ้าหน้าที่สันติบาลคนหนึ่งมารับไป
ทางด้านสก๊อตซ์ ชายหนุ่มพยายามเข้าใกล้คนเป็นหัวหน้าแต่ดูแล้วคงยากจึงได้ซ่อนตัวอยู่กับคนของสันติบาลที่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
“เอายังไงดีครับคุณโมโรฟุชิ”
“ฟุรุยะล่ะตอนนี้อยู่ไหน”
“จุดที่คุณฟุรุยะประจำการอยู่เหมือนจะเป็นทางทิศเหนือของท่าเรือ แต่ตอนนี้คงเริ่มเคลื่อนไหวเข้าใกล้เป้าหมายเหมือนพวกเรา”
ร่างสูงยกปืนที่ติดลำกล้องอินฟาเรดขึ้นมาส่องดู พยายามเลื่อนมองหาคนเป็นเพื่อน
“เจอแล้ว”
ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะปลอดภัยดี ตอนนี้การปะทะกันพวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ คนที่ต้องระวังที่สุดคงไม่พ้นเบลม็อทเธอคนนั้นสามารถปลอมเป็นใครก็ได้
“มีรายงานมาว่าคุณฟุรุยะจับคนที่ชื่อยินได้”
“เยี่ยม”
ก็สมกับเป็นฟุรุยะ เรย์ล่ะนะ เขาคงห่วงอีกฝ่ายมากเกินไป หมอนั่นเก่งแค่ไหนเขาเองก็รู้ดี…
ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ทองเริ่มเคลื่อนตัวใกล้เป้าหมายอีกครั้งแต่แล้วอยู่ๆ เสียงใบพัดขนาดใหญ่ก็ดังขึ้นมา ทุกคนในที่นี้พร้อมใจกันเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นเฮลิคอปเตอร์สีดำสนิทบินอยู่บนอากาศ ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างเมื่อปืนกลที่ติดอยู่กับเฮลิคอปเตอร์นั่นยิงกวาดไปทั่ว
“อึก”
ถึงแม้จะรีบกระโดดหลบแต่ก็ไม่พ้นกระสุนบางนัดที่ยิงโดนไหล่ มือเรียวกุมเข้าที่แผลของตัวเอง ศัตรูอยู่บนอากาศ ตอนนี้ฝ่ายนั้นพลิกกลับมาได้เปรียบแล้ว
[ฟุรุยะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย]
“ไม่เป็นไรมาก ตอนนี้เป้าหมายอยู่ไหนแล้ว”
[เหมือนจะโดนเจ้าเฮลิคอปเตอร์นั่นยิงทิ้งไปแล้ว]
“ว่าไงนะ!!”
[ฉันว่าหมอนั่นไม่ใช่คนสำคัญขององค์กรอย่างที่พวกเราคิดหรอก พวกเราโดนหลอกเข้าซะแล้ว]
“เจ้าพวกบ้านั่น!”
[…]
“นายสอยไอ้ที่บินอยู่ข้างบนได้มั้ย”
[จะลองดู]
....................
อาจจะเขียนงงๆบ้าง หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ... น้องเรย์ไม่รู้เลยว่ามีแต่คนเป็นห่วง~ ตอนหน้าจะเป็นบทสรุปของเหตุการณ์นี้ค่ะ มาเอาใจช่วยน้องเรย์กับเฮียชูกัน
สุดท้ายขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ มีอะไรคอมเม้นติชมกันได้ แต่อย่าด่าหนูแรง._.
ถ้าเราหายไปโปรดจงรู้ไว้ว่าไปช่วยแม่ทำแซนวิชขายค่ะ สงสัยต้องยืมตัวอามุโร่ซังจากเฮียชูมาช่วยซะแล้ว จะได้ขายดีๆ????
เจอกันตอนต่อไปนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คุโด้ผู้ไม่มีบท น่าสงสาร