รอคำรัก
แม่น้อยหญิงสาวที่มีบุคลิคทั้งบู้และบุ๋น แมจ้ะเป็นหญิงที่อยู่ในสมัยที่ต้องเป็นแม่ศรีเรือนอย่างเดียว หนำซ้ำยังเป็นสุดที่รักของปู่ตายายผู้สูงศักดิ์จนเป็นสาว แต่ฌะอยังรคำรักจากผู้อื่นอยู่ ใครล่ะ
ผู้เข้าชมรวม
155
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตอนที่ 1
เสียงดังอื้ออึงของดาบกระทบกันดังไปทั่วลานหญ้าหน้าเรือนหมู่อันประกอบด้วยเรือน 5 หลังโอบล้อมเรือนที่ใหญ่สุด โอ่โถงสำหรับรับแขกหรือพักผ่อนอันสวยงาม ตระกาลตา นอกจากเรือนใหญ่แล้ว ยังมีเรือนหลังเล็กอีกจำนวนมากสำหรับข้าทาสบริวาร และเรือนครัวอันแยกออกมาเพื่อความสะดวกในการปรุงสำรับต่างๆ รอบนอกของเรือนต่างมีสวนหย่อมดอกไม้มากมาย ล้อมรอบเรือนต่างๆ ยังมีต้อนไม้ใหญ่ทั้งไม่สัก ต้นยาง ต้นหมาก และผลไม้ต่างๆที่มีมากทางหลังเรือนใหญ่ และยังติดลำน้ำเจ้าพระยาที่ยังใสในฤดูนี้อีกด้วย นี่บ่งบอกถึงทั้งฐานะ บรรดาศักดิ์อันสูงของผู้เป็นเจ้าของบ้าน นั่นคือ “เจ้าพระยาสุรศรี” ประจำสมุหกลาโหมข้าพระบาทองค์พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยความซื่อสัตย์มายาวนาน
“เจ้าน้อยเอ้ย!” เสียงทรงอำนาจของชายชราอายุราวสัก 50 ปี ซึ่งถ้าผู้ใดได้ยินเสียงคงกลัวตัวสั่นไม่กล้ามองทีเดียว นี่แหละเจ้าของเรือนนี้ แต่ทว่าเสียงนี้หาได้สร้างความสะเทือนแก่เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกไม่ เพียงแต่เจ้ตัวยังถือดาบโต้ตอบผู้เป็นครูฝึกต่อไป อย่างไม่หยุดแม้แต่น้อย ร่างที่มีส่วนสูงเท่าเด็กอายุ 10 ขวบ ผมยาวถูกม้วนเก็บไว้เป็นจุกกลางศรีษะอย่างแน่นหนา เสียบด้วยปิ่นทองน่ารักแสดงถึงฐานะหลานสาวของผู้เจ้าของบ้าน บัดนี้ผสมนั้นหลุดหลุ่ยลงมาบ้างเพราะการออกกำลัง เหงื่อย้อยไหลเป็นทางข้างขมับ บนหน้าผากมนโค้ง ซึ่งรับกับคิ้วโก่งดังคันศร ดวงตากลมโตดำขลับซึ่งเวลาปกติจะดูสดใสดูเคร่งเครียดเกินวัย จมูกโด่งน่ารักรับกับสัดส่วนบนใบหน้า ริมฝีปากสีชมพูอ่อนรูปกระจับกำลังเม้มแสดงถึงอารมณ์ขัดใจของผู้เป็นเจ้าของ
“พอเถอะ หยุดได้แล้วถ้าไม่หยุดตาจะเฆี่ยนก้นเจ้าสักสิบครั้งเป็นแน่” เสียงห้ามดังขึ้นอีก นั่นแหละจงทำให้เสียงดาบนั้นยุติลงได้ แล้วร่างน้อยๆ ค่อยหันมาพบหน้าอันเคร่งของตาพร้อมใบหน้ารั้นแสดงถึงความถูกขัดใจ
“โธ่ ท่านตาเจ้าขาขออีกสักประเดี๋ยวไม่ได้หรือเจ้าค่ะ กำลังสนุกอยู่เทียว” เสียงเล็กออดอ้อนผู้เป็นตา ด้วยแววตาดังแมวอ้อนขอปลาย่าง แต่ยังมีความรั้นแฝงอยู่ในน้ำเสียง
“ไม่ได้หรอกเจ้าน้อย ท่านยายเจ้าบ่นหาแล้ว นี่ดีน่ะที่ไม่มาตามเจ้าเองถ้าเห็นเจ้าแต่งตัวเหมือนเด็กผู้ชายอย่างนี้ มีหวังเย็นนี้เจ้ากับตาคงไม่ใด้รับข้าวแน่” เสียงตาอ่อนให้หลานสาวพร้อมแจงเหตุผลให้ฟังแถมขู่นิดๆ แต่พอเจ้าตัวได้ยินดังนั้นก็ทำปากยิ่นพร้อมกับกอดคอผู้เป็นตาที่นั่งคุกเข่าข้งหนึ่งเพื่อให้พูดกับหลานได้อย่างสะดวก
“ว้า เสียดายจังวันนี้พี่พันอุตส่าห์มีเวลาให้หลานตั้งานกลับได้ฝึกนิดเดียว แล้วท่านต่พอจะทราบไหมเจ้าค่ะท่านยายมีเรื่องอะไรทำไมต้องเรียกหาหลานด้วย ปกติค่ำกว่านี้ถึงตาม” เด็กน้อยถอนหายใจด้วยความเสียดายแต่มิวายห่วงเรื่องถูกยายถามหา
“ตาไม่รู้หรอก เอ แต่เห็นมีเรือมาจากเมืองพิษณุโลกเมื่อตะกี้นี้เอง คงเป็นเรื่องพ่อกับแม่เจ้ากระมัง แต่ยังไม่มีใครมารายงานตาเลย” ยังไม่สิ้นเสียงผู้เป็นตาเด็กหญิงก็ร้องอย่างดีใจ จนผู้เป็นตาต้องปราม ก็จะไม่ดีใจได้อย่างไร นานๆ ทีเรือจากพิษณุโลกจะมาจอดท่าน้ำท้ายบ้านสักที นั่นก็หมายความว่าข่าวคราวของพระพิบูรณ์ ผู้เป็นพ่อของเด็กหญิงและแม่ซึ่งติดตามพ่อไปรับราชการหัวเมืองพิษณึโลกนั้นต้องมากับเรือทุกครั้ง คิดถึงทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ไหนยังมีพี่สาว อาจจะมีข่าวของชายหล่อนติดมาด้วยเป็นได้ ยิ่งคิดแววตาก็ยิ่งมีแววกระตือรือร้น สดใสมากขึ้น
“ถ้าอย่างนั้ง หลานไปพบท่านยายเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ท่านตาไม่ไปด้วยหรอกหรือเจ้าค่ะ หลานอยากรู้ใจจะขาดแล้วท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ และพี่นุ่มเป็นอย่างไรบ้าง” พูดไม่พอยังจูงมือท่านตาเดินไปที่เรือนครัวอย่างรีบร้อน
“ค่อยๆ เดินก็ได้แม่น้อย ยังไงก็ถึงหรอกเรือนครัวไม่หายหรอก” แต่กระนั้นก็ยังปล่อยให้หลานเดินจูงมือหาได้ห้ามอย่างจริงจังไม่ ก็หลานสุดดวงใจของท่านคนเดียวที่ท่านกับคุณหญิงเลี้ยงมาแต่น้อย ก่อนพระพิบูรณ์และภรรยาซึ่งก็คือลูกสาวคนเดียวและคนสุดท้องของท่านได้เดินางไปรับราชการ เนื่องจากว่าเด็กหญิงยังเล็กนักอายุเพียงเก้าเดือนในขณะนั้น แม้ผู้เป็นแม่ยังอาลัยลูกคนเล็กแต่ด้วยการย้ายที่ทำงานของสามีทั้งลูกชายคนโตและลูกสาวคนกลางก็ยังไม่โตมากนักต้องการความดูแลเอาใจใสอย่างมาก จึงตกลงปลงใจเมื่อปรึกษากับสามีว่าให้น้อยอยู่กับผู้เป็นตาและยาย อกจากนี้ยังมีปู่และย่าน้อย คือ เจ้ากรมท่าขวาซึ่งบรรดาศักดิ์พระยาจุฬาราชมนตรี เดิมชื่อมั่ง และคุณหญิงเผื่อนหรือย่าน้อย ภรรยาคู่ใจของท่านพระยาคนที่ 2 หลังจากสิ้นบุญของภรรยาคนแรกของท่านซึ่งเป็นย่าจริงๆ ของเด็กหญิงน้อย อาศัยอยู่ย่านใกล้กันอีกด้วยพอที่จช่วยเหลือเจือจุน ดูแลกันได้
ทั้งเสียงครก เสียงคุยกันจ็อกแจก รวมทั้งกลิ่นคล้ายแพนงไก่ของโปรดลอยตามลมมาแต่ไกล ยิ่งทำให้เด็กหญิงเร่งฝีเท้ามุ่งสู่โรงครัวเร็วขึ้น โรงครัวตั้งอยู่ทางด้านหลังเรือนใหญ่ ใกล้สวนผลไม้ ซึ่งถัดไปก็เป็นศาลาท่าน้ำหลังบ้าน โรงครัวนี้คุณหญิงชอบลงมาประจำ ทั้งนี้เพราะท่านเคยเป็นหญิงชาววัง ของเจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ 2 ก่อนที่จะของลามาออกเรือนฝีมือด้านการเรือน อาหารไม่เป็นรองใคร ยิ่งใกล้ถึงพุ่มการเวกที่มีตั่งสำหรับนั่งพักหรือเตรียมการต่างๆ ของคุณหญิงที่อยู่หน้าโรงครัวเท่าไหร่ยิ่งทำให้ใจของเด็กหญิงเต้นแรงมากยิ่งขึ้น อยากจะวิ่งใจแทบขาดแต่กลัวท่านยายดุและลงโทษมากกว่า จึงได้แต่ก้าวเท้ายาวๆตามประสา สงสัยท่านตาคงจะรู้ว่าหลานอยากรู้ข่าวของพ่อและแม่เร็วๆ จึงยกร่างน้อยอุ้มสู่อกพลางสาวเท้าเร่งขึ้นกว่าเดิม แรกๆ เจ้าน้อยคงจะงงแต่ก็ยิ้มหวานให้ท่านตาที่รู้ใจหลานรัก
“อ้าว ทำไมได้อุ้มกันมาอย่างนั้นเจ้าค่ะ จะเป็นสาวแล้วน่ะแม่น้อยยังทำเล่นเป็นเด็กๆ อยู่ได้” คุณหญิงทำเสียงดุหลานเมื่อมองเห็นสามีเดินอุ้มหลานสาวสุดที่รักเข้ามาด้วย นั่นทำให้การสนทนาของหญิงสงวัยแต่ยังความเอิบอิ่ม ผิวเนียนนวล สมเป็นนางในแต่ก่อนกับผู้เป็นแขกแต่คุ้นหน้าแม่น้อยนักหยุดชะงักลง เจ้าหล่อนดิ้นออกจากอกตาลงสู่พื้นดินเดินเข้าไปกราบผู้เป็นย่า ก่อนย้ายไปยังแขกอีกท่าน ถึงแม้จะไม่ใช่คนมียศศักดิ์แต่ก็เป็นผู้ที่พ่อกับแม่หล่อนนับถือ อีกทั้งท่านเจ้าคุณตาและท่านยายนั้นหาได้เลี้ยงดูให้ป็นเด็กถือยศศักดิ์อย่างเคร่งครัดไม่
“โตขึ้นเยอะน่ะค่ะคุณน้อย” ผู้เป็นแขกพนมมือไหว้ พร้อมยิ้มรับรอยยิ้มสดใสที่ส่งระหว่างพนมมือไหว้ด้วยท่าทางยังไม่เรียบร้อยนัก หลังจากนั้นก็พนมมือไหว้ผู้อุ้มที่เดินสู่ตั่งหลังหลานสาวอีกครั้งด้วยความเคารพ
“มานานแล้วหรือแม่แย้ม ดูท่ายังไม่ทันได้พักสิน่ะ คุณหญิงคงใจร้อนอยากได้ข่าวลูกสาว ทั้งหลานสาวหลานสาวสิน่ะ” ผู้สูงวัยและสูงศักดิ์พยักหน้ารับ
“โอ้ย ! เรื่องลูกหลานใครก็อยากทราบทั้งนั้นแหละค่ะ ดิฉันใจร้อนด้วย นี่ให้แม่น้อมไปเรียกแม่น้อยมาแต่ไม่เห็นย้อนกลับ แล้วทำไมถึงได้อุ้มมาล่ะค่ะ”
“อ้อ ที่จริงแม่น้อมขึ้นไปบนเรือนใหญ่ คงนึกว่าเจ้าน้อยอยู่นั่นหล่ะ ฉันจึงถามว่าหาเจ้าน้อยทำไมจึงบอกจะไปตามเอง” ท่านตาของเจ้าหล่อนแจ้งแถลงไขในการเรียกตัวเจ้าน้อยให้ท่านยายฟัง ดีหน่อยจะได้มีคนคอยช่วยเบี่ยงเบนความสนใจหรือคอยช่วยเมื่อยามท่านยายจะดุหล่อนเรื่องเมื่อวานนี้ เอ แต่วันนี้ท่านคงจะลืมแล้วกระมัง
“พี่แย้มค่ะ คุณพ่อ คุณแม่และพี่ๆ สบายดีไหมเจ้าค่ะ”เสียงใสๆ รีบถามเมื่อท่านตาหล่อนแจ้งแถลงไขเสร็จ พี่แย้มนี่คือพี่เลี้ยงพี่สาวของเจ้าน้อยซึ่งเคยอยู่รับใช้คุณหญิงมาก่อนสมัยยังเด็ก เมื่อแม่เจ้าน้อยย้ายไปอยู่หัวเมือง แม่แย้มซึ่งบัดนั้นอายุคงราวสัก 15 รู้งานรู้การดีท่านหญิงจึงให้ติดตามลูกสาวท่านเพื่อดูแลเลี้ยงหลานสาวอีกคนด้วยความไว้วางใจ บัดนี้มีสามีซึ่งเป็นผู้ติดตามของคุณพระพิบูรณ์เลยอยู่ดูแลช่วยการบ้านการเรือนแม่ของเจ้าน้อย
แม่แย้มหรือพี่แย้มของเจ้าน้อยก็เริ่มบอกข่าวที่ถูกส่งมาหาลูกสาวด้วยรอยยิ้ม “คุณพระและคุณพลับพลึงท่านสบายดีเจ้าค่ะ จะมีเรื่องกังวลใจเล็กน้อยก็เรื่องคิดถึงลูกสาวคนเล็กท่านนี่แหละเจ้าค่ะ บ่นอยู่ทุกวันว่าโตขึ้นหรือยัง จะซนหรือไม่ ห่วงท่านตาและท่านยายจะรับไม่ไหวค่ะ งานการก็ไม่หนักหรอกเจ้าค่ะมีแค่ปราบพวกโจร ขบถบ้าง ดูแลชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุขมากกว่า ” พลางหันหน้าไปยังคุณหญิง “นี่ก็ว่าอยากส่งคุณใหญ่มาให้ศึกษาภาษาปะกิดบ้าง เห็นว่าอยากให้มารับราชการในฝ่ายเดียวกับท่านปู่ อยู่โน่นก็มีแต่เรื่องรันฟันแทงแหละเจ้าค่ะ ท่านปู่ก็ส่งข่าวไปบอกว่าที่ทำงานท่านนั้นอยากมีล่ามมาช่วยพูดกับเมืองอื่นที่มาค้าขาย แรๆ อยากให้ฝึกมลายูเจ้าค่ะ แต่พอดีเห็นมีพวกมิชชั่นนารีเข้ามาจึงอยากให้เรียนโดยตรง คงอีกสักประมาณขวบเดือนได้กระมังเจ้าค่ะถึงจะส่งให้ไปอยู่กับท่านปู่ คุณพระคงจะมาส่งเองเจ้าค่ะ พราะต้องพาไปที่บ้านของพ่อท่านเองเจ้าค่ะ” แม่แย้มหยุดเล็กน้อยก่อนที่จะเล่าต่อ “ ส่วนคุณนุ่มนั้นบัดนี้โตขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ เรียบร้อยได้ดังใจคุณพลับพลึงนัก นี่ก็ว่าอยากส่งมาให้คุณหญิงได้ฝากฝังในวังเจ้าจอมให้ท่านเมตตาด้วยเจ้าค่ะ จะได้มีมีผู้สืบทอดเหมือนกับคุณหญิงบ้าง อิฉันคิดว่าน่าจะส่งมาพร้อมกับคุณใหญ่เจ้าค่ะ ไม่แน่ทั้งคุณพระ คุณพลับพลึงคงมาส่งลูกท่านด้วยกันเจ้าค่ะ” ประโยคสุดท้านที่พี่แย้มพูดนั้นทำให้จิตใจของเจ้าน้อยเต็มต้น ตื่นเต้น เฝ้าคอยเวลานั้นเหลือเกินที่จะได้พบพ่อ แม่ พี่ชายและพี่สาว ใบหน้าจึงยิ่งเบิกบานใหญ่
“เอาล่ะแม่แย้มไปพักผ่อนก่อนเถอะมาเหนื่อย ๆ ซ้ำยังมาบอกข่าวเล่าเรื่องอีก ขอบใจเจ้ามาก คงกลัวเจ้าน้อยนอนไม่หลับสิท่า เอาหล่ะให้แม่อบพาไปพักเถิด อย่าลืมสำรับด้วยล่ะ วันพรุ่งค่อยมาหาข้าแต่เช้า อ้อ แม่เอิบช่วยหาข้าวปลา ที่หลับที่นอนให้ทั้งหมดที่มาด้วยล่ะ” คุณหญิงเห็นสีหน้าหลานสาวซึ่งเบิกบานใจแล้วจึงอยากให้แม่แย้มที่เดินทางมาไกล อาจเหนื่อยล้าต้องการพักผ่อน พร้อมกำชับคนสนิทให้จัดแจงที่อยู่และอาหารให้ผู้ที่เดินมางมาเหนื่อยๆ ทุกคน
“ขอบพระคุณท่านที่เมตตา แต่เห็นหน้าคุณน้อยแล้วก็ชื่นใจโตขึ้นเยอะ ทั้งอยากเล่าความของคุณพลับพลึงถึงลูกสาวท่าน หายเหนื่อยเจ้าค่ะพรุ่งนี้คงได้เล่าให้ฟังมากกว่านี้ คงอยากรู้หลายเรื่อง ถ้าอย่างนั้นอิฉันลาเจ้าค่ะ” แม่แย้มค่อยๆ เลื่อนตัวลงจากตั่งเดินตามแม่อบสู่เรือนด้านซ้ายอันเป็นที่พัก
“ดูสิ ยิ้มไม่หุบเลยน่ะเจ้า คงดีใจใช่ไหมที่พ่อกับแม่เจ้าจะมาหา ดูสิข้าคงจะต้องถูกแม่เจ้าว่าให้เป็นแน่เลี้ยงหลานอย่างไรถึงได้แต่งตัวเป็นชายเยี่ยงนี้ เนื้อตัวมอมแมมเชียว วันนี้ท่านตาไม่ได้ไปไหนกระมังเจ้าพันถึงไม่ได้ตามไปด้วย ” คุณหญิงกล่าวประชดหลานรักเล็กน้อย พลางปรายตามองสามีซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ มืออันอ่อนโยนทั้งของท่านตาลูบหัวปลอบโยนและเห็นใจเด็กน้อยอันยังไม่ประสีประสา รู้สนุกไปวันๆ
“ท่านตาท่านยายเจ้าขา ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ๆ จะกลับมาอยู่กับน้อยเลยหรือไม่เจ้าค่ะ แล้วถ้าพี่ใหญ่มาเรียนภาษาปะกิดจริง หลานขอตามไปเรียด้วยได้ไหมเจ้าค่ะ” ความสงสัยและความอยากทำให้เด็กน้อยต้องการรู้
“อันนี้ตาก็ไม่รู้เหมือนกัน พ่อเจ้าต้องทำงานรับใช้บ้านเมืองอีกมา ส่วนเรื่องภาษาปะกิดนั้น เอาอย่างนี้ดีไหมเข้าวังกับพี่เจ้า เจ้าจอมจะได้เมตตาสอนให้ ว่าอย่างไรคุณหญิง” การปรึกษาอนาคตหลายสาวย่อยๆ ได้เริ่มขึ้น แต่ใจผู้เป็นตาเองนั้นยังไม่อยากให้หลานจากไกลเลย
“ยังเล็กนักน่ะค่ะ แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้เรียบร้อย ไม่ประดักประเดิด อิฉันจะได้มีผู้ช่วยเป็นหูเป็นตาเรื่องการบ้านการเรือนเมื่อแก่ด้วย ” คุณหญิงเอื้อนเอ่ยอย่างเห็นดี แต่ผู้เป็นหลานหาได้สนใจคำตอบไม่เพราะการอ่านหนังสือ ได้อยู่กับพี่สาวหล่อนนั้นเป็นสิ่งที่คาดหวังไว้มาก อีกทั้งหล่อนยังเล่นสนุกมานานแล้ว อีกเพียงขวบเดือนเท่านั้นเอง
********************************************************************
“ไอ้จุกแกว่าพ่อกะแม่ข้าจะจำข้าได้ไหมว่ะ” เสียงเล็กๆ ถามเด็กชายไว้ผมจุกกลางศรีษะ นั่งอีกฟากของเรือนท่าน้ำที่กำลังใช้มือสาวเอากอที่เด็กน้อยมองไม่เห็นเข้ามาไกล้ตัว
“โธ่ คงจำได้น่าคุณน้อย พ่อกับแม่ใครบ้างจะจำลูกตัวเองไม่ได้” คนถูกถามตอบแบบไม่หันมามอง ทั้งหงุดหงิดที่ถูกตามแต่เช้า ข้างยังไม่ได้กินดีนะที่มีขนมทองม้วนกรอบของโปรดขวดโหลใหญ่มาด้วย
“แล้วเอ็งว่า พ่อกะแม่จะด่าข้าไหมที่ฝึกดาบด้วย แถมยังแอบไปเรียนหนังสือที่วัดกะพี่พลอีกด้วย เรื่องดาบข้าไม่ห่วงเท่าไหร่ แต่เรื่องหนังสือนี่แม้แต่ท่านตาท่านยายยังไม่รู้เลย” ความกังวลถึงความลับที่ไม่บอกให้ใครรู้เกี่ยวกับแอบตามพี่พลลูกชายพระสุนทรข้างบ้านอายุมากกว่าเจ้าหล่อนเพียงปีเศษ ไปเรียนหนังสือที่วัดมาแล้วเกือบ 3 โดยอ้างชื่อท่านตาหล่อน ตอนนี้หล่อนสามารถอ่านหนังสือคล่องแม้แต่พี่พลยังอ่านไม่คล่องนัก ท่รวมทั้งท่านเจ้าคุณที่วัดยังแปลกใจที่หล่อนอ่านคล่องขนาดนี้ ท่านเลยเต็มใจสอนให้มากกว่าคนอื่นๆ
สายลมเอื่อยๆ พัดผ่านใบมะพร้าวสูงเด่นใกล้เรือนท่าน้ำ บัดนี้ใกล้เที่ยงแล้วยังไม่เห็นวี่แววของเรือจากพิษณุโลกเลย เมื่อเช้านี้เด็กน้อยตื่นแต่ยังไม่สว่าง โดยไม่ต้องให้พี่เพรา พี่เลี้ยงต้องคอยปลุกดังเช่นเคย ล้างหน้า ประแป้งบนใบหน้าขาวผ่อง หอมกรุ่นแป้งร่ำ ผมเกล้าเป็นจุกไว้กลางกระหม่อม ปักด้วยปิ่นของฝากจากท่านพ่อและท่านแม่เมื่อครั้งก่อน โจงกระเบนสีเหลืองอ่อนยกลายดอกพิกุล เสื้อคอกระเช้าสีเหลืองนวล คาดเข็มขัดทองซึ่งท่านยายมอบให้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ยามเที่ยงนี่แสนร้อนนัก ดีหน่อยที่ศาลาท่าน้ำแห่งนี้ร่มรื่นไม่อย่างนั้นคงเฉาตายก่อนที่เรือจะมา ถึง เมื่อไหร่หนอจะมาถึง เมื่อไหร่หนอจะได้เห็นหน้าพ่อและแม่ พี่ๆ หล่อนหน้าตาจะเปลี่ยนไปจากเมื่อปีที่แล้วหรือไม่ พ่อกับแม่จะดีใจบ้างไหมเมื่อเจอหน้าลูกสาวคนนี้ สายน้ำทำไมไม่ไหลเร็วกว่านี้เรือจะได้แล่วฉิว แล้ว .... ดวงตาอันกลมโตบัดนี้ค่อยๆ หรี่ลง ปิดสนิทในเวลาต่อมา
“แม่วาดเจอคุณน้อยบ้างไหม ฉันตามหาจะให้รับข้าวเที่ยงหาตั้งนานยังไม่เจอเลย ” เสียงพี่เลี้ยงถามหาเจ้านายน้อยไปทั่ว แต่ไม่มีใครเห็นเลย
“ปัดโธ่เอ้ย คุณน้อยยังไม่ได้รับอะไรเลยแต่เช้าไม่รู้เป็นลมอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ นี่ท่านพระยากับคุณหญิงจะว่าอย่างไรบ้างนี่ สงสัยไอ้จุกตัวแสบก็ไปด้วยหายหัวเชียว” เสียงถอนหายใจของพี่เพราส่งท้ายหลังที่เร่งรีบไปทางเรือนพักด้านขวา หารู้ไม่ว่าคนที่ห่วงนั้นแอบเอาโหลทองม้วนกรอบกอดไว้ข้างกายทั้งที่ยังหลับ
ผลงานอื่นๆ ของ #my mind# ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ #my mind#
ความคิดเห็น