College of Dramatic Arts…ศิลปะ วิทยาลัย ความรัก หัวใจอุ่นๆ - นิยาย College of Dramatic Arts…ศิลปะ วิทยาลัย ความรัก หัวใจอุ่นๆ : Dek-D.com - Writer
×

    College of Dramatic Arts…ศิลปะ วิทยาลัย ความรัก หัวใจอุ่นๆ

    อุ่น นักเรียนใหม่ที่ เรียบร้อย แสนดี ผู้ย้ายเข้ามาเรียนในวิทยาลัยเพราะหนีความช้ำจากโรงเรียนเก่า ต้องมาพบกับ น้ำหนาว ผู้แสนเย็นชาดั่งชื่อ ผู้ที่จะครองหัวใจไอ้อุ่นผู้แสนดี รักครั้งนี้จะเป็นอย่างไร

    ผู้เข้าชมรวม

    6,869

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    37

    ผู้เข้าชมรวม


    6.86K

    ความคิดเห็น


    116

    คนติดตาม


    557
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  32 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  11 พ.ย. 60 / 17:34 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ตอนที่ 1 วันเปิดเทอม

    เมื่อรถเก๋งสีเทาเลี้ยวเข้าประตูหน้าโรงเรียน ผมสัมผัสได้ถึงชีวิตใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนไป วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก เท่าที่โรงเรียนแห่งนี้มีความพิเศษไปกว่าโรงเรียนทั่วไปหลายอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งแรกที่เห็นก็คือเด็กนักเรียนผู้หญิงเกือบจะทั้งโรงเรียนไว้ผมยาวและถูกมัดไว้เป็นหางม้าและผู้โบว์สีดำตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นจนมัธยมปลาย อย่างที่สองคือเด็กผู้ชายชั้นมัธยมปลายทุกคนสวมกางเกงสีกากีขายาวเป็นยูนิฟอร์มเอกลักษณ์ของโรงเรียนนี้ จะว่าไปเรียกโรงเรียนก็คงไม่ถูกนักเพราะที่นี่เป็นวิทยาลัยด้านศิลปะแห่งหนึ่งที่มีประวัติมายาวนาน บรรยากาศโบราณของพระอุโบสถหลังใหญ่ภายในโรงเรียนที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือจะต้องไหว้หลังจากเดินเข้าประตูมา ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นวังเก่าแก่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นกันเลยทีเดียว ต้นลั่นทมและต้นแก้วอายุน่าจะไม่ต่ำกว่า 50 ปีช่วยทำให้บรรยากาศที่นี่ดูน่าเกรงขามมากกว่าโรงเรียนที่ผมอยู่มาก่อนหลายเท่า


    เอ้า!ลงไปได้แล้ว แกจะต้องลงตรงนี้แหละเพราะแกจะนั่งรถเข้าไปกับฉันในโรงเรียนไม่ได้หรอก ประเดี๋ยวคนเค้าจะค่อนแคะฉันได้” เสียงผู้หญิงที่ผมเกรงกลัวเหลือเกินมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วผมก็ยกมือสวัสดีพร้อมกล่าวขอบคุณ “คุณป้า” ไปพร้อมๆกัน หลังจากนั้นจึงก้าวลงจากรถ และปล่อยให้รถคันนั้นผ่านไป ช้าๆจนลับตาผมไป ผมยังคงยืนงงอยู่ตรงนั้นเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน เนื่องจากผมพึ่งย้ายมาเรียนที่นี่เป็นวันแรก



    ผมพยายามมองหานักเรียนที่แต่งตัวคล้ายๆกับผมว่าพวกเขาเดินกันไปทางไหนกัน ผมเดินผ่านเรือนไทยทรงประยุกต์สีเขียวจางๆที่เหมือนว่าจะทำเป็นห้องอำนวยการอะไรสักอย่าง แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ถัดจากเรือนไทยไปนั้นมีต้นไทรต้นใหญ่พอประมาณที่กิ่งก้านสาขาจะปกคลุมบริเวณนั้นอยู่จนทึบและทำให้ผมมองเห็นโรงอาหารที่ค่อนข้างจะคึกคัก เพราะไม่ใช่เพียงแต่เป็นโรงอาหารของนักเรียนเท่านั้นที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมของร้านอาหารสำหรับข้าราชการและพนักงานบริเวณใกล้เคียง แถมยังมีนักศึกษาที่มาใช้พื้นที่โรงเรียนเดียวกันกับผมเป็นสถานที่เรียนด้วยเรียกได้ว่าเป็นศูนย์อาหารย่อมๆเลยทีเดียว


    “อุ่นใช่ไหม?” เสียงเรียกจากด้านหลังเป็นเชิงถาม ทำให้ผมหันกลับไปมองเสียงนั้นด้วยความแปลกใจว่าใครกันหนอที่รู้จักชื่อผมด้วย

    “แป้ง!!” ผมเรียกชื่อนั้นด้วยเสียงอันดัง เด็กนักเรียนชายใส่ชุดนักเรียนเหมือนผมดูสะอาดตา ตัดกับผิวที่ช่างแสนจะตรงข้ามกับชื่อของมันโดยสิ้นเชิง ใช่ครับไม่ผิดหรอกครับ มันชื่อแป้ง มาจาก”แป้งแคร์”ที่สมัยเด็กๆผู้ใหญ่ชอบทาตัวให้เด็กๆนั่นแหละครับ  ผมเคยถามมันว่าทำไมพ่อแม่ถึงตั้งชื่อนี้ให้ มันบอกว่า “เพราะแม่เราอยากให้ขาวเหมือนแป้งไง” ผมได้แต่อมยิ้มไปกับการตั้งชื่อที่ตรงข้ามกับตัวมันเหลือเกิน แน่นอนครับผมเพิ่งรู้จักไอ้แป้งตอนผมมาสอบเข้าที่นี่ มันก็ย้ายมาเหมือนกันกับผมแต่มันอยู่คนละแผนกกับผม ผมไม่แน่ใจว่าวันนั้นผมรู้จักมันได้อย่างไร รู้แต่ว่าแม่ของผมนั่งคุยกับแม่มันตอนที่มารอผมสอบเข้าที่นี่แหละ แม่ผมจึงบอกให้เรารู้จักกันไว้เผื่อจะได้ช่วยเหลือกัน


    ผมชื่อ “อุ่น” ครับ พ่อกับแม่เลิกกันตั้งแต่ผมยังเล็กๆ แม่เอาผมหนีไปอยู่กับยายเพราะไม่อยากให้ผมพบเจอกับพ่อ เพราะพ่อผมขี้เมาไม่อยากให้ผมเอาเป็นตัวอย่าง จึงถูกเลี้ยงแบบประคบประหงมดูแลเป็นลูกแหง่มาตั้งแต่เด็ก เปล่านะครับถึงผมจะถูกดูแลมาแบบนั้นไม่ได้หมายความว่าจะถูกตามใจจนเคยตัว ด้วยความที่ฐานะปานกลางของครอบครัวผม ทำให้ทุกคนต้องออกไปทำงานผมจึงถูกสอนให้ช่วยงานทุกอย่างเพื่อที่จะดูแลตัวเองได้ อันที่จริงพ่อผมก็เคยเป็นศิลปิน(ค่อนข้างมีชื่อเสีย)ที่เข้ามาสอนพากษ์โขนที่นี่นั่นแหละ แต่เขาตายตั้งแต่ผมอายุ 10 ขวบเห็นจะได้ แม่ผมพยายามทุกอย่างเพื่อให้ผมได้เรียนสูงๆ และไปให้ไกลจากวงการของพ่อเพราะตายายของผมเห็นจะไม่ชอบทางฝั่งพ่อเอาเสียเลยเพราะเห็นว่าเป็น “อาชีพเต้นกินรำกิน”


    แต่ทว่า.....ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เรื่องแบบนี้มันคงอยู่ที่สายเลือดกระมัง ผมก็กลับมาวังวนเดิมแห่งนี้จนได้แม้ผมจะไม่ได้เรียนรำเหมือนพ่อและคุณป้าของผมแต่ผมก็เรียนดนตรีไทยซึ่งมันก็คงศาสตร์เดียวๆกันนั่นแหละครับ นอกจากนี้เด็กๆผมยังไปแอบเต้นโขนที่โรงเรียนเก่าด้วยแต่แม่ไม่รู้หรอกเพราะไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ อย่างไรก็ตามคนเป็นแม่ย่อมรู้ดีว่าลูกเป็นคนอย่างไร ผลสุดท้ายห้ามไม่ได้ก็สนับสนุนไปเลย ต้องขอขอบคุณแม่นะครับที่ไม่กีดกันในเรื่องที่ผมเรียน


    “กินอะไรมายัง” ไอ้แป้งถามผมในขณะที่มันกำลังนั่งตักผัดซีอิ๊วเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ผมได้แต่พนักหน้ายิ้มๆ แล้วเดินไปซื้อน้ำเปล่ามานั่งเป็นเพื่อนมัน ผมถามมันว่าเราจะต้องไปที่ไหนเพื่อที่จะเข้าห้องเรียนตามชั้น “เอ็งก็เดินๆตามข้าไปนั่นแหละเดี๋ยวก็เจอเอง เชื่อข้าเอ็งไม่หลงหรอก” ผมได้แต่พยักหน้าหงึกตามมันแล้วนึกขำสรรพนามที่มันใช้แทนตัวเหมือนพระเอกลิเกยังไงอย่างงั้น ก็มันเป็นลูกนางเอกลิเกกับตัวร้ายในวิกดังแห่งเมืองสมุทรสาครจริงๆนี่ครับ เสียแต่ว่าตัวมันดำไปหน่อยไม่งั้นมันคงได้เป็นพระเอกสมใจแม่มัน แต่มันมาเรียนที่นี่มันได้เป็นตัวพระนะครับ หน้าตาถือว่าหล่อเลยทีเดียวปากนิดจมูกหน่อย สูงประมาณ 175 ซ.ม.ยิ้มออกมาทีเห็นฟันขาวทั้งแผง รวมถึงความมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีและสำเนียงเหน่อๆจริงใจผมว่าคนคงติดมันตรึมแน่นอน



    ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยสักพัก เสียงเพลงปลุกใจสมัยเก่าก็ดังขึ้น นี่คงเป็นเวลที่ผมต้องไปเข้าแถวแล้วสินะผมเดินตามไอ้แป้งไปที่หน้าโบสถ์ เพราะดูเหมือนนักเรียนทุกคนต้องมาเข้าแถวที่นี่ โรงเรียนผมพื้นที่มันไม่กว้างเท่าไรนัก นักเรียนทุกชั้นจึงต้องแบ่งพื้นที่รอบโบสถ์เป็นที่เข้าแถว ผมมองขึ้นไปที่ตึก 5 ชั้นก็มีเด็กมัธยมต้นเข้าแถวโดยมีอาจารย์ยืนถือไม้เรียวกำกับอย่างเป็นระเบียบผมเดินถามห้องที่ผมต้องไปเข้าแถวไปเรื่อยๆ นักเรียนทุกคนดูท่าจะสนใจเด็กใหม่อย่างผมกับไอ้แป้งอยู่พอตัว จนในที่สุดผมก็หาเพื่อนร่วมห้องเจอจนได้ไอ้แป้งอยู่ห้องถัดไปจากผม ผมจึงเลือกที่จะยืนใกล้มันไปก่อนเพราะผมก็ไม่รู้จักใคร


    “เห้ยมึงไอ้เด็กใหม่ชื่อไรวะ?” เสียงเด็กผู้ชายกวนๆถามผม “อุ่น” ผมตอบสั้นๆสีหน้าปรกติ ทำให้มันถามผมอีกครั้ง

    “มึงเรียนไรวะ?”

    “ซอสามสาย” ผมตอบแบบนิ่งๆ “โหผู้ดีด้วยว่ะ เรียนซอสามสายซะด้วย” เสียงแซวมาจากด้านหลังของผมอีกครั้ง ผมก็ได้แต่ยิ้มไม่ได้โต้ตอบอะไร


    เด็กผู้หญิงหน้าสวยหันหน้ามาบอกผมว่า “เราเรียนตั้งสามปีพึ่งเคยเห็นมีคนเรียนเครื่องมือนี้ด้วย” “ยินดีที่ได้รู้จักนะเราชื่อแตงนะ เอกจะเข้” เธอยิ้มให้ผมจนตามิด ผิวขาวแก้มป่องหน้าเป็นมิตรทำให้ผมพอใจชื้นขึ้นมาว่าอย่างน้อยคงมีเพื่อนบ้างแล้วแหละ เด็กใหม่อย่างผมคงไม่เหงาหรอกมั้ง

    ถ้าจะมองโดยภาพรวมแล้วผมว่าจำนวนผู้ชายกับจำนวยผู้หญิงในโรงเรียนนี้ดูจะแตกต่างกันมาก ในระดับชั้นหนึ่งมีประมาณ 6 ห้องมีผู้ชายเป็นจำนวนไม่ถึงครึ่งห้อง เรียกได้ว่าเกือบจะไม่ถึง 20 เปอร์เซนต์ซะด้วยซ้ำแถมในนั้นจะมีผู้ชายแท้ๆสักกี่คน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผมคนหนึ่งล่ะฮ่าๆๆๆ

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น