ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The winner อัธพาลร้ายลวงหัวใจยัยนักโทษ (แก้ไขเสร็จแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #9 : 8 : เหตุการณ์มันพาไป

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 55


    8

                เหตุการณ์มันพาไป

                    เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ... ถ้าฉันไม่เข้าไปจับหมัดเขาทันเสียก่อน หนึ่งในแก๊งบืบอยพวกนั้นต้องหน้าเละกลับบ้านไปแน่ ๆ เฮ้อ สังหรณ์อะไรไม่เคยผิดเลยนะเนี่ยฉัน พอฉันเข้าไปจับหมัดของเขาพร้อมกับ ... ชูกล่องเซฟที่ใส่กุญแจโกดังเรียบร้อยโชว์ตระหง่านตรงหน้า เฮดโฟนก็ถึงกับทำสีหน้าช็อกโลกไปเลยทันที ! ฮ่า ๆๆๆๆ ตอนนี้ฉันรู้สึกทั้งฮาทั้งสะใจรวมกันจนอธิบายไม่ถูกเลยแหละ ฮ่าๆๆ

                    “ธะ ... เธอ !!! เธอ !” เฮดโฟนเบิกตากว้างอย่างทำอะไรไม่ถูกก่อนจะตะโกนแค่สรรพนามนั้นเท่านั้น โห ... ช็อตนี้เป็นอะไรที่น่ายกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายไวแฉซะจริง ๆ

                    “อา ... ไหน ๆ ก็มาถึงร้านราเม็งเอเท็นแล้ว ฉันไม่เดินผ่านไปให้เสียเที่ยวหรอก” ฉันปล่อยมือเขาลงก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้านราเม็ง แต่ก็ถูกมือหนารั้งแขนไว้ซะก่อน

                    “นี่เธอหลอกฉันเหรอเนี่ย !!!!!!” เฮดโฟนตะคอกใส่ฉันดังลั่นจนผู้คนที่เดินผ่านมาสะดุ้งกันไปตาม ๆ กัน ทำให้ฉันหันไปจุ๊ปากใส่เขาทีหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มสะใจออกมาเผชิญหน้ากับเขา

                    “ต้องให้พูดอีกเหรอ ... มันก็สมควรแล้วล่ะน้า ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ ฉันอาจจะถูก แมวขโมยมาฉกกุญแจไปก่อนก็ได้ ” ฉันพูดพร้อมกับยักคิ้ว “แต่เสียอยู่อย่าง ถึงมันจะแย่งไปได้แต่ พวกนั้นก็ไม่สามารถเปิดเอากุญแจได้อยู่ดี ~” ฉันว่าพร้อมกับชูกล่องที่มีแพงตัวเลขให้เขาเห็นเป็นขวัญตาอีกรอบ

                    กุญแจโกดังมันไปอยู่ในนี้กล่องนี้ได้ยังไงกันงั้นเหรอ ... ก็เพราะตอนที่อยู่ในหลืบไงล่ะ ตอนที่ฉันอยู่ในหลืบนั้น ฉันกำลังจัดการตั้งรหัสกล่องเซฟพร้อมกับใส่กุญแจเข้าไปอยู่น่ะ แต่มันก็เกือบจะไม่สำเร็จนะ เพราะอีตาบ้านั่นดันพิเรนทร์พรวดพราดหันมาปุบปับ ทว่า ... สุดท้ายฉันก็ใส่กุญแจนั่นโดยไม่ให้เขารู้สำเร็จได้อยู่ดี อุวะฮ่าฮ่า  

                    “นี่เธอ !!!!!!!!” เขากดเสียงต่ำพร้อมกับมองมาที่กล่องใส่กุญแจที่อยู่ในมือฉัน

                    “เอาไปซี่ ... อยากได้นักไม่ใช่หรือไงกันเล่า” ฉันพูดพร้อมกับพยักพเยิดกล่องไปทางเขา แต่หมอนั่นกลับไม่เอื้อมมือมารับแฮะ อะไรกันเนี่ย ฉันอุตส่าห์ให้แล้วนะ เหลือแค่ต้องไปหารหัสทั้งหมดสี่ตัวก็เท่านั้นเอ๊งงง ~

                    “และจะให้ฉันเอาไปทำซากขี้ไก่อะไรกันล่ะ ยัยบ้า ! โอ๊ย ! ฉันล่ะอยากจะฆ่าเธอจริง ๆ” เฮดโฟนปล่อยมือฉันพร้อมกับขยี้ผมตัวเองเหมือนคนกำลังจนตรอก ฮะ ๆ ฉันรู้สึก โคตรเหนือกว่าสุด ๆ เลยแหละ

                    ฉันยักไหล่อย่างไม่แยแสในท่าทางและคำพูดของเขาก่อนที่จะเดินไปที่ประตูร้านราเม็งอีกครั้ง แต่อีตาเฮดโฟนก็ส่งเสียงมาเรียกรั้งฉันไว้อีก

                    “เฮ้ ! อย่าบอกนะว่าเธอ ... ”

                    “ทำไม ? ก็ฉันหิวนี่นา ไม่รู้แหละ ฉันไม่มาให้เสียเที่ยวหรอก ~

                    “คราวนี้ฉันไม่เข้าไปกับเธอแน่ !

                    “ถ้าอยากให้กุญแจมันหายสาบสูญไปก็เชิญ ~

                    “โธ่เว้ย !

                    เฮดโฟนทำได้แค่สบถอย่างหัวเสียเท่านั้น แต่ก็ต้องเดินตามหลังฉันมาอยู่ดี สายตาฉันมองไปเจอพวกแก๊งบีบอยนั่นกำลังนั่งโซ้ยราเม็งอย่างหิวโหย จู่ ๆ ภาพที่พวกนั้นถูกคิดตังค์ค่าราเม็งก็วาบขึ้นมาในหัว ท่าทางคงจะช็อกแน่ ๆ ล่ะเมื่อถึงเวลาจ่ายตังค์ค่าราเม็งอ่ะ ฉันเลยเลือกที่นั่งที่ไกลจากสายตายของพวกแก๊งนั่นมากพอสมควร ไม่งั้น ... ฉันอาจจะถูกประนามและหมายหัวก็เป็นได้

                    หลังจากที่หาที่นั่งได้แล้ว ฉันก็เลือกเมนูราเม็งที่ชอบกินมากที่สุด ขอบอกว่าร้านราเม็งนี้ เมนูเขาสุดยอดจริง ๆ สามารถนำเอาวัตถุดิบต่าง ๆ มาเเมตช์กันได้ แบบ ... หืม ~ นึกแล้วน้ำลายก็ไหลเลย ถ้าชามมันเล็กกว่านี้นะ จะกินสักสามชามเลย !

                    พอฉันเลือกเมนูได้แล้ว ฉันก็จะยื่นเมนูไปให้เฮดโฟนที่นั่งตรงข้าม แต่เขากลับเสมองทางอื่นทำเป็นไม่รับเมนูจากฉัน

                    “ไม่กินหรือไง ราเม็งอ่ะ” ฉันวางเมนูลงไปที่โต๊ะทางเขาอย่างแรงจนเจ้าตัวหันมามองหน้าฉันอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

                    “ไม่กิน ! แล้วอย่าริมาบังคับฉันให้กินล่ะ”

                     “เรื่องอะไรฉันจะบังคับนายเรื่องนั้นกันล่ะ ฉันไม่ใช่พวกชอบเอาแต่ใจนะ ถ้าไม่จำเป็น”

                    “ถ้าไม่จำเป็น ... เฮอะ ที่ฉันไม่กินเพราะฉันกลัวว่าเงินในบัตรเครดิตฉันจะหมดซะก่อนน่ะสิ นี่ฉันกำลังนั่งคำนวนอยู่นะเนี่ย” เฮดโฟนพูดทวนคำหลังของฉันอย่างประชดชัน ก่อนที่จะพูดถึงสาเหตุที่เขาไม่สั่งราเม็ง โธ่ ... ที่ไหนได้ ก็กลัวเสียเงินกับราเม็งราคา ... แพงระยับนี่เอง

                    “ไม่น่าเชื่อ ว่าขาโหดอย่างนายจะกลัวเรื่องการเสียเงิน ?”

                    “มนุษย์คนไหนอยู่บนโลกใบนี้ได้โดยที่ไม่มีเงินได้บ้างล่ะฮะ !

                    “ก็จริงอ่ะ เพราะฉะนั้นก็ดีที่นายไม่สั่ง และก็เป็นโชคดีของนายที่ร้านราเม็งร้านนี้กินแค่ชามเดียวก็อิ่มไปยันพรุ่งนี้เลย” 

                    “เหอะ”

                    ไม่นานนักก็มีบริกรมารับออเดอร์ แถมยังสาวยังสวยอีกต่างหาก ฉันที่สั่งออเดอร์ไปนานแล้วถึงกับงงว่าทำไมบริกรสาวคนนี้ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน พอมองไปตามสายตาก็พบว่าเธอมองไปที่ ... เฮดโฟน

                    มองไปที่เฮดโฟนนี่นะ ! อเมซิ่ง !

                    ฉันหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่เสียมารยาทมากนัก ผ่านไปหนึ่งนาทีได้บริกรคนนั้นถึงจะเดินออกไปได้ แถมยังอารมณ์เสียที่ไม่สามารถทำให้นายเฮดโฟนหันมาสนใจได้อีกต่างหาก ฮะ ๆ ฉันล่ะอยากจะตะโกนใส่หน้าเธอจริง ๆ ว่า คนแบบนี้ อย่าไปมองเลยพี่สาว ฮะ ๆ

                    “หัวเราะอะไร” เฮดโฟนที่นั่งมองข้างนอกร้านผ่านกระจกร้านอยู่นั้นหันมาถามฉันที่นั่งหัวเราะอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า (ประโยคนี้ฟังเหมือนด่าตัวเองเลยเนอะ)

                    “สนใจด้วยหรือไงกัน” ฉันถามด้วยรอยยิ้มล้อเลียน

                    “สนดิวะ ... ผู้หญิงมามองฉัน จู่ ๆ เธอก็ขำ แทนที่เธอจะแบบ ...”

                    “แบบอะไร”

                    “แบบจิกตากัดใส่ยัยบริกรคนนั้นซะอีก”

                    “แน่ใจนะ ว่านั่นคือปากน่ะที่พูดออกมา ฉันไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกน่า รู้มั้ยว่าที่ฉันหัวเราะเพราะอะไร”

                    “เพราะอะไร -_-

                    “เพราะมันน่าตลกน่ะสิ ที่มีผู้หญิงมามองนายน่ะ ฮะ ๆ ตลกชะมัดยาด”

                    “มันตลกตรงไหนกันเนี่ย ?” เฮดโฟนทำท่าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

                    “มันตลกตรงที่ว่าคนอย่างนายก็มีหญิงมามองด้วยเหมือนกันนะเนี่ย โคตรอเมซิ่งเลย !

                    “เหอะ ... คนมันหน้าตาดีก็อย่างนี้ล่ะนะ”

                    “ช่างกล้า ... ”

                    “เงียบไปเลย !!!!

                    เฮดโฟนตวาดใส่ฉันอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะมองไปที่กระจกร้านที่กำลังนั่งพิงอีกครั้ง ฮะ ๆ ฉันล่ะช๊อบชอบกับการกวนประสาทคนแบบนี้น่ะ ตามจริง มันก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีผู้หญิงมามองเขาน่ะ ฉันแค่แกล้งพูดให้เสียความมั่นใจไปงั้นแหละ

                    ไม่นานนักราเม็งชามโตก็มาวางตระหง่านตรงหน้าฉัน แต่ ... เมื่อชามราเม็งถูกวางไว้ แล้วฉันก็กำลังหยิบตะเกียบขึ้นมากิน ฉันกลับรู้สึกว่า ... พนักงานเสริฟ์ยังไม่เดินไปไหน พอหันไปมอง ก็เป็นอย่างที่รู้สึกจริง ๆ แต่พนักงานเสิร์ฟคนนั้นกลับมองฉันเหมือนจะมองให้ทะลุเข้าไปในร่างกายส่วนในของฉันไปเลย

                    ฉันแย้มยิ้มแก้เก้อส่งไปให้เขา อย่างต้องการคำตอบว่าเขายืนมองฉันอยู่ทำไมกันทั้ง ๆ ที่ตอนนี้คนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ พอได้เห็นรอยยิ้มของฉัน เขากลับหน้าแดงแล้วเดินกลับไปเลย =_=

                    ฉันทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปทิศทางเดิม พอหันไปแล้วฉันก็เห็นเฮดโฟนกำลังมองมาทางฉันอยู่ ทว่าพอฉันหันไปเท่านั้นแหละ เขาก็หันกลับไปมองกระจกที่เดิมทันที เฮ้ย ... อะไรเนี่ย นั่นมองหน้าแล้วก็เดินหนี นี่มองหน้าแล้วก็หันหนี อะไรกันวะเนี่ย 

                    ฉันทำสีหน้าเหนื่อยใจก่อนที่จะลงมือกินราเม็งที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ตามจริงก็ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอก แต่พอได้กลิ่นแล้วเห็นหน้าตามันก็พาลหิวขึ้นมาทันทีทันใดเลยแหละ *O*

                    “ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่แย่งเธอหรอก ผู้หญิงบ้าอะไรกินเก่งชะมัด” เสียงพึมพัมของเฮดโฟนที่กำลังมองภาพภายนอกของกระจกร้านอยู่นั้น ทำให้ฉันที่กำลังงุ่นอยู่กับการกินราเม็งต้องเงยหน้าไปมองเขาทันที เฮ้ ... ถ้าเขามองกระจกอยู่ ตอนนี้คนก็เยอะ แล้วเขารู้อิริยาบถของฉันได้ยังไงกันน่ะ

                    ฉันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำที่เขาพูดแล้วกินต่อ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วฉันได้ยินเต็มสองรูหูเลยแหละ และจู่ ๆ

                    ทำไมฉันถึงรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกเลยล่ะเนี่ย แถมยังรู้สึกเกร็งจนต้องนั่งหลังตรงอีกต่างหาก นี่ไม่ใช่ว่าฉันเขินหรอกนะ -////-

    ~

                    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำให้ฉันที่เพิ่งกินราเม็งเสร็จต้องหันไปสนใจกับที่มาของเสียงทันที ปรากฏว่า ... เป็นเสียงโทรศัพท์มือถือของเฮดโฟนนั่นเอง เฮดโฟนรีบหยิบมันขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย

                    “ฮะ ! อะไรนะ ไอ้พวกนั้นจะมาที่นี่เหรอ” น้ำเสียงตกใจของเฮดโฟนทำให้ฉันต้องหันไปมองขวับทันที ปลายสายได้บอกอะไรกับเขากันนะ เขาถึงมีสีหน้าแตกตื่นขนาดนั้น

                    “แล้วมันรู้ได้ยังไงกันเนี่ย ! ฮึ่ย ... เออ ๆๆๆ” เฮดโฟนวางสายด้วยใบหน้าที่มีความเครียดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะควักเงินมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วรีบคว้าข้อมือของฉันให้วิ่งออกจากร้านทันที ! อะไรกันเนี่ย เกิดอะไรขึ้น !

                    “นี่นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย เฮดโฟน” ขาของฉันต้องเดินเร็วตามเขาไปด้วยเพราะถ้าไม่เดินให้เร็วล่ะก็ ฉันได้หน้าคว่ำแน่ ๆ ล่ะ จะรีบไปไหนกันเนี่ย ขาฉันจะขวิดกันอยู่แล้วนะ

                    “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้เราไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้อีกแล้ว”

                    “ทำไมล่ะ ?” ฉันถามด้วยสีหน้ามึนงง ขนาดที่ช่วงขาของตัวเองก็ก้าวฉับ ๆ ตามเขาอย่างอัตโมมัติ ถ้าฉันใส่ส้นสูงล่ะก็นะ ... ฉันได้ลงไปนั่งจมปุ๊กคลุกกับพื้นเป็นแน่แท้

                    “เพราะมีคนกำลังไล่ตามเรามาน่ะสิ”

                    “แล้วเป็นใครกันนายถึงได้ร้อนรนขนาดนี้น่ะ ไม่สมกับที่เป็นขาโหดเอาซะเลย” ฉันเบ้หน้าด้วยความเจ็บที่ข้อมือไปแวบหนึ่งทันที เมื่อมือหนาที่กำลังจับข้อมือฉันอยู่นี้เพิ่มแรงบีบอย่างแรงมาช่วงหนึ่งก่อนจะคลายออกมาเหมือนเดิม หมอนี่จงใจแกล้งฉันหรือเปล่าเนี่ย ไอ้ตอนเมื่อกี้ฉันโคตรเจ็บเลยนะ

                    “ไม่ต้องถามมากหรอกน่า เดี๋ยวก็รู้” เฮดโฟนพาฉันเดินไปเรื่อย ๆ พร้อมกับที่ก้าวขาของเขาก็เพิ่มแรงเดินมากขึ้น นั่นก็เท่ากับว่า ... ฉันเองก็ต้องเพิ่มแรงเดินมากเช่นกัน -___- แกรีบมากเลยเหรอนายเฮดโฟน !

                    “เฮดโฟน ! นายไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้ ขาฉันจะฉีกแล้วววววว” ฉันโอดพร้อมกับพยายามยื้อตัวเอง สุดท้ายมันก็ได้ผล เฮดโฟนหยุดเดินพร้อมกับหันมาทำหน้าเครียดใส่ฉัน

                    “โธ่ ... อดทนหน่อยไม่ได้หรือไงกัน ถ้าเราหยุดพวกนั้นอาจจะตามเรามาทันก็ได้”

                    “แล้วไงล่ะ ฉันเองก็อยากเห็นมันเหมือนกัน หยุดรอมันหน่อยจะเป็นไรไป”

                    “พูดไปได้เนอะ -_- ถ้าไม่เป็นไรฉันไม่พาเธอออกจากร้านราเม็งนั่นหรอก”

                    “วางตังค์ให้เขาครบหรือเปล่าก็ไม่รู้ -3-”

                    “มันใช่เวลาที่จะมาเถียงเรื่องค่าราเม็งมั้ยเนี่ย”

                     “...” ฉันถอนหายใจพร้อมกับหันไปรอบ ๆ ตัว ปรากฏว่าตอนนี้ที่ที่ฉันกับเฮดโฟนหยุดยืนอยู่นั้น ดูเหมือนจะไม่มีผู้คนพลุกพล่านเลย นอกจาก ... พวกผู้ชายน่ากลัว ๆ ล่ำ ๆ ที่กำลังนั่งเสวนาปาร์ตี้คุยกันไปเรื่อยเปื่อยทางฝั่งตรงข้ามกับฉัน เมื่อฉันมองไปที่พวกนั้น ก็เหมือนกับพวกนั้นจะรู้ว่าฉันมองอยู่เลยมองมาทางฉันเช่นกัน ก่อนที่พวกมันจะ ... เลียริมฝีปาก เอ่อ คงไม่ใช่ว่าพวกมันคิดจะพิสวาสกับฉันหรอกนะ และก็ขออย่าให้มันเป็นอย่างที่ฉันสังหรณ์เลย =*=

                    พวกผู้ชายพวกนั้นขยับปากมุบมิบแต่สายตาก็มองฉันอยู่ เหมือนกับฉันเริ่มเป็นหัวข้อในการสนทนาของพวกเขา เอ่อ ... ฉันว่า ฉันเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วล่ะ เสียวสันหลังยังไงไม่รู้ เลยหันไปทางเฮดโฟนเพื่อเป็นสัญญาณให้รีบออกไปจากตรงนี้กันเถอะ เฮดโฟนพยักหน้ารับ ทว่า ... ก้าวขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ไอ้พวกนั้นก็เข้ามาดักหน้าดักหลังล้อมกันเป็นวงกลมเรียบร้อย

                     “จะรีบกันไปไหนจ๊ะ โฉมงาม ~” ไอ้คนตรงหน้าเฮดโฟนพูดเสียงหวานพร้อมกับส่งสายตากระลิ้มกระเหลี่ยมาทางฉัน พลันที่มือของมันก็จะเข้ามาจับแก้ม เฮดโฟนที่เห็นอย่างนั้นก็ปัดมือมันออกไปทันทีอย่างหงุดหงิด

                    “เฮ้ย ... ทำอย่างนี้อยากมีเรื่องนักหรือไง”

                    “ก็ไม่ได้อยากมีหรอก ... แต่ทางที่ดี แกอย่ามายุ่งกับเด็กผู้หญิงคนนี้จะดีกว่า” น้ำเสียงของเฮดโฟนดูเย็นชนจนทำให้ฉันถึงกับแอบอึ้งไปเลย นี่เขาเรียกฉันว่า เด็กผู้หญิง งั้นเหรอ ทำไมฉันถึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมานะ

                    “อย่ามาทำเป็นเก๊กทำท่าน่า ... ไอ้หน้าตาดี ! ถอยไปซะ !

                    “แล้วทำไมฉันต้องถอยด้วยล่ะ” ประโยคของเฮดโฟนทำให้ไอ้ล่ำตรงหน้าถึงกับจิ๊ปากอย่างไม่พอใจอย่างแรง ก่อนที่มันจะตีหน้าโหดใส่

                    “บ๊ะ ! ที่แกตอบอย่างนี้ แสดงว่าอยากตายก่อนใช้มั้ย เฮ้ย ! พวกแก เอาผู้หญิงหลบไปก่อนดิ๊ !” ทันทีที่ไอ้ล่ำนั่นออกคำสั่ง พวกที่ล้อมอยู่แถว ๆ ฉันก็เข้ามาจับตัวฉันทันที แต่พวกมันได้แค่จับแขนฉันเท่านั้น เฮดโฟนก็ ... ชักปืนกลที่ซื้อในร้านกิ๊ฟช็อปขึ้นมาจ่อไอ้พวกนั้นทันที

                    เพราะเหตุการณ์ในตอนนี้มันกำลังดราม่าอยู่ เลยทำให้ฉันหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ ...

                    “ปล่อยมือเธอซะ” สีหน้าและท่าทางของเฮดโฟนดูจริงจังมาก จนทำให้พวกที่เข้ามาจับแขนฉันต้องค่อย ๆ ผละหนีออกไป เฮดโฟนที่เห็นว่าพวกนั้นปล่อยฉันแล้วก็หันไปจี้เจ้าล่ำตรงหน้าอย่างกับจะฆ่าให้ตายด้วยปืนกลนี่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว มันเป็นของปลอมฉบับสมบูรณ์

                    “บอกให้พวกแกออกไปไกล ๆ ซะ ไม่งั้น ... แกไส้ทะลักแน่ !!!

                    “คะ ... คิดว่าฉันจะกลัวแกหรือไงกันเล่า !

                    O_O

                    ฉันถึงกับเบิกตาโพลงทันที เมื่อไอ้ล่ำตรงหน้าหยิบปืนลูกโม่ของจริงออกมาจ่อตรงหน้าเฮดโฟน ... มือของฉันกระตุกชายของเสื้อเฮดโฟนอย่างตกใจกับภาพตรงหน้า แต่เฮดโฟนก็ทุ้งศอกกลับมาเบา ๆ ประมาณว่า อย่าไปกลัวมัน ประมาณนี้ แต่จะไม่ให้กลัวได้ยังไงกัน มันปืนจริง เราปืนปลอมนะ !

                    “แกอย่ามาเสี่ยงดีกว่าน่า ... ระหว่างลูกโม่กับปืนกล อนุภาพมันต่างกันลิบลับเลยนะ” เฮดโฟนยังเล่นบทโหดต่อไป เขาแสยะยิ้มอย่างเหนือกว่าพร้อมกับขยับปืนเข้าไปใกล้หน้ามันมากขึ้น

                    “แล้วไงวะ ! ฉันไม่กลัวแกหรอก -O- !” เอ่อ ... เปลี่ยนคำดีกว่ามั้ยพี่ ตอนนี้ขาพี่สั่นพั่บ ๆ แถมน้ำเสียงก็ยังตรงข้ามกับข้อความเป็นไหน ๆ เลยนะ

                    “แล้วไอ้ท่าทางเหมือนลูกนกนี่ล่ะ จะเรียกว่าแกกล้าที่จะสู้กับฉันสินะ”

                    “ฮึ่ย !!!! ตายซะเถอะ !” ไอ้ล่ำตรงหน้าทำได้แค่เพียงวางนิ้วไปตรงที่เหนี่ยวไกปืนเท่านั้น เฮดโฟนที่ถือปืนซึ่งมีขนาดยาวกว่า ก็ฟาดเข้าไปที่ข้อมือที่กำลังถือปืนของมันทันที ! ปืนลูกโม่ล่นลงไปกับพื้น เหมือนกับส่งสัญญาณเรียกให้พวกที่อยู่       รอบ ๆ ฉันเข้ามาจับตัวฉันทันที ! คราวนี้พวกมันไม่รอช้าต่อไป เมื่อแตะเนื้อต้องตัวฉันพวกมันก็พยายามลากฉันให้ออกห่างจากเฮดโฟนทันที !

                    “เฮดโฟน !!!” ฉันตะโกนเรียกเขาดังลั่นพร้อมกับพยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากการเกาะกุมของไอ้พวกบ้านี่ ! ตอนนี้ฉันรู้สึกใจเสียสุด ๆ พร้อมกับฝากความหวังกับเขาไว้ ว่าเขาจะต้องช่วยฉันให้พ้นจากไอ้พวกนี้ให้ได้ ความหวังของฉันขึ้นอยู่กับเขาทั้งนั้นแหละตอนนี้

                    เฮดโฟนที่เห็นฉันถูกพวกมันพยายามพาให้ออกห่างก็รีบวิ่งเข้ามากระโดดถีบไอ้คนที่จับแขนฉันไว้ข้างนึงทันที แต่ฉันต้องร้องเสียงหลังเมื่อข้างหลังของเขากำลังมีหนึ่งในพวกนั้นยกไม้ง้างขึ้นมาจะตี ทว่าเฮดโฟนก็สามารถเอี้ยวตัวหลบมาได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะใช้ปืนทุบที่ท้ายทอยมัน ทำให้มันสลบไป ส่วนฉันเองที่ถูกจับแขนอีกข้างหนึ่งก็พยายามแงะแขนออกมาให้ได้ แต่แงะเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จแฮะจนเฮดโฟนต้องมาดึงมันออกไป พร้อมกับซัดที่หน้ามันไปทีนึง ก่อนที่จะเข้ามาจับไหล่ฉันแล้วถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง

                    “เธอ ... โอเคดีนะ”

                    “เฮดโฟน ระวัง !!!!” ฉันร้องลั่นอีกครั้ง เมื่อหนึ่งในพวกที่เหลือกำลังจะเข้ามาทำร้ายเขาตอนทีเผลอเฮดโฟนที่ได้ยินเสียงฉันก็หันหลังไปทันที เมื่อเฮดโฟนหันหน้าไปนั้น ... ปลายกระบอกปืนกลก็จิ้มเข้าที่หน้าอกมันอย่างจัง ก่อนที่เขาจะกดมันอย่างแรงอีกครั้ง แล้วถีบมันออกไปจนกระเด็นเซไปอีกทางหนึ่ง  

                    “เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” ฉันหันไปพึมพัมใส่เฮดโฟน ฉันเห็นแวบหนึ่งมุมปากของเขากระตุกยิ้มก่อนที่จะทำสีหน้าให้โหดเหมือนเดิม

                    “พวกแก ... ถ้าไม่อยากตาย หลีกทางออกไปซะ” เฮดโฟนพูดพร้อมกับจ่อปืนไปทางทั้งสามคนที่เหลืออยู่ “ไม่งั้นพวกแกไส้กระจุยแน่ !

                    “ฮึ่ย ! ฉันไม่ปล่อยยัยคนสวยนี่ไปแน่”

                    “ลองตามมาดูสิ ฉันจะ ... ”

                    แก๊ก ๆๆๆ

                    ซวยแล้วคุณผู้อ่าน ! ให้ตายสิ ... ไม่รู้อะไรมันทำให้เฮดโฟน ... เผลอกดที่เหนี่ยวไกปืนกลน่ะ !!!!!!! ตอนนี้ฉันช็อกมากจนทำอะไรไม่ถูก ด้วยความไวของเฮดโฟนเขาก็คว้าข้อมือฉันหมับแล้วพาฉันวิ่งหนีฝ่าพวกมันไปทันทีด้วยความเร็วจนฉันเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกันว่ามันเร็วขนาดไหน เอาเป็นว่า ... เร็วจนพวกมันทั้งสามคนล้มลงไปนอนเป็นกองเลยแล้วกัน

                    “หน็อยแน่ ... ที่แท้ปืนนั่นก็เป็นปืนปลอมนี่เอง ! เฮ้ย พวกเราลุกขึ้น แล้วรีบตามมันไปเร็ว !!!!!!

                    ด้วยความช็อกนั้นทำให้ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เราวิ่งไกลจากพวกมันมามากขนาดไหนแล้ว แต่ที่รู้ ๆ เสียงของตะโกนของมันอยู่ไกลจากที่ฉันกำลังวิ่งอยู่มาก ~ ฉันจำได้นะ ว่าเมื่อกี้ ... ฉันเพิ่งวิ่งผ่านพวกมันมาเองนี่ ... ทำไมเสียงตะโกนนั้นมันถึงได้ไกลเป็นโยชน์เลยล่ะ นี่ฉันกับเขาวิ่งเร็วมากกันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ! ไม่อยากจะเชื่อเลย

                    เมื่อวิ่งมาถึงหน้าปากซอยซอยหนึ่ง เฮดโฟนก็หยุดฝีเท้าพร้อมกับปล่อยข้อมือฉันให้เป็นอิสระ ตลอดที่วิ่งกันมานั้น ... เฮดโฟนไม่ได้ปล่อยข้อมือฉันเลยแต่อย่างใด แม้ว่าเราสองคนจะวิ่งกันเร็วขนาดไหนก็ตามที ขนาดเขาปล่อยข้อมือฉันแล้ว ฉันยังรู้สึกอุ่น ๆ ที่ข้อมือตัวเองอยู่เลย

                    “บ้าชิบ ! ทำไมจู่ ๆ นิ้วฉันก็บ้าจี้กดที่เหนี่ยวไกปืนขึ้นมาได้เนี่ย” เฮดโฟนพูดพร้อมกับยกปืนกลขึ้นมาตรงหน้า ก่อนที่จะทำหน้าตาอารมณ์เสียสุด ๆ

                    “พวกมันจะตามมาทันหรือเปล่าก็ไม่รู้อ่ะ” ฉันว่าก่อนที่จะมองไปข้างหลังอย่างระแวง มือข้างหนึ่งก็ยังกุมข้อมืออีกข้างที่เพิ่งถูกเขาปล่อยได้ไม่นาน

                    “ไม่รู้สิ ... เจ็บข้อมือเหรอไง ถึงได้กุมอยู่ได้น่ะ” เฮดโฟนว่าก่อนที่จะมองมาที่ข้อมือของฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง ฉันมองไปที่ใบหน้าของเขาที่สูงกว่าอย่างอัตโนมัติ แปลก ... ฉันไม่คิดเลย ว่าเฮดโฟนจะทำสีหน้าเป็นห่วงฉันถึงขนาดนี้น่ะ แล้วพอยิ่งนึกถึงตอนที่กำลังสู้กับไอ้พวกล่ำนั่น มันก็ทำให้ฉันแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่เลยทีเดียว ตอนนี้ความรู้สึกของฉันก็คือ ... ทั้งอบอุ่น และ ... หน้าอกข้างซ้ายก็เต้นผิดจังหวะไปนิดนึง

                    “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

                    “ฉันก็คิดว่าเธอเจ็บ”

                    “โธ่ ... จะไปเจ็บได้ยังไงกันเล่า ไม่ได้โดนมีดบาดนี่นา” ฉันพูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่น ทำให้ร่างสูงตรงหน้าพลางยิ้มไปด้วย

                    “ก็ดีแล้วล่ะ ...” สีหน้าอ่อนโยนและคำพูดของเขา ทำให้ทั้งฉันและเขาต่างเงียบกันไปแล้วหันไปทางอื่นทั้งสองฝ่าย ... และจู่ ๆ รอยยิ้มที่กลั้นเอาไว้ตั้งนานก็ผุดยิ้มขึ้นมาจนได้ ให้ตายสิ ... น่าอายชะมัดเลย ฉันจะยิ้มทำไมกันนะ ทว่า ... ฉันเองก็รู้สึกได้ว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวที่กำลังยิ้มอยู่ตอนนี้ เขาเองก็คงกำลังทำแบบฉันเช่นกัน

    ~

                    ระหว่างที่ฉันกำลังยืนยิ้มหันไปทางกำแพง (?) อยู่นั้น  เสียงโทรศัพท์มือถือที่คาดว่าน่าจะเป็นของเฮดโฟนก็ดังขึ้น ทำให้ฉันต้องหุบยิ้มและหันไปตามเสียงอย่างอัตโนมัติทันที เฮดโฟนเอาโทรศัพท์มือถือแนบกับหูก่อนที่จะพูดอะไรบ้างอย่างกับปลายสาย ซึ่งฉันเองก็เดาไม่ได้เหมือนกัน ว่าเรื่องที่เขาพูดอยู่นัยมันคือเรื่องอะไร

                    “ไม่ต้องแล้ว ! รีบมุ่งหน้ามาตามทางตั้งแต่ร้านราเม็งเอเท็นเลยนะเว้ย !

                    “โธ่ ... ฉันคนเดียวยังพอได้ แต่ตอนนี้ฉันมีคนอยู่ด้วย เลยไม่สามารถฉายเดี่ยวได้ไงล่ะ รีบ ๆ มาเดี๋ยวนี้เลยนะ !  

                     จากนั้นเฮดโฟนก็กดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือลงไปทันที

                    ฉันที่มองอิริยบถของเขาอยู่ก็เริ่มคิดได้ว่า ... ไหนเขาบอกว่าพวกเราโดนสะกดรอยตามมาตั้งแต่ต้นไง แต่ทำไม ... ตลอดทางที่ฉันวิ่งออกมาจากร้านราเม็ง ก็ไม่รู้สึกเหมือนมีคนวิ่งตามมาเลย ตามหลักแล้ว ถ้าไอ้คนที่กำลังสะกดรอยตามมันรู้ว่าเหยื่อรู้ตัว มันก็ต้องรีบวิ่งมาจับสิ แต่นี่อะไร ... ถ้าเราโดนสะกดรอยตามมาจริง ฉันกับเขาก็ต้องโดนไอ้พวกที่สะกดรอยตามจับได้ตั้งแต่หยุดตรงจุดพวกไอ้ล่ำนี่แล้วสิ หรือว่า ...

                    หมอนี่หลอกฉัน ?!

                    ฉันเม้มริมฝีปากพร้อมกับกำหมัดทันที เมื่อเริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ หน็อย ... จริง ๆ แล้ว หมอนี่ต้องการหลอกฉันมาที่เปลี่ยว ๆ เพื่อให้บอกรหัสกล่องกุญแจนี้ใช่มั้ย !

                    “เป็นอะไรของเธออีกล่ะ”

                    “นายหลอกฉันใช่มั้ย เฮดโฟน !” ฉันกดเสียงต่ำพร้อมกับใช้สายเย็นเยียบจ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลานั่น แต่ก็ไม่ยักจะสบตากับเขา ดันไปมอง ... จมูกเขาแทนเสียนี่ 

                    “หลอกบ้าอะไรเล่า ! เรื่องแบบนี้ใครมันจะไปพูดเล่นกันฮะ” เฮดโฟนกระชากเสียงสูง ก่อนที่จะหันหน้าไปทางอื่น      ฉันรู้สึกได้เลยว่าเฮดโฟนกำลังร้อนรนอย่างออกนอกหน้า วัดได้จากน้ำเสียงของเขา หมอนี่มันหลอกฉันชัวร์ !

                    “แล้วทำไมต้องทำเสียงสูงขนาดนั้น” ฉันพูดเสียงแข็ง ตอนนี้ฉันกำลังระงับอารมณ์โกธรเป็นที่สุดเลย !

                    “ฉัน ... ฉันแค่เหนื่อยก็เท่านั้นเอง !” เฮดโฟนพูดเบี่ยงเบนอย่างไม่สมเหตุสมผล ทำเอาฉันหัวเสียไม่น้อยเลย ฉันไม่ใช่เด็กนะ ที่จะมาพูดหลอกอะไรแบบนี้น่ะ

                    “ไอ้ที่นายบอกว่าโดนสะกดรอยตามนี่ ... นายกุขึ้นมาเองใช่ป่ะ”

                    “กุที่ไหนกันเล่า ! ฉันพูดจริง ๆ นะ”

                    “แล้วทำไม ... ตอนที่วิ่งออกมาจากร้านราเม็ง แล้วนายเองก็พูดกับฉันดังด้วย ฉันไม่เห็นรู้สึกมีคนตามหลังมาเลย และก็ ... ตอนที่หยุดอยู่ตรงไอ้ล่ำนั่นน่ะ ฉันไม่เห็นหัวใครข้างหลังเลยสักคน” เฮดโฟนถึงกับทำสีหน้าเหนื่อยใจหรือทำหน้าสีหน้าเครียดเพราะโดนฉันจับได้ว่าหลอกก็ไม่รู้ ก่อนที่จะถอนหายใจพรืดออกมา

                    “ตลอดที่วิ่งมานี่ ... เธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ?”

                    “ไม่นี่ ...” ทำไมฉันรู้สึกว่าคำถามมัน ... แปลความหมายได้หลายอย่างจังนะ

                    “เธอจะไม่รู้สึกได้ยังไง ... ตลอดทางที่ฉันวิ่งมา ฉันก็รู้สึกว่ามีคนวิ่งตามมาตลอด”

                    “ถ้านายรู้สึก ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกล่ะฮะ ทั้ง ๆ ที่ฉันอยู่ข้างหลังนายแท้ ๆ”

                    “เพราะเธอกำลังตกใจอยู่น่ะสิ”

                    “ถึงจะตกใจก็เหอะน่า !

                    ฉันกระชากเสียงใส่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เฮดโฟนทำหลับตาเหมือนกำลังพยายามข่มอารมณ์ตัวเองอยู่ ไม่นานหลังจากนั้นสิ่งที่ทำให้ทั้งฉันและเขาต้องรีบเผ่นมันก็ตามมาจนได้ !

                    “พวกเรา ! ตามหามันให้เจอนะเว้ย ไอ้หน้าหล่อนั่น ... ฉันไม่ไว้ชีวิตมันแน่ ส่วนสาวน้อยคนนั้น ... ฉันก็จะไม่ปล่อยไว้เช่นกัน ~” ประโยคท้าย ๆ ที่จำได้เลยว่าเป็นน้ำเสียงของไอ้ล่ำนั้นดูเหมือนร่าเริงและมั่นใจเสียเหลือเกินว่าจะจับฉันได้

                    ฉันกับเฮดโฟนที่กำลังเถียงกันอยู่ ต่างคนต่างเงียบแล้วหันมามองหน้ากันอย่างอัตโนมัติทันที ฉันกับเฮดโฟนพยักหน้าใส่กัน ก่อนที่จะ ... วิ่ง !!!!

                    “นั่นไง ! พวกมันอยู่นั่น รีบวิ่งไปเร็ว” ฝีเท้าที่ดังระงมมากกว่าหนึ่งคนดังไปทั่ว จนทำให้ฉันกับเฮดโฟนถึงขึ้นใส่เกียร์หมาวิ่งแหลกเลยทีเดียว โชคดีไป ที่ออกจากซอยนี้ไปแล้ว เป็นถนนสี่แยกที่มีนักท่องเที่ยวเยอะแยะหนาตา แล้วไม่รู้เป็นเพราะอะไร เฮดโฟนถึงได้เอื้อมมือมาจับมือฉัน ฉันหันไปมองเขาอย่างงง ๆ ทั้ง ๆ ที่สองเท้าก็วิ่งไม่หยุด

                    “ถ้าหลงขึ้นมาก็แย่น่ะสิ” รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาทำให้อวัยวะที่เรียกว่าหัวใจเต้นรัวขึ้นมาไม่เป็นจังหวะ ... มันเต้นแรงมากจนทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวจนต้องผละสายตาออกมาจากใบหน้าของเขา และที่น่าอายและน่าเขินมากกว่านั้น ... มือข้างที่เขาจับอยู่ของฉัน กับบีบมือเขาเบา ๆ ซะงั้น อา ... ตอนนี้ฉันทำตัวไม่ถูกแล้วนอกจากวิ่งอย่างเดียวน่ะ

                    หลังจากที่วิ่งมาได้สักพัก เฮดโฟนก็หยุดฝีเท้าลง ทำให้ฉันที่กำลังวิ่งอย่างไม่รู้ตัวนั้นเกือบหงายหลังถ้าเขาไม่ได้จับแขนฉันเอาไว้

                    “วิ่งเพลินหรือไง” เฮดโฟนถามด้วยรอยยิ้มล้อเลียน

                    “งั้นมั้ง” ฉันมองไปทางอื่นพร้อมกับพูดกับเขา ฮึ่ย ... ทำไมจู่ ๆ ฉันก็ไม่กล้าที่จะมองหน้าเขานะ

                    “เหนื่อยเนอะ” เฮดโฟนพูดพร้อมกับหอบแฮ่ก ๆ เหมือนเป็นซาวน์ประกอบ

                    “อืม” ฉันพยักหน้าน้อย ๆ แต่ก็ยังไม่เลิกเสมองทางอื่น ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่เขาเลยแหละ เฮ้อ ~

                    “ฉันว่า ... ตอนนี้เรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า รู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้”

                    “นายกลัวพวกที่กำลังตามมาเหรอ” ฉันเหล่ตาไปทางเขา โอย ... ขนาดเหล่ฉันยังรู้สึก อา ... มันไม่ดีเอาซะเลย

                    “ใครบอกว่าฉันกลัวมัน ฉันกลัวเธอต่างหาก”

                    “กลัวฉัน ??” ฉันถามเสียงสูง

                    “ใช่ ฉันกลัวเธอนั่นแหละ”

                    “อ้าว ถ้านายกลัวฉันแล้วนายจะเอาฉันมาด้วยทำไมเนี่ย”

                    “ฉันกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยต่างหาก”

                    “หืม” ฉันหันขวับไปทางเขาทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น เฮดโฟนที่เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกมาก็หันมาหาฉันพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ ในลำคอ ก่อนที่จะปล่อยมือฉันแล้วเดินไปที่รถเปิดประทุนของตัวเองทันที

                    “ฉันชักเบื่อที่นี่แล้วล่ะ งั้นออกไปจากที่นี่กันเถอะ”

                    ฉันทำสีหน้าแปลกใจก่อนที่จะประมวลสิ่งที่เพิ่งเกิดไปเมื่อกี้ ...

                    อ้าว ถ้านายกลัวฉันแล้วนายจะเอาฉันมาด้วยทำไมเนี่ย 

                ฉันกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยต่างหาก 

                    นี่อย่าบอกนะว่าที่เขามีท่าทางแบบนี้ก็เพราะว่า ... เขาเขินน่ะ !!!!!

    ฉันยิ้มออกมาทันทีเมื่อหาสาเหตุที่เขาเป็นแบบนั้นได้ก่อนที่จะรีบเดินตามเขาไปที่รถแล้วเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ  

    เอ๋ ... ถ้าฉันเข้ามานั่งในรถเขาแล้ว แสดงว่า ฉันก็ต้องไปที่อื่นกับเขาด้วยน่ะสิ O_O ! ตายแล้ว !

                    “จะทำอะไรน่ะ” เฮดโฟนที่เข้ามานั่งฝั่งคนขับจับข้อมือฉันทันที เมื่อฉันกำลังจะเปิดประตูลงจากรถไป

                    “ฉันก็จะลงจากรถนายน่ะสิ”

                    “ลงไปทำไม” เอ่อ ... เฮดโฟน นายช่วยเอามือหนา ๆ ของนาย ออกไปจากการจับมือฉันได้มั้ย =////=

                    “ก็ ... ถ้าฉันมานั่งในรถนาย ฉันก็ต้องไปกับนายด้วยล่ะสิ”

                    “แล้วไง” อย่าถามให้มากความนักเซ่ ! ตอนนี้ฉันเกร็งตัวจนจะบ้าแล้วน้าาาา

                    “มันก็ทำให้ฉันไม่ได้กลับบ้านเร็ว ๆ อย่างวางแผนเอาไว้ไงเล่า !

                    “บ้านมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า เดี๋ยวฉันไปส่งก็ได้ ... แล้วที่สำคัญ ฉันรู้ว่าเธอต้องเดินย้อนกลับไปที่ตรงทางสี่แยกนั่น ไม่แน่ไอ้พวกนั้นอาจจะเข้ามาหาเธอก็ได้ เพราะฉะนั้นเวลานี้เธอต้องอยู่กับฉันก่อน”                           

                    “แต่นี่มันหกโมงเย็นแล้วนะ”

                    “แล้วไงล่ะ ก็โทรไปบอกคนที่บ้านเธอสิ ว่าจะกลับไปช้า”

                    “แล้วไอ้ที่กลับไปช้า มันกี่โมงกันล่ะ ?”

                    “ดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน”

                    เฮดโฟนพูดจบก่อนที่จะปล่อยมือฉันแล้วหันไปสตาร์ตรถเพื่อขับออกไปจากเอเท็นไซต์แห่งนี้ พอเฮดโฟนกำลังจับขยับเกียร์นั้น ฉันก็จับมือเขาไว้ก่อน

                    “นายจะพาฉันไปด้วยจริง ๆ เหรอ”

                    “อืม”

                    “ตอนนี้มันเริ่มมืดแล้วนะ ไม่ต้องพาฉันไปก็ได้มั้ง พรุ่งนี้ต้องมีเรียนอีก”

                    “ฉันสัญญาว่าจะพาเธอกลับบ้านก่อนพรุ่งนี้แน่นอน”

                    เฮดโฟนจับมือฉันออกไป ก่อนที่จะเขาจะขยับเกียร์แล้วจัดการถอยรถออกไปจากที่จอด ฉันรู้สึกแตกตื่นนิด ๆ นะ เมื่อมารู้ว่าตัวเองต้องออกไปนอกเอเท็นไซต์ไกลบ้านของตัวเองน่ะ ถึงฉันจะเบื่อกับการอยู่บ้าน แต่การออกไปจากเขตเมืองย่านของบ้านตัวเองมันก็รู้สึกแอบกังวลไม่น้อยเหมือนกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกอยากกลับบ้านมาก ๆ เลยแหละ -^-

                    “ไม่ต้องตื่นขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่พาเธอหายไปจากโลกนี้หรอก” น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาทำให้ฉันที่กำลังนั่งเกร็งอยู่ต้องหันไปมองทันที ก่อนที่จะพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด

                    “นี่นาย ... กำลังจะพาฉันไปไหนกันเนี่ย”

                    “มองทางไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้เองล่ะ” เฮดโฟนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยพร้อมกับมองทางไปข้างหน้าอย่างสบายอารมณ์ แต่คำตอบที่แสนจะกวนของเขามันก็ทำให้ฉันกังวลไม่น้อยเลยทีเดียว ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันยังไม่ไว้วางใจเขา เขาก็พูดออกมาอีกครั้ง “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ยัยเด็กน้อย” เฮดโฟนพูดพร้อมกับแย้มยิ้มเล็ก ๆ

                    เด็กน้อยงั้นเหรอ ! ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ฉันสูงตั้งหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร จะมาหาว่าฉันเป็นเด็กน้อยได้ไงกัน L

                    แต่ว่า ... ฉันกลับรู้สึกดีขึ้นมาซะเฉย ๆ ซะงั้นอ่ะ ทำไมกันน้า ~ น่าอายตัวเองที่สุดเลย ยัยเมมโม ! 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×