คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER : 11,12
11
หลังจากที่ลงไปกองอย่างไม่เป็นท่าและเห็นฉันร้องลั่นประดั่งที่ได้ของเล่นเสร็จ วาเลนส์ก็หัวเราะในลำคออย่างรู้สึกขัน ๆ จนฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นตัวงี่เง่าอะไรสักอย่างในสายตาเขาไปเลยอ่ะ T_T เฮ้ ! ฉันวินนายแล้วนะวาเลนส์ ! ฉันวินนายทั้งทีนะ นายต้องสบถแบบไม่สมอารมณ์ออกมาสิ ! สบถออกมา !
“นาย ... นายหัวเราะอะไรอ่ะ”
“เปล่าหรอก ฉันแค่รู้สึกเจ็บใจเฉย ๆ น่ะ เธอเล่นทีเผลอนี่นา”
ทั้ง ๆ ที่คำพูดก็ดูเหมือนจะเจ็บใจ แต่สีหน้าและท่าทางนี่ ไม่ใช่เลยนะ !
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา นายอยากจะ ...” จู่ ๆ การพูดของฉันก็ขาดห้วงไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อกำลังจะพูดเขากำลังจะทำอะไร ฮึ่ย ! ทำไมอยู่ดี ๆ ฉันก็พูดไม่ออกซะอย่างนั้นเนี่ย
“อยากจะ ... อยากจะอะไรเหรอ หืม ?”
“นายอยากจะ ... อยากจะเผลอท่าให้ฉันทำไมล่ะ >O< !!”
“ไม่รู้สิ แล้วทำไมตอนพูดเธอต้องตะกุกตะกักแล้วหลับตาตะโกนอย่างนั้นด้วยล่ะ ไม่มีมารยาทเลย”
“ก็ฉัน ... เอ่อ ...” ไม่รู้เหมือนกันนี่นา ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม ไม่รู้อ่ะ ไม่รู้จริง ๆ แล้วใครสั่งให้นายเงยหน้าพร้อมเผยอซิกซ์แพ็กส์มากระแทกตาฉันขนาดน้าน ~~ เขินเฟ้ย ! =////=
“เอาล่ะ เธออยากจะทำอะไรภายในบ้านฉันก็ทำเลย แต่ฉันจะอยู่ข้างล่างเดี๋ยวจะทำอะไรให้กิน”
“งั้นฉันขึ้นไปข้างบนไปเลยนะ”
“อืม”
“ฉันขึ้นไปเลยนะ”
“จะไปไหนก็ไปสิ อยากทำอะไรก็ทำ ฉันแพ้เธอแล้วนี่ -_-”
วาเลนส์พูดปัดรำคาญก่อนที่จะยันตัวลุกขึ้นอย่างไม่มีท่าทางขัดค้านอะไรเลย เฮ้ ! นี่ฉันเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาภายในบ้านของเขาได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงนะ ทำไมเขาถึงยอมฉันง่าย ๆ แบบนี้ล่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะแพ้ฉันก็เถอะ ตามอำนาจเจ้าของบ้านเขาต้องโวยวายสิ
ร่างสูงเดินออกไปจากตรงนี้แล้ว มองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นโชลล์ยืนสแหลนแต๋นสงสัยออกไปข้างนอกตั้งนานแล้วล่ะ แต่ช่างเถอะ ไหน ๆ เจ้าของบ้านก็ทำตามกฏที่ให้กันแล้ว งั้นก็เริ่มปฏิบัติตามแผนเลยล่ะกัน !
จุดเริ่มต้นของฉันที่เลือกเอาไว้ตั้งแต่ก็คือชั้นสอง ก็เพราะว่าขวานทองคำนั่นมันสำคัญมาก มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะซ่อนมันไว้ที่ชั้นล่างน่ะ แต่ถึงจะซ่อนไว้ชั้นล่างมันก็คงต้องเป็นที่ที่ลึกลับซับซ้อนพอดู ฉะนั้นฉันเลือกที่จะไปชั้นสองก่อนล่ะกันนะ
ฉันเดินตามบันไดขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัดสินใจมาหยุดอยู่หน้าประตูด้านขวามือห้องแรก บ้านนี้ฉันยอมรับจริง ๆ แล้วว่ามันหรูและแอบอลังการ ‘ไม่น้อย’ เลย แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชมบ้านของวาเลนส์นะ มันได้เวลา หา !
ขวานทองคำ ... ขวานทองคำ ...
ท่าทางห้องนี้น่าจะเป็นห้องนอนของวาเลนส์นะ เพราะเปิดประตูเข้ามาแล้วฉันก็เห็นกรอบรูปสี่เหลี่ยมของเขากับครอบครัวตั้งไว้ที่หัวเตียงเด่นหรามาแต่ไกลเลย สงสัยขึ้นมาอีกแล้วแฮะ ว่าทำไมวาเลนส์ถึงไม่ล็อกประตูห้องเขา ? ถ้าเป็นฉันทุกครั้งหลังออกจากห้องต้องล็อกไว้ทุกครั้งแหละ แล้วก็เกือบลืมกุญแจห้องไว้ทุกครั้งด้วย =_=
ครืด ... กุกกัก ๆ ...
เสียงเปิดโน้นนี่นั่นเริ่มดังขึ้นภายในห้องนอนของวาเลนส์ไปทั่ว เมื่อฉันกระโจนเปิดเก๊ะ กล่อง กระเป๋า งัดแงะโน้นนี่นั่นนี้ภายในห้องนี้ทั้งหมดเท่าที่อยากจะทำ อา ... ฉันควานหาไปทั่วจนแทบจะแงะพื้นไม้ที่เหยียบอยู่แล้วนะเนี่ย ก็ยังไม่ยักพบสบตาเจอกับวัตถุสีทองคำเหมือนขวานนั่นสักทีเลย ...
หรือว่าเขาจะไม่ได้ซ่อนมันไว้ในนี้ ไม่น่า ลองหาอีกทีนึงเผื่อจะเจอ นั่นมันขวานทองคำเลยนะเขาน่าจะซ่อนมันเอาไว้ในห้องนอนของเขานี่แหละ ลองหาอีกที
และการตัดสินใจค้นหาขวานครั้งนี้ก็ทำให้สายตาของฉันไปปะทะเข้ากับหีบใบหนึ่งเข้า เอ ... ตอนหากันตอนแรกก็ไม่ยักจะสะดุดตาเลยแฮะ แต่ดูลาดเลาแล้วหีบนี้ก็ลึกลับใช่เล่น งั้นขอถือวิสาสะเปิดมันออกมาดูเลยก็แล้วกัน บางที ... ขวานมันอาจจะอยู่ในนี้ก็ได้ ใครจะไปหยั่งรู้
ฟื้บ ~ เอี๊ยด ...
แค่ก ๆๆๆ
ทันทีที่เปิดหีบปู่โสมเฝ้าทรัพย์ออกมานั้น ไอพายุฝุ่นที่ฟุ้งออกมาจากหีบก็ทำเอาฉันไอกระจุยกระจายยิ่งกว่าเอ็มเจ็ดเก้าของทหารที่กำลังถล่มพวกชายแดนซะอีก ทำไมฝุ่นมันถึงได้เยอะขนาดนี้เนี่ย ไม่ผิดเรื่องหรอก ฉันตั้งชื่อให้หีบขนาดปานกลางนี่ว่าปู่โสมเฝ้าทรัพย์น่ะ ถูกแล้ว =_=
ฉันใช้มือปัดป่ายฝุ่นที่ฟุ้งออกมาจนน่าตกใจให้หายไป ก่อนที่จะชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าหีบเนี่ยมันมีอะไรบ้าง แน่นอน ภายใจฉันภาวนาว่าขอให้มีขวามทองคำนั่นด้วยเถิดดดดดด
แต่ทุกสิ่งที่หวังไว้มันก็ไม่ง่ายเหมือนใจหวังเสมอไป !
เพราะในหีบนี้ไม่มีขวานทองคำอะไรนั่นเลยแม้แต่เงา มีแต่ ... กำไล สร้อยคอ สร้อยข้อมือ สร้อยข้อเท้าสวย ๆ ต่าง ๆ นา ๆ จนฉันตะลึงว่า ... นี่มันหีบสมบัติของโจรสลัดหรือเปล่าวะเนี่ย ของโบราณและสวย ๆ เยอะชะมัดเลย
ถึงแม้ว่าจะผิดหวังอย่างมากที่ไม่ได้เห็นขวานทองคำนั่นมาจ๊ะเอ๋ภายในหีบนี้ แต่วัตถุอย่างหนึ่งซึ่งก็คือกำไลข้อมือก็ทำให้ฉันหยิบมันขึ้นดูด้วยดวงตาแวววาว กำไลอันนี้มันสวยจริง ๆ แฮะ เห็นแล้วก็อยากได้ไว้ไปครอบครองในทันทีเลยอ่ะ ถ้าเป็นแม่ฉันล่ะก็ป่านนี้จับยัดเข้าเสื้อแล้วเอากลับบ้านไปแล้ว
“นั่นเธอทำอะไรน่ะ !!!!!!!”
“เฮือก !”
แรงสะดุ้งตกใจจากเสียงที่ตะโกนแหวกอากาศออกมาอย่างนั้น ทำให้ฉันเผลอเอากำไลข้อมือใส่กระเป๋าเสื้อลงไปอย่างไม่รู้ตัว วาเลนส์รีบวิ่งมาคว้าหีบปู่โสมเฝ้าทรัพย์นั่นอย่างตกใจไปทันที ก่อนที่จะปิดมันแล้วหันมาว่าพูดกับฉันตื่นตูม
“เธอ ... เธอมาเปิดฝาหีบนี่ได้ยังไง ! แล้วเธอ ... เธอเจอมันได้ยังไงกันฮะ !”
“ฉะ ... ฉันเห็นมันตั้งอยู่ตรงนี้ไว้นานแล้วน่ะ ฉันไม่ได้มีเจตนาอะไรเลยนะ” ฉันพูดตะกุกตะกักนิดหน่อยแต่ก็ชักนำให้น้ำเสียงมันกลับมาเป็นปกติได้ ก่อนที่จะยกหน้ามือขึ้นมาส่ายไปมาให้เขาเห็น
“ถ้าไม่มีเจตนาอะไรเลย แล้วเธอจะเปิดมันออกมาได้ยังไง ! เธอใช้อะไรแงะฝาหีบนี่ใช่มั้ย”
“ไม่ ๆ ฉันไม่ได้ใช้อะไรไปทำกับมันเลย ฉันสาบานได้ ! ฉันแค่เห็นมันสวยดีแล้วก็เปิดมันขึ้นมาเลย ฉันไม่ได้อาศัยอะไรมาแงะมันเลยจริง ๆ”
“เป็นไปไม่ได้ ! ฝาหีบนี่หนักจะตาย ฉันต้องใช้บริการ์ดถึงสองคนเชียวนะถึงจะเปิดมันออกมาได้น่ะ”
“ หา ! นายโกหกหรือเปล่า นายลองเอามือเข้าไปเปิดฝามันดูซิ”
กึก ! กึก ! กึก !
วาเลนส์ทำตามที่ฉันพูดแต่ผลที่ออกมาก็คือ ... มันเปิดออกไม่ได้ ! ไม่ว่าเขาจะออกแรงจนหน้าแดงมากขนาดไหนก็ตาม แต่ผลที่ออกมาก็คือ ... มันก็เปิดออกมาไม่ได้อยู่ดี อีกแล้ว ! ฉันเจอเรื่องน่าแปลกใจอีกแล้ว ! เมื่อกี้ตอนที่เปิดหีบนี้ ฉันแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลยนะ มันเบามาก ๆ เลย แต่พอมาอยู่กลับวาเลนส์ เขากลับเปิดมันออกมาไม่ได้ แปลก ... แปลกจริง ๆ
ฉันกับวาเลนส์จ้องหน้ากันด้วยสายตาที่แตกต่าง ... วาเลนส์จ้องฉันด้วยสายตาคนที่กำลังเหมือนจะโดนโจรที่ไหนมาขโมยของสำคัญไปสักอย่าง ส่วนฉัน ... ก็จ้องเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดสลับกับมองหีบนั่นในมือเขาด้วย ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขาจะพูดอะไร แต่สุดท้าย ... เขาก็แค่ถอนหายใจอย่างเหนื่อย ๆ เท่านั้น ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาโบกไปมาให้ฉันเป็นทำนองว่า ... เธอจะไปไหนก็ไป ๆ
“ฉันทำสปาเก็ตตี้ไว้ข้างล่างแล้ว ถ้าเธอหิวหรืออยากกินก็ลงไปกินซะนะ ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย ห้องฉันเธอรื้อมาเยอะแล้วนะเนี่ย สงสัยวันนี้ฉันต้องวุ่นจัดห้องอีกแล้วยัยตัวแสบ”
วาเลนส์โยกหัวฉันเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนที่จะหมุนตัวเดินไปเก็บหีบสมบัตินั่นให้เข้าที่ และระหว่างยืนลูบหัวตัวเองอยู่นั้นฉันก็เพิ่งจะมารู้ได้ว่า ...
ตอนนี้ห้องของวาเลนส์เละมากเลยแหละ ฉันคงอยู่ไม่ได้แล้ว ย้ากกกกกกก >O<
ฉันรีบวิ่งลงมาจากห้องนอนของวาเลนส์ทันที ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปที่ห้องครัวที่หาได้ง่ายมาก ๆ ของบ้านหลังนี้ แหม ... ได้ยินคำว่าสปาเก็ตตี้ทีไรฉันจำต้องหิวจนตาเลยทุกทีเลยนะเนี่ย และวิ่งเบา ๆ ด้วยความรีบร้อนมาได้ไม่ถึงนาทีเท่านั้นฉันก็เจอกับจานสปาเก็ตตี้ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องครัวนี่แล้ว ...
อา ... สปาเก็ตตี้ที่รัก ไม่ได้เจอกับกระเพาะฉันมานาน งั้นวันนี้ฉันจะสวาปามไม่เหลือเลยล่ะกัน
เสียงภายในหัวดังเพราะความโหยหาได้ไม่ถึงวินาทีเท่านั้น ช้อนกับส้อมก็ลอยละลิ่วมาอยู่ในมือฉันแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่จับทั้งสองสิ่งนี้มากับม้วนเส้นสีเหลืองหนา ๆ นี่แหละ อา ... อาหารโหยหาของโปรดปรานมันเป็นยังนี้นี่เอง
แต่เดี๋ยวก่อน ... !
ฉันกับวาเลนส์เราเจอกันแค่วันเดียวเท่านั้น ... และดูเหมือนเราสองคนจะไม่กินเส้นกันเลยด้วย บางทีเขาอาจจะใส่ยาอะไรลงไปในนี้ก็ได้นะ !
เคร้งงงงง !
เสียงวางช้อนกระทบกับจานดังลั่นห้องครัวทันที เมื่อฉันวางมันลงไปด้วยความคิดอันแง่ร้ายที่แวบขึ้นมาในหัว ... จริงสิ ฉันเกือบลงกลกินเข้าไปแล้ว นี่ถ้าไม่นึกขึ้นมาได้ก่อนที่จะกินสปาเก็ตตี้คำนี้เข้าปากไปล่ะก็ ... หลังจากวินานั้นฉันอาจจะเป็นตายรายดียังไงก็ไม่รู้เนอะ
สายตาที่เหมือนคนระแวดระวังของฉันจับจ้องมองภายในนี้ไปทั่ว ตอนนี้ฉันเริ่มหิวแล้วอ่ะ ไม่น่ามาคิดถึงยาพิษอะไรนั่นเลย คิดแล้วไม่กล้ากินของกินภายในห้องครัวนี้ทันที ทรมานชะมัด TOT แต่ว่าจะให้ฝืนทนกินต่อไปก็ไม่ได้หรอกนะ ก็ฉันเชื่อแบบนั้นไปแล้วหนิ
“อ้าว ! ทำไมยังไม่กินอีกล่ะ เธอไม่ชอบเหรอ”
แว้กกกกกก ! วาเลนส์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าเจ้าบ่หยั่งรู้เลย ฮือ ๆ เขาจะเห็นพฤติกรรมที่ฉันทำกับจานสปาเก็ตตี้นี่มั้ยเนี่ย เวรเอ๊ย TT_TT
วาเลนส์ที่ใส่เสื้อยืดสีฟ้าสุดเท่เรียบร้อยแล้ว เดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฟากตรงข้าม ก่อนที่จะใช้สายตาขี้เล่นมองมาทางฉันอย่างอารมณ์ดี ... เอ ดูท่าทางแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่มีเจตนาที่จะวางยาฉันเลยนะ
แต่ว่า ! คนสมัยนี้ไว้ใจกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งวางใจไป !
“อ้อ พอดีฉันไม่หิวแล้วน่ะ”
“เหรอ เห็นวิ่งลงมาเมื่อกี้ฉันก็คิดว่าเธอคงจะหิวโซมาก ๆ แล้วซะอีกนะนั่น”
“ก็ ... นี่มันของโปรดฉันนี่นา พอมาเห็นหน้าตาของมันจริง ๆ แล้วก็หายหิวขึ้นมาเลยน่ะ ขอบคุณมากนะที่ทำเผื่อเอาไว้ให้”
ฉันแย้มยิ้มแหย ๆ ก่อนที่จะชายตามองไปที่สปาเก็ตตี้ตรงหน้า ... ตอนนี้สีหน้าของวาเลนส์ดูไม่บูดบึงเหมือนตอนที่อยู่บนห้องเขาเมื่อกี้เลย จะบอกว่าเขาเสแสร้งเหรอ ... ไม่อ่ะ สีหน้าของเขามันเหมือนออกมาจากใจจริง ๆ
แปลกแฮะ ... ที่เขาไม่ไล่เบี้ยฉัน หรือต่อว่าฉันอะไรเลยสักคำเรื่องที่ทำตัววุ่นที่ห้องนอนของเขาน่ะ
12
[Valan’s Talk]
สามวันผ่านไป ...
ตอนนี้ชีวิตของผมเหมือนจะมีตัวจุ้นเข้ามาป่วนชีวิตเข้าให้ซะแล้ว หลังจากที่ได้เจอ ‘คุณครูสอนการต่อสู้’ คนนั้น ยัยเด็กหญิงหน้าอ่อนเอ๊ย …
เธอไม่ใช่ครูฝึกสอนการต่อสู้หรอก ผมน่ะตาไวดูแป๊บเดียวก็รู้แล้วว่าเธอเมคขึ้นมาเองสังเกตได้จากตอนนั้น ตอนที่ผมถามว่าเธอมาที่นี่ทำไม เธอก็มีท่าทีแปลก ๆ และกวาดสายไปทั่วจนผมแน่ใจไปเรียบร้อยแล้วล่ะ ว่าเธอกำลัง ‘คิดข้ออ้างมาเมคเรื่อง’ ใส่ผมอยู่ดี ซึ่งเธอก็ทำไม่สำเร็จหรอก แต่ผมก็นิ่ง ๆ และไม่พูดไปงั้นแหละ กลัวพูดออกไปแล้วเจ้าตัวจะเสียหน้าเอา
เม้าคุณครูซะเพลินงั้นผมขอแนะนำตัวหน่อยก็แล้วกันนะว่า ... ผมคือผู้ชายที่ชอบไว้ผมยาวนามว่า ‘วาเลนส์’ นามสกุล ‘ไฮเกอร์’ ครับ อย่างงนะที่ผมแนะนำทีละอย่าง ผมเองก็ขี้เกียจมาเรียบเรียงแล้วเหมือนกัน =_= ผมก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่หน้าตาก็ไม่ได้แย่มากนัก จะบอกว่าหล่อขั้นเทพเลยก็ว่าได้ ... โธ่ ให้ผมได้อวยตัวเองบ้างสิ อย่าทำสีหน้าแบบนั้น ก็มีคนบอกว่าผมหล่อออกจะเยอะแยะ หล่อแบบ ...
เกย์ ๆ อ่ะนะ ถามว่าโกธรมั้ย ... เลือดขึ้นหน้าครับ -_-“
เรื่องนี่ขอไม่สาธยายแล้วกันนะครับ ... พูดถึงแล้วก็ทั้งโกธรและเจ็บปวด เจ็บปวดยังไง ... เจ็บปวดที่ทุกคนไม่เห็นว่าผมเป็นผู้ชายแท้น่ะสิ แม้กระทั่งยัยคุณครูนั่นจะเห็นว่าผมเป็นชายแท้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ดู ... เธอเหมือนไม่ได้คิดกับผมด้านนั้นเลยนะ แอบสังเกตเห็นด้วยล่ะว่าเธอแก้มแดงเป็นระยะ ๆ เล่นเอาผมอยากจะร้องอ๊ายยยยยยย ให้ทุกคนฟังเลย แต่ก็ทำไม่ได้หรอก เสียฟอร์มหมด
ตอนที่เธอแก้มแดงนั้นมันดูน่ารักและดูน่าแกล้งมากเลย แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเธอหรอกนอกจากอยู่เฉย ๆ เพราะเราสองคนยังไม่สนิทกัน และตลอดสามวันที่ผ่านมานั้นเธอก็มาหาผมทั้งสามวันนี้เลย ใช่ครับ ... เราสองคนเริ่มสนิทกันแล้วและเธอก็ชื่อว่า ‘ดินเนอร์’ เจ๋งดีแฮะ พ่อแม่ของเธอนี่ไอเดียดีจริง ๆ
ดินเนอร์เป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมรู้สึกว่า ... เป็นกันเองมาก ๆ เธอมักแสดงธาตุแท้ออกมาเลย โดยที่เราแค่เจอกันไม่กี่วันเท่านั้นเอง ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกจริง ๆ แล้วก็คือตอนที่เธอคว้าไหล่ผมที่ร้านเหล้าเพนโทรอนตอนนั้นน่ะแหละ
ตอนนั้นดินเนอร์ดูเหมือนจะหอบมาก ๆ เธอพยายามจะถามกับผมว่าอะไรสักอย่าง แต่เพราะผมถูกเพื่อนเร่งก็เลยไม่ได้คำถามจากเธอ และพอได้คำถามจากเธอภายในสามวันที่แล้ว ที่หน้าบ้านนี้เลย ผมกลับตอบเธอไปด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า ... เธอจะถามทำไม
วินาทีนั้น ผมรู้สึกโมโหมากจริง ๆ ที่เธอมาถามผมถึงเรื่อง ‘วัตถุบนบาร์’ ที่พวกผมนั่งดริ้งค์กัน ผมโมโหเพราะอะไรน่ะเหรอ ... ก็เพราะว่าของสิ่งนั้นคือของที่มีมูลค่าและล้ำค่ามากจนทำให้ผมไม่อยากบอกให้ใครรู้เลยแม้กระทั่งบอดี้การ์ดที่ผมแสนจะไว้ใจกันอย่างโชลล์
“โชลล์ ... นายว่า ฉันควรจะเก็บมันไว้กับตัวดีมั้ย”
ผมปริปากถามโชลล์ที่ยืนอยู่ข้างหลังขึ้น หลังจากที่เปิดที่ซ่อนของ ‘สิ่งของล้ำค่า’ นั่นแล้ว ผมซ่อนมันเอาไว้ที่พื้นสีน้ำตาของห้องครัวเองล่ะ ภายในบ้านหลังนี้ก็มีแต่จุดตรงนี้ล่ะที่ลับที่สุดแล้ว ขนาดโชลล์ที่ยืนอยู่ข้างหลังผมยังไม่อยากจะให้หมอนี่มองเห็นเลย
“ก็แล้วแต่คุณวาเลนส์เถอะครับ ว่าจะไปเก็บมันไว้ที่ไหน คุณวาเลนส์เป็นผู้ครอบครองของมันแล้ว คุณวาเลนส์อยากจะทำอะไรกับมันก็ทำเลยครับ”
“แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่น่ะสิโชลล์ ... ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับมันนะ เวลาที่หยิบจับหรือจ้องมองมัน”
ตอนนี้ผมไม่รู้หรอกว่าโชลล์จะคิดยังไง แต่ตอนนี้ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่า ... ของสิ่งนี้มันเหมือนกับอยู่ห่างไกลโพ้นจากตัวของผมเลย ถึงแม้ว่าผมจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาก็ตาม
โชลล์คือที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของผม หมอนี่ลึกลับ ... ดูมีความลับเยอะ และที่สำคัญ ... สิ่งหมอนี่พูดออกมาล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งนั้น
โดยเฉพาะเรื่องไปทะเลาะกับดินเนอร์เมื่อสามวันก่อน ... ทั้งสองก็เถียงกันว่าอีกฝ่ายเห็นค้อนบ้างล่ะ อีกฝ่ายไม่เห็นบ้างล่ะ จนมันน่ารำคาญ แต่สุดท้าย ... ก็หาจุดจบของมันไม่ได้อยู่ดี จนกระทั่งต้องปล่อยให้มันผ่านเลยไป
โชลล์ไม่เอาความอะไรแล้วกับดินเนอร์ ดินเนอร์เองก็เช่นกัน แต่นับจากเหตุการณ์นั้น ... ดูทั้งสองจะไม่ถูกกันซะเลย มีวันไหนบ้างที่จะมองหน้ากันนอกจากที่โชลล์ไปเปิดประตูรั้วต้อนรับ ไม่มี ? เอ้อ ผมล่ะอยากขำกับทั้งสองจริง ๆ โชลล์ก็อายุมากกว่าดินเนอร์ถึงหกเจ็ดปีแล้ว แต่ดูยังไง ๆ โชลล์ก็เหมือนกับจะไม่ยอมคุยกับดินเนอร์ง่าย ๆ เหมือนเด็กน้อยอายุเจ็ดขวบหรอก
อ้อ ลืมบอกไป ว่าผมมาอยู่ที่นี่แค่ชั่วคราวหาอะไร ๆ สนุก ๆ ทำระหว่างปิดเทอมเท่านั้นแหละครับ อยู่ที่เมืองเอเทนไซต์ คนก็เยอะแถมยังมีแต่อะไรแจ๊ดตาไปหมด ผมก็เลยขอทางบ้านมาอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่ก็ตอบสนองผมได้ทุกเรื่องจริง ๆ ยกเว้นเรื่องรถติดน่ะนะ โคตรรำคาญเลย ไอ้ความเชื่อเรื่องรถติดไม่ถึงสองนาทีแล้วจะซวยของที่นี่เขาเนี่ย เฮ้อ ~
ผมมองไปที่ ‘สิ่งของล้ำค่า’ ในกล่องสี่เหลี่ยมนั่นอีกครั้งด้วยสายตาเคลืองแคลงแปลก ๆ ผมอยากจะเอื้อมมือไปจับมัน แต่ก็ได้แต่ชะงักมือเอาไว้ ... เพราะอะไรกันนะ
“คุณวาเลนส์ครับ ตอนนี้ผมให้แม่บ้านไปทำความสะอาดห้องนอนให้แล้วนะครับ ยังมีอะไรสกปรกอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีแล้วล่ะ ทุกอย่างสะอาดหมดแล้ว เหลือก็แต่กำไลข้อมือทองคำนั่น ... มันภายไปไหนก็ไม่รู้นะโชลล์ ฮะ ๆ”
“เรื่องแบบนี้คุณวาเลนส์ไม่น่าจะหัวเราะเลยนะครับ มันอยู่ที่คุณดินเนอร์อยู่ คุณก็รู้อยู่แก่ใจนี่นา ทำไมไม่ทวงเธอคืนล่ะครับ มันมีค่ามากเลยนะ”
“ก็ไม่รู้เหมือนสิ เพราะช่วงนี้ขี้เกียจมั้ง”
ผมตอบโชลล์ไปแบบขัน ๆ ก่อนที่จะมองสิ่งของภายกรอบสี่เหลี่ยนตรงหน้าต่อ อา ... รู้สึกรำคาญตัวเองจริง ๆ นะเนี่ย มัวแต่จ้องมันอยู่ได้ แต่กลับไม่หยิบมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ สักที ทำไมนะ ?
จะว่าไป ... ว่าถึงเรื่องห้องนอนที่เห็นดินเนอร์เข้าไปอยู่ในนั้นตรงหน้าหีบของผมพอดี ทำไมผมถึงไม่ดุเธอตอนลงจากห้องแล้วงั้นเหรอ ... ก็เพราะมันไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ไง ตอนที่แกล้งตวาดและเจรจากันไป ผมก็แค่อยากแกล้งเธอด้วยความแค้นเนือง ๆ ที่เธอปั้นมาหลอกผมว่ามาสอนการต่อสู้ให้ผมเนี่ยแหละ ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้ผมก็เทพจนชินยิ่งกว่าหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาจับแล้ว
ตอนคุยกันท่ามกลางความโกลาหลแบบเนือง ๆ ในตอนนั้นผมแปลกใจมากเลยนะ ตอนที่เธอบอกว่า ... เธอไม่ได้ไม่ได้ใช้อะไรแงะ แต่เปิดมันขึ้นมาเฉย ๆ เพราะความไม่รู้เนี่ย มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน และ ณ บัดนี้ผมก็ยังสงสัยไม่หาย งั้นผมคงไม่ต้องเล่าต่อแล้วล่ะ ว่า ‘กำไลข้อมือทองคำนั่น’ หายไปไหน ทุกคนคงรู้แล้วนะ จากสิ่งที่ผมพูดกับโชลล์ไป
“ผมว่าคุณวาเลนส์คงจะปิดช่องนั้นได้แล้วนะครับ ผมได้ยินเสียงกดออดหน้าบ้านแล้ว สงสัยคุณดินเนอร์คงจะมาแล้วแหละครับ”
“โอเค งั้นเดินช้า ๆ ให้เวลาฉันปิดมันหน่อยน่ะโชลล์ อย่ารีบล่ะ”
“ได้ครับ”
เสียงฝีเท้าหนักเดินออกไปจากห้องครัวของโชลล์ดังขึ้นพร้อมกับที่ผมกำลังปิดช่องสี่เหลี่ยมนี่พอดี ... ก็อย่างที่บอกล่ะ ขนาดโชลล์ผมยังไม่อยากให้หมอนี่รู้เลย แล้วเรื่องอะไรผมจะให้ดินเนอร์มายลโฉมล่ะ
“อา ... วันนี้ฉันจะสอนอะไรนายดีล่ะวาเลนส์ ฉันปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยอ่ะ ไม่อยากสอนเลย”
“ได้ไง เดี๋ยวคุณครูจะโดนสิทธิ์เตะเอานะครับ ถ้ามาพูดเปิดฉากกันแบบนี้”
ผมเดินออกไปหาเธอจากห้องครัว ก่อนที่จะเข้าไปนั่งข้าง ๆ เธอแล้วโยกหัวเธอเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ไม่รู้สินะ ทำไมถึงชอบเอามือไปจับหัวเธอจัง เพราะหัวของยัยคนข้าง ๆ นี่เล็กพอดีกับมือผมล่ะมั้ง ผมก็เลยชอบจับน่ะ หัวของดินเนอร์นี่มันเล็กจริง ๆ นะ
“ก็วันนี้ฉันปวดไปทั้งตัวจริง ๆ เลยนี่นา งั้นวันนี้ฉันขอมานั่งเล่นที่บ้านนายแทนละกันนะ วาเลนส์ นะ ๆ”
“ไม่ได้ครับไม่ได้ มาหาลูกสิทธิ์แล้วก็ต้องมาสอนสิ ทำอย่างนี้จะเสียจรรยาบรรณหมดน้า”
“เอาคำนั้นออกไปได้มั้ย เรื่องจรรยาบรรณนั่นฉันไม่ถือแล้ว L”
“เอ้า ก็เห็นเมื่อก่อนพูดเอา ๆ ว่าฉันมีจรรยาบรรณนี่ ไหงวันนี้มาทำหงอแล้วเนี่ย ไม่ได้เรื่องเลย”
ดินเนอร์มู่ปากนิด ๆ ก่อนที่จะแกะมือผมให้ออกจากหัวเธอออกไป แต่ก็แคล้วสำเร็จเมื่อผมออกแรงต้านเธอไปแบบนี้ อา ... เพิ่งสังเกตเห็นแฮะว่าวันนี้เธอใส่ชุดเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรกเลย
“ดินเนอร์”
“หืม”
“เธอใส่ชุดเหมือนตอนที่เธอเจอกับฉันที่ร้านเหล้าเพนโทรอนเลยนะ”
“งั้นเหรอ อา ... ให้ตายสิ ฉันลืมเปลี่ยนชุดไปเลยแฮะ”
“นี่วันนี้เธอไปโรงเรียนมางั้นเหรอ ??”
“ใช่ ก็โรงเรียนฉันยังไม่ปิดเทอมนี่ มันไม่แปลกหรอกที่ฉันจะต้องใส่ชุดนักเรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์น่ะ เฮ้อ ~ ”
คนข้าง ๆ ผม ถอนหายใจเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที เมื่อพูดถึงเรื่องการเรียนของเธอ ที่ผมถามถูกจุดว่าเธอไปโรงเรียนมาหรือเปล่า ก็เพราะว่าคำพูดของเธอมันสื่อให้เห็นนึกถึงโรงเรียนไง งั้นแสดงว่าดินเนอร์ก็เรียนของรัฐบาลอยู่สินะ ถึงได้ฤทษ์เรียนกันแล้ว ส่วนของผมเป็นการเรียนแบบอินเตอร์น่ะ ช่วงที่พวกเขาวุ่น ๆ กัน ผมก็มานั่งชิล ๆ แบบนี้แหละ และส่วนที่พวกเขาชิล ๆ กันมันก็เป็นเวลาของผมแล้วที่จะต้องมาเคี่ยวคร่ำร่ำเรียนกันอย่างหน้ามืด
ผมเข้าใจนะ ชีวิตเด็กเรียนที่แสนทรหดเนี่ย เพราะผมเองก็อยู่ในวัยนี้เหมือนกัน เปิดภาคเรียนหน้าผมก็อยู่เกรดสิบสอง เทียบเท่ากับมอหกของโรงเรียนทั่วไปแล้ว
อ๊ะ ... มองไปที่หน้าผากเหม่ง ๆ ของดินเนอร์แล้วก็เพิ่งจะคิดอะไรขึ้นมาได้ นี่ผมยังไม่ได้เล่าให้ฟังใช่มั้ยว่า ... เมื่อสามวันก่อนหลังจากที่ดินเนอร์กลับไปและผมเข้านอน ผมก็ฝันอะไรแปลก ๆ
ความฝันนั้น ... มันเกี่ยวกับ ‘สิ่งของล้ำค่า’ นั่นและสงคราม และมันก็เชื่อมมาที่กำไลทองคำที่หายจากหีบของผมไปด้วย ผมฝันเห็นสามสิ่งนั้นเท่านั้น จะให้ปะติดปะต่อเป็นเรื่องผมก็ทำไม่ได้หรอก เพราะมันมึนไปทั่วหัวเลย หลังจากที่ตื่นขึ้นมา
“วาเลนส์ ~ มีอะไรให้ฉันกินปะ ? หิวอ่ะ”
“คุณครูครับ ผมบอกให้สอนผมไง ทำไมมาพูดจาเหมือนเพื่อนกันอย่างนี้เนี่ย -*-”
“นายแหละ เลิกประชดฉันเลย เดี๋ยวฉันก็โมโหขึ้นมาหรอก”
“ทำไม ? โมโหขึ้นมาแล้วจะทำอะไรกับผมเหรอ ฮึ ?”
ผมถามดินเนอร์ด้วยสีหน้ากวนประสาท ก่อนที่จะแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์เข้าไป และไม่นานนักทำให้คนปั้กที่หนึ่งของวันนี้ก็เกิดขึ้น เล่นเอาแทบจุกแน่ะแต่ก็ไม่โกธรหรอก ชินตั้งแต่เจอปั้กแรกวันแรกแล้วล่ะ -*- ที่ผมพูดจาภาษาดอกไม้เหมือนเด็กที่เป็นนักเรียนจริง ๆ แบบนี้ก็เพราะต้องการแกล้งเธอต่างหาก ความจริงแล้วเธอสั่งให้ผมพูดภาษาธรรมดานั่นแหละ แต่ผมกระแดะเอง
“ข้อหาหมั่นไส้ ! วันนี้พาฉันไปกินข้าวข้างนอกเลย”
“อะไรของคุณครูเนี่ย นี่คุณครูมาสอนผมนะครับ !”
“ไม่สนแหละ ! พาฉันไปเดี๋ยวนี้เลย ไปเลย !!!!!”
คนร่างบางแต่สูงเท่าคางผม ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นและใช้โอกาสทีเผลอลากผมออกมาจากบ้านเฉยเลย ! โอ้โห ... นิสัยอย่างนี้มันของเด็กน้อยชัด ๆ แต่ว่าก็น่ารักดีแฮะเมื่อมาอยู่กับคนอย่างเธอ ดินเนอร์ลากผมไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดจนกระทั่งมาถึงประตูรั้วใหญ่ของบ้าน เธอถึงจะเลิกลากผมได้ ถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะอยู่เฉย ๆ แล้ว แต่ก็ใช่ว่าปากของเธอจะอยู่เฉยตามนะ
“นี่สาบานต่อพระเจ้าให้ฉันฟังได้มั้ยเนี่ย ว่าฉันลากนายมาจริง ๆ ไม่ได้ลากช้างมา !”
“โอ้โห ... คำพูดแรงนะเนี่ย ทำไมพูดงี้อ่ะ ฉันออกจะบอบบางและ ... น่ารักนะ !” ผมพูดแกล้งเธอพร้อมกับยกสองนิ้วมาไว้ที่หางคิ้วก่อนที่จะรีบชักมันลงไปจนแทบจะจับภาพกันไม่ทัน เอ่อ ... บุคคลิกอย่างผมน่ะ ทำอย่างนั้นนาน ๆ ไม่ได้หรอก เชื่อเถอะ
“เฮอะ น่ารักตายเลย รีบไปเอารถออกมาได้แล้ว เร็วเข้า ! หิวแล้วเนี่ย !”
“รับทราบครับ ! คุณมื้อค่ำ !”
ผมรับสั่งพร้อมกับพูดความหมายของชื่อเธอออกมาอย่างแข็งขัน ก่อนที่จะรีบเดินไปที่โรงรถแล้วขับรถออกมารับเธอที่หน้าประตูรั้ว ตอนที่ขับรถมาที่ประตูรั้วนั้น ผมแกล้งเลยรถให้เธอวิ่งตามรถมาเพื่อความสะใจนิด ๆ ด้วยแหละ เล่นเอาเธอค้นหาคำด่าที่เจ็บแสบแต่พาหัวเราะมาให้ผมให้ได้ไม่ยั้งเลย ฮ่า ๆ ผู้หญิงคนนี้คำพูดนี่สุดยอดจริง ๆ
ตลอดทางมานี้ผมก็ชวนเธอคุยจิปาถะนา ๆ ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็มีด่าบ้าง เดี๋ยวก็มีจิกกัดบ้าง เดี๋ยวก็มีแขวะบ้าง เล่นผมเอื้อมมือไปรังแกเธอเบา ๆ หลายหนเลยทีเดียว แต่ในการสนทนาครั้งนี้มันก็เป็นอะไรที่อบอุ่นดีมากนะ มันเหมือนกับว่า ...
ผมกำลังได้คุยกับ ‘แฟน’ ยังไงยังงั้นเลย ไม่รู้สิ ... แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันแหละ
ความคิดเห็น