ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Heartless Soil พื้นที่หัวใจขอจับจอง !

    ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER : 5,6

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 55


    5

    ฉันมายืนรอพี่เก็นที่นอกธนาคารอย่างหัวเสียก่อนที่จะมองโน้นนี่นั่นไปเรื่อย น่าอายจริง ๆ เลยเชียวบัตรเครดิตก็มีแต่เจือกจำรหัสผิดซะได้ เล่นเอาคิวกดบัตรเครดิตยาวไกลจนอ้อมโลกได้สามโลก -_- นึกถึงตอนนั้นแล้วอายชะมัด ดีนะเนี่ยที่ฉันยืนห่าง ๆ พี่แกไว้น่ะ

    โอ๊ย ... ทำเรื่องรหัสบัตรเครดิตผิดทีนี่ก็นานชะมัดหลบไปยืนตรงอื่นดีกว่า เบื่อละ เวลามีบัตรเครดิตฉันจะจดรหัสใส่กระเป๋าสตางค์ หรือไม่ก็ท่องรหัสตัวเองวันละสิบรอบไปเลย =_=

    ฉันเดินหลบมุมมาที่ผนังข้าง ๆ ธนาคารก่อนที่จะอ่านป้ายกระดาษที่แปะเอาไว้ตามผนังไปเรื่อย จนกระทั่งไปเจอกับกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งที่มีเนื้อความว่า ...    

    ดูดวงกับแม่หมอเพนโทรอนวันที่ 13 ธันวาคม และวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 25xx ฟรี ห้าคนต่อวันเท่านั้น และดูดวงตามปกติกับแม่หมอเพนโทรอนได้ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 25xx  เพราะนอกเหนือจากวันที่กำหนดไว้แล้วแม่หมอจะปิดตำหนักสักพัก สนใจติดต่อแม่หมอได้ที่ตำหนักที่เดียวเท่านั้น

    ฟึ่บ !

    แควก ๆๆๆๆ !

    ไวกว่าความคิด ! พออ่านข้อความบนกระดาษที่ติดอยู่ผนังตรงหน้าจบฉันก็รีบคว้ากระดาษนั่นมาฉีกให้แหลกคามืออย่างบ้าคลั่งทันที ! เล่นเอาคนที่เดินผ่านไปมามองฉันกันเป็นแถว แต่เรื่องอะไรฉันจะสนใจล่ะ ! ฉันไม่ชอบแม่หมอนั่น ฉันไม่ชอบเลยแม้แต่นิดเดียว ! ฉันเกลียดแม่หมอเพนโทรอน ฉันเกลียด !

     “แม่หนู ทำไมถึงมีกิริยาป่าเถื่อนอย่างนั้นล่ะ”

    กึก

    ทุกการกระทำของฉันหยุดค้างชะงักกลางอากาศเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา และเมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบกับ ... ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทาปากสีดำ หน้าตาดูขลังและน่าศรัทธา บ่งบอกได้เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เห็นเลยว่า ... เธอคนนี้คือหมอดู

    และถ้าเดาไม่ผิด คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันตรงนี้ก็คือ ... แม่หมอเพนโทรอน เหอะ มาหาฉันถึงที่เลย

    “ทำไมล่ะ ฉันก็แค่ไม่ชอบกระดาษแผ่นนี้ มันดูขัดลูกหูลูกตาแปะไว้ก็เปลืองพื้นที่ฉันก็เลยฉีกทิ้งซะเลย”

    “นั่นไม่ใช่ว่าเพราะแม่หนูมีทิฐิกับฉันหรอกเหรอ” แม่หมอพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ก่อนที่จะเหลือบสายตามองไปที่กระดาษที่ฉันกำลังกำอยู่ ฉันก็เลยใช้โอกาสนี้ยิ้มมุมปากแล้วโยนเศษกระดาษที่กำไว้โปรยใส่หน้าแม่หมอซะเลย

    “รู้แล้วก็ดีฉันจะได้ไม่ต้องอธิบายอ้อมไปอ้อมมาอีก”

    “แม่หนูนี่ไม่น่ารักเอาซะเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็น่าจะรู้นะว่าฉันเป็นใคร เธอจะไม่สุภาพกับฉันหน่อยเหรอ”

    “ไม่ล่ะ เรื่องอะไรฉันจะสุภาพกับธะ ... แม่หมอด้วยล่ะ” ท่อนกลาง ๆ ยังโชคดีไปที่ฉันกลับลิ้นทัน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบแม่หมอแค่ไหน แต่ฉันกับเธอก็อายุห่างกันค่อนข้างมากเลยนะ ดูจากลักษณะขรึม ๆ ของเธอได้

    “อย่างน้อยฉันก็อายุมากกว่าแม่หนูนะ แม่หนูเพิ่งจะอายุแค่สิบเจ็ดปีเมื่อไม่นานมานี้เอง เราสองคนควรจะเป็นมิตรที่ดีแทนที่จะเป็นศัตรูกัน อย่างนี้มันไม่ดีกว่าเหรอแม่หนู”

    “ไม่ ไม่ดีหรอก” สมกับเป็นแม่หมอเพนโทรอนแฮะ รู้ด้วยว่าฉันเพิ่งอายุสิบเจ็ดปีเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

    จะบอกว่าให้มิตรที่ดีต่อกันกับแม่หมอเหรอ ...เหอะ ! ไม่มีทางซะล่ะ ! ฉันไม่ชอบแม่หมอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่ไม่ชอบหรือเกลียดเพราะความอิจฉาริษยาหรอก แต่ ... อยู่ดี ๆ มันก็เกลียดแม่หมอขึ้นมาซะเองอ่ะ แค่ได้ยินชื่อฉันก็เดือดแล้ว

    “ฉันไม่อยากให้เธอกลายเป็นคนมีทิฐิมากนะ เราสองคนมาเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกันเถอะแม่หนู”

    “ฉันบอกว่าไม่ก็ไม่ไง ! แม่หมอจะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าแม่หมอแล้ว !

    “ทำไมแม่หนูพูดอย่างนี้ล่ะ”

    “เพราะฉันเกลียดแม่หมอไง !

    ...

    ความเงียบเข้าครอบงำเราทั้งสอง ฉันกับแม่หมอเพนโทรอนต่างจ้องตากันเหมือนกำลังคาดคั้นอะไรบางอย่าง ซึ่งบางอย่างที่ฉันรู้สึกได้นี้ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนว่าแม่หมอต้องการอะไร เวลาไปแค่ชั่ววูบเท่านั้นแม่หมอก็ยิ้มบาง ๆ ที่ริมฝีปากสีดำสด ก่อนที่จะขยับปากพูดออกมาเสียงดังพอสมควร แล้วเดินจากออกไป

    “แม่หนูเป็นคนพูดอย่างนี้เองนะ เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องขอโทษด้วยละกันที่ต่อจากนี้ไปแม่หนูคงจะต้องลำบากหน่อยแล้ว”

     

    6

     แม่หนูเป็นคนพูดอย่างนี้เองนะ เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องขอโทษด้วยละกันที่ต่อจากนี้ไปแม่หนูคงจะต้องลำบากหน่อยแล้ว

    ประโยคสุดท้ายที่แม่หมอทิ้งไว้ก่อนที่จะจากไป วนเวียนอยู่ในหัวฉันจนไม่รู้นี่ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว ... ไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกกลัวอะไรกับคำพูดของแม่หมอหรอก เพียงแต่ว่า ... ฉันรู้สึกว่าคำพูดในประโยคนั้นมันแฝงไปด้วยความนัยบางอย่างที่กำลังพาความหายนะมาให้ฉันแปลก ๆ 

    และไอ้ความ หายนะที่รู้สึกได้นี่ มันก็เหมือนจะไม่ใช่หายนะแบบลูกหย่อม ๆ ซะด้วยสิ

    ก่อนที่แม่หมอจะจากไปนั้น เธอได้ทิ้งความแปลกให้ฉันอึ้งไว้อย่างหนึ่ง เพราะก่อนที่เธอไป เธอได้ดีดนิ้วดังเป๊าะ พร้อมกับที่ฉันหันไปมองรอบข้างตัวเอง ... ทุกคนที่อยู่รอบกายฉัน ณ ตรงนั้น ไม่มีใครขยับเขยื้อนตัวเลยสักนิด ! ทุกคนชะงักท่าทางของตัวค้างไว้กับอากาศแบบนั้น ผู้ชายที่กำลังหกล้มหกคะเมนตีลังกาก็ลอยหวืดกลางอากาศ ผู้หญิงที่กำลังลื่นล้มก็โค้งไปข้างหลังห้าสิบองศา แล้วหลังจากที่เสียง เป๊าะดังขึ้นแล้ว ทุกอย่างก็กลับเข้ามาสู่สภาวะปกติ ...

    พอจะหันกลับไปหาแม่หมออีกที เธอก็หายตัวออกไปจากตรงหน้าฉันซะแล้ว

    เฮ้ ! นี่มันอะไรกันเนี่ย วันนี้มันคือวันอะไรกัน ! ทำไมฉันถึงได้เจอเรื่องแปลก ๆ แบบนี้ ! โดยเฉพาะเรื่องการเผชิญหน้ากับแม่หมอเพนโทรอนเนี่ย ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าเราสองคนจะมายืนโต้คารมณ์กันแบบนี้น่ะ ไหงบอกกันนักหนาไงว่าแม่หมอเพนโทรอนกว่าจะได้เจอแบบตัวต่อตัวมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน แต่ทำไม ... วันนี้ฉันกลับได้เห็นเธอมายืนอยู่ตรงหน้าซะได้ 

    “ดิน ... แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ฉันเห็นแกทำสีหน้าไม่รับแขกแบบนี้ตั้งแต่ออกมาจากธนาคารแล้ว” พี่เก็นที่นั่งตรงข้ามกับฉันถามขึ้น ก่อนที่จะจับปลายช้อนไอศกรีมที่จุ่มลงไปในแก้วแล้วจ้องฉันด้วยสายตาหวาด ๆ

    “พอดีฉันไปเจอกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้ามานิดหน่อยน่ะ”

    “งั้นเหรอ แต่ฉันว่าสีหน้าของแกมัน ไม่หน่อย แล้วล่ะมั้ง ดิน =_=

    ก็แหงเซะน่ะสิ ขนาดกินไอติมแก้วทรงสูงตรงหน้าไปครึ่งแก้วแล้วอารมณ์ฉันยังไฟเยอร์อยู่เลย -_- ^^

    ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ฉันกับพี่เก็นเข้ามาสิงสถิตที่ร้านไอศกรีมสเวนต์ซิสแล้วเรียบร้อย จะให้บอกว่าฉันได้กินไอติมรสมะนาวเชอร์เบ็ทผสมกับดับเบิ้ลช็อกโกโก้ที่โปรดปรานเอาไว้เหมือนทุกครั้งในแก้วนี้งั้นเหรอ หึ ๆ ...

    ไอติมรสนั้นน่ะมันไปอยู่ในแก้วของไอ้โต๊ะข้างหน้าฉันแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดด >O< !!!!!!!!!

    ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะทำให้ฉันพลัดพลาดกับการลิ้มรสไอติมรสนี้เสียเหลือเกิน ! พอสั่งรสนี้ปุ๊บ พนักงานก็บอกว่าหมดปั๊บเลย ! แล้วที่เจ็บใจไปมากกว่านั้นก็คือ ... ตอนที่พนักงานเสิร์ฟเอาไอติมลูกนั้นไปให้กับลูกค้าโต๊ะข้างหน้าแล้วน่ะแหละ กร๊าซซซซซ

    “ดิน ... ตอนนี้แกอารมณ์ดีแล้วใช่มั้ย” พี่เก็นถามฉันขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกระแอมไออย่างหวาด ๆ นี่ ... ตอนนี้สีหน้าฉันมันอำมหิตขนาดนั้นเลยเหรอ

    “อืม ก็ ... นิดหน่อยน่ะ ทำไมเหรอจะเอาอะไรมาเล่นงานฉันอีก -O-

    “อย่าใช้คำว่าเล่นงานแบบนี้สิ แกจำไม่ได้แล้วหรือยังไงที่ฉันบอกแกว่ามีบางอย่างจะให้แกช่วยน่ะ”

    “อ๋อ จำได้ แล้วไอ้บางอย่างที่ว่านี่คือ ... ?”

    “ดูรูปในนี้ซะก่อน แล้วอย่าเผลอน้ำลายไหลให้ฉันเห็นล่ะ”

    พี่เก็นโยนซองสีน้ำตาลอ่อน ๆ มาให้ฉันเบา ๆ ก่อนที่จะยักคิ้วกวนบาทามาให้ อย่าเผลอน้ำลายไหล ? พูดแบบนี้แสดงว่าพี่แกจะเอารูปของกินมาให้ฉันดูใช่มั้ย ดีแหละ ยิ่งเซ็ง ๆ อยู่ได้ของกินมามันก็ไม่ ...

    หล่อ ! หล่อมาก หล่อลากเลือด ! =[]= !!!!

    ความคิดที่ว่าเป็นรูปของกินหายวับไปหมด เมื่อฉันเปิดซองสีน้ำตาลแล้วเห็นรูปผู้ชายที่หล่อเหลาเกินมนุษย์ ! รูปที่อยู่ในมือฉันนี้คือผู้ชายคนหนึ่งที่มีเรือนผมสีดำสนิทยาวเลยบ่าไปจนถึงกลางหลัง ถึงเขาจะผมยาวขนาดนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ดูเหมือนผู้หญิงเลยสักนิด และนอกจากผมสีดำแล้วที่ศีรษะของเขายังมีผ้าโพกผมแบบเท่ ๆ กระชากใจสาวอีกด้วย ส่วนหน้าตาของเขาก็อย่างที่บอกไปมันแบบว่า ... เขาหล่อมากกกกกกอ่ะ ! ดูภาพรวมแล้ว เขาหล่อจนไม่รู้จะติเตียนตรงไหนเลยจริง ๆ

    “เป็นไงล่ะ น้ำลายสอเลยน่ะสิ” พี่เก็นพูดด้วยสีหน้ารู้ทัน ก่อนที่จะฉกรูปผู้ชายในมือฉันไป บ้า ! ใครน้ำสายสอกัน อย่ามารู้ทันนะ !

    “ฉันว่าพี่ควรจะพูดจุดประสงค์ของพี่ออกมามากกว่าจะดีกว่ามั้ย -_-

    “เอางั้นเลยเหรอ”

    “ก็เออน่ะสิ ! ที่ฉันมาหาพี่เพราะมาช่วยพี่นะ ไม่ใช่มานั่งส่องผู้ชาย !

    ถึงแม้ว่าใจจริง ๆ อยากจะทำอย่างนั้นก็ตามที -.,- ก็แหม ผู้ชายในรูปนี้กระชากใจฉันสุด ๆ ไปเลย อยากจะเห็นหน้าค่าตาของพ่อแม่เขาจัง ว่าจะสวยจะหล่อขนาดไหน แล้วจะเดินเข้าไปถามด้วยว่าพวกท่านทำกันท่าไหนกัน ... หมายถึงเลี้ยงลูกยังไงน่ะ ถึงได้ผลิตลูกชายออกมาได้หล่อเหลาขนาดนี้

    “อ๋อเหรอ ฉันเห็นแกตามันวาวน่ะ ก็เลยอยากหาเรื่องชวนคุยเกี่ยวกับเขาหน่อย จะไม่สนใจเขาหน่อยหรือยังไงกัน หล่อเอาโล่เชียวนะ”

    “ฉันไม่สนใจหรอก ก็แค่รูปน่ะไม่เห็นมีมิติที่น่าสนใจตรงไหนเลย”

    “จริงเหรอ ~~~

    “จริงเส่ะ ! พูดรีเคสวของตัวเองออกมาได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่ช่วยซะหรอก !

    จริง ๆ ฉันก็แค่พูดรักษาฟอร์มตัวเองไปงั้นล่ะ -.,- ต่อให้รูปนี้ไม่มีมิติอะไรเลยอย่างที่ฉันพูด หน้าตาของผู้ชายในรูปนี้ก็ดึงเรตติ้งกระฉูดแล้ว

    “โอเค ๆ เรื่องที่ฉันจะให้แกช่วยก็คือ แต่น แต้น แต๊น !

    “ฉันว่าฉันกลับบ้านดีกว่า” ฉันพูดก่อนที่จะคว้ากระเป๋าสะพายและทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะ เล่นเอาพี่เก็นหน้าเหวอเลยทีเดียว

    “เดี๋ยวสิ ! แกจะกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้นะ TOT

    “ก็พี่ไม่พูดซะทีอ่ะ ถ้าคราวนี้พี่ยังไม่พูดออกมาอีกล่ะก็ ฉันจะกลับบ้านจริง ๆ ด้วย”

    ฟึ่บ !

    ฉันยอมทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตามที่พี่เก็นขออีกครั้ง ก่อนที่จะเอามือเท้ากับที่วางมือของเก้าอี้แล้วมองไอ้คนตรงหน้าอย่างหงุดหงิด ฮึ่ย ! ที่หงุดหงิดน่ะไม่ใช่อะไรหรอก ... ก็เรื่องผู้ชายในรูปนั้นนั่นแหละ ถึงไอ้คนตรงหน้าจะไม่พูดแซวฉันต่อ แต่สายตาที่ใช้มองมัน ... โอ๊ย ! น่าเตะอ่ะ พยายามระงับอารมณ์อยู่นะเนี่ย !

    “เอาล่ะ คราวนี้โอเคจริง ๆ แล้ว ผู้ชายคนนี้ชื่อ วาเลนส์ ไฮเกอร์ อายุสิบแปดปีเรียนอยู่ที่เซฟเฟอร์ไฮสกูลเกรดสิบสอง ประวัติของเขาคนนี้ก็คือเขาเป็นลูกของนักธุรกิจบริษัทรายใหญ่ระดับประเทศ และตอนนี้เขาก็มาอยู่เที่ยวในเมืองเพนโทรอนตลอดจนเปิดเทอมภายในระยะสามเดือนนี้เท่านั้น และไอ้ระยะเวลาสามเดือนนี่แหละมันจะต้องเป็นหน้าที่ของแกแล้วที่จะต้อง ... ”

    “...”

    “ไปขโมยขวานทองคำนั่นมาจากเขา !

     

    TALK !  

    ต้องขอบคุณทุก ๆ คนมากนะคะที่เข้ามาอ่านกัน เรื่องนี้ขอบอกไว้ก่อนเลย ว่า มันแปลกมาก !’ ยิ่งอ่านไปเรื่อย ๆ คุณก็จะค้นพบมันไปเรื่อย ๆ (หรือเปล่า ?) ถ้ามีจุดบกพร่องตรงการบรรยายตรงไหนช่วยบอกไรเตอร์ด้วยนะคะ

     

    THANK YOU

     

    และอย่าลืมมาตามอ่านและไปด้วยกันทุก ๆ วันนะคะ J

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×