คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER : 5,6
5
ฉันมายืนรอพี่เก็นที่นอกธนาคารอย่างหัวเสียก่อนที่จะมองโน้นนี่นั่นไปเรื่อย น่าอายจริง ๆ เลยเชียวบัตรเครดิตก็มีแต่เจือกจำรหัสผิดซะได้ เล่นเอาคิวกดบัตรเครดิตยาวไกลจนอ้อมโลกได้สามโลก -_- นึกถึงตอนนั้นแล้วอายชะมัด ดีนะเนี่ยที่ฉันยืนห่าง ๆ พี่แกไว้น่ะ
โอ๊ย ... ทำเรื่องรหัสบัตรเครดิตผิดทีนี่ก็นานชะมัดหลบไปยืนตรงอื่นดีกว่า เบื่อละ เวลามีบัตรเครดิตฉันจะจดรหัสใส่กระเป๋าสตางค์ หรือไม่ก็ท่องรหัสตัวเองวันละสิบรอบไปเลย =_=
ฉันเดินหลบมุมมาที่ผนังข้าง ๆ ธนาคารก่อนที่จะอ่านป้ายกระดาษที่แปะเอาไว้ตามผนังไปเรื่อย จนกระทั่งไปเจอกับกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งที่มีเนื้อความว่า ...
‘ดูดวงกับแม่หมอเพนโทรอนวันที่ 13 ธันวาคม และวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 25xx ฟรี ห้าคนต่อวันเท่านั้น และดูดวงตามปกติกับแม่หมอเพนโทรอนได้ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม – 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 25xx เพราะนอกเหนือจากวันที่กำหนดไว้แล้วแม่หมอจะปิดตำหนักสักพัก สนใจติดต่อแม่หมอได้ที่ตำหนักที่เดียวเท่านั้น’
ฟึ่บ !
แควก ๆๆๆๆ !
ไวกว่าความคิด ! พออ่านข้อความบนกระดาษที่ติดอยู่ผนังตรงหน้าจบฉันก็รีบคว้ากระดาษนั่นมาฉีกให้แหลกคามืออย่างบ้าคลั่งทันที ! เล่นเอาคนที่เดินผ่านไปมามองฉันกันเป็นแถว แต่เรื่องอะไรฉันจะสนใจล่ะ ! ฉันไม่ชอบแม่หมอนั่น ฉันไม่ชอบเลยแม้แต่นิดเดียว ! ฉันเกลียดแม่หมอเพนโทรอน ฉันเกลียด !
“แม่หนู ทำไมถึงมีกิริยาป่าเถื่อนอย่างนั้นล่ะ”
กึก
ทุกการกระทำของฉันหยุดค้างชะงักกลางอากาศเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา และเมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบกับ ... ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทาปากสีดำ หน้าตาดูขลังและน่าศรัทธา บ่งบอกได้เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เห็นเลยว่า ... เธอคนนี้คือหมอดู
และถ้าเดาไม่ผิด คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันตรงนี้ก็คือ ... แม่หมอเพนโทรอน เหอะ มาหาฉันถึงที่เลย
“ทำไมล่ะ ฉันก็แค่ไม่ชอบกระดาษแผ่นนี้ มันดูขัดลูกหูลูกตาแปะไว้ก็เปลืองพื้นที่ฉันก็เลยฉีกทิ้งซะเลย”
“นั่นไม่ใช่ว่าเพราะแม่หนูมีทิฐิกับฉันหรอกเหรอ” แม่หมอพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ก่อนที่จะเหลือบสายตามองไปที่กระดาษที่ฉันกำลังกำอยู่ ฉันก็เลยใช้โอกาสนี้ยิ้มมุมปากแล้วโยนเศษกระดาษที่กำไว้โปรยใส่หน้าแม่หมอซะเลย
“รู้แล้วก็ดีฉันจะได้ไม่ต้องอธิบายอ้อมไปอ้อมมาอีก”
“แม่หนูนี่ไม่น่ารักเอาซะเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็น่าจะรู้นะว่าฉันเป็นใคร เธอจะไม่สุภาพกับฉันหน่อยเหรอ”
“ไม่ล่ะ เรื่องอะไรฉันจะสุภาพกับธะ ... แม่หมอด้วยล่ะ” ท่อนกลาง ๆ ยังโชคดีไปที่ฉันกลับลิ้นทัน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบแม่หมอแค่ไหน แต่ฉันกับเธอก็อายุห่างกันค่อนข้างมากเลยนะ ดูจากลักษณะขรึม ๆ ของเธอได้
“อย่างน้อยฉันก็อายุมากกว่าแม่หนูนะ แม่หนูเพิ่งจะอายุแค่สิบเจ็ดปีเมื่อไม่นานมานี้เอง เราสองคนควรจะเป็นมิตรที่ดีแทนที่จะเป็นศัตรูกัน อย่างนี้มันไม่ดีกว่าเหรอแม่หนู”
“ไม่ ไม่ดีหรอก” สมกับเป็นแม่หมอเพนโทรอนแฮะ รู้ด้วยว่าฉันเพิ่งอายุสิบเจ็ดปีเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
จะบอกว่าให้มิตรที่ดีต่อกันกับแม่หมอเหรอ ...เหอะ ! ไม่มีทางซะล่ะ ! ฉันไม่ชอบแม่หมอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่ไม่ชอบหรือเกลียดเพราะความอิจฉาริษยาหรอก แต่ ... อยู่ดี ๆ มันก็เกลียดแม่หมอขึ้นมาซะเองอ่ะ แค่ได้ยินชื่อฉันก็เดือดแล้ว
“ฉันไม่อยากให้เธอกลายเป็นคนมีทิฐิมากนะ เราสองคนมาเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกันเถอะแม่หนู”
“ฉันบอกว่าไม่ก็ไม่ไง ! แม่หมอจะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าแม่หมอแล้ว !”
“ทำไมแม่หนูพูดอย่างนี้ล่ะ”
“เพราะฉันเกลียดแม่หมอไง !”
...
ความเงียบเข้าครอบงำเราทั้งสอง ฉันกับแม่หมอเพนโทรอนต่างจ้องตากันเหมือนกำลังคาดคั้นอะไรบางอย่าง ซึ่งบางอย่างที่ฉันรู้สึกได้นี้ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนว่าแม่หมอต้องการอะไร เวลาไปแค่ชั่ววูบเท่านั้นแม่หมอก็ยิ้มบาง ๆ ที่ริมฝีปากสีดำสด ก่อนที่จะขยับปากพูดออกมาเสียงดังพอสมควร แล้วเดินจากออกไป
“แม่หนูเป็นคนพูดอย่างนี้เองนะ เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องขอโทษด้วยละกันที่ต่อจากนี้ไปแม่หนูคงจะต้องลำบากหน่อยแล้ว”
6
‘แม่หนูเป็นคนพูดอย่างนี้เองนะ เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องขอโทษด้วยละกันที่ต่อจากนี้ไปแม่หนูคงจะต้องลำบากหน่อยแล้ว’
ประโยคสุดท้ายที่แม่หมอทิ้งไว้ก่อนที่จะจากไป วนเวียนอยู่ในหัวฉันจนไม่รู้นี่ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว ... ไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกกลัวอะไรกับคำพูดของแม่หมอหรอก เพียงแต่ว่า ... ฉันรู้สึกว่าคำพูดในประโยคนั้นมันแฝงไปด้วยความนัยบางอย่างที่กำลังพาความหายนะมาให้ฉันแปลก ๆ
และไอ้ความ ‘หายนะ’ ที่รู้สึกได้นี่ มันก็เหมือนจะไม่ใช่หายนะแบบลูกหย่อม ๆ ซะด้วยสิ
ก่อนที่แม่หมอจะจากไปนั้น เธอได้ทิ้งความแปลกให้ฉันอึ้งไว้อย่างหนึ่ง เพราะก่อนที่เธอไป เธอได้ดีดนิ้วดังเป๊าะ พร้อมกับที่ฉันหันไปมองรอบข้างตัวเอง ... ทุกคนที่อยู่รอบกายฉัน ณ ตรงนั้น ไม่มีใครขยับเขยื้อนตัวเลยสักนิด ! ทุกคนชะงักท่าทางของตัวค้างไว้กับอากาศแบบนั้น ผู้ชายที่กำลังหกล้มหกคะเมนตีลังกาก็ลอยหวืดกลางอากาศ ผู้หญิงที่กำลังลื่นล้มก็โค้งไปข้างหลังห้าสิบองศา แล้วหลังจากที่เสียง ‘เป๊าะ’ ดังขึ้นแล้ว ทุกอย่างก็กลับเข้ามาสู่สภาวะปกติ ...
พอจะหันกลับไปหาแม่หมออีกที เธอก็หายตัวออกไปจากตรงหน้าฉันซะแล้ว
เฮ้ ! นี่มันอะไรกันเนี่ย วันนี้มันคือวันอะไรกัน ! ทำไมฉันถึงได้เจอเรื่องแปลก ๆ แบบนี้ ! โดยเฉพาะเรื่องการเผชิญหน้ากับแม่หมอเพนโทรอนเนี่ย ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าเราสองคนจะมายืนโต้คารมณ์กันแบบนี้น่ะ ไหงบอกกันนักหนาไงว่าแม่หมอเพนโทรอนกว่าจะได้เจอแบบตัวต่อตัวมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน แต่ทำไม ... วันนี้ฉันกลับได้เห็นเธอมายืนอยู่ตรงหน้าซะได้
“ดิน ... แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ฉันเห็นแกทำสีหน้าไม่รับแขกแบบนี้ตั้งแต่ออกมาจากธนาคารแล้ว” พี่เก็นที่นั่งตรงข้ามกับฉันถามขึ้น ก่อนที่จะจับปลายช้อนไอศกรีมที่จุ่มลงไปในแก้วแล้วจ้องฉันด้วยสายตาหวาด ๆ
“พอดีฉันไปเจอกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้ามานิดหน่อยน่ะ”
“งั้นเหรอ แต่ฉันว่าสีหน้าของแกมัน ‘ไม่หน่อย’ แล้วล่ะมั้ง ดิน =_=”
ก็แหงเซะน่ะสิ ขนาดกินไอติมแก้วทรงสูงตรงหน้าไปครึ่งแก้วแล้วอารมณ์ฉันยังไฟเยอร์อยู่เลย -_- ^^
ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ฉันกับพี่เก็นเข้ามาสิงสถิตที่ร้านไอศกรีมสเวนต์ซิสแล้วเรียบร้อย จะให้บอกว่าฉันได้กินไอติมรสมะนาวเชอร์เบ็ทผสมกับดับเบิ้ลช็อกโกโก้ที่โปรดปรานเอาไว้เหมือนทุกครั้งในแก้วนี้งั้นเหรอ หึ ๆ ...
ไอติมรสนั้นน่ะมันไปอยู่ในแก้วของไอ้โต๊ะข้างหน้าฉันแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดด >O< !!!!!!!!!
ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะทำให้ฉันพลัดพลาดกับการลิ้มรสไอติมรสนี้เสียเหลือเกิน ! พอสั่งรสนี้ปุ๊บ พนักงานก็บอกว่าหมดปั๊บเลย ! แล้วที่เจ็บใจไปมากกว่านั้นก็คือ ... ตอนที่พนักงานเสิร์ฟเอาไอติมลูกนั้นไปให้กับลูกค้าโต๊ะข้างหน้าแล้วน่ะแหละ กร๊าซซซซซ
“ดิน ... ตอนนี้แกอารมณ์ดีแล้วใช่มั้ย” พี่เก็นถามฉันขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกระแอมไออย่างหวาด ๆ นี่ ... ตอนนี้สีหน้าฉันมันอำมหิตขนาดนั้นเลยเหรอ
“อืม ก็ ... นิดหน่อยน่ะ ทำไมเหรอจะเอาอะไรมาเล่นงานฉันอีก -O-”
“อย่าใช้คำว่าเล่นงานแบบนี้สิ แกจำไม่ได้แล้วหรือยังไงที่ฉันบอกแกว่ามีบางอย่างจะให้แกช่วยน่ะ”
“อ๋อ จำได้ แล้วไอ้บางอย่างที่ว่านี่คือ ... ?”
“ดูรูปในนี้ซะก่อน แล้วอย่าเผลอน้ำลายไหลให้ฉันเห็นล่ะ”
พี่เก็นโยนซองสีน้ำตาลอ่อน ๆ มาให้ฉันเบา ๆ ก่อนที่จะยักคิ้วกวนบาทามาให้ อย่าเผลอน้ำลายไหล ? พูดแบบนี้แสดงว่าพี่แกจะเอารูปของกินมาให้ฉันดูใช่มั้ย ดีแหละ ยิ่งเซ็ง ๆ อยู่ได้ของกินมามันก็ไม่ ...
หล่อ ! หล่อมาก หล่อลากเลือด ! =[]= !!!!
ความคิดที่ว่าเป็นรูปของกินหายวับไปหมด เมื่อฉันเปิดซองสีน้ำตาลแล้วเห็นรูปผู้ชายที่หล่อเหลาเกินมนุษย์ ! รูปที่อยู่ในมือฉันนี้คือผู้ชายคนหนึ่งที่มีเรือนผมสีดำสนิทยาวเลยบ่าไปจนถึงกลางหลัง ถึงเขาจะผมยาวขนาดนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ดูเหมือนผู้หญิงเลยสักนิด และนอกจากผมสีดำแล้วที่ศีรษะของเขายังมีผ้าโพกผมแบบเท่ ๆ กระชากใจสาวอีกด้วย ส่วนหน้าตาของเขาก็อย่างที่บอกไปมันแบบว่า ... เขาหล่อมากกกกกกอ่ะ ! ดูภาพรวมแล้ว เขาหล่อจนไม่รู้จะติเตียนตรงไหนเลยจริง ๆ
“เป็นไงล่ะ น้ำลายสอเลยน่ะสิ” พี่เก็นพูดด้วยสีหน้ารู้ทัน ก่อนที่จะฉกรูปผู้ชายในมือฉันไป บ้า ! ใครน้ำสายสอกัน อย่ามารู้ทันนะ !
“ฉันว่าพี่ควรจะพูดจุดประสงค์ของพี่ออกมามากกว่าจะดีกว่ามั้ย -_-”
“เอางั้นเลยเหรอ”
“ก็เออน่ะสิ ! ที่ฉันมาหาพี่เพราะมาช่วยพี่นะ ไม่ใช่มานั่งส่องผู้ชาย !”
ถึงแม้ว่าใจจริง ๆ อยากจะทำอย่างนั้นก็ตามที -.,- ก็แหม ผู้ชายในรูปนี้กระชากใจฉันสุด ๆ ไปเลย อยากจะเห็นหน้าค่าตาของพ่อแม่เขาจัง ว่าจะสวยจะหล่อขนาดไหน แล้วจะเดินเข้าไปถามด้วยว่าพวกท่านทำกันท่าไหนกัน ... หมายถึงเลี้ยงลูกยังไงน่ะ ถึงได้ผลิตลูกชายออกมาได้หล่อเหลาขนาดนี้
“อ๋อเหรอ ฉันเห็นแกตามันวาวน่ะ ก็เลยอยากหาเรื่องชวนคุยเกี่ยวกับเขาหน่อย จะไม่สนใจเขาหน่อยหรือยังไงกัน หล่อเอาโล่เชียวนะ”
“ฉันไม่สนใจหรอก ก็แค่รูปน่ะไม่เห็นมีมิติที่น่าสนใจตรงไหนเลย”
“จริงเหรอ ~~~”
“จริงเส่ะ ! พูดรีเคสวของตัวเองออกมาได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่ช่วยซะหรอก !”
จริง ๆ ฉันก็แค่พูดรักษาฟอร์มตัวเองไปงั้นล่ะ -.,- ต่อให้รูปนี้ไม่มีมิติอะไรเลยอย่างที่ฉันพูด หน้าตาของผู้ชายในรูปนี้ก็ดึงเรตติ้งกระฉูดแล้ว
“โอเค ๆ เรื่องที่ฉันจะให้แกช่วยก็คือ แต่น แต้น แต๊น !”
“ฉันว่าฉันกลับบ้านดีกว่า” ฉันพูดก่อนที่จะคว้ากระเป๋าสะพายและทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะ เล่นเอาพี่เก็นหน้าเหวอเลยทีเดียว
“เดี๋ยวสิ ! แกจะกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้นะ TOT”
“ก็พี่ไม่พูดซะทีอ่ะ ถ้าคราวนี้พี่ยังไม่พูดออกมาอีกล่ะก็ ฉันจะกลับบ้านจริง ๆ ด้วย”
ฟึ่บ !
ฉันยอมทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตามที่พี่เก็นขออีกครั้ง ก่อนที่จะเอามือเท้ากับที่วางมือของเก้าอี้แล้วมองไอ้คนตรงหน้าอย่างหงุดหงิด ฮึ่ย ! ที่หงุดหงิดน่ะไม่ใช่อะไรหรอก ... ก็เรื่องผู้ชายในรูปนั้นนั่นแหละ ถึงไอ้คนตรงหน้าจะไม่พูดแซวฉันต่อ แต่สายตาที่ใช้มองมัน ... โอ๊ย ! น่าเตะอ่ะ พยายามระงับอารมณ์อยู่นะเนี่ย !
“เอาล่ะ คราวนี้โอเคจริง ๆ แล้ว ผู้ชายคนนี้ชื่อ วาเลนส์ ไฮเกอร์ อายุสิบแปดปีเรียนอยู่ที่เซฟเฟอร์ไฮสกูลเกรดสิบสอง ประวัติของเขาคนนี้ก็คือเขาเป็นลูกของนักธุรกิจบริษัทรายใหญ่ระดับประเทศ และตอนนี้เขาก็มาอยู่เที่ยวในเมืองเพนโทรอนตลอดจนเปิดเทอมภายในระยะสามเดือนนี้เท่านั้น และไอ้ระยะเวลาสามเดือนนี่แหละมันจะต้องเป็นหน้าที่ของแกแล้วที่จะต้อง ... ”
“...”
“ไปขโมยขวานทองคำนั่นมาจากเขา !”
TALK !
ต้องขอบคุณทุก ๆ คนมากนะคะที่เข้ามาอ่านกัน เรื่องนี้ขอบอกไว้ก่อนเลย ว่า ‘มันแปลกมาก !’ ยิ่งอ่านไปเรื่อย ๆ คุณก็จะค้นพบมันไปเรื่อย ๆ (หรือเปล่า ?) ถ้ามีจุดบกพร่องตรงการบรรยายตรงไหนช่วยบอกไรเตอร์ด้วยนะคะ
THANK YOU
และอย่าลืมมาตามอ่านและไปด้วยกันทุก ๆ วันนะคะ J
ความคิดเห็น